เรียกได้ว่า! เห็นผลกระทบตามมาทันที จากกรณี "สุทธิพงษ์ ธรรมวุฒิ" ผู้ดำเนินรายการ คนค้นฅน กรรมการผู้จัดการทีวีบูรพา จำกัด ได้โพสต์ข้อความผ่านหน้าเฟซบุ๊กส่วนตัวในประเด็นข้าวมีสารพิษ ซึ่งต่อมาได้มีการโพสต์ต่อๆ กันในสังคมออนไลน์ โยงไปถึงข้าวถุงหลายยี่ห้อว่ามีสารพิษเจือปน กลายเป็นความสับสนที่เกิดขึ้นในเวลาอันรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง
กลายเป็นว่าพิธีกรดังกลายเป็นต้นตอ ทำลายชื่อเสียงข้าวไทย แต่บางส่วนก็มองว่าเป็นการเตือนเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค ถือเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่างๆ นานา ทั้งในและนอกโลกออนไลน์ที่เกิดขึ้น
ส่วนข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไร ทางทีมงาน "ไทยรัฐออนไลน์" ได้มีโอกาสพูดคุยอย่างเปิดอกกับ"สุทธิพงษ์" ก่อนการแถลงข่าวที่มีขึ้นอย่างกะทันหันในบ่ายวันที่ 11 ก.ค.ท่ามกลางความสนใจของบรรดาสื่อมวลชน โดยเขายอมรับว่า ได้เขียนข้อความนั้นจริงแต่ไม่ใช่การออกมาเปิดเผยชื่อยี่ห้อข้าวถุงว่ามีสารเคมีปนเปื้อน อย่างที่มีการโพสต์ต่อในสังคมออนไลน์
แต่สืบเนื่องจากการส่งต่อเตือนข้าวถุงแต่ละยี่ห้อที่มีสารพิษ มีการแชร์ต่อๆ ในโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีมาก่อนหน้านั้น ได้ทำให้เขาหยิบโทรศัพท์ไอโฟนดำเนินการพิมพ์ตามเจตนารมณ์ที่ต้องการแพร่ให้แก่ผู้บริโภคได้รับรู้เมื่อวันที่ 9 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมีการกดคำผิดหลายคำในประโยคที่เขาเขียน จากนั้นได้เกิดเหตุไม่คาดคิดเมื่อมือไปโดนตำแหน่งโพสต์ ทำให้รู้สึกตกใจ พยายามจะลบข้อความที่ได้โพสต์ไปในทันทีในเวลาอันสั้นและโทรติดต่อเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิคของบริษัทให้ช่วยจัดการให้ โดยขณะนั้นยังไม่รู้ว่าจะส่งผลอะไรตามมา
"พอมันผ่านไป ไม่คิดว่าจะมีข้อแก้ตัวใดๆ จากความเสียหาย ความผิดพลาดที่ไม่ได้ตั้งใจ และไม่ได้นิ่งนอนใจ แต่ไม่คิดว่าจะกระทบมาก จนเมื่อเวลาผ่านไปไม่กี่นาทีหลังการโพสต์ มีคนเขียนมาตำหนิรุนแรงมาก ตอนแรกอ่านแล้วก็รู้สึกว่า เราควรจะตอบคนที่เข้ามาแสดงความรู้สึกหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยตอบโต้ในโลกมีเดียอย่างนี้ พอคิดได้ก็ตอบเขาไป โดยขอบคุณที่ให้บทเรียน ให้สติ และได้ขอโทษไป โดยสิ่งโพสต์ไปไม่ใช่ข้อความของผมทั้งหมด
แต่เมื่อไม่มีบริบทก็ไม่ต่างกับการกล่าวหา ทั้งๆ ที่จริงตั้งใจเขียน มีเจตนาเขียนถึงผู้บริโภค หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โรงสี เจ้าหน้าที่รัฐ และจะเขียนเรื่องกาลามสูตรที่จะเป็นเรื่องต่อมา ไม่อยากให้เข้าใจผิดไปกันใหญ่ จากการแปะนำข้อความของผมในเฟซบุ๊กไปแชร์แสดงความคิดเห็น จนไปไกลกว่าเจตนา จนผมรู้สึกว่าเป็นเครื่องมือและเหยื่อของความตั้งใจอะไรไม่รู้ แต่เหตุของกรรมที่เกิดขึ้น ก็เพราะผมเป็นคนแชร์ ซึ่งไม่เคยปฏิเสธเจตนารมณ์ที่กระทำ แต่ดีกรีการลุกลาม ไม่ใช่ความเป็นจริง และข้อเท็จจริง มีการหยิบเอาสิ่งนั้นมาขยายผลจนเกิดการปรุงแต่ง"
"สุทธิพงษ์" ระบุถึงเจตนาที่ตั้งใจเขียน ณ ขณะนั้น จากที่มีการนำเสนอเรื่องราวของการล้างพิษ ผลกระทบของอาหาร การเจ็บป่วย เรื่องข้าว และความเป็นอยู่ของชาวนา ซึ่งเป็นเรื่องผลกระทบจากพฤติกรรมการบริโภค จึงเป็นสิ่งที่คิดว่าควรออกมาเตือนให้ความรู้กับแฟนรายการในสิ่งที่เป็นบุญกุศล อย่างเรื่องข้าวมีการบอกเรื่องความไม่แน่ใจอันเนื่องมาจากการเก็บรักษาข้าวที่เป็นข่าวมาช่วงหนึ่ง โดยตนเป็นหนึ่งที่รับข้อมูลข่าวสารและมีความรู้สึกเดียวกันกับคนไม่น้อยในเฟซบุ๊กที่กังวลต่อเรื่องข้าว เนื่องจากถูกสีให้คนไทยได้กินอยู่บนความกังวลอย่างไม่มีคำตอบ
พร้อมย้ำอย่างชัดเจนว่า ที่ผ่านมาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะเลือกข้าง โดยใช้พุทธศาสนาเป็นเกณฑ์ให้มีความถูกต้อง เพราะในเรื่องของการเมืองได้กลายเป็นเรื่องของความไร้เหตุผล มีการแบ่งแยก อคติ เพราะฉะนั้นเรื่องของการตัดสินใจ หรือคิดอย่างไรต้องมาจากที่มาของความคิด ดังนั้นจึงไม่อยากให้มีการก่อกรรมทำเข็ญกับใครอีก อยากมีความปรารถนาดีต่อผู้มีส่วนเกี่ยวข้องรวมถึงผู้บริโภคและคนนำข้าวออกมา ส่วนข้อมูลเรื่องข้าวที่มีการส่งต่อกันมา เมื่อเห็นข้อมูลนั้นไม่ได้เชื่อตามข้อมูลที่ส่งต่อ เพราะฉะนั้นจึงไม่มีธงว่าจะใครต้องผิดต้องถูก จึงไม่อยากให้สิ่งไม่ดีเกิดขึ้น และจากที่ทำสื่อมานานจึงรู้ว่าสิ่งที่มีการเผยแพร่ออกไป จะเกิดผลกระทบอย่างไร เช่น การฟ้องร้อง แม้ว่าสิ่งที่ตั้งใจเขียนและโพสต์มีเจตนาอยากให้ผู้บริโภคได้ทราบ แต่ไม่ได้ให้เชื่อ และตั้งใจให้ผู้ถูกกล่าวหาได้รับทราบเช่นกัน
สำหรับการถูกฟ้องร้องจากผู้เกี่ยวข้อง จะเดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหา คิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่ควรตำหนิคนที่ฟ้องร้อง เพราะเกิดจากสิ่งที่ตนมีส่วนร่วม แม้ไม่ได้ตั้งใจก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้แม้เจตนาจะคนละเรื่อง ดังนั้นจะเข้าไปพบเพื่อชี้แจงความบริสุทธิ์ใจ อย่างไรก็ตาม ยังยืนยันในเจตนาเดิมต่อความเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยจากการกินข้าว โดยปราศจากอกุศล เพราะคิดว่าสิ่งที่ทำเป็นบุญไม่ใช่บาป ดังนั้นเจ้าของสินค้าควรทำอะไรให้หายจากความกังวลของผู้บริโภค ควรมีความรับผิดชอบซึ่งจะทำให้คนสรรเสริญ รู้สึกสบายใจไม่คิดว่ามีวาระซ่อนเร้นต่อสิ่งที่ทำอย่างเต็ม 100%
"ตั้งแต่เมื่อเช้าได้ฟังเรื่องราว และผลกระทบจากสื่อต่างๆ จนเกิดความรู้สึกมากที่สุด คือความไม่สบายใจ เสียใจต่อการที่ผมมีเจตนาทำเรื่องที่ไม่ให้ใครเบียดเบียนใคร แต่กลับทำให้เกิดการเบียดเบียนเกิดขึ้น เกิดความเสียหายของผู้ประกอบการ ซึ่งคำขอโทษไม่พอ อยากทำความเข้าใจกับสิ่งที่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด เกิดความทุกข์ ไม่ได้มาจากสิ่งที่เป็นเจตนาของผม แต่มาจากการเอาผมมาเป็นเครื่องมือสู่การปรุงแต่ง ขยายผลจนไถลจากความจริง"
ขณะที่ข้อวิพากษ์วิจารณ์ว่าสิ่งที่ทำไปเพื่อเป็นการโฆษณาข้าวคุณธรรมที่ทางบริษัทให้การสนับสนุนอยู่นั้น เขาได้ปฏิเสธในทันที โดยระบุเป็นความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนว่าเป็นวาระซ่อนเร้น หากมีการเปรียบเทียบก็เหมือนว่าข้าวคุณธรรมเหมือนมด ซึ่งต่างกับข้าวในตลาดที่เหมือนช้างทั้งโขลง ดังนั้นเรื่องตลาดจึงเป็นคนละตลาด ไม่ใช่ข้าวที่ขายให้กลุ่มแมส โดยสิ่งที่ทำไม่ใช่การขายเพื่อแสวงหากำไร แต่เป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างคนกินข้าวและคนปรุงข้าว อยากให้คนกินข้าวได้เข้าใจชีวิตปัญหาของชาวนาที่มีนาไม่กี่แปลง และต้องเจออวิชชาในการทำนา เพราะฉะนั้นจึงเป็นกิจกรรมที่ต่างกับการค้าเพื่อหากำไรโดยสิ้นเชิง เน้นข้าวปลอดสาร ปลอดอบายมุข บูรณาการธรรมชาติ สังคม และสิ่งแวดล้อมที่ดี เพื่อให้ชาวนามีการรวมกลุ่มให้เข้มแข็ง ภายใต้เศรษฐกิจพอเพียง
นั่นคือสิ่งที่ "สุทธิพงษ์" ได้เน้นย้ำท้ายสุดในการสนทนา พร้อมกับบอกว่า "ก็ดีที่ชีวิตได้มีโอกาสถูกทดสอบจากสิ่งเหล่านี้ โดยมีเป้าหมายที่จะพาจิตใจของผมให้สูงขึ้น และเป็นโอกาสทำให้ผมไปสู่ภาวะความรู้สึกนั้นๆ".