- ประวัติ พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ : About Pol.Col.Dr.Siriphon Kusonsinwut
- ชีวิตในสาธารณรัฐประชาชนจีน (กงสุล)
- ชีวิตนักเรียนฯ ในสหรัฐ : My Life & Experience in the United States School of Law
- การเรียนกฎหมายสหรัฐ :Course Outlines & Study In U.S. Law School [ JD. / LL.M. / JSD./ SJD. Program ]
- ว่าด้วยหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญของสหรัฐฯ : The U.S. Constitutional Law : Rule and Legal Issues
- กระบวนการยุติธรรมสหรัฐ: Law & Order - Criminal Justice System: Criminal Law & Criminal Procedure Issues, 4th, 5th, & 6th Amendment, to the U.S. Constitution
- กฎหมายว่าด้วยทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ : U.S. Intellectual Property Law : Trademark & Unfair Competition Law, Patent and Copy Rights Law
- Conflict & Peace Resolution: การจัดการปัญหาความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
- กฎหมาย อำนาจ ผลประโยชน์ กับ การเมืองของไทย : Law & Problems in Thai Politics v. Fucking Coup
- บางปัญหาหลักกฎหมายมหาชน และหลักนิติรัฐของไทย: Rule of Law (Etatdedroit ) & Constitutional & Legal Issues in Thailand
- เกร็ดความรู้เกี่ยวกับการสอบสวนคดีอาญาของพนักงานสอบสวนและสั่งคดีของพนักงานอัยการ
- เพื่อสถาบันตำรวจไทย : The Royal Thai Police
- แด่ทวีธาภิเศก เตรียมทหาร นายร้อยตำรวจ และธรรมศาสตร์ : Educational Institute Alumni
- ขายความคิด นานาสาระ เล่าสู่กันฟัง : Idea Retailor & Current Global Problem Story
- ชีวิตหลังการศึกษา สู่โลกแห่งความเป็นจริง
- นำเที่ยวในสหรัฐและแคนนาดา : Travel Around the United States & Canada [ Victoria, Vancouver, California, Arizona, Florida, Pennsylvania, Ohio, Chicago, Indiana, New York, etc.]
- ท่องเที่ยวในอังกฤษ & ยุโรป : Travel Around England, Scotland and Europe [France, Belgium, Germany ]
- การท่องเที่ยวในเอเชีย : ไต้หวัน เวียดนาม มาเลเซีย และญี่ปุ่น : Travel Around Taiwan Japan and other Country in Asia
|
|
|
|
|
|
แด่ผู้มีพระคุณทางการศึกษา
ผมอยากจะกล่าวถึงผู้มีพระคุณทางการศึกษาของผมตั้งแต่เด็กมาจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีจำนวนมากมายเหลือเกิน ซึ่งแบ่งเป็น ๒ ส่วน คือ ภาคประเทศไทย กับภาคสหรัฐฯ
ผมเข้าโรงเรียนครั้งแรก ในยุคนั้น ประมาณ พ.ศ. ๒๕๒๑ ในจังหวัดบ้านเกิดผม ยังไม่มีโรงเรียนอนุบาล การเริ่มเรียนของเด็กส่วนใหญ่จะเริ่มค่อนข้างช้ามาก เช่นตัวผมเองนี่ เริ่มเรียนตอน ๗ ขวบบริบูรณ์ ขอเน้นนะครับว่า "บริบูรณ์" จริง ๆ เท่านั้น โรงเรียนจะไม่ยอมรับเด็กที่มีอายุ ๖ ขวบนิด ๆ เข้าเรียนโดยเด็ดขาด ต้องบริบูรณ์แบบไม่ขาดไปเลยแม้แต่วันเดียวเท่านั้น
ผมได้เฝ้ารอวันที่จะเข้าโรงเรียนอย่างใจจดใจจ่อ เท่าที่จำได้ ผมรอนานมาก เพราะเห็นพี่ ๆ ที่บ้านผม เดินทางไปโรงเรียนแต่เช้าทุกวัน ผมได้แต่รอว่าพี่ ๆ เมื่อไหร่จะกลับมา แล้วก็ถามพี่ ๆ ว่า วันนี้เรียนอะไรกันบ้าง มีอะไรสนุกบ้าง รออยู่อย่างนั้น ถามอยู่อย่างนั้นอยู่หลายปีก่อนที่ตัวเองจะได้มีโอกาสสัมผัสชีวิตการเรียนจริง ๆ
ครูคนแรก ชื่อ คุณครูทิพย์วรรณ หมุยจินดา ท่านสอนจับดินสอแบบที่ทำด้วยไม้แล้วก็ลากมือผมไปตามตัวอักษร ก. ข. ฯลฯ ดินสอสมัยนั้น ต้องใช้มีดเล็ก ๆ เหลาไส้ดินสอให้คม เพื่อนบางคนผมเขามีวิทยาที่ล้ำหน้าหน่อย ในสมัยนั้น ก็จะใช้กบเหลาดินสอตัวเล็ก ๆ ซึ่งมันน่าตื่นเต้นไม่น้อยเลย เพราะครูคนนี้แหละ ที่ทำให้ผมอ่านออกเขียนได้มาจนถึงปัจจุบัน ขอบพระคุณท่านครับ ไม่มีท่านแล้ว ผมคงอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ ครับ
ตอนไปเรียนใหม่ ๆ เห็นเพื่อนนั่งร้องไห้ เพราะต้องมาโรงเรียน กว่าพ่อแม่จะกลับบ้านได้ ก็แทบย่ำแย่ ผมแปลกใจไม่น้อย และไม่เข้าใจเลยว่า ทำไมเพื่อน ๆ ผม เขาต้องร้องไห้นะ นอกจากนี้ ยังสะเออะ เข้าไปปลอบเขาอีก ตัวผมเองดีใจแทบตายที่ได้เข้าโรงเรียนเสียที ทำไมเพื่อนผมมันร้องไห้ที่ต้องมาโรงเรียนฟะ .... งงนะเนี่ย
รุ่นผมเป็นรุ่นแรก ที่มีการวัดผลการเรียนแบบตัดเกรด (ตั้งแต่เกรด ๑ ถึงเกรด ๔) รุ่นพี่ชั้น ป. ๒ เขาเรียนแบบคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ ตอนเล็ก ๆ นี่ ตั้งใจเรียนมาก ได้เกรด ๔ หมดทุกตัว ... รุ่นพี่ผมที่อยู่ ป.๒ เขารู้สึกแปลกใจกับระบบเกรดมาก มาขอดูแบบบันทึกการเรียนของรุ่นน้อง ๆ กันใหม่ แล้วเขาก็บอกว่า
คนที่ได้เกรด ๑ คือ ได้ที่ ๑ ส่วนคนที่ได้เกรด ๔ คือ คนที่ได้ที่ ๔
เวรกรรมเลยครับ รุ่นพี่ผมเขาว่าอย่างนั้น .... เฮ้อ..... ผมยังทันแบบเรียน ปิติ มานะ มานี กับเจ้าแก่ ที่พวกเขาเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เริ่มไปโรงเรียนตั้งแต่เด็ก ๆ แบบผม จนกระทั่งเจ้าแก่มันแก่ตายไป ตอนนี้ แบบเรียนนี้ คงไม่ได้ใช้แล้ว แต่ผมชอบแบบเรียนแบบนี้ วิธีการสอนแบบที่ผมเรียน โดยเฉพาะการเรียนวิชาภาษาไทย ที่เน้นการผสมคำและผสมเสียง ทำให้สะกดคำได้อย่างถูกต้อง
ผมเห็นวิธีการอ่านหนังสือของหลาน ๆ ผมแล้ว ผมตกใจมากกับวิธีการสอนของครูสมัยใหม่ ในการสอนสะกดคำ เช่นคำว่า "โรงเรียน"
ถ้าเป็นสมัยผม ก็สอนว่า
"ร" - "โอ" - "โร" - ง" - "โรง", "ร" - "เอีย" - "เรีย" - "น" - "เรียน"
แต่ครูสมัยใหม่ สอนให้อ่านแบบเรียงตัวแบบภาษาอังกฤษ คือ
"โอ - รอ - ง" = "โรง", "เอ- รอ- อี- ยอ- นอ" = "เรียน"
ไม่รู้สิครับ สอนแบบนี้ ผมว่าเด็กอ่านและผสมคำใหม่ ๆ ด้วยตัวเองไม่ได้แน่ ๆ ไม่รู้ว่าใครคิด ให้สอนแบบนี้ น่ากังวลจริง ๆ ผมเห็นเด็กยุคใหม่หลายคน (ไม่รู้ว่าจะเป็นเฉพาะแค่หลาน ๆ ผมหรือเปล่า) อ่านหนังสือ และเขียนสะกดคำไม่ค่อยถูก น่าแปลกมาก
ที่จริงยังมีครูอีกหลายท่านที่อยู่ในความทรงจำที่ดีของผม โดยเฉพาะคุณครู "สมสมัย" และคุณครู "เพ็ญศรี" ที่โรงเรียนทวีธาภิเศก ทั้งสองท่านนี้ มีความเมตตากรุณาต่อลูกศิษย์เป็นอย่างมาก ท่านแรกสอนวิชาภาษาอังกฤษ ส่วนท่านที่สองสอนวิชาคณิตศาสตร์ ผมต้องขอขอบคุณครูทุกท่านที่สอนสั่งผมมาโดยตลอด
ที่ธรรมศาสตร์ ก็มีอาจารย์หลายท่านที่กรุณาผมมาก ๆ โดยเฉพาะก่อนผมมาเรียนที่สหรัฐฯ นี่ เป็นช่วงที่ผมจะต้องทำอะไรเร่งด่วนให้เสร็จสิ้นหลายประการ เช่น ต้องส่งเอกสารวิจัย สำหรับหลักสูตรนิติศาสตรมหาบัณฑิต ที่ธรรมศาสตร์ ให้เสร็จสิ้น ไม่งั้นผมก็ต้องทิ้งมันไป ซึ่งแน่นอนครับ ได้ความเมตตาจากอาจารย์ ช่วยเหลือ แนะนำ แก้ไข งานวิจัยจนสำเร็จลงจนได้ ขอบคุณครับ
อีกท่านที่ผมต้องขอบคุณ คือ อาจารย์สงวนฯ ที่เสาชิงช้า อาจารย์สงวน เป็นเพื่อนกับผู้บังคับบัญชาของ ท่านเห็นผมจะมาเรียนที่สหรัฐฯ ท่านก็ให้โอกาสผมไปเรียนที่โรงเรียนเสริมหลักสูตร ที่เสาชิงช้า โดยไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายเลย แต่บังเอิญผมมียังต้องทำงานในตำแหน่งหัวหน้านิติกร ฝ่ายตรวจสอบสำนวนคดีอาญา (เสนอความเห็นแย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการ) จึงทำให้มีเวลาไปเรียนน้อย เพียงสองเดือนก่อนมาเรียนในสหรัฐฯ แต่ก็ได้อะไรมากมาย โดยเฉพาะภาคคำศัพท์ ซึ่งเป็นพื้นฐานอย่างดีในการอ่านหนังสือเรียนในสหรัฐฯ
ที่กล่าวมาเป็นเพียงเศษเสี้ยวนะครับ เพราะยังมีอีกมากมายหลายท่าน ที่ผมไม่ได้เอ่ยนาม แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าผมไม่ได้เคารพรักท่านนะครับ
Professor Hoffmann
ส่วนในสหรัฐฯ นี้ อาจารย์คนแรกของผม คือ Professor Hoffmann ที่ Indiana Law School นอกจากท่านจะมีประวัติโดดเด่น ตั้งแต่เริ่มชีวิตการทำงานของท่าน โดยเป็นเลขาของ Justice William H. Rehnquist อดีตประธานศาลสูงสุดสหรัฐฯ ผู้เพิ่งล่วงลับไปไม่นาน แล้ว ท่านเข้าใจเด็กต่างชาติดี ท่านจึงจัดการเรียนการสอนเป็นพิเศษ นอกหลักสูตร เพื่อปูพื้นฐานให้แก่เด็กต่างชาติที่เป็นกะเหรี่ยงอย่างพวกผมนี่แหละ Professor Hoffmann สอนหลายวิชาในเรื่องกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กฎหมายอาญา และกฎหมายรัฐธรรมนูญ มีความสามารถในการอธิบายและหยิบยกปัญหามากระตุ้นให้นักเรียนได้คิด นำประเด็นใหม่ ที่น่าสนใจและท้าทายมาให้คิดเสมอ ท่านยังสามารถพูดได้หลายภาษา เข้าใจวัฒนธรรมของเด็กต่างชาติเป็นอย่างดี มีน้ำใจเอื้ออาทร จัดงานเลี้ยงตอนรับพวกเรา ตอนแรกเข้า และงานแสดงความยินดีตอนสำเร็จการศึกษา น่ารักมากครับ
Professor Thomas Ulen
ลักษณะที่โดดเด่นอย่าง Professor Hoffmann นี้ ผมได้มาเจออีกครั้งที่ University of Illinois College of Law คือ Professor (Dr.) Tom Ginsburg และ Professor (Dr.) Thomas Ulen ซึ่งปัจจุบัน ท่านทั้งสองคนเป็น Advisor ของผมในหลักสูตรปริญญาเอกทางกฎหมาย (JSD Program)
Professor Ginsburg
เพื่อน ๆ ของผมจะทราบดีว่า ผมไม่ได้เป็นคนเก่งอะไรมากมาย แต่อาจจะเป็นคนที่มีความพยายาม (ในระดับหนึ่ง) เท่านั้น ซึ่งผมก็ตระหนักดีเสมอมา ยิ่งเป็นการสมัครเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาเอก (JSD Program) ด้วยแล้ว ยิ่งเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญยิ่งนัก มีคนที่ฉลาดปราชญ์เปรื่องจำนวนมากมาย ที่ไม่อาจจะต่อปริญญาเอกทางกฎหมายในสหรัฐฯ ได้ จะสังเกตได้จากอาจารย์คณะนิติศาสตร์ ในประเทศไทย มีจำนวนน้อยมากที่สำเร็จปริญญาเอกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ด้วยเหตุนี้ที่มันสมัครเข้าเรียนยากมาก เพราะแต่ละ Law School จะรับเด็กของตัวเอง เข้าเรียนปีละ ๒ หรือ ๓ คน เป็นอย่างมาก มีข้อยกเว้นบ้าง ที่จะรับเด็กที่จบปริญญาโทจาก Law School อื่น ที่สำคัญมีเพียงไม่กี่ Law School ที่เปิดการเรียนการสอนในระดับปริญญเอกอีกต่างหาก
ผมเป็นคนโชคดี ที่ได้อาจารย์สองท่านนี่แหละสนับสนุน หากปราศจากสองท่านนี้แล้ว ผมก็คงได้ขนกระเป๋ากลับเมืองไทยไปตั้งแต่เดือนมิถุนายน ปี พ.ศ.๒๕๔๘ แล้ว ในโอกาสนี้ จึงขอเขียนบล๊อกขอบคุณท่านทั้งสองครับ แม้ท่านจะไม่อ่านภาษาไทยได้ ก็ตาม
Professor Tom Ginsburg จบการศึกษาระดับปริญญาเอก จาก UC Berkeley เคยไปการศึกษาวิจัยที่ญี่ปุ่นและประเทศไทย เป็นเวลา ๑ ปี พูดและเข้าใจภาษาญี่ปุ่นและภาษาไทยได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ยังสามารถเข้าใจภาษาจีนและภาษาเกาหลีได้ดีอีกระดับหนึ่งด้วย ผมว่าท่าน Professor Tom กับ Professor Hoffmann เหมือนกันหลายจุด โดยเฉพาะการเข้าใจวัฒนธรรมที่แตกต่าง มีการเลี้ยงต้อนรับ และ เลี้ยงแสดงความยินดีกับนักศึกษาที่สำเร็จการศึกษาที่บ้านของท่าน เหมือน ๆ กัน สอนให้เข้าใจได้ดีเหมือนกัน ๆ
ส่วนท่าน Professor Ulen นี่ ท่านจบปริญญาเอก จาก Stanford University งานวิจัยของท่านเน้นทางด้าน Law and Economics ที่นักกฎหมายส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในประเทศไทย มองข้าม เพราะวิชาเศรษฐศาสตร์ มันช่างล้ำลึกเข้าใจยากยิ่งนัก ปัจจุบันท่านได้รับแต่งตั้งจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เป็น Swanlund Chair ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภูมิใจมาก เพราะ ตำแหน่ง Chair เป็นตำแหน่งสูงสุดทางวิชาการที่มหาวิทยาลัยในสหรัฐจะมอบให้ได้
ผมได้มีโอกาสเรียนกับ Professor Ulen ตอนเรียนปริญญากฎหมาย(ใบที่สอง) ที่อิลลินอยส์ นี่แหละ ท่านได้บรรยายกฎหมายให้พวกเราฟัง พร้อมยกงานวิจัยของศาสตราจารย์ทางกฎหมายและสาขาอื่น ๆ อย่างรอบด้านมาเปรียบเทียบ ทำให้เรามองกฎหมายในด้านต่าง ๆ กว้างขึ้นโดยเฉพาะ แนวคิดทางกฎหมาย ที่วิเคราะห์วิจัยโดยทฤษฎีทางเศรษฐศาสตร์ ท่านยังพาพวกเราไปดูงานและกระบวนพิจารณาคดีของศาลในสหรัฐฯ ทั้งระดับ State Court & Federal Court พร้อมกับมีงานเลี้ยงมากมาย ที่ท่านออกค่าใช้จ่ายเอง
ท่านเป็นคนมีน้ำใจอย่างมาก นอกจากท่านจะรับเป็นที่ปรึกษาของผมอย่างเต็มใจและกระตือรือร้นแล้ว เมื่อท่านทราบว่า ผมจะขออนุญาตเดินทางไประเทศญี่ปุ่น เพื่อดูงานกระบวนการยุติธรรมที่ได้รับการยอมรับว่ามีประสิทธิภาพสูงสุดในโลก โดยเฉพาะแนวคิด และทางปฏิบัติในการสืบสวนสอบสวนคดีอาญาของประเทศญี่ปุ่น รวมถึงแนวคิดในด้านตำรวจชุมชนสัมพันธ์นั้น ท่านได้เสนอให้เงินช่วยเหลือผมทันที เป็นเงินจำนวน ๕๐๐ เหรียญ (ซึ่งความจริงท่านให้ผมมากกว่านั้นเยอะ ตอนไปจริง ๆ ครับ) โดยผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะมีใครที่ใจดีต่อเราได้ถึงเพียงนี้
ผมแทบน้ำตาไหลพราก ๆ ออกมาเลยก็ว่าได้ เพราะอะไรหรือครับ .... ก็ไอ้โครงการที่ผมจะไปดูงานและเก็บข้อมูลในประเทศญี่ปุ่นนี่แหละครับ ผมได้ทำเรื่องถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อร้องขอรับการสนับสนุน ให้ช่วยจัดทำหนังสือถึงประเทศญี่ปุ่น (ผ่านสถานฑูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย) เพื่อให้ผมได้เข้าถึงข้อมูลได้ง่ายหน่อย ทั้งนี้ เพื่อนผมชาวญี่ปุ่นของผม ซึ่งเป็นพนักงานอัยการ ได้เมตตาต่อผม ติดต่อรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม ของญี่ปุ่น จนได้รับคำยืนยันว่า รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของญี่ปุ่น ยินดีต้อนรับ และอำนวยความสะดวก พร้อมจะจัดหาล่ามแปล ฯลฯ ทุกประการแก่ผมแล้ว เพียงแต่ขอให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำหนังสืออย่างเป็นทางการ ในทำนองยืนยันว่า ผมเป็นตำรวจ และขอความช่วยเหลือทางวิชาการเท่านั้น ................ แต่ผมกลับได้รับการตอบสนองแบบแปลก ๆ จากองค์กร ที่ผมรักมากที่สุดของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้ใช้เงินงบประมาณขององค์กรเลยแม้แต่สตางค์แดงเดียว
ผมได้แต่คิดและหวังว่าหลายอย่างจะสดใสขึ้น เพราะหากจะเปรียบเทียบกันแล้ว ดูเหมือนอะไร ๆ ของญี่ปุ่นมันจะง่ายไปหมด เพื่อนผม ติดต่อรัฐมนตรีของเขา ผ่านระบบจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ (e-mail) ..... รัฐมนตรีของเขาตอบกลับมาทันควัน ผ่านระบบอีเมลล์เช่นกัน ว่ายินดีต้อนรับ พร้อมให้รายชื่อ เจ้าหน้าที่ในการติดต่อ ทั้งประเทศญี่ปุ่น และเจ้าหน้าที่ที่สถานทูตไทยประจำประเทศญี่ปุ่นมาพร้อมสรรพ .... หลายเหตุการณ์ เช่น ความวุ่นวายในเมืองไทย แนวคิดผู้บริหาร และระบบราชการไทย ทำให้ผมชักคิดย้อนหลังไปเสมอ ๆ ว่า ผมคิดถูกหรือผิดนะที่ปฏิเสธโอกาสที่สวยงามของตัวเอง ที่ครั้งหนึ่งได้รับการเสนอจาก World Bank ในฐานะนักกฎหมายไป
ผมชักเชื่อคำพูดของเพื่อนผมซะแล้วว่า พนักงานอัยการประเทศญี่ปุ่น ซื่อสัตย์ และขยันทำงานอย่างมาก โดยญี่ปุ่นมีอัยการมากกว่าประเทศไทยเพียงเล็กน้อย แต่ประชากรมากกว่าประเทศไทย ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ เพื่อนผมบอกว่า พนักงานอัยการของญี่ปุ่น ตั้งแต่ระดับเล็กสุด จนถึงอัยการสูงสุด ทำงานวันละไม่น้อยกว่า ๑๔ ชั่วโมง ไม่เว้นเสาร์อาทิตย์ ในขณะที่ได้เงินเดือนมากกว่าข้าราชการอื่น ๆ เพียง ๓๐ เปอร์เซ็นต์ แต่ทำงานหนักหามรุ่งหามค่ำ คงจะจริงครับ เพราะเขาสามารถติดต่อกันทางอีเมลล์ ในทุกระดับ ตั้งแต่เพื่อนผมที่เป็นอัยการใหม่ ๆ ใช้อีเมลล์ ติดต่อสื่อสารกับรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของเขาได้ ไม่ทราบว่าเป็นเพราะรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของเขาเคยเป็นพนักงานอัยการด้วยกันหรือเป็นเพราะเขามีระบบการทำงานที่ดีนะครับ
เอ่อ .... ผมกล่าวนอกเรื่องไปเสียนาน ใจจริง อยากจะกล่าวขอบคุณอาจารย์ของผมเท่านั้นครับ ส่วนปัญหาอุปสรรค มันเป็นเรื่องธรรมดาครับ ทุกคนต้องเจอ โดยเฉพาะผม ยังต้องเจอปัญหาอุปสรรคที่สำคัญ คือ Professor Ginsburg มีแนวโน้มกำลังจะย้ายไปสอนที่ University of Pennsylvania Law School แล้ว เฮ้อ ...... ไม่มันส์เลยครับ .......
ปีก่อน เห็นรุ่นน้องที่ คณะเศรษฐศาสตร์ ต้องยุติการเรียนระดับปริญญาเอก เพราะอาจารย์ย้ายมหาวิทยาลัยนี่แหละ หวังว่าผมจะไม่ต้องมีชะตากรรมแบบเดียวกัน และผมหวังว่า ผมคงคิดไม่ผิดที่ทิ้งโอกาสอันงดงามกับ World Bank ในครั้งนั้น
ปล. ผมได้อัพเดทบล๊อกกฎหมาย ที่เกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ไว้ด้วย หากสนในขอเชิญ คลิ๊กที่นี่ ได้เลยครับ
Create Date : 28 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 2 มิถุนายน 2553 14:42:38 น. |
Counter : 743 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
ฝันร้าย กับสิ่งเพี้ยน ๆ ของผม
เมื่อคืนวันที่ ๑๖ ม.ค. ๔๙ ผมฝันว่า ประเทศไทย มีการแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย สู้รบกัน แบบสงครามกลางเมือง ฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ รบพุ่งกัน ถึงขั้นเกือบจะแตกหัก กองกำลังฝ่ายเหนือ กับฝ่ายใต้ สู้รบกันมันหยดติ๋ง ๆ มีเพียงลำน้ำกั้นระหว่างสองฝ่าย โดยแต่ละฝ่ายระดมยิงเข้าหากันตลอดเวลา จำไม่ได้ว่า ฝ่ายใด ที่รวบรวมนักปราชญ์ เพื่อเตรียมหลบหนีแล้วไปสร้างชาติใหม่ ......
ตกใจตื่นทันที ไม่ทราบว่า ทำไมจึงฝันแปลกประหลาดเช่นนั้นได้ ไม่ทราบว่าผมฟังรายการ ที่คุณสนธิฯ พูด มากเกินไปหรือเปล่า หรือ ไม่เช่นนั้น ผมก็คงจะศึกษาเกี่ยวกับ Civil war ที่มีฝ่าย Confederation กับ Federation ของสหรัฐฯ มากเกินไปเป็นแน่แท้ จนทำให้ผมฝันเช่นนั้นไปได้
ที่จริง ผมก็ทั้งอ่าน และฟังรายการของคุณสนธิฯ หลายครั้ง แต่อาจจะทำให้ผมฝันร้าย ก็ตอนที่เขานำผู้คนไปชุมนุมหน้าสถานที่สำคัญ แล้วมีการทำลายทรัพย์สินของทางราชการ ถ้อยคำตอนหนึ่งของคุณสนธิฯ บอกว่า นายกพูดจาหยาบคายไม่ได้ พูด "มึง มา พา โวย วะ" อะไรไม่ได้ เพราะมีวุฒิภาวะสูง ไม่เหมือน คุณสนธิฯ ที่จะพูดจาหยาบคาย อะไร อย่างไร ก็ได้ทั้งนั้น ฟัง ๆ ดูแล้ว ก็เข้าท่าดี เพราะเป็นนายกรัฐมนตรี ก็ต้องมีความอดทนสูง และมีวุฒิภาวะสูง
แต่อย่างไรก็ตาม ผมไม่ค่อยคล้อยตามกับเหตุผลของคุณสนธิฯ ที่ว่า ตัวเขาเองนั้นจะพูดอย่างไรก็ได้ จะหยาบคาย แค่ไหน เพียงใด หรือจะพูดไม่ตรงกับความจริง หรือ จริงแต่ไม่จริงทั้งหมด อย่างไรก็ได้ ผมไม่สบายใจเท่าไหร่ ที่เขาจะคิดเช่นนั้น เพราะเขาคือ "สื่อมวลชน" ซึ่งแม้แต่อดีตพระมหากษัตริย์ของเรา ยังยอมรับว่า เขาคือ ฐานันดรที่ ๔ ของสังคมเลยทีเดียว
สื่อมวลชน มีอิทธิพลสูงต่อสังคมอย่างมาก เพราะสามารถสร้างกระแสต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นในสังคมได้โดยง่าย โดยเฉพาะในภาวะที่คนอยู่ในภาวะไร้เหตุผล หรือถึงขึ้นบ้าคลั่งแล้ว ยิ่งสามารถถูกชักจูงได้ง่าย อีกทั้ง เยาวชน ยังจับจ้องมองสื่อมวลชนอย่างไร หากเขาเห็นว่า การพูดจาหยาบคาย โป้ปด มดเท็จ เป็นเรื่องธรรมดา ที่คนที่ไม่ใช่นายกรัฐมนตรี สามารถกระทำได้แล้ว ผมว่าจะเป็นอันตรายต่อสังคมอย่างมาก
ผมได้ฟังคุณสนธิฯ พูดอีกครั้ง ตอนที่มีครูไปชุมนุมกัน คุณสนธิฯ ใช้สไตล์ การพูดเช่นเดิม ทั้งหยาบคายและไม่จริงหลายส่วน เช่นว่า คุณสนธิฯ ว่า หลังจาก นายกรัฐมนตรีฯ จบการศึกษา ระดับปริญญาเอก จากมหาวิทยาลัย Sam Houston แล้ว มหาวิทยาลัย ได้ยุบคณะ Criminal Justice ที่นายกฯ จบมาทันที โดยนายสนธิฯ อ้างหลายเหตุผล .... ผมตกใจ รีบคลิ๊ก อินเตอร์เนต ดูข้อมูลทันที นอกจากจะไม่จริงแล้ว มหาวิทยาลัย แห่งนี้ ยังได้ขยายปริญญาเอกทาง Criminal Justice ไปอีกหลายสาขา มีคณาจารย์กว่า ๔๐ คน ซึ่งถือ เป็นคณะอาชญาวิทยา ที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ คณะหนึ่ง เลยก็ว่าได้
อีกส่วนหนึ่งที่ นายสนธิฯ พูดถึง คือ นายกรัฐมนตรีฯ ไม่เคยดื่มพิพัฒน์สัตยา ผมเอง ยังเคยดื่มเลย ผมเชื่อว่า ท่านก็เคยดื่มน้ำพิพัฒน์สัตยา ที่มีคมหอกคมดาบ ปักไว้อยู่ ที่ผมเคยเข้าพิธีอันสำคัญอย่างนี้ ไม่ใช่เพราะผม ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อะไรตามที่นายสนธิ อ้างหรอก แต่เพราะ นักเรียนนายร้อยตำรวจ นายร้อย จปร. ฯลฯ ต้องฝึกหลักสูตรกระโดดร่ม หากใครเข้าฝึกหลักสูตรนี้ ก่อนจะได้เป็นนักเรียนพลร่ม จะต้องเข้าสู่พิธีนี้ทั้งสิ้น
ตำรวจพลร่ม ค่ายนเรศวร (ประจวบคีรีขันธ์) ที่ผมไปฝึกมา ตอนอยู่ปี ๑ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ ได้จัดพิธีนี้ ต่อหน้าพระบรมสาธิตลักษณ์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะตำรวจพลร่ม มีภารกิจสำคัญ นอกจากจะรบเพื่อชาติแล้ว ยังต้องถวายอารักขาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์เสมอมาด้วย นักเรียนนายร้อยตำรวจทุกคนที่ผ่านหลักสูตรกระโดดร่ม จึงต้องเข้าพิธีอันศักดิ์สิทธิ์นี้ทั้งสิ้น .... สิ่งที่คุณสนธิฯ พูดจึงคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงไปอย่างมาก
ผม ฟังคุณสนธิ หลายครั้ง แต่ที่แน่ ๆ ผมว่า คนที่ฟังคุณสนธิฯ มาก ๆ จะทำให้มีความอดทนต่อการใช้คำหยาบคาย และการพูดจริง ไม่หมด มากยิ่งขึ้นเป็นแน่แท้ ขนาดผม ยังเก็บเอาไปฝันร้าย ได้ถึงขนาดนั้น ....ไม่น่าเลยครับ ผมจะสรรเสริญ คุณสนธิฯ ในฐานะสื่อมวลที่เปิดหูเปิดตาประชาชนให้ได้รับข้อมูลข่าวสารในอีกด้านหนึ่ง มากขึ้น หากคุณสนธิฯ ไม่ใช่ภาษาหยาบคาย ส่อเสียด ไม่พูดเท็จ หรือ ไม่พูดจาที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ที่สามารถตรวจสอบได้ก่อนพูด แต่ไม่ยอมทำ ซึ่งมีอีกหลายอย่างมาก ไม่อาจนำมาพรรณนาในที่นี้ได้
ผลของการฝันร้าย ทำให้เกิดสิ่งเพี้ยน ๆ ในชีวิตของผมเลย คือ ตอนเดินทางกลับมาอิลลินอยส์ ในวันนี้ (๑๗ ม.ค. ๔๙) เบลอเลยครับ เช็คอินเสร็จ เดินเข้าประตูเครื่องบินของสายการบิน United Airline ก็เดินตรงไป Gate ๑๕ ทันที ทั้ง ๆ ที่ตาก็อ่านในบัตรว่าเป็น Gate ๑๓ รอไปซิครับ ..จนได้เวลา ทำไม ไม่มีคนมาเลย .... ลองควัก(ตั๋ว) ขึ้นมาดูใหม่ แย่เลยครับ รอผิดที่ ..... วิ่งตาเหลือก ไปยัง Gate ๑๓ โชคดีที่ยังทันในวินาทีสุดท้าย เฮ้อ ...ผม ไม่น่าเลยครับ .....
ปล. ผมไม่อยากให้ฝันร้ายกลายเป็นจริง เพราะถ้าบ้านเมืองเกิดสภาวะไร้กติกา ย่อมไม่เป็นผลดีต่อสังคมโดยรวมเป็นแน่ กติกาของประชาธิปไตย คือ การขับไล่คนเลวออกจากระบบการเมืองเป็นระยะ ๆ เช่น บ้านเมืองไทยของเรา ก็มีระบบเลือกตั้งที่ขับไล่ผู้แทนเลว ออกจากรัฐสภาทุก ๔ ปี หากเห็นว่าเขาไม่ดี ไม่ได้ทำประโยชน์ต่อประเทศชาติ สมัยหน้าก็อย่าเลือกเขา น่าจะดีกว่า เดินขบวน ทำลายทรัพย์สินส่วนรวม หรือปลุกระดมเป็นแน่ ... อดีตนายกชวนฯ พูดว่า "ผมเชื่อมั่นในระบบรัฐสภา" คำพูดนี้ ยังอยู่ในใจผมเสมอ .....
Create Date : 18 มกราคม 2549 | | |
Last Update : 17 ตุลาคม 2550 4:21:31 น. |
Counter : 508 Pageviews. |
| |
|
|
|
|
| |
|
|