Little drops of water, Little grains of sand Make the mighty Ocean, and the pleasant land. Little deeds of kindness, Little words of love Help to make Earth Happy, Like the Heven above.
Group Blog
 
All Blogs
 

ไอติม โยเกิร์ต สตอเบอรี่

ช่วงนี้บ้าเห่อทำไอติมเป็นพิเศษ เพราะอากาศสุดโหดแบบนี้ ให้ไปนั่งอบขนมหน้าเตาร้อนๆไม่เอาด้วยหรอก ครั้นจะออกไปกินไอติมที่ห้าง ก็ไปไม่ได้ ว่าแล้วก็ทำเองดีกว่าเนอะ


วัตถุดิบ
1.นมสด 2 ถ้วย พร่องมันเนยแล้วกัน แบบไม่อ้วน วันนี้พิเศษใช้นมโชคชัย ไม่รู้คิดไปเองไหม แต่รู้สึกว่ามันใสกว่า ดัชมิลล์ที่ปกติใช้ประจำนิดนึง
2.นมผง 2 ถ้วย เพราะบ้านเรามีแต่ผู้ใหญ่ จึงเลือกใช้แอนลีน โกลด์ เสริมแคลเซี่ยมและวิตามิน
3.โยเกิร์ต รสธรรมชาติ 3 ถ้วย แน่นอนต้องของ Bulla เท่านั้น fat free 99%
4.น้ำตาลไอซิ่ง ครึ่งถ้วย ที่จริงควรจะเป็นน้ำตาลทราย แต่มันหมดพอดี
5.น้ำส้มคั้นเปรี้ยวๆ 1 ถ้วย
6.สตอเบอรี่อบแห้ง 1 ถุง วันนี้ใช้ยี่ห้อดอยคำ
7.gelatin 1 ช้อนชา วันนี้ใช้แบบผง
8.เกลือ 1 ช้อนชา

สัดส่วนนี้ ได้ไอติมประมาณ 3 ลิตร

วิธีทำ

เอาของแห้ง อันได้แก่ นมผง น้ำตาลไอซิ่ง และเกลือใส่รวมกันก่อน
(วันนี้ลืมร่อนน้ำตาล)



จากนั้นเติมนมสดลงไป ยกขึ้นไปอุ่นบนเตา คนให้นมผงและน้ำตาลละลายจนหมด จากนั้นยกลงจากเตา แล้วค่อยเติมเจลลาติน
(ระวังอย่าเติมเจลลาตินบนเตา ไม่รู้คนอื่นเป็นไง แต่ข้าพเจ้าเติมลยเตาทีไร ทำไหม้ทุกที)



รอให้เย็นซักพัก เติมโยเกิร์ตลงไป Bulla แล้วคนให้เข้ากัน


จากนั้นเติมน้ำส้มคั้นลงไป คนๆๆๆๆ แล้วตามด้วยสตอเบอรี่อบแห้ง


เทส่วนผสมทั้งหมดลงไปในถาดน้ำแข็งที่ทำเอาไว้ตั้งแต่เมื่อคืนแล้วก็ใช้แรงงาน ตีๆๆๆเข้าไป


เอาแช่ตู้เย็น แล้วตีซ้ำอีกครั้ง ห่างกันประมาณ 1 ชม. แล้วแช่ต่ออีกประมาณ 2 ชม ก็แข็งแล้ว



ถาดน้ำแข็งทำงานได้ดีตามความคาดหมาย เพราะไอติมแข็งเร็วมาก ตักออกมาแล้วก็ละลายช้าด้วย เนื้อไอติมหน้าตาก็ดูเป็นไอติมดี
ว่าแต่ว่าสตอเบอรี่ที่ใส่ลงไปตั้งเยอะตั้งแยะ มันหายไปไหนหมด ขูดมาไม่เห็นเจอะ แง๊.....



ท่าทางสตอเบอรี่จะตกไปอยู่ข้างล่างจนหมด เลยเป็นอันว่าไอติมถ้วยแรกนี้ มีแต่เนื้อนม ใส่ถ้วยกับเยลลี่ เติมแยมสตอเบอรี่อีกนิดนึง หน้าตาดูดีมีสีสันขึ้นมาทันได พร้อมเสิรฟได้แล้ว เย้



สรุปรายงานการทำไอติมวันนี้

1.ไอติมแข็งตัวเร็วมาก ไม่รู้ว่าเพราะเกิดจากว่าใส่ gelatin เยอะ หรือว่า เพราะถาดน้ำแข็งทำงานได้ดีกันแน่?
2.สตอเบอรี่หายไป......มันไปตกตะกอนอยู่ข้างล่างหมดแหงๆ คิดวีธีแก้ไม่ออก หรือว่าเราต้องทำไอติมทีละชั้น แล้วโรยสตอเบอรี่สลับกันไป?
3.ไอติมงวดนี้เนื้อฟู มีอากาศมากกว่าคราวก่อน เพราะความขยันเอาออกมาตีนานๆรอบที่ 2 นี่เอง
4.รสชาติไอติมอ่อนไปนิด ตอนยังไม่แข็งชิมแล้วอร่อยดี แต่พอเย็นแล้วชืดลงทันใด งวดหน้า น่าจะเติมโยเกิร์ต มากกว่านี้ แล้วลดนมสด ไม่ก็เพิ่มน้ำส้มเป็น 2 ถ้วย งวดนี้ไม่ค่อยเปรี้ยวอย่างที่ต้องการเลย
5.ใส่แยมสตอเบอรี่เยอะๆแล้วอร่อยดีแฮะ รสเปรี้ยวกับหวานสลับกันไป อย่างนี้งวดหน้า พอไอติมเริ่มแข็งในการตีรอบที่ 2 น่าจะลองใส่แยมสตอเบอรี่ ลงไปแซมแต่ต้นเลย น่าจะได้ไอติมจะได้สีสวยๆ เหมือนที่เค้าขายกัน




 

Create Date : 13 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 13 พฤษภาคม 2553 20:54:11 น.
Counter : 2443 Pageviews.  

ไอติม บลูเบอรี่

ข้อดีของการทำขนมเอง คือ เรารู้แน่ชัดว่าเรากินอะไรเข้าไปบ้าง อะไรทำให้อ้วนบ้าง แต่ข้อเสียคือ วัตถุดิบเหลือบานเบอะ ครั้นจะทำเมนูเดิมบ่อยๆก็กินกันจนเบื่อ

เพราะเมื่อวานซืนทำบลูเบอรี่ชีสพายไปในบล๊อกที่แล้ว แต่ยังมีหน้าบลูเบอรี่เหลืออีกเพียบ บลูเบอรี่ที่กวนมาเรียบร้อยแล้วแบบนี้ ไม่รู้จะเอาไปทำอะไรดี เลยหยิบตำรามาพลิกๆดูไปเจอะไอติม ดูแล้วว่าอุปกรณ์ที่มีอยู่ในบ้าน น่าจะพอทำได้ ร้อนๆแบบนี้ กินไอติมเย็นๆก็ดีเหมือนกันเนอะ

วัตถุดิบที่ใช้
1.บลูเบอรี่ ชามนี้มาจากบลูเบอรี่กระป๋องแบบสำเร็จ ซึ่งเหลือจากการทำพายในบล๊อกที่แล้ว
2.นมสดพร่องมันเนย ใช้ 2 ถ้วย
3.เนย 2 ช้อนโต๊ะ(ที่จริงควรใช้เนยจืด แต่ไม่มีเลยเอาเนยเค็มแทนแล้วกัน แล้วยกเลิกการเติมเกลือซะ)
4.น้ำตาลทรายขาว ใช้ 1 ถ้วยครึ่ง

สัดส่วนนี้ ได้ไอติมทั้งหมด 4 ลูก (เล็กๆ)




วิธีทำ

เอานม น้ำตาล และเนยใส่หม้อไปตั้งไฟอ่อนๆแค่พออุ่นๆ ตอนแรกใส่เนยลงไป 1 ช้อนโต๊ะ ชิมแล้ว เออ...อร่อยดีแฮะ รสชาติเหมือนน้ำราดข้าวโพดอบเนยของโปรด ด้วยเหตุนี้เราจึงใส่เนยลงไปอีก 1 ช้อนโต๊ะ รวมเป็นใส่เนย 2 ช้อนโต๊ะ



คนจนส่วนผสมเข้ากันดี จากนั้นยกลงรอให้เย็น แต่เราขี้เกียจรอ เลยเอาไปหล่อน้ำเย็นซะ



จากนั้นเอาใส่เครื่องปี่น แล้วค่อยๆเติมบลูเบอรี่ลงไปทั้งน้ำละเนื้อ จนได้สีและรสชาติที่ชอบ แล้วก็ปั่นๆจนละเอียด



ตอนสมัยเรียน หลังจบขั้นตอนนี้ ก็เอาเข้าเครื่องปั่นไอติมได้เลย แต่เนื่องจากเราไม่มีเครื่องปั่นไอติม และไม่ได้เตรียมตัวล่วงหน้า ไม่ได้ทำหม้อน้ำแข็งเอาไว้ ก็เลยต้องใช้น้ำแข็งก้อนใส่ไปแทน พอทนๆ



เอาหม้อผสมของเราใส่ในหม้อน้ำแข็งอีกที แล้วก็ใช้แรงงานแขนเราเนี่ยหล่ะ ตีๆๆๆไป จากนั้นก็เอาเข้าช่องแข็งในตู้เย็น ผ่านไป 2 ชม ก็เอาออกมาตีซ้ำ ที่จริงมันควรจะทำเรื่อยๆ แต่ตีจนเมื่อยแขนแล้ว ก็เลยตีแค่ 2 รอบ แล้วใส่ช่องแข็งยาวมาจนเช้า...........สาธุ.........ขอให้มันแข็งทีเถ๊อะ


ตื่นเช้ามา หลังจากสำรวจดูว่า ไอติมแข็งตัวสมใจแน่แล้ว เราก็เริ่มทำเยลลี่กัน

ทำเยลลี่
วัตถุดิบ ได้แก่ น้ำ 1 ถ้วยครึ่ง เจลลาติน 6 แผ่น และบลูเบอรี่ที่กั๊กเอาไว้เล็กน้อย จากการทำไอติมข้างบน



ตักแต่น้ำบลูเบอรี่เหนียวๆ ใส่ลงไปผสมกับน้ำในหม้อ แล้วเอาไปอุ่นที่เตา จากนั้นเติมเจลลาตินลงไป

ข้อควรระวัง ตักแต่น้ำ อย่าตักเนื้อบลูเบอรี่ลงไปนะคะ ไม่งั้นเยลลี่ขุ่นๆ ไม่สวยนะ



ด้วยความที่ไอติมของเราหวานมาก และเยลลี่ที่ดี ควรมีรสเปรี้ยวนำ เราจึงใส่น้ำส้มคั้นลงไปเพื่อเพิ่มรสชาติ



นำวุ้นตักใส่ถ้วย แล้วหย่อนบลูเบอรี่ลงไปตรงกลาง วันนี้เราใส่แค่ 2 เม็ด จากนั้นนำไปแช่ตู้เย็น ประมาณ 1 ชม เยลลี่ก็จับตัวกันพอดี



ตอนนี้พร้อมทั้งไอติมและวุ้นแล้ว เย้ๆ



ตักไอติมใส่ลงไป ในถ้วยวุ้น 1 ลูก เอาบลูเบอรี่ จิ้มข้างบน 2 เม็ด พร้อมเสริฟแล้วค่ะ




สรุปรายงานการทำไอติมบลูเบอรี่วันนี้

1.ไอติมละลายเร็วไปหน่อย คงเพราะอากาศบ้านเรามันร้อน แถมตู้เย็นมันก็ไม่ได้เย็นจัด
2.เนื้อผลไม้น้อยไปหน่อย(แหงสิ ทำจากของเหลือนินา) งวดหน้าควรจะเติม บลูเบอรี่ลงไปเป็นเม็ดๆหลังจากปั่นเสร็จ จะได้มีเนื้อผลไม้ให้กินด้วย
3.วันนี้ลืมเติมเจลลาตินตอนทำไอติม(อีกแล้ว) คราวหน้า อย่าลืมๆๆๆๆๆ
4.สุดท้ายรสชาติ พ่อกับแม่ ชิมแล้วเค้าว่าอร่อยนะ แค่นี้ก็ดีใจแระ




 

Create Date : 07 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 7 พฤษภาคม 2553 19:16:45 น.
Counter : 1775 Pageviews.  

อยากได้ บลูเบอรี่ ชีสพาย แบบ low fat แต่ออกมาได้แค่ medium -*-

เริ่มต้นจากวัตถุดิบและอุปกรณ์ แบบบ้านๆ
1.นม low fat
2.ขนมปังกรอบ ชอบยี่ห้อ ritz มันเค็มๆดี
3.เนย ที่จริงใช้แค่ครึ่งก้อน อันนี้หล่ะตัวอ้วน แต่ไม่รู้จะเลี่ยงยังไง
4.โยเกิร์ตรสธรรมชาติ ที่จริงอันนี้ใช้แบบ low fat ได้ แต่ตอนไปซื้อยี่ห้อที่ใช้ประจำดันหมดดันหมด แถมเหลือแต่แบบธรรมดา เลยเอาแบบนี้แล้วกัน
5.ส้มจิ๊ด เด็ดมาจากหน้าบ้าน เปรี้ยวสะใจ แต่ไม่แหลมเท่ามะนาว
6.บลูเบอรี่กระป๋อง



ปล.เจลลาติน มาร่วมถ่ายรูปด้วย แต่สุดท้ายลืม ไม่ได้ใส่



วิธีทำ

เริ่มจากทำฐานรองก่อน เอาขนมปังกรอบไปปั่นจนละเอียด



จากนั้นเอาเนยไปละลายในไมโครเวป แล้วใส่ลงไปคลุกกับขนมปังที่บดแล้ว


เอาขนมปังบดคลุกเนย ไปกดอัดในถาดที่เตรียมไว้ วันนี้เราใช้ ritz 1 แถว แต่ตอนบดดันทำไปกินไปด้วย ทำไปทำมา ขนมปังบดเลยแทบไม่พอ วันนี้เลยได้ฐานแบบบางเฉียบ แถมไม่มีขอบอีกต่างหาก

ทำฐานเสร็จแล้วก็เอาใส่ตู้เย็นทิ้งไว้ซัก ชม




ต่อไปเป็นวิธีทำครีมชีส

ตามปกติเค้าจะใช้ฟิลาเดเฟียกัน แต่เพราะเราอยากจะทำ low fat เลยทำชีสเอง โดยได้แรงบันดาลใจจากรายการโกโกริโก๊ะ เห็นเค้าทำแล้วอยากทำมั่ง

เริ่มต้นจาก เทนมลงในหม้อต้ม ซึ่งให้ความร้อนโดยการใช้น้ำหล่อจากหม้อใบใหญ่อีกที เอาตะเกืยบมาขัดมันไว้ หม้อจะได้ไม่กลิ้งไปมา



พอนมเริ่มเดือด ก็ดับไฟ คนๆ แล้วเติมน้ำส้มที่คั้นเอาไว้ลงไป 1 ถ้วย คนซักพัก โปรตีนก็จะตกเป็นก้อน แต่ชิมแล้วรสชืดไปนิด เลยเติมน้ำส้มสายชูลงไป 2 ช้อนโต๊ะ ทีเดียวอร่อยเลย แถมโปรตีนเกาะเป็นก้อนเยอะขึ้นด้วย รอให้เย็นลงซักพัก นำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง



บีบน้ำออกๆ วันนี้เราใช้นม 4 ถ้วย น้ำส้ม 1 ถ้วย พอกรองออกมาน้ำที่เหลือ ตวงแล้วประมาณ 2 ถ้วย ถ้าจำไม่ผิด น้ำที่เหลือนี้ เอาไปต้มต่อ แล้วเติมน้ำตาลเยอะๆ ก็จะได้นมข้นหวาน แต่กว่าคิดได้ก็สายเสียแล้ว ดันเททิ้งไปซะก่อน



จะบีบน้ำมากน้อย อันนี้คงแล้วแต่คนชอบ แต่เราชอบเละหน่อยไม่อยากให้แห้งเกินไป แล้วเราก็ได้ cottage chese หรืออันที่จริงแล้วก็คือก้อนโปรตีนนั่นหล่ะ



ขูดชีสของเราลงในชาม แล้วเติมเนยลงไปประมาณ 1/4 ก้อน ตีๆให้เข้ากัน


แล้วก็เติมโยเกิร์ต รสธรรมชาติลงไป 1 ถ้วยที่จริง เราว่า ยี่ห้อ bulla อร่อยสุด แต่ดันขายตลาด แถมแม้แต่ low fat ยี่ห้ออื่นๆ วันนี้ก็ไม่มีขาย สุดท้ายก็ดัชชี่ แบบธรรมดานี่แล้วกัน

เติมน้ำตาลไอซ์ซิ่งลงไปนิดหน่อย แล้วก็ตีๆๆๆๆจนกว่าเนื้อจะฟูจนเนียน และที่จริงแล้ว ควรจะใส่เจลลาตินลงไปด้วย แต่วันนี้ข้าพเจ้าลืมตีครีมเพลินไปนิ๊ส...นึง


เอาถาดที่แช่ไว้ออกมาจากตู้เย็น แล้วราดครีมชีสลงไป ซึ่งก็เป็นไปตามคาดหมาย ครีมโป๊ะหมดไม่เห็นแป้งจริงๆด้วย แล้วเอาเข้าตู้เย็นไปก่อน รอให้ครีมแข็งตัว



ถึงเวลาจะกินแล้ว.....ก็เอาบลูเบอรี่กระป๋องมาราดหน้าลงไปเลย


เมื่อคืน Martha สอนว่า จะตัดพายให้สวยต้องใช้มีดชุบน้ำร้อน และต้องตัดทีละ 2 ชิ้น จะทำให้ตัดง่ายขึ้น เราก็ทำตาม แม้จะออกมาไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆไหนๆก็ตัดมาแล้วกินทีละ 2 ชิ้นเลยแล้วกัน

แม้ว่าวันนี้จะเต็มไปด้วยความผิดพลาด แต่สุดท้าย ก็ทำได้บลูเบอรี่ชีสพายได้สำเร็จ แม้จะเป็นแค่ medium fat ก็ตาม แถมฐานยังบางเฉียบตามความคาดหมาย
รสชาติชิมแล้ว เปรี้ยวน้อยไปนิดนึง (ถ้าได้ Bulla น่าจะกำลังดี)
และสุดท้าย วันนี้ใช้นม 4 ถ้วย คิดแล้วตก 25 บาท ทำได้ 1 ถาด ได้ low fat ในขณะที่ครีมชีสแบบสำเร็จ 1 ก้อน 145 บาท ทำได้ 2 ถาด แถมอ้วน คิดแล้ว.....อืม.......ถ้าไม่ขี้เกียจก็ทำเองดีกว่าเนอะ






 

Create Date : 04 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 4 พฤษภาคม 2553 18:48:47 น.
Counter : 5264 Pageviews.  

ข้าวอบเผือก กับ ถั่วงอกผัดกากหมู

ข้าวอบเผือก
เครื่องปรุงที่ใช้ ได้แก่ กุ้ง หมู กระเทียม เห็ดหอม ใบโหระพา เผือก



จากนั้นเริ่มต้นด้วยการเอาข้าวกับเผือกที่หั่นเป็นลูกเต๋า เอาไปหุงรวมกันก่อนในหม้อหุงข้าวตามปกติ




จากนั้นเริ่มมาหมักหมูกัน โดยใช้น้ำมันงา ซี้อิ้วขาว และพริกไทย หมักทิ้งไว้แปบนึง



แล้วก็มาปรุงซ๊อส โดยใช้เหล้าจีนครึ่งฝา ซี้อิ้วขาว 3 ช้อนโต๊ะ ซีอิ้วดำ 1 1/2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันงา 1 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน ปรุงรสตามที่ชอบ

ลืมบอกไปว่า สัดส่วนนี้ ต่อข้าว 1 1/2ถ้วยตวง เผือก 2 หัวเล็กๆ หนักประมาณ 3 ขีด หุงขึ้นมาแล้วได้ข้าว 4 จาน



เอาหมูที่หมักไว้ เอาไปผัดกับกระเทียมพอสุกนิดนึง



ตามด้วยเครื่องทั้งหมดทะยอยใส่ลงไป โดยใส่ใบโหระพาเป็นอย่างสุดท้าย แล้วใส่น้ำซ๊อสที่ปรุงไว้แล้วลงไป ผัดๆๆ

ชิมปรุงรส จากที่เคยทำส่วนใหญ่ขาดหวาน วันนี้ก็เช่นกัน แต่ข้าพเจ้าไม่ชอบใช้น้ำตาล เพราะมันคลุกยาก แล้วปรุงรสไม่ค่อยทั่ว ชอบผสมน้ำเชื่อมเก็บไว้ จะได้ชิมรสได้ไวๆ ไม่งั้นเดี่ยวกุ้งจะหดหมดซะก่อน ดังนั้น วันนี้เลยเติมน้ำเชื้อมลงไปเพิ่ม 2 ช้อน


แล้วข้าวกับเผือกก็สุกพอดี
(จริงๆเผือกมันไม่ได้ก้อนใหญ่นะคะ แต่หม้อหุงข้าวมันใบเล็ก อิอิ)



หลังจากนั้นก็เอาเครื่องที่ผัดไว้ ใส่ลงไปในหม้อหุงข้าว


ใส่ไปหมดทั้งน้ำเลยนะคะ ดังนั้น เวลาหุงข้าว ต้องกะน้ำให้ข้าวหุงแล้วแห้งๆหน่อย ไม่งั้นจะแฉะ

คลุกให้เข้ากัน จนกว่าจะไม่เห็นข้าวขาวเหลืออยู่ แล้วปิดฝาอบไว้แปบนึง

จริงๆแล้วควรใช้หม้อหุงข้าวใหญ่ๆ จะได้คลุกสบายๆ แต่ที่บ้านดันมีแต่ขนาดจิ๋ว เพราะอยู่กันน้อยคน




ระหว่างรอข้าวอบ เราก็ไปทำถั่วงอกผัดกากหมูกัน

ถั่วงอกผัดกากหมู

เครื่องปรุง ได้แก่ ถั่วงอก กากหมู ต้นหอม กระเทียม น้ำมันหอย ซีอิ้วขาว และน้ำมันงา

เวลาทำให้เตรียมเครื่องและซ๊อสให้พร้อมใส่ลงไปรวมกันไว้ในจานแบบนี้ก่อนเลย เพราะต้องผัดเร็วมาก



ส่วนวิธีทำ ก็เททั้งจานที่เตรียมไว้ ผัดๆแค่พอถั่วงอกสลบ ปิดไฟ แล้วค่อยชิมปรุงรส ไม่ถึงอีดใจเดียวก็เสร็จแล้ว



พอผัดถั่วงอกเสร็จ ข้าวอบเผือกก็หอม เสร็จพร้อมกินได้พอดี ทานคู่กับแกงจืดฟัก รสชาติเข้ากันดี เชิญทานด้วยกันนะคะ




book1-prelude10 - Johann Sebastian Bach




 

Create Date : 22 มีนาคม 2552    
Last Update : 22 มีนาคม 2552 11:32:06 น.
Counter : 3125 Pageviews.  

โกยซีหมี่(ไก่) และ โกยซีหมี่(แฮมกับเห็ดหอม)

หลังบล๊อกที่แล้ว ทำบะหมี่ไข่สดขึ้นมามากมาย ยังเหลืออีกเพียบ
ดังนั้นวันนี้ก็เลยเอามาทำเมนูอื่นๆต่อ

ได้ออกมาเป็น เมนูสิ้นคิด คือ "โกยซีหมี่" นั่นเอง


โกยซีหมี่ (ไก่)
เครื่องเครา กระดูกไก่ กุยช่ายแป๊ะ เนื้อสันในไก่หั่นเป็นเส้นๆ เห็ดฟาง



วิธีทำ
เริ่มต้นก็ตั้งน้ำซุปไก่ก่อนเลย เราใช้กระดูกไก่ส่วนน่องเล็ก ตัดเอาเนื้อออกไปเก็บไว้ทำกับข้าวอย่างอื่น เอาแค่กระดูกมาต้มกับน้ำแช่เห็ดหอมเฉยๆ


แล้วก็เอาเส้นบะหมี่ไปลวกก่อน ในน้ำต้มเดือดที่เตรียมไว้ อย่าลืมใส่น้ำมันด้วยนะคะ เส้นจะได้ไม่ติดกัน


ลวกเสร็จ สะเด็ดน้ำ แล้วก็เอาไปผัด ให้หอมๆ แล้วเอาบะหมี่มาใส่จาน พักไว้ก่อนซึ่ง ในระหว่างที่ผัด ดมๆกลิ่นบะหมี่ที่โชยออกมา เราว่าบะหมี่เรากลิ่นออกมายังกะไข่เจียว
ก็แหม บะหมี่ไข่สดนิเนอะ



แล้วเอาเนื้อไก่ที่หั่นเป็นเส้นๆไว้แล้ว มาผัดให้พอสุกเล็กน้อย กับ ซีอิ้ว และเติมพริกไทยนิดนึงให้หอมๆ


ได้แล้วไก่ เอามาใส่จานพักไว้ก่อน


จากนั้นเอาน้ำซุปที่ต้มไว้แต่แรก ใส่ในกระทะ ตั้งไฟให้เดือดๆ แล้วใส่เครื่องทั้งหมดลงไป รวมทั้งไก่ที่พักไว้แล้วด้วย แล้วก็เติมแป้ง ความเหนียวตามใจชอบ ชิมปรุงรส ใส่น้ำตาล และพริกไทย



แล้วก็เอาไปราดลงบนบะหมี่ที่เตรียมไว้ ได้ออกมาหน้าตาแบบนี้




ต่อไปก็เป็นรายการของ โกยซีหมี่ แฮมเห็ดหอม


เครื่องเครา เหมือนๆอันโกยซีหมี่ข้างบน แต่เปลี่ยนจากไก่ เป็น แฮม เห็ดหอม แล้วก็หมู


ส่วนวิธีทำก็เหมือนกัน เด๊ะๆ เพียงแต่หมูของเราตอนเอามาผัด จะใส่น้ำมันงาเพิ่มไปด้วย


เสร็จแล้วก็เอามาราดบะหมี่ที่ผัดเตรียมไว้ ออกมาได้หน้าตาแบบนี้


หลังจากยกทั้ง 2 จานไปเสริฟ พ่อกับแม่ก็ถามว่า แล้วเส้นมันไปไหนหล่ะลูก

ไม่รู้จะว่าไงดี ก็เรามันชอบกินเครื่อง อิอิ

เมื่อชิมแล้ว ทุกคนลงความเห็นว่า แฮมเห็ดหอมอร่อยกว่า สงสัยเพราะ จานแรกไม่ได้ใส่น้ำมันงาหรือเปล่า

แต่ที่แน่ๆ ทั้ง 2 จานขาดของสำคัญไป 1 อย่าง นั้นคือลืมใส่เหล้าค่ะ
พึ่งมานึกได้ตอนที่ทำเสร็จ มาชิมบนโต๊ะแล้ว
(ตอนชิมบนกระทะ ไม่ยักนึกออก)
วันนี้เลยไม่ครบสูตรเลย แหะๆ


book1-prelude14 - Johann Sebastian Bach




 

Create Date : 26 ตุลาคม 2551    
Last Update : 26 ตุลาคม 2551 8:36:38 น.
Counter : 2368 Pageviews.  

1  2  3  4  

Vitamin_C
Location :
Pasadena United States

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ อากาศดี ก็อารมณ์ดีเนอะ .......^-^

คิดถึงบ้านที่เมืองไทยเป็นที่สุด
ถ้าไม่นับห้องสมุดๆเจ๋งๆกับพิพิธภัณฑ์ดีๆ กับอาหารหลากหลายเชื้อชาติให้กินได้ไม่ซ้ำทุกวันแล้วหล่ะก็ เมืองไทยชนะขาดในทุกกรณี ว่าแต่เมื่อไหร่ ห้องสมุดกับพิพิธภัณฑ์ของบ้านเราจะพัฒนาซักทีน้อ....


ถึงแม้ว่าบล๊อกนี้จะไม่ค่อยมีสาระ แต่เนื้อหาและข้อความทั้งหมด
รวมไปถึงรูปภาพที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ถ่ายเอง ถือเป็นลิขสิทธิ์ ของสำนักพิมพ์บางกอกสาส์น จำกัด
ห้ามผู้ใดนำไปเผยแพร่โดยมิได้รับอนุญาติจากเจ้าของบล๊อก หรือ จากกองบรรณาธิการ

หากมีข้อสงสัยใดๆ กรุณาติดต่อหลังไมค์
หรือ
กองบรรณาธิการ สำนักพิมพ์บางกอกสาส์น 966/10 ซ.พระราม6 19 ถ.เพชรบุรี เขตราชเทวี กทม 10400
โทร 02-6137140
Email vitavitac@gmail.com
Friends' blogs
[Add Vitamin_C's blog to your web]
Links
 
MY VIP Friend


 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.