อ่านเรื่อยๆ มาเรียง ๆ ทุกวันของ หนี่งหน่อง นะครับ

รถไฟฟ้าชนแบริเออร์ เจอค่าซ่อมทำลมแทบจับ แค่ค่าอะไหล่ ต้องจ่ายเป็นล้าน !

จำได้ไหม ? เคสรถไฟฟ้าป้ายแดงพุ่งชนแท่นแบริเออร์ เปิดค่าซ่อมทีลมแทบจับ จ่ายเป็นล้าน เฉพาะค่าอะไหล่ ชาวเน็ตหัวจะปวด ชนทีซื้อรถใหม่ได้ 1 คัน 
                                            
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ถนนมิตรภาพ-รถติดบอกด้วย 
จากกรณีอุบัติเหตุรถยนต์ไฟฟ้าป้ายแดง ขับพุ่งชนแท่นแบริเออร์บริเวณด้านหน้าฝั่งคนขับบริเวณถนนมิตรภาพ อ.เขาสวนกวาง จ.ขอนแก่น มุ่งหน้า จ.อุดรธานี จนรถเอียงและเสียหลักตกลงไปข้างทางได้รับความเสียหาย โดยคนขับเป็นชายและแฟนสาวที่นั่งมาด้วยกันได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย เหตุเกิดในช่วงกลางดึกของวันที่ 13 พฤศจิกายน 2565 
 ภายหลังจากเกิดเหตุ เจ้าของรถยนต์ได้เรียกให้บริษัทประกันภัยเพื่อนำรถสไลด์มาลากไปยังอู่ซ่อมรถตามประกัน ขณะที่ทางบริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างได้มีการนำสัญญาณไฟมาติดตั้งเตือนว่าข้างหน้ามีการปรับปรุงผิวการจราจร 
                                                                                ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้ 
 ล่าสุด (3 มีนาคม 2566) เฟซบุ๊ก ถนนมิตรภาพ-รถติดบอกด้วย โพสต์อัปเดตความคืบหน้าเกี่ยวกับกรณีนี้ โดยเปิดรายละเอียดค่าซ่อมรถไฟฟ้าคันดังกล่าวออกมาแล้ว เป็นเงินกว่า 1 ล้านบาท ซึ่งแบ่งค่าใช้จ่ายออกได้ดังนี้ ... 
                                                                                    ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้ 
 - ค่าบริการ 42,160 บาท 
- ค่าอะไหล่ 1,049,028 บาท 
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% จำนวน 76,383.16 บาท 
 - รวมเป็นเงินค่าซ่อมรถทั้งสิ้น 1,167,571.16 บาท 
                                           
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ถนนมิตรภาพ-รถติดบอกด้วย 
เมื่อชาวเน็ตถามว่าเคสนี้ใครเป็นคนจ่าย แอดมินเพจตอบว่า "ประกันคืนทุน" พร้อมเปิดราคาเฉพาะค่าแบตเตอรี่อย่างเดียวก็สูงถึง 896,190 บาทแล้ว ซึ่งถือว่าแพงที่สุดในบรรดาอะไหล่รถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ทำเอาหลายคนบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า เจ้าของรถรับภาระเต็มประตูเลย ชนทีซื้อรถคันใหม่ได้ 1 คัน เพราะค่าซ่อมแพงมาก 
                                                                     ภาพจาก Priceza money
                                                                    ภาพจาก เรื่องเล่าเช้านี้ 
ขอบคุณข้อมูลจาก เรื่องเล่าเช้านี้เฟซบุ๊ก ถนนมิตรภาพ-รถติดบอกด้วย




 

Create Date : 04 มีนาคม 2566    
Last Update : 4 มีนาคม 2566 12:46:58 น.
Counter : 484 Pageviews.  

ดราม่าเต้ย กินแหลก ถล่มสุกี้ตี๋น้อย กินหมูสามชั้น 100 สงสัย เอาถาดหมูดิบใส่หมูสุกหรือเปล่า

ดราม่าเต้ย กินแหลก ทำคลิปถล่มสุกี้ตี๋น้อย สั่งหมูสามชั้น 100 ชิ้น ชีส 50 คนเห็นแล้วเลี่ยนแทน แต่พีคกว่า คนมองหรือว่าเอาถาดหมูดิบมาใส่หมูสุก คนชี้งานนี้เสี่ยงหูดับ ล่าสุดลบคลิปแล้ว 
                                                              
ภาพจาก TikTok @toeyyk_ 
กำลังเป็นดราม่าร้อนบน TikTok กับเต้ย กินแหลก ผู้เคยได้รับรางวัลอันดับ 3 ศึกเจ้านักกิน ซีซั่น 2 ที่ทำคลิปเอาใจแฟน ๆ เมื่อถูกท้าให้ไปกินสุกี้ตี๋น้อย สั่งหมูสามชั้นมา 100 และชีสอีก 50 และเจ้าตัวก็ทำจริง ๆ และที่สำคัญคือ กินหมดด้วย 
โดยที่ในคลิป จะเห็นว่าเต้ยเขียนในใบสั่งอาหารว่า หมูสามชั้น 100 และชีส 50 ซึ่งจะเห็นว่าทางร้านให้หมูสามชั้นมาประมาณ 10 ถาด และชีสอีก 5 ถ้วย แต่เต้ยไม่สามารถเอาหมูสามชั้นลงไปในหม้อต้มได้เลยทีเดียว 100 ชิ้น เลยต้องแบ่งทีละประมาณ 4-5 ถาด  โดยตอนแรกไม่มีการใส่ซอส จากนั้นถึงเริ่มราดซอสลงไป เต้ยกินเรื่อย ๆ ไม่ได้เครียด และปิดท้ายที่การใส่ชีสลงไปกันหม้อไหม้ เต้ยกินไปจนหมด 
อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้กลายเป็นดราม่า เพราะหลายคนมองว่าที่เห็นนั้นไม่น่ากินเลย เห็นแล้วจะขย้อนแทน เห็นแล้วสงสารตับไม่กล้านับแคลอรี่ แบบนี้หมอไขมันร้องไห้แล้ว ซึ่งก็มีคนมาแย้งว่า เต้ยเป็นนักกินอยู่แล้ว และเคยลงแข่งขัน ที่กินแบบนี้ไม่ได้กินทุกวัน กินเป็นคอนเทนต์เท่านั้น 
แต่ที่เป็นประเด็นที่สุด คือการที่ระหว่างกิน หลังจากที่หมูในหม้อสุกแล้ว เต้ยก็เอาถาดใส่หมูดิบมาใส่หมูสุก ซึ่งแบบนี้ไม่ถูกสุขลักษณะอย่างแรง ซึ่งในหมูดิบมีเชื้อโรคเยอะ เสี่ยงทำให้เกิดโรคไข้หูดับ เชื้อโรคทำให้เยื่อหุ้มสมองอักเสบ แล้วเชื้อจึงลุกลามเข้าสู่หูชั้นในจนหูดับ และเสียชีวิตในที่สุด 
 อย่างไรก็ตาม ก็มีอีกกระแสว่า จริง ๆ คลิปนั้นโดนตัดต่อ เต้ยได้ขอถาดใหม่จากพนักงาน ไม่ได้เอาถาดหมูดิบมาใส่หมูสุกอย่างที่หลายคนเข้าใจ และคนได้ไปถล่มคลิปนี้ของเต้ย จนตอนนี้ได้ลบคลิปออกจาก TikTok ไปแล้ว

 




 

Create Date : 01 มีนาคม 2566    
Last Update : 1 มีนาคม 2566 13:36:39 น.
Counter : 414 Pageviews.  

รู้จักโรคไซโคพาธ ของคนชอบต่อต้านสังคม สำนึกผิดไม่เป็น เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง

ไซโคพาธ (Psychopaths) โรคขาดความสำนึกผิด เอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง ผู้ป่วยมักจะมีพฤติกรรมมุ่งเน้นแต่เป้าหมายของตนเอง โดยไม่สนใจความรู้สึกนึกคิดของผู้อื่น สามารถทำทุกอย่างได้เพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง ไม่ว่าจะทำร้ายใครไปบ้างก็ไม่สนใจ 
 ถ้าเคยสงสัยในตัวคนคนหนึ่งว่าทำไมใจร้าย ไม่มีความเห็นอกเห็นใจ หรือแม้แต่จะรู้สึกผิดในสิ่งที่ตัวเองได้ทำลงไป นั่นอาจเป็นเพราะเขามีปัญหาทางสุขภาพจิตอยู่ก็เป็นได้ โดยจัดเป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม หรือที่ทางการแพทย์เรียกว่า โรคไซโคพาธ (Psychopaths) และวันนี้เราจะลองมาทำความรู้จักโรคขาดความสำนึกผิดนี้กัน 

                                 ไซโคพาธ คืออะไร 

 ไซโคพาธ (Psychopaths) จัดเป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบต่อต้านสังคม (Antisocial Personality Disorder) ผู้ป่วยจะมีลักษณะขาดความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ขาดความสำนึกผิด ไม่มีความยับยั้งชั่งใจ ดูคล้าย ๆ คนที่มีนิสัยแข็งกระด้าง ไร้ความเมตตาปรานี 
                                                     ไซโคพาธ เกิดจากอะไร 
ในทางการแพทย์จะแยกสาเหตุของโรคไซโคพาธออกเป็น 2 ด้าน คือ 

                                                         ด้านทางกาย  

  จากความผิดปกติของสมองส่วนหน้า และสมองส่วนอะมิกดาลา รวมไปถึงความผิดปกติของสารเคมีในสมอง อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุทางสมองหรือได้รับการถ่ายทอดทางพันธุกรรม 
                                                                ด้านจิตใจและสังคม 
การถูกทารุณกรรมในวัยเด็ก ต้องเผชิญกับอาชญากรรมในครอบครัว ความแตกแยกในครอบครัว หรือการอยู่ในสภาพสังคมที่โหดร้ายมาตั้งแต่วัยเยาว์ หรือแม้แต่การเลี้ยงดูแบบละเลยเพิกเฉยก็นับเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดโรคไซโคพาธได้เช่นกัน 

                               ไซโคพาธ อาการเป็นอย่างไร 
สังคมสมัยนี้เราอาจจะพบเจอกับคนเห็นแก่ตัว คนที่สนใจแต่ความรู้สึกนึกคิดของตัวเอง และทำตัวใจร้ายกับคนอื่นอยู่บ่อย ๆ แต่ขนาดไหนจะถึงขั้นเป็นไซโคพาธ ลองพิจารณาจากอาการเหล่านี้ดู 

 1. มีจิตใจที่แข็งกระด้าง โดยมักจะแสดงออกทางการกระทำให้เห็นอยู่บ่อย ๆ 

2. มีพฤติกรรมตอบสนองความต้องการของตัวเองโดยไม่สนใจวาจะส่งผลกระทบต่อผู้อื่นยังไงบ้าง 
3. มีพฤติกรรมไม่รับผิดชอบต่อสังคม 
4. มีพฤติกรรมโกหกและบิดเบือนข้อเท็จจริง เพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ 
 5. มีอารมณ์และความคิดที่ผิดปกติ โดยเฉพาะเมื่อต้องเข้าสังคม 
6. ขาดมาตรฐานในการแยกสิ่งถูก สิ่งผิด กล่าวคือจะตัดสินถูกหรือผิดโดยอิงจากผลประโยชน์ที่ตัวเองจะได้ 
7. มีความรู้สึกด้านชา ไม่เกรงกลัว ต่อให้ตัวเองทำในสิ่งที่ผิดกฎหมายและกำลังจะได้รับโทษก็ตาม 
 8. อาจมีพฤติกรรมก้าวร้าว รุนแรง หรือมีสิทธิ์ก่ออาชญากรรมได้ 

                               ไซโคพาธ รักษาได้ไหม 

การรักษาโรคไซโคพาธก็พอมีอยู่บ้าง ทั้งการรักษาด้วยยา โดยเฉพาะในคนที่มีโรคจิตเวชเกิดร่วมกับโรคไซโคพาธ หรือการรักษาด้วยการปรับพฤติกรรมโดยใช้หลักเกณฑ์ทางจิตวิทยา แต่โดยส่วนมากแล้วผู้ป่วยไซโคพาธมักจะไม่ให้ความร่วมมือในการรักษา เพราะไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ตัวเองเป็นจะใช่อาการป่วย หรือเป็นสิ่งที่ผิด ที่ควรต้องรีบรักษาให้หาย 
นอกจากนี้การพยากรณ์ของโรคยังทำได้ยาก เนื่องจากผู้ป่วยจะใช้ชีวิตตามปกติทั่วไป โดยอาจจะถูกมองว่าเป็นแค่คนเห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้น ซึ่งหากไม่ได้มีพฤติกรรมทำร้ายใครซ้ำ ๆ หรือก่ออาชญากรรมต่อเนื่อง ก็อาจแยกโรคนี้ได้ยาก ซึ่งก็จะทำให้ผู้ป่วยพลาดการรักษาที่ถูกต้องไปด้วย 
 ที่สำคัญการลงโทษผู้ป่วยไซโคพาธก็อาจไม่ได้ส่งผลใด ๆ กับผู้ป่วยเลย เนื่องจากผู้ป่วยมีความด้านชาในด้านความรู้สึกผิดชอบชั่วดี และไม่มีความเกรงกลัวต่อบทลงโทษใด ๆ 
                                                ป้องกันตัวเองอย่างไร กับโรคไซโคพาธ 
การป้องกันโรคไซโคพาธอาจจะมีแนวทางไม่มากนัก โดยมีข้อแนะนำ ดังนี้ 

1. พยายามสร้างครอบครัวที่ดี อบอุ่น สังคมที่มีแต่การเอื้อเฟื้อดูแลกัน เพื่อลดโอกาสที่อาจทำให้เกิดโรคไซโคพาธในเด็ก 
 2. ควรดูแลตัวเองให้ดี พยายามอย่าให้สมองต้องกระทบกระเทือน โดยเฉพาะสมองส่วนหน้า และสมองส่วนอะมิกดาลา 
 3. ในกรณีที่พบเจอผู้ป่วยไซโคพาธ พยายามหลีกเลี่ยงให้ได้มากที่สุด อย่าไปยุ่งเกี่ยว 
 ไซโคพาธจัดเป็นโรคที่น่ากลัวโรคหนึ่ง เพราะเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่า ผู้ป่วยจะสามารถกระทำการรุนแรงได้ถึงขนาดไหน อีกทั้งการที่ไม่รู้ว่าตัวเองป่วย และใช้ชีวิตอยู่ในสังคมร่วมกับคนอื่น ๆ ก็เป็นความเสี่ยงทางสังคมอย่างหนึ่ง ดังนั้นหากพบคนที่มีลักษณะอาการเข้าข่ายโรคนี้ ก็ควรอยู่ห่าง ๆ ไว้ก่อน หรือในกรณีที่เป็นคนใกล้ชิด เป็นคนใกล้ตัว ก็ควรรีบพาเขาไปรักษาให้ถูกต้องจะดีที่สุด 
ขอบคุณข้อมูลจาก : เฟซบุ๊ก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุขประชาสัมพันธ์กรมสุขภาพจิต












 




 

Create Date : 01 มีนาคม 2566    
Last Update : 1 มีนาคม 2566 13:02:02 น.
Counter : 495 Pageviews.  

วังดอกหญ้า...นวนิยายที่ตีพิมพ์มานานกว่า 40 ปี จากผลงานของ ว.วินิจฉัยกุล

#หนังสือที่รัก #เรื่องราวระหว่างบรรทัดจากหนังสือที่รัก #นวนิยาย#วังดอกหญ้า #ววินิจฉัยกุล 
ช่วงนี้ชอบหยิบนวนิยายเก่าๆ คลาสสิคที่เขียนขึ้นหลายสิบปีก่อนขึ้นมาระลึกความหลัง ส่วนตัวชอบหนังสือนวนิยายยุคเก่ามากกว่ายุคปัจจุบัน อาจดูเหมือนเป็นคนคร่ำครึ แต่จริงๆแล้วในนวนิยายที่เขียนผ่านมาหลายสิบปี เมื่อหยิบมาอ่านใหม่ก็ยังคงทันสมัย นั่นจึงถือว่าเป็นหนังสือที่ควรค่าแก่การอ่านมากกว่าหนังสือที่อ่านรอบเดียวยังไม่จำและบางทีก็ต้องใช้ความพยายามในการอ่านให้จบและสุดท้ายถูกลืมเลือนไปตามกาลเวลา 
 นวนิยายที่วันนี้อยากเขียนถึงคือนวนิยายขนาดสั้นเรื่อง วังดอกหญ้า ของ ว.วินิจฉัยกุล ที่ผู้เขียนเขียนไว้ตั้งแต่ยังใช้นามปากกาว่า 'วัสสิกา' ฉบับพิมพ์ครั้งแรกตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์โชคชัยเทเวศร์ เมื่อราวปี 2523 เท่ากับว่าหนังสือเล่มนี้ผ่านกาลเวลามาสี่สิบกว่าปี 
 นวนิยายเรื่องนี้เล่าเรื่องราวของดวงเทียน นางเอกของเรื่องและครอบครัวที่ประกอบด้วยคุณตาและคุณยาย วังดอกหญ้า ตามชื่อเรื่องเปรียบเปรยบ้านของเธอที่เป็นบ้านเก่าบนที่ดินราวสองไร่ ที่ดินมรดกที่คุณตาของเธอใช้เวลาในการทำงานทั้งชีวิตหามาไว้เป็นที่พักพิงยามบั้นปลาย แต่กลับเป็นต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมดเพราะว่าเหลืออยู่หลังเดียวโดดๆ ท่ามกลางตึกสูงในย่านธุรกิจที่ล้อมรอบบ้านไว้ 
 ครอบครัวพระเอก 'เอกรถ' อยู่ตรงข้ามบ้านของ 'ดวงเทียน' ทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนบ้านที่พบกันในวัยเด็ก แต่เมื่อเติบโตขึ้นเอกรถไปเรียนต่อต่างประเทศ กลับมาสืบทอดธุรกิจโรงแรมขนาดใหญ่ที่อยู่หน้าปากซอย เจ้าสัวโภคาบิดาของเอกรถ อยากได้ที่ดินของคุณตา จึงวางแผนใช้กลอุบายเพื่อจะให้ได้ที่ดินผืนนี้ เพราะติดต่อขอซื้อสารพัดวิธี คุณตาของดวงเทียนก็ไม่ยอมขาย 
เรื่องราวในนวนิยายก็คือแผนการและผู้คนที่เข้าหาดวงเทียนเพื่อหวังในที่ดินมรดกผืนนี้เป็นสำคัญ ส่วนความสัมพันธ์ของเอกรถและดวงเทียนก็เริ่มต้นขึ้นจากขนมลูกชุบ ที่เอกรถและดวงเทียนบังเอิญใจตรงกันอยากซื้อ แต่เหลือชุดสุดท้าย ดวงเทียนอยากซื้อไปฝากคุณยายของเธอที่ปกติแต่ก่อนทุกวันจะทำขนมไทยวางขายหารายได้เสริม แต่เอกรถได้ขนมถุงนั้นไป ชำระเงินแต่สุดท้ายก็ยกให้เธอแทน นี่คือจุดเริ่มต้นที่ทำให้ทั้งคู่มาพบกันอีกครั้งและเอกรถที่ลืมเลือนเรื่องราวในอดีตก็ค่อยๆรื้อฟื้นความหลัง และมีส่วนช่วยให้ดวงเทียนรอดพ้นจากคนหลอกลวงที่เข้ามา 
 นวนิยายเรื่องนี้ไม่ยาวมากนัก รายละเอียดเน้นหนักระหว่างดวงเทียนกับเอกรถจะน้อยไปหน่อย แต่เรื่องราวในนวนิยายเรื่องนี้เมื่อหยิบขึ้นมาทีไรก็จะจำได้เสมอถึงฉากที่เอกรถซื้อขนมลูกชุบให้ดวงเทียนทุกที เป็นความประทับใจเล็กๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างอ่านนวนิยายเรื่องนี้ 
 สำหรับตอนที่อยากบันทึกไว้ในโพสต์วันนี้เป็นการบรรยายความรู้สึกของตัวละครเอกในตอนท้าย 
 ดวงเทียนไม่ตอบ แต่มองเขาด้วยนึกขอบใจแทนอดีตนายจ้างของหล่อน พร้อมกับนึกสลดใจเมื่อหวนคิดถึงหญิงสาวผู้นั้นขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง 
"แล้วคุณจะกลับไปทำงานไหม" เอกรถวกกลับไปถามเรื่องเดิม 
 "กำลังคิดอยู่ค่ะ แต่ก็ต้องให้คำตอบเขาไปเร็วๆ นี้ละ ว่าจะไปหรือไม่ไป" หล่อนตอบตามความจริง สีหน้าไม่เบิกบานนัก 
"คุณชอบงานที่โรงเรียนอนุบาลไหมล่ะ ถ้าชอบก็น่าจะกลับไป" เอกรถออกความเห็น 
"ชอบค่ะ" 
"งั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร" 
 "นั่นซีคะ" ดวงเทียนฝืนยิ้ม พยายามทำใจที่ห่อเหี่ยวลงให้กระปรี้กระเปร่าขึ้น 
 หล่อนไม่ใช่คนช่างฝันเสียจนปล่อยตัวเองเตลิดเปิดเปิงไปจากความเป็นจริง นอกจากนั้นดวงเทียนยังระมัดระวังตัวอยู่เสมอ โดยเฉพาะเมื่อเกี่ยวกับเพศตรงข้าม 
หล่อนรู้ว่าตัวเองค่อนข้างจะจริงจังเรื่องความรัก ไม่ใช่เพ้อฝันเลื่อนลอยทีเล่นทีจริงอย่างผู้หญิงบางคน เพราะฉะนั้นถ้าหล่อนจะยอมให้กามเทพแผลงศรได้สักครั้ง ก็ต้องดูเสียก่อนว่าจะไม่เป็นแผลกลัดหนองขึ้นมาทีหลัง 
   'เขาเป็นเพียงเพื่อนเก่าของเรา' หล่อนเตือนตัวเองเมื่อมองเอกรถ 'เราควรจะพอใจอยู่แค่นี้ ถ้าหากว่าเขาให้เราได้แค่นี้ ไม่มีประโยชน์อะไรจะไปฝันลมๆ แล้งๆ' 
ความคิดนั้นทำให้จิตใจสงบลงชั่วครู่ แต่แล้วก็เหมือนกับถูกกวนให้ปั่นป่วนขึ้นมาอีก เมื่อเอกรถบอกหล่อนเป็นเชิงเล่าว่า 
"แม่ผมกำลังหัวเสีย ที่ผมไม่แต่งงานกับผู้หญิงที่แม่เห็นด้วย แต่ป๋าน่ะเฉยๆ" 
"ปลูกเรือนต้องตามใจผู้อยู่" หล่อนพูดเรียบๆ 
"ผมไม่ใช่ลูกที่อยู่ในโอวาทเท่าไหร่หรอก เพราะรู้นิสัยว่าฝืนใจตัวเองก็คงจะฝืนไปไม่ได้ตลอด มีแต่จะยุ่งยากขึ้นมาทีหลังเปล่าๆ เลยขอขัดใจไว้เสียแต่ต้นมือ ยอมโดนด่าเอาหน่อย" 
"อีกหน่อยท่านก็คงหายโกรธค่ะ" หล่อนออกความเห็นเป็นกลางๆ อย่างระมัดระวัง 
 "คงงั้นละ แม่ผมไม่เคยบังคับผมได้เลย จนจะตัดหางปล่อยวัดอยู่แล้ว" เอกรถพูดแกมหัวเราะ "คุณเทียน ถ้าผมจะแต่งงาน ผมก็อยากจะดูคนที่ผมถูกใจที่สุด เพราะผมจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา" 
"ก็ควรจะเป็นอย่างนั้น" 
 "เราควรจะเป็นคนที่เป็นเพื่อนกันได้ด้วย ไม่ใช่เป็นแต่คนรักกัน ผมต้องการเพื่อน" 
เขาทิ้งท้ายไว้แค่นั้น ไม่พูดอะไรอีก แต่คำพูดของเขา ทำให้ดวงเทียนต้องปรามตัวเอง อย่างเฉียบขาดเกือบตลอดเย็นนั้น ไม่ให้คิดอะไรมากไปกว่าการรับรู้อย่างธรรมดา 
จริงอยู่เอกรถไม่เหมือนชาตรี แต่อาจทำให้หล่อนกระทบกระเทือนได้มากกว่าหนุ่มจอมกะล่อนผู้นั้นหลายเท่า 
แต่แล้วเขาก็ทำให้หล่อนต้องคิดมากขึ้นอีก เมื่อมีแขกในงานเอ่ยสัพยอกเขาทีเล่นทีจริง ในขณะที่หล่อนบังเอิญอยู่ใกล้ๆว่า 
"คุณเอกรถ อยู่เป็นโสดมานานแล้วเมื่อไหร่จะมีข่าวดีเสียทีล่ะ" 
 "คงอีกไม่นานหรอกครับ" 
"อ้าว! เรอะ จะให้แสดงความยินดีล่วงหน้าเสียเดี๋ยวนี้เลยไหมล่ะ ใครนะ น่าอิจฉาจริง" 
"ผมไม่ทราบว่าเธอจะเมตตาผมหรือเปล่าครับ" 
"ทำมั้ยจะท้อเอาง่ายๆล่ะ เรามันก็พ่อเนื้อทองเหมือนกันไม่ใช่หรือ" 
"บังเอิญทางบ้านเธอ ไม่เคยเห็นเงินเป็นสิ่งสำคัญ ป๋าผมตอนก่อนนี้ไม่เข้าใจ แต่เวลานี้เข้าใจแล้ว และนับถือผู้ใหญ่ของเธอมากด้วย" 
 "เอ! ใครนะ พูดเสียจนอยากจะรู้จัก" 
  "เธอยังไม่ทราบหรอกครับ ผมเองพูดไม่ได้ เพราะเกรงว่าเธอจะเห็นผมหวังทรัพย์สินของเธอ" 
 อ่านจบตอนนี้ได้อะไรหลายอย่าง ทั้งภาษิตสอนหญิงเรื่องเลือกคู่ ตลอดจนความร้ายกาจของเอกรถในการบอกรักทางอ้อม เป็นนวนิยายที่ชอบและนานๆทีก็หยิบขึ้นมาอ่านใหม่ได้เสมออีกเรื่องค่ะ 
                                            บันทึกไว้เมื่อ 19 กุมภาพันธ์ 2565 
 




 

Create Date : 01 มีนาคม 2566    
Last Update : 1 มีนาคม 2566 12:43:48 น.
Counter : 452 Pageviews.  

เต้าหู้นึ่งซีอิ๊ว เมนูเต้าหู้ละมุนลิ้นราดซอสเห็ดหอม

 

                                     ส่วนผสม  

  1. เต้าหู้ 1 ก้อน 
  2. เห็ดหอมหั่นเป็นชิ้น 
  3. โคนและใบต้นหอมหั่นเป็นริ้วยาวๆ 
  4. พริกแดงริ้วยาวๆ 
  5. น้ำมันหอย 1 ชต. 
  6. ซีอิ๊วขาว 2 ชต./ซอสปรุงรส 1 ชต. 
  7. น้ำมันงา 1 ชต. 
  8. น้ำตาลทราย 1 ชช. 
  9. น้ำเปล่าหรือน้ำซุปประมาณ 5 ชต. 
  10. น้ำมันพืช 3 ชต. 
 

                                        วิธีทำ 

  1. ซับน้ำเต้าหู้ให้แห้ง และบั้งเต้าหู้ให้เป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋าไม่ให้ขาดจากกัน 
  2. ต้มน้ำสำหรับนึ่งเต้าหู้ให้เดือดรอไว้ 
  3. ผสมเครื่องปรุงรสข้อ 5-9 ให้เข้ากันพักไว้ 
  4. ผสมพริกชี้ฟ้า, ต้นหอมเข้าด้วยกัน พักไว้  
  5. นำเต้าหู้ไปนึ่งประมาณ 5-7 นาที ปิดไฟ นำส่วนผสม (ข้อ 4) มาโรยบนเต้าหู้เตรียมไว้
  6. เจียวน้ำมันให้ร้อนจัด ราดลงบนผักที่โรยหน้าทิ้งไว้ 30 วินาที แล้วเทน้ำมันทิ้ง 
  7. ตั้งกระทะให้ร้อนใส่ส่วนผสม (ข้อ 3) ลงไปผัดกับเห็ดหอมปล่อยให้เดือด แล้วราดลงบนเต้าหู้..เสริฟได้เลยจ้าาา 
 
                                 ปล.สัดส่วนเครื่องปรุงปรับได้ตามชอบ
                                                     maekwansri 

 




 

Create Date : 01 มีนาคม 2566    
Last Update : 1 มีนาคม 2566 12:22:11 น.
Counter : 478 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  65  66  67  68  69  70  71  72  73  74  75  76  77  78  79  80  81  82  83  84  85  86  87  88  89  90  91  92  93  94  95  96  97  98  

หนี่งหน่อง
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 33 คน [?]




pub-1485477287124314
Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add หนี่งหน่อง's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.