BlogGang.com : : Marquez - ชาเขียว

ชาเขียว

ชาเขียว(Camellia sinensis)ได้จากต้นชา ที่เหมือนๆกับชาดำและชาอู่หลง แต่มีกระบวนการผลิตที่ต่างกัน

ในชาเขียว จะมีสารสำคัญเป็นพวก caffeine และmethylxanthine ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นประสาท หัวใจ และมีฤทธิ์ขับปัสสาวะ โดยในชา 1 ถ้วย จะมี caffeine ประมาณ 50 มก. (กาแฟจะมีประมาณ 65-175 มก.)

นอกจากนี้ยังพบสารอื่นๆเช่น polyphenol (catechin, anthocyanin, phenolic acid), tannin, trace element และ vitamin ซึ่งผู้ขายส่วนใหญ่จะพยายามบอกว่า สารต่างๆเหล่านี้มันมีประโยชน์ต่อร่างกายเราหลายอย่าง

เรามาดูคุณสมบัติว่ามันช่วยอะไรเราได้บ้างตามที่เขาอ้างหรือไม่

ชาเขียวกับการป้องกันมะเร็ง
มีการศึกษาหลายชิ้นที่ทำในประชากรขนาดใหญ่เพื่อดูผลของชาเขียวกับการป้องกันมะเร็ง ถึงผลการศึกษาหลายชิ้น (ส่วนใหญ่จะได้ทุนจากพวกที่ขายชาเขียว) จะชี้ว่าอัตราการเกิดมะเร็งในผู้ที่กินชาเขียวเป็นประจำจะน้อยกว่าผู้ที่ไม่ได้กิน แต่การศึกษาเหล่านี้ ก็ไม่ได้ระบุถึงปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับการเกิดมะเร็งเลย นอกจากนี้ ถึงจะมีผลจริงๆ แต่การใช้ก็ต้องใช้ในขนาดสูงหรือกินกันวันละหลายแก้วเลยทีเดียว

จากการทดลอง พบว่าสารสำคัญในกลุ่ม polyphenol มีฤทธิ์เป็น antioxidant สามารถต้านเซลเนื้องอกบางชนิดได้ แต่การศึกษาในคนก็ยังน้อยอยู่ และมีบางการทดลองที่พบว่า สารบางอย่างในชาเขียว เป็นสารก่อมะเร็งด้วย

สรุปแล้ว คงต้องรอการศึกษาในระยะยาวและการศึกษาที่มีความน่าเชื่อถือมากกว่านี้ด้วย จึงจะเชื่อได้ว่าชาเขียวมีส่วนช่วยต้านมะเร็งได้

ชาเขียวกับการลดไขมันในเลือด
การศึกษาในสัตว์ทดลอง พบว่าชาเขียวสามารถลดระดับไขมัน (Cholesterol) ในเลือดได้ แต่ยังขาดการศึกษาในคนที่พอเพียง
ชาเขียวกับการลดน้ำหนัก
จากการศึกษาที่ฝรั่งเศษพบว่า ชาเขียวสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ แต่ขอโทษครับ
1. การทดลองนี้ ทำในกลุ่มประชากรขนาดเล็ก
2. การทดลองนี้ ทำในกลุ่มประชากรที่มีน้ำหนักเกิน จึงลดความอ้วนได้ง่าย
3. การทดลองนี้ ทำโดยบ. ที่ขายชาเขียวสกัด
4. การทดลองนี้ วัดผลโดยดูปริมาณก๊าซcarbondioxide ที่ร่างกายปล่อยออกมา แล้วคำนวนกลับไปเป็นพลังงาน ไม่ได้ดูที่น้ำหนักที่ลดลงอย่างแท้จริง
5. การทดลองนี้ พบว่ากลุ่มที่กินชาเขียว จะใช้พลังงานมากกว่ากลุ่มที่ไม่กิน วันละ 80 kcal ซึ่งเท่ากับนั่งเฉยๆ 1 ชั่วโมง

สรุปแล้ว ยังไม่มีความน่าเชื่อถือว่าชาเขียวจะช่วยลดน้ำหนักได้แต่อย่างใด

ข้อควรระวังเมื่อกินชาเขียวในปริมาณสูงๆ
สาร caffeine มีฤทธิ์กระตุ้นประสาท อาจทำให้นอนหลับยาก และ ยังกระตุ้นหัวใจ เพิ่มความดันโลหิต จนอาจทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือหัวใจวายได้ (ขนาด caffeine ประมาณ 250-350 มก.)

caffeine ขนาด 200 มก.จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงได้ ในผู้ป่วยเบาหวานควรระวังในการกิน (บางการทดลอง กล่าวว่า ชาเขียวสามารถลดระดับน้ำตาลในเลือดได้)

caffeine สามารถเพิ่มกรดในกระเพาะอาหารได้ ทำให้ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ มีอาการแย่ลง

ผู้ที่เป็นโรคตับ จะมีการกจัด caffeine ได้น้อยลง ทำให้ฤทธิ์ของมันอยู่ได้นานมากขึ้น

Create Date : 22 มีนาคม 2548

Last Update : 22 มีนาคม 2548 1:02:21 น.

4 comments

Counter : 968 Pageviews.

มาเยี่ยมค่ะ มาดูBlogของหนูคนน่ารักบ้างนะ ^^
มีรูปหนูเป็นภาพประกอบทุก Blog ค่า
คลิกเลยๆ

โดย: what for ^.~

วันที่: 22 มีนาคม 2548 เวลา:15:40:56 น.

เคยอ่านงานวิจัย เค้าว่าโกโก้ให้ประสิทธิภาพต่างๆมากกว่าชาเขียว ทั้งสารฟลาโวนอยด์ สารต้านอนุมูลอิสระ แต่คนไม่นิยม คงเพราะทานแล้วจะอ้วนล่ะมั๊งคะ

โดย: Fruit_tea IP: 58.10.215.231 วันที่: 28 สิงหาคม 2548 เวลา:14:08:20 น.

ชาเขียวหยุดมะเร็งได้จริงมน.แนะกินคู่ผักผลไม้ให้ฤทธิ์เสริมกัน

นักวิจัยญี่ปุ่นเผยผลวิจัยสารสกัดชาเขียวมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็งแนะดื่มชาเขียววันละ 10 แก้ว ควบคู่กับผักผลไม้ ช่วยป้องกันโรคมะเร็งได้ ด้านนักวิจัยไทยยันกินมังสวิรัติป้องกันมะเร็งผิวหนัง ชี้โอกาสเป็นน้อยกว่าคนกินเนื้อ

ศ.ดร.ฮิโรตะฟูจิกิ ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยโทคุชิมะ ประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยผลการวิจัยสารสกัดชาเขียวกับโอกาสในการพัฒนายารักษาโรคมะเร็ง ในการประชุมวิชาการนานาชาติด้านวิจัยและพัฒนานวัตกรรม ครั้งที่ 2 จัดโดยมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยว่า ชาเขียวเป็นพืชที่นักวิทยาศาสตร์สนใจศึกษาการออกฤทธิ์ยับยั้งโรคมะเร็งอย่างแพร่หลาย ผลการวิจัยพบความเป็นไปได้ ในการนำชาเขียวมาพัฒนาเป็นยารักษาโรคมะเร็งในอนาคตอันใกล้

งานวิจัยยืนยันว่าในชาเขียวมีสารแคททีชิน(catechin) ซึ่งทำลายเซลล์มะเร็งได้ ผลจากการวิจัยยังพิสูจน์ว่าการดื่มชาเขียวอย่างต่อเนื่อง ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เนื่องจากเป็นสารที่สกัดได้จากธรรมชาติ

ที่ผ่านมานักวิจัยได้ศึกษาประสิทธิผลของสารสกัดชาเขียวในอาสาสมัครที่เป็นมะเร็งแล้วไม่ต่ำกว่า 400 ราย เบื้องต้นพบว่าการดื่มชาเขียวสามารถชะลอการป่วยด้วยโรคมะเร็งออกไป แต่หากป่วยแล้วก็ช่วยป้องกันการลุกลามของโรคได้ แต่ต้องดื่มถึงวันละ 10 ถ้วย อย่างไรก็ตาม ผลของการบริโภคชาเขียวจะดียิ่งขึ้นหากรับประทานควบคู่กับผักผลไม้เป็นประจำ ทั้งนี้เนื่องจากผักผลไม้มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดโรคมะเร็งได้

ศ.เกียรติคุณดร.ไมตรี สุทธจิตต์ ภาควิชาชีวเคมี สำนักวิชาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยนเรศวร (มน.) กล่าวว่า ผักและผลไม้สามารถช่วยยับยั้งการเกิดของเซลล์มะเร็งเยื่อบุผิว เช่น มะเร็งทางเดินอาหาร มะเร็งผิวหนัง รวมถึงมะเร็งปอดได้จริง จากการวิจัยที่มีการศึกษาในทั่วโลก โดยมะเร็งเยื่อบุผิวเป็นมะเร็งที่มีอัตราการเกิดมากที่สุดหรือ 80% ของมะเร็งที่มีทั้งหมด

ด้วยเหตุนี้ผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัติ หลีกเลี่ยงเนื้อสัตว์ จะมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งน้อยกว่า เนื่องจากในผักผลไม้มีวิตามิน ไฟเบอร์ และสารอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ขณะที่เนื้อสัตว์อุดมไปด้วยไขมัน คอเลสเตอรอล สาเหตุสำคัญของโรค เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง เป็นต้น

การดื่มชาเขียวควบคู่กับผักผลไม้มีส่วนช่วยยับยั้งกลไกของยีนก่อมะเร็ง เหมาะสำหรับคนที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง และป้องกันการเป็นมะเร็งซ้ำ ดังนั้น การรับประทานมังสวิรัติหรืออาหารเจ น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการรักษาสุขภาพให้ห่างไกลจากโรคมะเร็ง
-------------
อันนี้จริงหรือไม่คะ ช่วยแนะนำด้วยค่ะ

โดย: dexbongs IP: 58.8.59.186 วันที่: 7 มีนาคม 2551 เวลา:12:02:10 น.

^
1. อย่างที่เขาเขียนไว้ชัดๆเลยนะครับ "สารสกัดชาเขียวมีฤทธิ์ยับยั้งเซลล์มะเร็ง" ถ้าคุณอยู่ในแวดวงวิจัย คุณจะเห็นคำแบบนี้จนเบื่อเลยครับ ไอ้ประเภทที่ว่าสารสกัดจาก xxx สามารถยับยั้งเซลมะเร็งได้ หรือไม่ก็ สารสกัดจาก yyy มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ฯลฯ

ซึ่งตรงนี้ไม่ได้หมายความว่ามันจะยับยั้งมะเร็งได้จริงครับ แม้กระทั่งคนเขียนเรื่องนี้เอง ก็ได้แค่แนะนำว่าอาจใช้ได้เท่านั้น

ถ้าสนใจเพิ่มเติม ลองเข้าไปอ่านในหัวข้อ antioxidant vs มะเร็ง ดูนะครับ
https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=marquez&date=18-09-2006&group=7&gblog=3

2. "การดื่มชาเขียวอย่างต่อเนื่อง ไม่ส่งผลกระทบต่อร่างกาย เนื่องจากเป็นสารที่สกัดได้จากธรรมชาติ" การสรุปแบบนี้มั่วนิ่มมากครับ เราไม่สามารถบอได้ครับว่ามาจากธรรมชาติแล้วจะปลอดภัย ไม่ได้เกี่ยวกันเลย

ส่วนที่งานวิจัยนั้นออกมาบอกว่าปลอดภัย ต้องไปดูว่าเขาออกแบบการทดลองอย่างไรด้วย ไม่ใช่สรุปว่าชาเขียวปลอดภัย 100%

3. "การดื่มชาเขียวสามารถชะลอการป่วยด้วยโรคมะเร็งออกไป แต่หากป่วยแล้วก็ช่วยป้องกันการลุกลามของโรคได้" ก็ต้องไปดูอีกล่ะครับ ว่าเขาออกแบบการทดลองอย่างไร มีความน่าเชื่อถือหรือเปล่า

โดย: Marquez

วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:23:16:53 น.