เมื่อศรัทธามาปะทะกับงมงาย
พักนี้ชั้นประสบพบเจอเรื่องต่าง ๆ มามากมาย และทุกเรื่องมักเกิดจากคำสองคำนี้ ศรัทธา คือ ความเชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ ไม่งมงาย มีเหตุผล เป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา งมงาย คือ หลงเชื่อโดยไม่มีเหตุผล หรือไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นหรือเหตุผลของผู้อื่น ไม่ว่าจะทางพุทธ หรือทางการเมือง ล้วนแล้วแต่มี สองตัวนี้มาเกี่ยวข้อง ยกตัวอย่างเช่น ทางพุทธ มีการกราบไหว้ ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตนต้องการ อย่างนี้เรียกว่า งมงายหรือไม่ ผู้คนพาไปกราบไหว้ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์เพื่อขอเลขเด็ด อย่างนี้เรียกว่า งมงายหรือไม่ ผู้คนพาไปเข้าพิธีพุทธาภิเษก ไปครอบครู ไปสะเดาเคราะห์ ไปฝังลูกนิมิตร ไปบังสกุลเป็น อย่างนี้เรียกงมงายหรือไม่ ทางการเมือง ฝั่งหนึ่งเชื่อว่า ผู้นำคนนี้เก่ง ถึงแม้โกงไปบ้างก็ไม่เป็นไรแต่นำพาประเทศให้เจริญ อย่างนี้เรียก ศรัทธาหรือเปล่า ฝั่งหนึ่งเชื่อว่า ผู้นำคนนี้เก่ง ถึงแม้จะช้าเป็นเต่าคลาน แต่นำพาประเทศไปได้ อย่างนี้เรียก ศรัทธาหรือเปล่า ฝั่งหนึ่งเชื่อว่า การปราบปรามผู้ชุมนุม เป็นการไม่เคารพต่อการปกครองแบบประชาธิปไตย แบบนี้เรียก ศรัทธาหรือเปล่า ฝั่งหนึ่งเชื่อว่า การชุมนุม คือส่วนหนึ่งของการปกครองแบบประชาธิปไตย แบบนี้เรียก ศรัทธาหรือเปล่า เมื่อไหร่หรือ ที่เราจะรู้ได้ว่า สิ่งที่เราคิด สิ่งที่เราได้ยิน สิ่งที่เราพูด สิ่งที่ผุ้อื่นคิด สิ่งที่ผู้อื่นได้ยิน สิ่งที่ผู้อื่นพูด สิ่งไหนที่เรียกว่า ศรัทธา สิ่งไหนที่เรียกว่า งมงาย ระหว่างสองคำนี้ มีเส้นใยบาง ๆ กั้นอยู่เท่านั้นเอง เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรายืนอยู่ฝั่งไหน และเราจะรู้ได้อย่างไรว่าเราได้ก้าวข้ามจนทำให้เส้นใยบาง ๆ นั้นขาดไปแล้วและเราได้ไปยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งเสียแล้ว คำตอบคือ ผู้มีปัญญา จึงจะรู้ตัว รู้ด้วยตนเอง เมื่อเกิดปัญญา ก็จะมีสติที่ไว้ในการคิด พิจารณา ไตร่ตรองอย่างถี่ถ้วน ว่าสิ่งนั้น ๆ คือศรัทธา หรือ งมงาย กันแน่ แต่หากจะให้ดีควรมีกัลยาณมิตรไว้ข้างกายคอยช่วยเหลือ เพราะบางครั้ง ดั่งคำที่ว่า สี่ตืนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง นับประสาอะไรกับคนธรรมดา ---------------------------------------------------------------------------------------------------------- ข้างต้น คือบทบรรยายธรรมดา ต่อจากนี้ คือคำแสลงหู ถ้าผู้ใดไม่เห็นด้วย คิดต่างย่อมได้ จะแสดงเจตนารมย์เช่นใด เชิญตามสบาย ณ. วันหนึ่ง ข้างบ้านจัดงานบวงสรวง ปกติตัวเองก็เคยไปมาบ้างทั้งงานบวงสรวงของทางวัดแบบยิ่งใหญ่ และงานบวงสรวงของชาวบ้านธรรมดา ถามว่า งานบวงสรวงนี้เรียกว่า ศรัทธา หรือ งมงาย ทางหนึ่งชั้นมองเห็นศรัทธา ตราบใดที่ยังมีคนจำนวนหนึ่ง เชื่อว่า การบวงสรวงคือสิ่งดี ที่นำพาความสุขมาสู่ตน แปลว่า ยังคงมีคนสืบทอดต่อทางศาสนาฮินดู มิใช่พุทธ อันนี้ตัวชั้นเชื่อแบบนั้น ก่อนอื่นต้องยอมรับก่อนว่า พุทธ มาทีหลังพราหมณ์และฮินดู ดังนั้นถ้าจะมีกลิ่นอายของพราหมณ์และฮินดูปะปนมาบ้างก็เป็นเหตุสุดวิสัย แต่การบวงสรวงของคนข้างบ้าน นำพาความเดือดร้อนมาให้ตัวชั้น ซึ่งกำลังป่วยหนัก ณ. ช่วงเวลานั้น ต้องการความสงบ ปรากฎว่าคนข้างบ้านทำการติดตั้งลำโพงยักษ์ เปิดก่อนวันงานในคืนนั้นถึงสี่ทุ่ม เช้ามาเปิดแต่เช้าจนเย็นย่ำ เท่านั้นยังไม่พอ ยังให้ผู้อื่นนำรถมาจอดบริเวณลานบ้านของชั้นที่เห็นว่ามีเนื้อที่มากมายโดยไม่ขออนุญาติ เพราะคิดว่าเป็นญาติกัน ทั้งที่ปกติไม่เคยญาติดีต่อกัน ทั้งหมดทั้งมวล ชั้นไม่เคยปริปากบ่น ไม่เคยว่า เป็นอย่างนี้มา 3-4 ปีแล้ว แต่ปีนี้ ชั้นอาละวาด เพราะผู้ร่วมงานมาจอดรถเต็มลานบ้านทั้งหมด 10 คัน ทำให้รถของพ่อชั้น น้องสาวอีก2 คนเข้าบ้านไม่ได้ ก็จอดปิดทางเข้าออกไว้ซะเลย พวกนี้ก็เสร็จงานจะกลับบ้านก็มากดกริ่ง ประหนึ่งว่ามันเป็นเจ้าของลานจอดรถ มึงต้องมาถอยรถให้พวกกรุกลับบ้าน ของขึ้นค่ะ ความไม่สบาย ปวดหัว เป็นไข้ ประกอบกับน้ำในหูไม่เท่ากัน เสียการทรงตัว วันนั้นมีแรงลุกขึ้นไปด่า บ้านกรุนะ ที่กรุนะ ที่พวกมรึงมาจอด เกรงใจก็ไม่มี ยังมาทำกร่างประหนึ่งว่ากรุผิดไม่ใช่พวกมรึงผิด ฟัง ๆ ดูเหมือนชั้นเอาเพื่อนบ้านมาด่าให้ผู้อื่นฟัง ใจความสำคัญอยู่ที่ว่า การทำพิธีบวงสรวง ผู้ทำพิธีส่วนมากเป็นพระผู้ทรงศีล (แต่บางครั้งก็อาจจะทุศีลก็ได้ใครจะรู้นิ) คราวนี้ผู้ทำพิธี เค้าเรียกว่า ครูบา แล้วก็มีการแต่งตัวเป็นฤาษีอยู่อีก 2 คน ดู ๆ ไป เริ่มจะเข้าเค้าความงมงายแล้วมั๊ยหล่ะ ฟังจากบทสวด เป็นบทยันทุนหล่ะหนึ่ง ยอดพระกัณฑ์พระไตรปิฎกอีกหนึ่ง สำหรับตัวเองที่เคยสวดมนต์อยู่บ้าง แต่ถ้าเป็นแม่ แม่บอกว่า ทุกบทก็มีอยู่ในบทสวดนั่นหละไม่ได้แปลกพิศดารกว่าคนอื่นตรงไหน เพียงแต่อาจจะเป็นภาษาทางเหนือ หรือภาษาขอม หรือภาษาพม่าก็เป็นได้ เหมือนบทสวดทิเบตนั่นหล่ะ สำหรับความเชื่อของตัวเอง "เชื่อว่า ถ้าเราทำดี ดีในที่นี้คือ คิดดี ทำดี พูดดี คบคนดี ก็จะพาเราไปสู่สิ่งดี และถึงแม้ตกยากก็จะมีคนดีคอยช่วยเหลือ ที่สำคัญจะทำให้ชะตาชีวิตเราเปลี่ยนผัน ชนิดที่หมอดูคนไหนก็ไม่สามารถอ่านดวงชะตาเราได้" แต่หาก เราทำชั่ว คิดชั่ว พูดชั่ว เสียแล้ว นอกจากจะเสียเครดิตแล้ว ชีวิตไม่มีทางได้ดี มิหนำซ้ำเวลาตกยาก นอกจากจะโดนผู้อื่นเหยียบย่ำแล้ว ยังไม่มีผู้ใดอยากยุ่งเกี่ยวหรือยื่นมือเข้าช่วยเหลือ คนเราหากศรัทธาต่อสิ่งใด จงทำอย่างพอประมาณ ถ้าน้อยไปก็ไม่ดี เพราะคนอื่นจะหาว่าแข็งข้อกระด้างกระเดื่อง หัวแข็ง ดื้อรั้น ก้าวร้าว แต่หากมากไปก็ไม่ดี เพราะผู้อื่นก็จะว่าเป็นคนงมงาย ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง ไม่มีความเคารพนับถือในตนเอง
Create Date : 27 พฤษภาคม 2556 |
|
10 comments |
Last Update : 25 กันยายน 2557 22:43:18 น. |
Counter : 3199 Pageviews. |
|
|
แต่ยังไม่มีเวลาเม้นท์กลับ
งานยุ่งมากมายครับ แหะๆๆ
นี่แอบอู้งานมาเม้นท์หาพี่ครับ 555