Ieri, oggi, e domani, c'e sempre e solo l'inter

น้ำมันมะพร้าว (coconut oil)

น้ำมันมะพร้าว เริ่มมีการใช้เป็นอาหารเสริมลดความอ้วน ด้วยการโปรโมทว่า มันกินแล้วสลายให้พลังงานหมด และยังเพิ่มการเผาผลาญ (metabolism) ของร่างกายได้ ทำให้มีการนำมาขายในรูปแบบอาหารเสริมลดความอ้วนกัน

เรามาดูกัยว่าความจริงทางวิทยาศาสตร์เป็นเช่นไร

ส่วนประกอบหลักของน้ำมันมะพร้าว ประกอบด้วยกรดไขมันอิ่มตัว ที่มีมากได้แก่ carpic acid, lauric acid, myristic acid ซึ่งทั้ง 3 ตัวนี้ จัดว่าเป็นกรดไขมันที่มีขนาดโมเลกุลปานกลาง (Medium Chain Triglyceride / MCT) ซึ่งแตกต่างจากกรดไขมันจากสัตว์ทั่วไป จัดเป็นกรดไขมันขนาดยาว (Long Chain Triglyceride / LCT)

ปกติ ร่างกายของคนเรา จะมีการดูดไขมันที่กินเข้าไป โดยผ่านทางท่อน้ำเหลือง ไปที่หัวใจ แล้วจึงจะมาสู่ตับ

แต่สำหรับ MCT เนื่องจากมีขนาดไม่ใหญ่ จึงสามารถดูดซึมไปกับหลอดเลือด (portal vein) เข้าสู่ตับได้โดยตรง



ตรงจุดนี้ ทำให้ร่างกายเราสามารถใช้พลังงานจากไขมัน MCT นี้ได้เร็วกว่าแบบปกติ (LCT) และไม่ถูกสะสมเป็นไขมันที่ทำให้อ้วนได้

มีการศึกษาวิจัย เปรียบเทียบผลของ LCT กับ MCT ในเรื่องความอ้วน ก็ปรากฎว่า คนที่กิน MCT มีน้ำหนักลดลงเมื่อเทียบกับคนที่กิน LCT จริง

แต่ยังไม่เคยมีการศึกษาที่ไหนที่ชี้ว่า การกิน MCT เทียบกับอาหารอื่นๆ (หรือแม้แต่จะไม่กินเลย) จะมีประโยชน์มากกว่าแต่อย่างใด

อนึ่ง ตัว MCT เองก็เป็นไขมันที่ให้พลังงานแก่ร่างกาย ประมาณ 8.3 kcal/g (ไขมัน LCT ให้พลังงาน 9 kcal/g) การกิน MCT เดี่ยวๆ เพื่อลดความอ้วน จึงไม่น่าจะใช่คำตอบสักเท่าไรนัก

อีกประเด็นที่ถูกนำมาใช้ในการลดน้ำหนักคือ การที่น้ำมันมะพร้าวสามารถกระตุ้นการทำงานของต่อมไทรอยด์ ทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญมากขึ้น

เมื่อไปดูในงานวิจัย ก็มีรายงานว่า มันทำให้ร่างกายมีการใช้พลังงานมากขึ้นจริง เมื่อเทียบกับ LCT (สาเหตุเพราะมันเข้าสู่ตับได้เร็วกว่า อย่างที่ชี้แจงไปแล้ว) แต่ก็ไม่ได้มีการพิสูจน์แต่อย่างใดว่ามันไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์

และอีกครั้งครับ ไม่เคยมีรายงานว่าเมื่อเทียบกับอาหารอย่างอื่นแล้ว มันจะมีประโยชน์มากกว่าแต่อย่างใด

สำหรับผลกระทบกับร่างกาย ยังคงมีความขัดแย้งกันอยู่ บางรายงานก็บอกว่าอาจทำให้เกิดปัญหากับเรื่องของโรคหลอดเลือดและหัวใจได้ เนื่องจากมันเป็นไขมันอิ่มตัวมาก (มากกว่าน้ำมันมะกอกประมาณ 10 เท่า) แต่บางรายงานก็ว่าไม่มีผล (อันที่บอกว่าไม่มีผลนั้น ส่วนใหญ่ ทำการทดลองในระยะเวลาสั้นๆ) จึงยังไม่อาจสรุปได้ชัดเจนว่ากินแล้วจะปลอดภัยในระยะยาวจริงหรือไม่

สรุปแล้ว การที่บอกว่ากินน้ำมันมะพร้าวแล้วจะช่วยลดน้ำหนักได้นั้น เป็นจริงเฉพาะกรณีที่เทียบกับการกินไขมันชนิดอื่นๆ (LCT) แต่ไม่สามารถบอกได้ชัดเจนว่า ถ้ากินมันแบบเดี่ยวๆ หรือเทียบกับไม่กินเลย จะช่วยให้ลดน้ำหนักได้จริง




 

Create Date : 14 มกราคม 2552   
Last Update : 14 มกราคม 2552 8:12:56 น.   
Counter : 5847 Pageviews.  

พริก พริกไทย Capsaicin

มนุษย์เรารู้จักการใช้พริกทั้งในด้านอาหารและการเป็นยามาหลายพันปี สารสำคัญที่มีในพืชกลุ่มพริก ทำให้มีรส&กลิ่นที่เผ็ดร้อนมีชื่อว่า Capsaicin



ในทางยา capsaicin มีฤทธิ์ระงับอาการปวด บวม อักเสบ เมื่อใช้เป็นยาทา โดยเฉพาะในอาการปวดข้อหรือปวดกล้ามเนื้อ (ปัจจุบันมียาที่ทำจากพริกจำหน่ายในรูปแบบยาแผนปัจจุบันแล้ว)
นอกจากนี้ ตามตำรายาแผนโบราณ พริกยังมีฤทธิ์กระตุ้นความอยากอาหารและช่วยในระบบย่อยอาหารได้

แนวคิดที่นำพริกมาใช้ในการช่วยลดน้ำหนัก มาจากการที่ capsaicin สามารถลดความอยากอาหาร และช่วยเพิ่มความสามารถในการเผาผลาญไขมันในร่างกาย เรามาดูกันว่ามันมีหลักฐานทางวิชาการอย่างไร

1. ความสามารถในการลดความอยากอาหาร
มีการทดลองหลายชิ้น ที่ชี้ว่าการกินอาหารที่มีพริกเป็นส่วนผสมอยู่ ช่วยลดปริมาณพลังงานที่ร่างกายได้รับจากการที่มันทำให้กินอาหารได้น้อยลง

ซึ่งในประเด็นนี้นักวิชาการหลายคน ก็ชี้ไปที่ความชอบในการกินพริกของแต่ละคน ซึ่งจากผลการทดลองส่วนใหญ่ที่ทำในคนตะวันตก ที่ไม่คุ้นเคยกับอาหารรสจัด การมีพริกปนในอาหารก็จะทำให้กินอาหารได้น้อยลงไปโดยปริยาย

ผลการทดลองนี้ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคุณสมบัติใดๆของพริกเลย ถ้ามีอาหารที่คุณไม่ชอบ คุณก็จะกินมันได้น้อยเป็นเรื่องปกติ

ในจุดนี้ ถ้าการทดลองมาทำในคนที่นิยมกินอาหารรสจัด เช่น ในเมืองไทยเรา ผลการทดลองอาจจะเป็นตรงกันข้าม จากที่มันจะช่วยให้กินน้อยลง อาจกลายเป็นช่วยให้อาหารอร่อยมากขึ้น ทำให้กินอาหารมากขึ้นไปอีก

ดังนั้น การสรุปว่าพริกช่วยลดความอยากอาหารนั้น เป็นการสรุปเฉพาะกลุ่มตัวอย่างบางกลุ่มเท่านั้น ไม่สามารถนำมาอ้างอิงกลุ่มตัวอย่างอื่นๆได้จริง

2. ความสามารถในการเพิ่มอัตราเผาผลาญไขมันในร่างกาย
มีการศึกษาทดลองในคนหลายชิ้นที่เกี่ยวกับความสามารถของพริกในการเผาผลาญไขมันของร่างกาย ซึ่งผลการทดลองส่วนใหญ่ทั้งในสัตว์ทดลองและในมนุษย์ชี้ให้เห็นว่า capsaicin มีความสามารถที่จะเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงานของร่างกายได้จริง (ถึงแม้บางการทดลองจะไม่เห็นผล)

การทดลองส่วนใหญ่ มักจะใช้ปริมาณของพริกในระดับสูง (ส่วนใหญ่จะเป็นพริกประมาณ 10 กรัมต่อมื้อ) จึงจะให้ผลดังกล่าว ในขณะที่การทดลองที่ใช้ปริมาณพริกน้อยๆ ไม่พบว่าจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญของร่างกายแต่อย่างใด

การกินพริกในระดับสูงนี้ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร และยังมีงานวิจัยบางชิ้นที่กล่าวว่า capsaicin อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งในกระเพาะอาหารได้ (แต่บางงานวิจัยก็บอกว่าไม่เกี่ยวกัน)

มีงานวิจัยเพียงชิ้นเดียวที่ศึกษาถึงผลการลดน้ำหนักของ capsaicin ในคนที่ควบคุมอาหาร (กินอาหารที่มีพลังงานต่ำ) โดยแบ่งคนออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งได้รับ capsaicin อีกกลุ่มได้ยาหลอก หลังจาก 3 เดือน พบว่าทั้งกลุ่มที่ได้รับ capsaicin และกลุ่มที่ได้รับยาหลอก มีน้ำหนักลดลงพอๆกัน ไม่มีความแตกต่างทางสถิติ ถึงแม้จะพบว่ากลุ่มที่ได้รับ capsaicin จะมีอัตราการเผาผลาญไขมันมากกว่าก็ตาม

นั่นคือ ถึงแม้ว่าจะพิสูจน์ได้จริงว่าพริกช่วยเพิ่มการเผาผลาญพลังงานได้ แต่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามันจะช่วยในการลดน้ำหนักได้แต่อย่างใด

ข้อควรระวัง
พริกสามารถก่อให้เกิดการระคายเคืองได้ ไม่ว่าจะใช้ในรูปแบบทาภายนอก(เกิดอาการแสบหรือคันบริเวณที่ทา)หรือในรูปแบบกิน(ระคายเคืองต่อทางเดินอาหาร) ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือมีอาการกรดไหลย้อน ควรหลีกเลี่ยง
สตรีตั้งครรภ์ สามารถกินพริกได้ตามปกติ แต่ไม่ควรกินในรูปแบบของ capsaicin ในรูปแบบอาหารเสริม (เพราะไม่มีการศึกษาถึงความปลอดภัย)
และเนื่องจากสารนี้สามารถผ่านทางน้ำนมได้, สตรีที่ให้นมบุตร ควรหลีกเลี่ยง

สรุป
การที่พริกช่วยลดความอยากอาหารนั้น เป็นจริงสำหรับบางคนเท่านั้น (ขึ้นกับความชอบของแต่ละคน)
นอกจากนี้ ถึงแม้ว่าพริกจะช่วยเพิ่มอัตราการเผาผลาญได้, แต่ในปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยชิ้นไหนที่ชี้ว่าการกินพริก จะมีความสัมพันธ์ต่อการลดน้ำหนักตัวของคนเราได้จริง คงต้องรอผลการศึกษากันต่อไป
และสำหรับคนที่เป็นโรคกระเพาะ หรือคนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน ก็ควรหลีกเลี่ยงการกินพริก เพราะจะทำให้เกิดอาการได้มากขึ้นครับ




 

Create Date : 14 สิงหาคม 2550   
Last Update : 14 สิงหาคม 2550 5:05:18 น.   
Counter : 1337 Pageviews.  

ชา กาแฟ caffeine

สารสำคัญที่มีอยู่ในชาและกาแฟที่เชื่อว่ามีผลต่อการลดน้ำหนักคือ caffeine โดยปกติ ในกาแฟ 1 แก้ว มี caffeine ประมาณ 125 มก. ส่วนในชา 1 แก้วมีประมาณ 50 มก.

มีการโฆษณาถึงประโยชน์ของการใช้ caffeine ในการช่วยลดน้ำหนักในหลายๆทาง เราจะมาดูว่ามันมีความน่าเชื่อถือมากน้อยเพียงไร

1. Caffeine ช่วยลดความอยากอาหาร
กลไกออกฤทธิ์อันนี้ เรารู้กันดีว่า caffeine มีฤทธิ์ช่วยลดความอยากอาหารได้จริง แต่จากการศึกษาทดลองแล้วพบว่า caffeine มีระยะเวลาที่จะออกฤทธิ์ลดความอยากอาหารแค่ในระยะสั้น ไม่นานพอที่จะสรุปว่ามันช่วยทำให้ลดความอยากอาหาร จนทำให้น้ำหนักลดได้จริง

2. Caffeine ช่วยเร่งให้ร่างกายเผาผลาญพลังงาน
จริงอยู่ที่ caffeine มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้นให้ร่างกายเราเผาผลาญพลังงานได้ ด้วยกลไก thermogenesis แต่ถึงอย่างไร การออกฤทธิ์ของมันก็ไม่ได้มากมายขนาดที่จะทำให้เกิดน้ำหนักลดได้จริง



มีการศึกษาที่ชี้ว่า caffeine มีผลช่วยลดน้ำหนักได้ในคนที่ออกกำลังกายและควบคุมอาหาร แต่ถึงกระนั้น ผลที่ได้นั้นก็เพียงเล็กน้อยเท่านั้น จนไม่มีนัยสำคัญทางสถิติ และถ้าออกกำลัง+ควบคุมอาหารอยู่แล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกิน caffeine

3. Caffeine ช่วยขับปัสสาวะ
จากกลไกนี้ น้ำหนักที่ร่างกายเราลดลง ก็เป็นน้ำหนักในส่วนของน้ำที่เสียไป ไม่ใช่ไขมัน และน้ำหนักส่วนนี้หลังจากเรากินน้ำเข้าไป ก็กลับมาเหมือนเดิมได้อีก

ผลเสียของการใช้ caffeine
อย่างที่เราทราบกันดีว่ามันมีฤทธิ์กระตุ้นการทำงานของหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นเร็ว และความดันโลหิตสูงขึ้น นอกจากนี้ยังทำให้นอนไม่หลับและกระตุ้นให้เกิดโรคกระเพาะอีกด้วย

หากกินกาแฟหลังอาหารภายใน 1 ชั่วโมง จะส่งผลให้รบกวนการดูดซึมธาตุเหล็ก 40% คนที่มีภาวะโลหิตจางชนิดขาดธาตุเหล็ก ควรหลีกเลี่ยง

ผลเสียที่สำคัญมาก สำหรับการใช้ caffeine ในการลดความอ้วนคือ มันกลับจะทำให้อ้วนได้มากขึ้น

มีผู้สันนิษฐานถึงกลไกที่ caffeine ทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นจากสาเหตุที่ caffeine ทำให้เกิดความเครียด มีผลให้ระดับของฮอร์โมน cortisol เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ร่างกายสะสมไขมันในช่องท้องมากขึ้น, นอกจากนี้ ความเครียดที่เกิดขึ้น อาจกระตุ้นให้เรากินอาหารมากขึ้นด้วย โดยเฉพาะสารอาหารกลุ่มน้ำตาลเพราะ caffeine มีผลให้ระดับของ insulin เพิ่มขึ้น เมื่อระดับของ insulin เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลง ร่างกายเราจึงต้องการ glucose มากเพิ่มขึ้นนั่นเอง

อันตรายจากการใช้ caffeine ร่วมกับ ephedrine
ในยาลดความอ้วนบางสูตร นิยมใส่ ephedrine ผสมเข้าไปด้วย เพื่อช่วยให้เห็นผลในการลดความอ้วน โดยเฉพาะพวกที่ชอบอ้างว่ามาจากสมุนไพร (ซึ่งก็เป็นความจริง เพราะ caffeine ได้จากต้นกาแฟ และ ephedrine ได้จากต้นมาฮวง)

ทั้ง caffeine และ ephedrine มีฤทธิ์กับการทำงานของหัวใจ ส่งผลให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ และทำให้หัวใจล้มเหลว จนเสียชีวิตได้
อาการอื่นๆที่เป็นอันตราย เช่น ความดันโลหิตสูง, stroke, ไตวาย, เกิดลมชัก ฯลฯ

ดังนั้น การอ้างว่ามาจากธรรมชาติ ไม่จำเป็นว่าจะต้องปลอดภัยเสมอไป

สรุปแล้ว การใช้ caffeine ในการช่วยลดความอ้วนนั้น ทำให้เราลดน้ำหนักได้จริง จากการที่เราเสียน้ำไปกับปัสสาวะ แต่ไม่ได้ช่วยให้เราเสียไขมันไปแต่อย่างใด

และที่สำคัญ การใช้ caffeine นอกจากจะมีผลกระทบต่อร่างกายหลายอย่าง ยังอาจส่งผลให้อ้วนมากขึ้นได้อีกด้วย




 

Create Date : 11 สิงหาคม 2550   
Last Update : 14 สิงหาคม 2550 5:12:35 น.   
Counter : 2863 Pageviews.  

LCH

LCH ย่อมาจาก Lyophilized Collagen Hydrolysate พูดให้เป็นภาษาชาวบ้านก็คือ ตัวโปรทีน (collagen) ที่ถูกย่อยแล้วทำเป็นเม็ดเล็กๆ นั่นเอง

โปรทีนในที่นี้ โดยมากได้มาจากการต้ม+เคี่ยวกระดูกวัวหรือปลา แล้วจึงนำไปทำ spray dried (lyophilized) กลายเป็นเม็ดแห้งเล็กๆ เพื่อสะดวกในการบรรจุแบ่งขาย (อาจนำไปผสมกับสารตัวอื่นๆได้ ตามแต่ใจของผู้ผลิต)

ผลิตภัณฑ์ที่มี LCH เป็นส่วนประกอบมักโฆษณาว่า สามารถช่วยให้น้ำหนักไขมันลดลง โดยไม่ทำให้น้ำหนักของกล้ามเนื้อลดลง (แถมยังเพิ่มขึ้นอีก) นอกจากนี้ยังช่วยเผาผลาญพลังงานแม้แต่ในเวลานอนด้วย

ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอาหารเสริมลดความอ้วนที่ดีมากทีเดียวเลย แต่ในความเป็นจริง ยังไม่เคยมีรายงานทางวิทยาศาสตร์ที่ชี้ว่าการกิน LCH จะมีประโยชน์ในการลดความอ้วนหรือเพิ่มมวลกล้ามเนื้อแต่อย่างใด

การทดลองที่รายงานผลว่าทำได้จริงนั้น เป็นรายงานของทางบริษัทผู้ผลิตรายหนึ่ง และการทดลองก็ไม่ใช่การทดลองที่ดีด้วย ทำให้มันไม่น่าเชื่อถือ และไม่สามารถนำมาใช้อ้างอิงได้จริง

ในขณะที่การอ้างว่ามีกล้ามเนื้อเพิ่มขึ้นนั้น ก็ไม่มีวันเป็นไปได้ นอกจากคุณจะไปออกกำลังกายให้มีการใช้งานกล้ามเนื้อมากขึ้น

เคยมีคนให้ทฤษฏีการลดความอ้วนของมันว่า เกี่ยวกับเรื่องของ Growth hormone (GH) ซึ่งโดยปกติ ตัว GH จะมีหน้าที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและช่วยในการเจริญเติบโตของเรา และการที่ GH จะถูกใช้ประโยชน์ได้นั้น ต้องอาศัย collagen ในการนำมันเข้าสู่เซล และจากการที่ LCH มี collagen มันจึงช่วยให้ร่างกายเราลดความอ้วนได้

แต่ทฤษฏีนี้ไม่มีทางเป็นจริงครับ เนื่องจาก collagen ที่เขาอ้างว่าเป็นตัวนำ GH เข้าสู้เซลนั้น ก็คือส่วนประกอบของผนังเซลนั่นเอง ดังนั้น คนที่จะใช้ได้จริงตามทฤษฏีนี้ จะต้องเป็นคนที่มีความผิดปกติในการสร้างผนังเซลเท่านั้น (และเราควรพบว่าเขามีภาวะที่เกิดขึ้นอื่นๆอีกมากมายที่เกี่ยวเนื่องจากความผิดปกตินี้) และอีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากคือ หลังจากที่ร่างกายเรากิน collagen เข้าไปแล้ว มันก็จะโดนย่อยเป็น amino acid เหมือนๆกับโปรทีนอื่นๆ ไม่ได้คงรูปของ collagen ตลอดไป (อ่านรายละเอียดได้ในหัวข้อกินคอลลาเจนเพื่อสุขภาพ //www.bloggang.com/viewblog.php?id=marquez&date=11-01-2007&group=8&gblog=11)

การที่มันสามารถช่วยลดน้ำหนักได้นั้น อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งของการขาย มักจะโฆษณาว่าให้กินก่อนนอน 3 ชั่วโมงโดยห้ามกินอะไรตามหลังอีกเลย
นี่ก็เหมือนกับเป็นการบังคับกลายๆว่า ห้ามกินอะไรก่อนนอน (เพราะโอกาสที่มันจะสะสมเป็นไขมันมากกว่าเวลาอื่นๆ เนื่องจากร่างกายไม่มี activity อะไร) และยังช่วยลดปริมาณพลังงานที่ร่างกายจะได้รับอีก

ทำให้ในคนที่ไม่กินอาหารอะไรก่อนนอน ก็มีโอกาสผอมได้โดยไม่ต้องไปเสียเงินซื้อกระดูกวัวมากิน ในราคาที่แพงมากๆหรอกครับ




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 24 กรกฎาคม 2550 9:48:15 น.   
Counter : 1334 Pageviews.  

Chromium

Chromium เป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นสำหรับร่างกาย หน้าที่หลักคือการช่วยให้ร่างกายสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำตาลอย่างเต็มที่ (ช่วยการทำงานของ insulin) นอกจากนี้ยังช่วยในการย่อยสลายโปรทีนและไขมันด้วย

ในธรรมชาติจะมี chromium อยู่ 2 รูปคือ trivalent (chromium 3+) ซึ่งพบในอาหาร และ hexavalent (chromium 6+) ที่เป็นสารพิษจากอุตสาหกรรม, ตัวที่ใช้กันบ่อยๆในอาหารเสริมคือ chromium picolinate

ร่างกายเราต้องการสารนี้ในปริมาณน้อยมาก ประมาณวันละ 20-30 ไมโครกรัม นอกจากนี้ chromium ยังสามารถพบได้ในอาหารหลายชนิดมาก ทำให้คนที่กินอาหารได้ตามปกติพบภาวะขาดสารอาหารนี้ได้น้อยมากๆ โดยอาการที่เกิดหากขาดสารอาหารนี้คือ อาจทำเกิดปัญหากับระบบประสาท และปัญหาในการใช้น้ำตาลของร่างกาย

เนื่องจากหน้าที่หลักของมันคือการช่วยการทำงานของ insulin และมีหลักฐานว่าหากร่างกายขาดจะทำให้เกิดปัญหาเรื่องน้ำตาลในเลือด จึงมีคนคิดที่จะนำมาใช้ในการรักษาโรคเบาหวาน (type 2) แต่จากการศึกษาทดลองที่เคยทำ 15 ครั้ง ในคนกว่า 600 คน ไม่พบว่า chromium จะช่วยให้ร่างกายใช้น้ำตาลได้มากขึ้น (glucose tolerance) แต่อย่างใด (มีเพียงการทดลองในจีนที่เดียวที่ได้ผล)

อีกหนึ่งประโยชน์ที่มีการนำ chromium มาใช้คือ การช่วยเรื่องไขมันในเลือดสูง (เพราะมันช่วยในการย่อยสลายไขมันได้) จากการศึกษาทดลองที่เคยทำ 7 ครั้ง, ใน 6 การทดลอง ไม่พบว่ามีประโยชน์ มีเพียงการทดลองเดียวที่ชี้ว่า chromium ช่วยลด LDL + Triglyceride และเพิ่ม HDL ได้ (แต่การทดลองนี้ ไม่ได้ควบคุมปัจจัยอื่นๆที่จะส่งผลกับระดับไขมันในเลือด โดยเฉพาะอาหาร)

สิ่งสุดท้ายที่มีการนำ chromium มาใช้คือ การช่วยลดความอ้วน จากการศึกษาวิจัย 24 ครั้ง ยังไม่พบว่า chromium มีประโยชน์ในการช่วยลดน้ำหนักเลย แต่ทั้งนี้การทดลองส่วนใหญ่ทำในคนจำนวนน้อยและระยะเวลาไม่มากนัก ในขณะที่การทดลองที่ค่อนข้างดี ให้ผลว่า chromium สามารถช่วยลดน้ำหนักได้จริง แต่น้อยมากๆ จนแทบจะไม่แตกต่างในทางปฏิบัติ

สิ่งที่ควรระวังเมื่อกิน chromium ในระดับสูง
โดยทั่วไปไม่พบว่าการกิน chromium จะไม่เกิดโทษ (อาจกินได้สูงถึงระดับ 200 ไมโครกรัม) แต่หากกินในระดับสูงเป็นเวลานานๆ อาจทำให้เกิดไตวายได้ (เช่นเกิน 1000 ไมโครกรัม)
ในคนที่ต้องกินยาบางชนิด อาจเกิด drug interaction ได้ คือ chromium อาจทำให้ฤทธิ์ของยามากขึ้น เช่น ยากลุ่ม beta-blocker (ยาโรคหัวใจ/ความดัน), ยาแก้ปวดแก้อักเสบต่างๆ

สรุปแล้ว แทบจะบอกได้เลยว่าในคนปกติที่ไม่มีภาวะขาดอาหาร ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกิน chromium เสริมเลย และมันก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้จริงว่ามันจะมีประโยชน์อะไรนัก การที่อาหารเสริมลดความอ้วนทั้งหลาย นิยมใส่ chromium เข้าไปนั้น ก็เป็นเพียงแค่ความเชื่อ หรืออย่างน้อยก็เป็นการช่วยเพิ่มค่าให้ผลิตภัณฑ์มากขึ้นเท่านั้นเองครับ




 

Create Date : 24 กรกฎาคม 2550   
Last Update : 24 กรกฎาคม 2550 9:42:06 น.   
Counter : 1310 Pageviews.  

1  2  

Marquez
Location :
Milano Italy

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 19 คน [?]




A te che sei il mio grande amore Ed il mio amore grande
A te che hai preso la mia vita E ne hai fatto molto di più
A te che hai dato senso al tempo Senza misurarlo
A te che sei il mio amore grande Ed il mio grande amore

[Add Marquez's blog to your web]