"ปฏิบัติตามกำลัง"
ก็ปฏิบัติเท่าที่จะปฏิบัติได้ ทำได้เท่าไหร่ก็ทำไป
เหมือนกับเวลาที่เราขับรถบนท้องถนน
ถ้ารถติดเราก็ต้องไปตามกระแสของรถนั่นแหล่ะ
รถวิ่งได้เราก็วิ่ง รถวิ่งไม่ได้เราก็ต้องรอไปก่อน
จนกว่าจะขึ้นทางด่วนได้ ถ้าเราขึ้นทางด่วนได้
เราก็วิ่งไปอย่างรวดเร็ว
ทางด่วน คือ การออกบวชนี้เอง
แต่ถ้าเรายังเป็นฆราวาส มีพันธะ กรณีต่างๆ
เราก็ต้องรับใช้พันธะ กรณีต่างๆ เหล่านั้นไป
จนกว่ามันจะหมด จนกว่าเราจะปลีกตัวออกบวชได้
เราก็ต้องทำเท่าที่เราทำได้ ข้อสำคัญอย่าไป อยาก
ในสิ่งที่เราทำไม่ได้ เพราะจะทำให้
เราเกิดความทุกข์ขึ้นมาโดยเปล่าประโยชน์
โดยใช่เหตุ เพราะอยากจะปฏิบัติแล้ว
แต่ไม่ได้ปฏิบัติ มันก็จะทำให้เราเครียด
ให้เราไม่สบายใจ แล้วเราก็ไม่ได้ปฏิบัติอยู่ดี
ดังนั้น เราต้องยอมรับกับสถานภาพของเรา
เหมือนกับเรายอมรับสถานภาพรถติดบนท้องถนน
เราทำอะไรไม่ได้ เราก็ต้องเจริญอุเบกขาไป
ทำใจให้เฉยๆไว้ ถึงเวลาไปได้ก็ไป
เวลาไปไม่ได้ยังจอดอยู่ก็ต้องจอด
แล้วเราจะได้ไม่ทุกข์โดยใช่เหตุ
ไม่ต้องเพิ่มความทุกข์ขึ้นมา
ความทุกข์ที่มีอยู่มันก็พอแล้ว
อย่ามาสร้างความทุกข์ที่เกิดจากการปฏิบัติ
แล้วก็ไม่ได้ปฏิบัตินี้เลย เสียเวลาไปเปล่าๆ
ทำให้เหนื่อยใจ ทำให้กัดกร่อนใจ
ยิ่งจะทำให้ไม่อยากปฏิบัติ ไม่มีกำลังที่จะปฏิบัติ
ถ้าเราทำใจเฉยๆไว้ ใจเราก็เย็นสบาย
เรามีเวลาปฏิบัติตอนไหน เราก็ปฏิบัติได้
คนเรามันไม่ได้ยุ่งไปทั้งวันหรอก
ถ้าเราอยากจะปฏิบัติจริง กลัวจะไม่ปฏิบัติ
เวลามีเวลาว่าง กลัวจะไปเปิดดูทีวีกัน
กลัวจะไปเที่ยวกันซะมากกว่า
แล้วก็มาอ้างว่า ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมกัน.
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
..................................
ธรรมะบนเขา
วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๕๖
ขอบคุณที่มา fb, พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
ขอบคุณเจ้าของภาพค่ะ