|
limit of the sky
เหมือนจะมีสเตอริโอไทป์อยู่ว่า คนไปเรียนต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศตะวันตกกลับมาแล้วจะก้าวร้าว ขาดความเป็นไทย ฟรีเซ็กซ์ ฯลฯ
เนื่องจาก จขบ.ไม่เคยไปนาน จึงไม่รู้ว่าคนที่อยู่หลาย ๆ ปีจะเป็นอย่างไร แต่สิ่งที่รับทราบอย่างหนึ่งก็คือ การไป "อยู่" ต่างประเทศเป็นเวลานานพอสมควรนั้นจะทำให้พบความจริงว่า ที่จริงแล้วทัศนคติที่เคยเชื่อว่าถูกว่าจริง ล้วนเป็นสมมุติมายาทั้งสิ้น ซึ่งหมายความว่าสิ่งที่เราเคยคิดว่า "ต้องเป็นอย่างนี้แหละ" ในสังคมไทย พอไปอยู่สังคมอื่นแล้ว มันก็ไม่ "เป็นอย่างนี้แหละ" อีกต่อไป เพราะคนในสังคมนั้นเขาไม่ได้เชื่ออย่างนั้นกับเราด้วย เขาเชื่ออย่างอื่น มีความคิดเซ็ตอื่น
คนที่ประสบพบเจอสภาวะเช่นนี้ ขั้นแรกอาจจะตกใจ จากนั้นถ้าหากไม่ใช่คนประเภทที่มีทัศนคติแข็งอย่างมั่นคงยิ่ง ก็อาจจะเกิดความรู้สึกอิสรเสรีว่า โอ กูไม่ต้องคิดอย่างนี้ก็ได้นี่โว้ย ความอิสรเสรีนั้นอาจบันดาลให้เกิดความเพริดไป เป็นต้นว่าพูดอะไรที่ไม่เคยพูดมาก่อน ท้าทายอำนาจที่ไม่เคยท้าทายมาก่อน (ตลอดจนเคยคิดว่าท้าทายไม่ได้) รู้สึกว่าตัวเองอยู่ top of the world ที่ได้ทำอย่างนั้น ฯลฯ ตามแต่สภาพจิตใจจะเป็นไป
แน่นอนว่ามันจะมีเฟสต่อจากนี้ คือจะต้องปรับตัวให้เข้ากับขอบฟ้าทัศนคติใหม่ของสภาพแวดล้อมใหม่ (ในสภาพแวดล้อมใหม่ก็มีขอบเขตใหม่เหมือนกัน อย่าหวังเลยว่าจะได้เป็นอิสระยิปปี้อย่างเต็มที่) ซึ่งสภาพแวดล้อมใหม่นี้อาจจะเป็นสังคมประเทศใหม่ หรือเป็น sub-group เช่น กลุ่มคนไทยในประเทศนั้น ๆ อนึ่ง เวลาปรับตัวนั้นก็จะพบความจริงว่ามีกฎเกณฑ์ใหม่ ๆ ที่ตัวเองอาจจะไม่ชอบหรือไม่ยอมรับก็ได้ แต่ก็ต้องยอมรับเพื่อให้อยู่ในสังคมกับเขาได้ เนื่องจากกฎดังกล่าวเป็นข้อตกลงร่วมกันของสังคมนั้น แกไม่ตกลงย่อมไปอยู่กับเขาไม่ได้ และคนเรามักจะทนไม่ได้ถ้าหากไม่สามารถอยู่กับคนอื่นได้ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่เหงาและอ้างว้างง่าย คาดว่ามีเพียงสักหนึ่งเปอร์เซ็นต์หรือน้อยกว่านั้นเท่านั้นหรอกที่ไม่ต้องการใครเลยจริง ๆ (และในหนึ่งเปอร์เซ็นต์ดังกล่าวอาจมีพวกหลอกตัวเองว่าตูไม่ต้องการ แต่จริง ๆ ต้องการเช่นกัน)
อย่างไรก็ตาม ต้องขอเตือนว่า ทัศนคตินั้นเป็นสิ่งที่ฝังในอย่างยิ่ง จะมีบางความเชื่อที่ไม่ว่าเรารู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ก็จะเป็นความเชื่อที่ฝังลึกอยู่ในตัวเราอย่างนั้น โดยที่เราเองก็ไม่รู้ว่าจะขุดได้หรือไม่ได้ ความเชื่อเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของอีโก้ของเรา แม้แต่คนที่ดู fluid ปรับตัวเก่งที่สุดก็ยังมี คือเชื่อว่าการปรับตัวเลื่อนไหลได้เป็นเรื่องดี สิ่งแบบนี้ จขบ.ยังไม่มีความรู้มากพอว่าจะเปลี่ยนได้หรือเปล่า เปลี่ยนได้ขนาดไหน แต่มีผู้บอกจขบ.ไว้ว่า ชีวิตจะบังคับให้เราพบด้านตรงข้ามของเราอยู่ดี และเราจะรู้สึกหงุดหงิดกับด้านตรงข้าม (คนที่เชื่อไม่เหมือนกันอย่างคนละขั้ว) เหล่านี้ จนกว่าเราจะยอมรับได้ว่า มันไม่ได้มี dualism อย่างที่เราคิดไว้หรอก
เร็ว ๆ นี้ จขบ.เห็นคนพูดกันเรื่องผู้หญิงควรบริสุทธิ์ก่อนแต่งงานหรือไม่ (ตัวอย่างหนึ่งของความเชื่อฝังลึก ซึ่งอาจถูกถอดถอนได้ง่าย ๆ อย่างไม่น่าเชื่อเมื่อย้ายไปสังคมใหม่)
ถามจขบ. จขบ.ก็ว่ามันเป็นมายาการ คิดไปเอง แต่ถึงอย่างนั้น มายาการก็มีผลกระทบต่อผู้คนในสังคมได้ ทำให้คนคนหนึ่งถูกตัดสินหรือไม่ถูกตัดสิน ทำให้สภาพจิตใจของคนคนหนึ่งถูกปรับเปลี่ยนไปตามพลังความคิดความเชื่อ ทำให้โลกดำเนินไปตามพลังความคิดความเชื่อ พลังความคิดความเชื่อนั้นก็ให้ "พลัง" กับใครบางคน และปล้นเอา "พลัง" ไปจากใครบางคน ตลอดจนเมื่อย้ายสังคมใหม่ "พลัง" ที่เคยมีเคยได้ ก็จะหลุดไปจากมือ ไปอยู่ในมือของคนอื่นที่เล่นตามกติกาของสังคมนั้น ๆ แทน
ด้วยเหตุว่าคนเรามีแนวโน้มจะตกเป็นทาสของกติกา ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งเสมอ แม้คนที่ไม่ยอมตกเป็นทาส ก็มีสิทธิ์จะถูกอัปเปหิออกไปจากฝูงได้ (ซึ่งก็เป็นความรุนแรงอย่างหนึ่งเช่นกัน และอาจจะส่งผลให้ย้ายไปอยู่ฝูงใหม่ที่มีกติกาใหม่ต่อไป) จขบ.จึงเรียกร้องให้คนปฏิบัติต่อกันด้วยน้ำใจ เพราะจขบ.มีความเชื่อว่าน้ำใจจะไปไกลกว่าสมมุติมายาได้ น้ำใจคือการมองคนอื่นว่าเป็นมนุษย์ เป็นเหมือนเรา ดังนั้นจึงเรียกว่ามนุษยธรรม (การกระทำ/ธรรมชาติของคนที่เป็นมนุษย์)
พูดตามความสัตย์จริง จขบ.ก็ยังคงมีชีวิตอยู่ด้วยจิตใจแบบนั้นตลอดเวลาไม่ได้ แต่ก็ปรารถนาจะ walk the talk และหาไปจนกว่าจะเจอหนทางในแบบของตัวเองที่จะทำได้
Create Date : 15 มิถุนายน 2554 |
Last Update : 15 มิถุนายน 2554 10:14:33 น. |
|
1 comments
|
Counter : 751 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ro IP: 125.25.215.113 วันที่: 17 มิถุนายน 2554 เวลา:10:11:08 น. |
|
|
|
| |
|
|
เวลาคุยกับคนที่ยึดมั่นในความคิดเห็นของตัวจะรู้สึกว่าคุยลำบากมาก