Ieri, oggi, e domani, c'e sempre e solo l'inter

ยาคุมแบบแผ่นแปะผิวหนัง

ยาคุมแบบแปะ (birth control patch) จะมีลักษณะเป็นแผ่นแปะผิวหนัง สามารถใช้แทนการกินยาเม็ดคุมกำเนิดได้ โดยเฉพาะคนที่ชอบลืมกินยา เพราะการแปะแผ่นนี้ จะแปะแค่เพียงสัปดาห์ละครั้งเท่านั้น ไม่ต้องแปะทุกวันเหมือนการกินยา ช่วยลดการลืมกินยาได้

หลังจากแปะแล้ว ตัวยาจะค่อยๆซึมผ่านผิวหนัง เข้าสู่กระแสเลือด ออกฤทธิ์ได้เหมือนกับยาคุมแบบกิน

วิธีใช้
1. แปะแผ่นแรกในวันแรกที่รอบเดือนมา จนครบ 1 สัปดาห์ จึงลอกออก แล้วแปะแผ่นใหม่แทน
หลังจากแปะไป 3 สัปดาห์แล้ว ในสัปดาห์ที่4 ให้เว้นการแปะ 7 วัน เมื่อเว้นครบ 7 วันแล้ว ไม่ว่ารอบเดือนจะมาหรือไม่มา รอบเดือนมาแล้วจะหยุดหรือไม่หยุด ก็ให้แปะแผ่นแรกของรอบใหม่ทันที (คล้ายๆกับการกินยาคุมปกติ)
2. สามารถแปะแผ่นยาได้หลายตำแหน่งของร่างกาย แต่โดยมากนิยมแปะที่บริเวณท้อง
3. ไม่ควรแปะบริเวณเต้านม
4. ไม่ควรแปะแผ่นยาซ้ำจุดเดิม ควรเปลี่ยนจุดที่จะแปะไปเรื่อยๆ
5. จุดที่จะแปะแผ่นยา ไม่ควรใช้เครื่องสำอาง หรือแป้งหรือครีม และหลีกเลี่ยงจุดที่มีแผล มีการอักเสบ หรือมีโรคผิวหนัง
6. ถ้าแผ่นหลุด ให้ติดแผ่นใหม่จนครบ 7 วัน นับตั้งแต่แปะแผ่นแรก
7. ถ้าลืมเปลี่ยนแผ่นแรกออก ให้รีบเปลี่ยนแผ่นทันทีที่นึกได้ แต่ไม่ควรเกิน 2 วัน
ถ้าเกิน 2 วัน ควรใช้การคุมกำเนิดอื่นๆร่วมด้วย

อาการข้างเคียง
อาจพบการแพ้ที่ผิวหนังได้บ้าง
อาการข้างเคียงโดยทั่วไป เหมือนกับการกินยาคุมปกติ

แต่มีอาการข้างเคียงที่สำคัญอันหนึ่งคือ การทำให้ร่างกายได้รับฮอร์โมนมากกว่าปกติ ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดหลอดเลือดอุดตันและเสียชีวิตได้

เนื่องจาก การใช้ยาคุมแบบแปะนี้ จะทำให้ร่างกายได้รับฮอร์โมน estrogen โดยรวมมากกว่าการกินยาคุม ที่มีตัวยาเท่ากันถึง 60% อาจทำให้เกิด side effect จากการได้รับ ฮอร์โมนนี้ในระดับสูง เช่น หลอดเลือดอุดตันที่ขาหรือที่ปอด

ในผู้ที่ต้องการจะใช้ยานี้ ควรปรึกษาแพทย์ และพิจารณาความเสี่ยงต่อการได้รับฮอร์โมนในปริมาณสูงๆด้วย

ปล. ทั้งนี้ ยังไม่มีการทดลองยืนยันว่า การใช้ยาแบบแผ่นแปะ จะทำให้เกิดอาการดังกล่าวมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งเข้าใจว่ากำลังอยู่ในระหว่างการทดลอง ถ้ามีผลเมื่อไหร่แล้วจะ update ให้ครับ

ผู้ที่ห้ามใช้ยา
ผู้ที่มีประวัติหัวใจวาย เส้นเลือดในสมองแตก เส้นเลือดอุดตันที่ขาหรือที่ปอด ความดันโลหิตสูง(ขั้นรุนแรง) มีความเสี่ยงกับมะเร็งเต้านม ผู้ที่เป็นโรคตับ ผู้ที่ตั้งครรภ์




 

Create Date : 28 สิงหาคม 2549   
Last Update : 28 สิงหาคม 2549 14:26:44 น.   
Counter : 2495 Pageviews.  

FAQ ยาคุม

1. Q วิธีการกินยาคุมที่ถูกต้อง
A //www.bloggang.com/viewblog.php?id=marquez&date=30-07-2005&group=6&blog=7

2. Q ลืมกินยาต้องทำอย่างไร
A //www.bloggang.com/viewblog.php?id=marquez&group=6&date=30-07-2005&blog=8

3. Q ทำไมบางคนกินแล้วเกิดอาการนี้ ทำไมบางคนไม่เป็นไร
A ในแต่ละคนจะมีสภาพไม่เหมือนกัน ยาคุมตัวเดียวกัน อาจส่งผลต่อคนๆหนึ่ง ไม่เหมือนกับอีกคนก็ได้ ควรสังเกตดูว่าเมื่อตัวเองใช้แล้วเกิดอาการผิดปกติอย่างไร หรือไม่ ไม่ควรฟังความจากคนอื่นท่าเดียว

4. Q กินยาคุมแล้วทำไประจำเดือนมาน้อย
A การกินยาไปนานๆ เยื่อบุมดลูกจะบาง ประจำเดือนจึงมาน้อย หากเยื่อบุบางมาก อาจไม่มีประจำเดือนเลยก็ได้ ทำให้เข้าใจผิดคิดว่าตั้งครรภ์ก็ได้

5. Q กินยาคุมแล้วทำให้เป็นหมันหรือไม่
A ในคนปกติ การกินยาคุม ไม่ทำให้เป็นหมันได้ แต่ในคนที่มีปัญหาการมีบุตรยาก การกินยาคุมนานๆ อาจมีผลได้

6. Q กินยาคุมแล้วทำให้เป็นมะเร็งหรือไม่
A ในคนปกติ การกินยาคุม ไม่ทำให้เป็นมะเร้งได้ แต่ในคนที่มีแนวโน้มการเป็นมะเร็ง การกินยาคุมนานๆ อาจมีผลได้ และไม่ควรแนะนำให้กินยาคุมชนิด combined pills ในสตรีสูงอายุ และสตรีอายุน้อยกว่า 18 ปี นอกจากนี้การกินยาคุมชนิด combined pills เป็นเวลานานเกิน 4-5 ปี จะทำให้มีความเสี่ยงต่อมะเร็งปากมดลูกมากกว่าคนปกติ 1.7 เท่า จึงควรไปตรวจร่างกายที่ร.พ.ทุกปี

7. Q กินยาคุมได้นานแค่ไหน
A 4 ปี หลังจากนั้น ควรหยุดพัก 3 เดือน

8. Q หากให้นมลูก จะสามารถกินยาคุมได้หรือไม่
A การกินยาคุม ควรกินหลังจากให้ลูกดูดนมไปแล้ว 2 เดือน โดยควรใช้ยาคุมแบบ minipills แต่ถ้าหลังจาก 2 เดือนแล้วไม่ได้ให้ลูกดูดนม ก็สามารถใช้แบบ combined pills ได้ (ประสิทธิภาพจะดีกว่า)
ปล. การให้ลูกดูดนมวันละ 6 ครั้ง ทุก 3-4 ชม. ดูดนานครั้งละ 10 นาที จะสามารถป้องกันการตั้งครรภ์ได้

9. Q ควรตั้งครรภ์หลังจากหยุดยาไปนานเท่าไหร่
A อย่างน้อย 3 เดือน ไม่ควรตั้งครรภ์ภายใน 3 เดือนหลังจากหยุดยา เพราะจะทำให้เพิ่มความเสี่ยงต่อต่อความผิดปกติของท่อประสาท และเสี่ยงต่อการมีลูกแฝด เด็กอาจมีโครโมโซมผิดปกติและทำให้แท้งได้ จึงควรหยุดยาเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อให้ร่างกายกลับมาทำงานได้อย่างปกติเสียก่อน

10. Q หากกินยา (ที่มีตัวยา ไม่ใช่เม็ดแป้ง) แล้วอาเจียน หรือท้องเสียอย่างแรง หลังจากกินยาไป 2 ชม.จะทำยังไง
A ให้กินยาเพิ่มอีก 1 เม็ด เพราะยาที่กินเข้าไปก่อนหน้านั้น อาจไม่ถูกดูดซึม โดยกินจากยาแผงอื่น ที่มีวันตรงกับวันที่กิน (ไม่ใช่กินยาเม็ดถัดไป)

11. Q หากตั้งครรภ์อยู่ แล้วกินยาคุมไป จะเป็นอย่างไร
A หากตั้งครรภ์ในช่วง 3 เดือนแรก เด็กมีแนวโน้มจะพิการหรืออาจเป็นมะเร็งที่อวัยวะเพศ (กรณีเป็นเด็กผู้หญิง), กรณีของ minipills อาจทำให้เกิดการตั้งครรภ์นอกมดลูกได้




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2548   
Last Update : 7 สิงหาคม 2548 11:26:40 น.   
Counter : 3065 Pageviews.  

ยาที่ต้องระวังการใช้ เมื่อใช้ร่วมกับยาคุม

1. ยาที่ทำให้ประสิทธิภาพของยาคุมลดลง
1.1 ยาที่ทำให้ร่างกายกำจัดยาคุมได้มากกว่าปกติ ได้แก่ ยาแก้ปวด aspirin phenylbutazone amidopyrine, ยาปฏิชีวนะ rifampicin, ยาต้านเนื้องอก cyclophosphamide, ยาไมเกรน dihydroergotamine, ยากันชัก phenytoin phenobarbitone primidone, ยาต้านอาการซึมเศร้า meprobamate chlordiazepoxide
1.2 ยาที่รบกวนการดูดซึมของยาคุมได้แก่ ยาปฏิชีวนะ ampicillin chloramphenicol neomycin nitrofurantoin ยากลุ่ม sulfonamides และยากลุ่ม tetracyclines
2. ยาคุมทำให้ประสิทธิภาพของยาต้านการแข็งตัวของเลือดลดลง เช่น dicumarol
3. estrogen ทำให้การกำจัดยาบางชนิดน้อยลง ทำให้ฤทธิ์ของยานั้นๆ ยาวนานขึ้น เช่น ยา steroid hydrocortisone prednisolone




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2548   
Last Update : 30 กรกฎาคม 2548 15:07:28 น.   
Counter : 11940 Pageviews.  

การหยุดการใช้ยาคุม

1. เมื่อต้องการจะมีบุตร ควรทิ้งช่วงหลังจากหยุดยา อย่างน้อย 3 เดือน (ดูรายละเอียดในหัวข้อ FAQ) ในช่วงที่หยุดยา อาจใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นไปก่อน
2. หลังจากกินติดต่อกันมาเป็นเวลา 4 ปี ควรหยุดการใช้ยาคุมสัก 2-3 เดือน ร่วมด้วยการไปร.พ. เพื่อตรวจการทำงานของร่างกาย โดยเฉพาะเรื่องฮอร์โมน และอวัยวะต่างๆ
3. หากกินยาชนิด combined pills ก่อนการผ่าตัด ควรหยุดยา 1-2 เดือน เพื่อป้องกันภาวการณ์อุดตันของเส้นเลือด เนื่องจากก้อนเลือดแข็งตัว (สามารถใช้ยาคุมชนิด minipills ได้)
4. เกิดอาการข้างเคียงที่รุนแรง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนจนทนไม่ได้, เจ็บหน้าอกขณะหายใจ, ปวดหัวไมเกรน, ตาพร่า, ปวดน่อง ปวดต้นขา (อาจเกิดจากเส้นเลือดอุดตัน), ปวดท้องมาก (อาจเกิดจากนิ่วในถุงน้ำดี หรือหลอดเลือดอุดตัน), มีเลือดออกทางช่องคลอด หลังจากกินยาไปแล้ว 3 เดือนอาการยังไม่หาย ควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที, ความดันสูงกว่า 140/90, อาการดีซ่านและอาการแพ้อื่นๆ
5. หากกินยาติดต่อกัน 2 เดือนแล้วยังไม่มีประจำเดือน ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมีการตั้งครรภ์แล้วก็ได้
ข้อห้ามใช้ยาเม็ดคุมกำเนิด
1. ห้ามใช้ยาที่มี estrogen ในคนที่มีภาวะหลอดเลือดดำอักเสบ หรือมีประวัติการอุดตันของหลอดเลือดดำโดยลิ่มเลือด (หลอดเลือดขอด), มะเร็งเต้านมและอวัยวะสืบพันธุ์, โรคตับ
2. ควรระวังการใช้ยาในผู้ป่วยโรคหัวใจ, เบาหวาน, โรคไต, ความดันสูง, ไมเกรน, ไทรอยด์, สตรีให้นมบุตรและโรคภูมิแพ้




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2548   
Last Update : 30 กรกฎาคม 2548 15:06:48 น.   
Counter : 10960 Pageviews.  

การเลื่อนประจำเดือน

กินยา combined pill 1 เม็ด วันละครั้ง ก่อนนอน ก่อนประจำเดือนมา 7 วัน ถ้าใกล้วันที่ประจำเดือนมามากๆ ให้ทาน ครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2 ครั้งหลังอาหาร หากทนอาการข้างเคียงไม่ได้ ให้ใช้ Primolute-N จะมีอาการข้างเคียงน้อยกว่า โดยกินครั้งละ 1 เม็ด วันละ 3 ครั้งหลังอาหาร (หากน้ำหนักน้อยกว่า 60 กก. อาจกินแค่วันละ 2 ครั้งก็ได้) ก่อนประจำเดือนมา 3 วัน และไม่ควรกินยานานเกิน 10-14 วัน เมื่อหยุดยา 2-3 วัน ประจำเดือนจะมาตามปกติ

หากต้องการเลื่อนประจำเดือนนานกว่า 14 วัน ควรใช้ combined pill ชนิด 21 เม็ดจะเหมาะสมกว่า




 

Create Date : 30 กรกฎาคม 2548   
Last Update : 30 กรกฎาคม 2548 15:05:41 น.   
Counter : 1264 Pageviews.  

1  2  3  

Marquez
Location :
Milano Italy

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




A te che sei il mio grande amore Ed il mio amore grande
A te che hai preso la mia vita E ne hai fatto molto di più
A te che hai dato senso al tempo Senza misurarlo
A te che sei il mio amore grande Ed il mio grande amore

[Add Marquez's blog to your web]