สิทธิในการมีทนายความของผู้ถูกกล่าวหา กับคำถามที่มีต่อสังคม หากทนายความไม่มีประสิทธิภาพ
พันตำรวจเอก ศิริพลกุศลศิลป์วุฒิ คำนำ :สิทธิในการมีทนายความของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาได้รับการพัฒนาขึ้นในช่วงเวลาไม่นานนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิทธิในการมีทนายความปรากฏตัวอยู่ด้วยกับผู้ต้องหาเพื่อร่วมฟังการสอบสวนในคดีอาญายิ่งเกิดขึ้นไม่นานนักและแต่ละประเทศก็มีระบบที่แตกต่างกันไป บางประเทศเช่นสหรัฐอเมริกาและ สหราชอาณาจักรสิทธิในการมีทนายความเพื่อปรึกษาหารือและการอยู่ร่วมฟังการสอบสวนเป็นเรื่องสำคัญที่จะเป็นหลักประกันว่าสิทธิผู้ต้องหาหรือจำเลยจะไม่ถูกละเมิดในขณะที่แคนนาดา จะไม่ยินยอมให้ทนายอยู่ฟังการสอบสวนด้วย ในทางปฏิบัติจะพบว่าการจัดหาทนายความของไทย ตามที่กำหนดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและกฎกระทรวงที่ตราขึ้นโดยข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมว่าทนายความจะต้องขึ้นทะเบียนกับกระทรวงยุติธรรมเท่านั้นจึงนำไปสู่ข้อสงสัยว่าทนายความที่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายว่าด้วยทนายความ พ.ศ.๒๕๒๘นั้น มีความแตกต่างกันเพียงใด และกระทรวงยุติธรรมจึงเสนอให้ทนายความดังกล่าวจะต้องมาขึ้นทะเบียนกับกระทรวงยุติธรรมเสียก่อนโดยสภาทนายความไม่เห็นพ้องด้วยกับกฎกระทรวงดังกล่าวผู้เขียนจึงได้พยายามศึกษาถึงระบบการประกันสิทธิของผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาเพื่อที่จะสามารถประกันสิทธิและเสรีภาพของประชาชนได้อย่างมีประสิทธิภาพไม่ใช่เพียงจัดให้มีตามกฎหมายโดยไม่ต้องสนใจว่าจะสามารถช่วยเหลือประชาชนได้อย่างถูกต้องเที่ยงตรง และเป็นธรรมมากน้อยเพียงใด โดยในบทความนี้จะได้พยายามเสนอระบบการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายและการพัฒนาประสิทธิภาพของทนายความตามเป้าประสงค์ของกฎหมายในปัจจุบันซึ่งจะได้กล่าวในรายละเอียดต่อไป ส่วนที่ ๑ หลักการในการคุ้มครองผู้ต้องหาว่าด้วยสิทธิในการมีทนายความในระดับสากลและต่างประเทศ สิทธิในการมีทนายความได้มีการบัญญัติรับรองไว้ตามปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน( Universal Declaration of Human Right of ๑๙๔๘ ) และกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ( International Covenant on Civil andPolitical Rights of ๑๙๖๖หรือ ICCPR ) และมาตรฐานองค์การสหประชาชาติว่าด้วยกระบวนการยุติธรรมทางอาญา( United Nations Standards on Criminal Justice) รวมถึงสิทธิขั้นพื้นฐานว่าด้วยบทบาทของนักกฎหมาย( Basic Principles on the Role of Lawyers ) ว่าด้วยการเข้าถึงนักกฎหมายและการบริการทางกฎหมาย ( Access tolawyers and legal services) ซึ่งได้นำเอาทฤษฎีว่าด้วยหลักนิติธรรมและนิติรัฐ (The Rule of law & Due Process of law) มารับรองอย่างเป็นทางการในระดับนานาชาติเนื่องจากผู้ต้องหาโดยส่วนใหญ่จะไม่มีความรู้เกี่ยวกับกระบวนการทางเทคนิคในการดำเนินคดีที่ตนตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาและมีการถูกบังคับให้รับสารภาพด้วยวิธีการทั้งด้านกายภาพและจิตวิทยามาอย่างต่อเนื่องกฎหมายจึงกำหนดหลักประกันว่าการแสวงหาพยานหลักฐานทั้งปวงของรัฐจะต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายมิเช่นนั้น พยานหลักฐานย่อมไม่อาจรับฟังได้ตามบทตัดพยาน (ExclusionaryRule) และเพื่อให้การประกันสิทธิของผู้ต้องหาและกระบวนการที่กฎหมายกำหนดไว้มีการปฏิบัติอย่างจริงจัง จึงจำเป็นต้องมีทนายความเข้ามามีส่วนร่วมในการกระบวนการการดำเนินคดีอาญาที่สำคัญในทุกขั้นตอน แต่อย่างไรก็ตามสิทธิในการมีทนายความ(Right to Counsel) ของผู้ต้องหาอาจจะแตกต่างกันและในบางกรณีอาจจะเป็นเพียงแต่การดำเนินการในเชิงรูปแบบให้ครบกระบวนการตามที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ส่วนที่ ๒ รูปแบบในการจัดหาทนายความเพื่อช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ผู้ต้องหา(Modelsof legal aid) สิทธิการในการมีทนายความเพื่อปกป้องสิทธิของผู้ต้องหาในคดีอาญาโดยรัฐแท้จริงเพิ่งเกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมเมื่อไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมานี้โดยเฉพาะการจัดหาทนายความให้กับผู้ต้องหาในชั้นสอบสวนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ แม้จะได้บัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญก็ตาม แต่ถ้าหากไม่มีองค์กรทนายความที่มีประสิทธิภาพทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการต่อสู้คดีให้กับผู้ต้องหาในคดีอาญาหรือมีเพียงการช่วยเหลือในลักษณะที่ทำให้มีทนายความเพื่อครบตามที่กฎหมายบัญญัติ การให้ความเพื่อช่วยเหลือทางกฎหมายให้แก่ผู้ต้องหาก็เท่ากับไม่มีทนายความนั่นเองทนายความนั้น มีบทบาทสำคัญในฐานะที่ไม่ใช่เป็นเพียงตัวแทนของลูกความเท่านั้นแต่จะต้องปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรฐานวิชาชีพ (Ethicalprofessional standards) ในฐานะบุคลากรในกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่สังคมโดยรวมอีกด้วยระบบการจัดหาทนายความของรัฐจึงสำคัญอย่างมากเพื่อส่งเสริมให้ปรัชญาดังกล่าวเป็นจริง สำหรับรูปแบบที่รัฐจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหานั้นอาจจะขึ้นอยู่กับคุณค่าและความจำเป็นของรัฐที่อาจจะแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น รัฐอาจจะกำหนดให้มีคดีที่มีมีโทษร้ายแรงรัฐจะต้องจัดหาทนายความให้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเลย (Mandatorystate-funded legal aid) ในขณะที่คดีบางประเภทรัฐอาจจะมีดุลพินิจในการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือไม่ก็ได้(Discretionary state-funded legal aid) ซึ่งจะแตกต่างกันไป รวมถึงรูปแบบการช่วยเหลือที่อาจจะอำนวยความสะดวกอย่างมาก เช่น ระบบการให้บริการทางโทรศัพท์ (The toll-free ๒๔-hourcall service) ดังเช่นที่ประเทศแคนนาดา ดำเนินการหรือในประเทศอังกฤษก็มีการให้บริการผ่านระบบโทรศัพท์ เรียกว่า DefenceSolicitor Call Center เช่นกัน เป็นต้นสำหรับระบบการให้ความช่วยเหลือนั้น จะมีด้วยกัน ๓ ลักษณะด้วยกัน ดังนี้ ๑. ระบบทนายความที่ศาลแต่งตั้งในลักษณะทนายขอแรง หรือ Ex Officio / Judicare - Privately Practicing Lawyers Appointed on aCase by Case Basis ๒. ระบบทนายความที่มีลักษณะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐประจำสำนักงานที่ให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายหรือ Salaried practitioners directly employed for publiclegal service delivery by the body administrating legal aid. ๓. ระบบทนายความขององค์กรทนายความพิทักษ์สิทธิที่มีการบริหารเป็นอิสระจากรัฐ ไม่อยู่ใต้บังคับบัญชาของฝ่ายบริหารโดยตรง หรือ Public Defenders staff attorneys employed by an independentorganization (Public Defender Office) and undertaking a full representation ofdefendants สำหรับวิธีการบริหารจัดการทั้งสามรูปแบบข้างต้น อาจจะดำเนินการโดยการจัดทำสัญญาว่าจ้างทนายความ(Contracted Service scheme) เพื่อให้ทนายความเอกชนมาทำหน้าที่ในการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายแก่ประชาชนในคดีอาญาได้ซึ่งแต่ละระบบจะมีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ส่วนที่๓ สภาพปัญหาในปัจจุบันเกี่ยวกับหลักการช่วยเหลือในการมีทนายความและแนวทางพัฒนาประสิทธิภาพของทนายความ ระบบกฎหมายของไทย ได้กำหนดให้กระบวนการยุติธรรมจะต้องดำเนินการตามหลักนิติรัฐและ นิติธรรมไว้ตั้งแต่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๔๐ เป็นต้นมา ผู้ต้องหาต้องได้รับโอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอการตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร หากจะกล่าวโดยสรุปในทางทฤษฎีแล้ว จะเห็นได้ว่าประเทศไทยได้นำหลักการดังกล่าวมาบัญญัติรับรองอย่างชัดแจ้งและโดยบริบูรณ์เช่นกันไม่ว่าจะเป็นหลักการสันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าจะมีคำพิพากษาของศาล (presumptionof innocence) โดยฝ่ายรัฐจะต้องนำพยานหลักฐานมาพิสูจน์ให้ศาลเชื่อว่าผู้ถูกกล่าวหาหรือจำเลยนั้นได้กระทำความผิดจริง หลักการห้ามบังคับให้ผู้ถูกกล่าวหาจะต้องกล่าวถ้อยคำปรักปรำตนในคดีอาญา(Privilege against self-incrimination) ผู้กระทำผิดจึงมีสิทธิที่จะไม่ให้การใดๆ (Right to remain silent) ถูกซักถามโดยพนักงานเจ้าหน้าที่ โดยรัฐเท่านั้นที่มีภาระในการแสวงหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ว่าบุคคลดังกล่าวกระทำผิดจนปราศจากสงสัยตามสมควร(Proof beyond reasonable doubt) โดยพยานหลักฐานที่ได้มาจะต้องชอบด้วยหลักนิติรัฐและนิติธรรมดังที่บัญญัติในหมวดว่าด้วยการจับ (มาตรา ๘๓ และมาตรา ๘๔) การสอบสวน (มาตรา๑๒๐-๑๕๗) และการรับฟังพยานหลักฐาน(มาตรา ๒๒๖ และมาตรา ๒๒๖/๑-๒๒๖/๕) เป็นต้น นอกจากนี้ กระทรวงยุติธรรมยังได้ตรากฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการและเงื่อนไขที่พนักงานสอบสวนต้องปฏิบัติในการจัดหาทนายความให้แก่ผู้ต้องหาในคดีอาญาพ.ศ. ๒๕๔๙และระเบียบกระทรวงยุติธรรมว่าด้วยการจ่ายเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายแก่ทนายความที่รัฐจัดหาให้แก่ผู้ต้องหาในคดีอาญาซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพคดีอาญา ทำหน้าที่จัดตั้งงบประมาณค่าตอบแทนเงินรางวัลและค่าใช้จ่ายในการปฏิบัติหน้าที่ทนายความและจัดสรรเงินงบประมาณให้หน่วยงานเบิกจ่ายในส่วนกลางและส่วนภูมิภาคได้มอบหมายให้สำนักงานยุติธรรมจังหวัดทั่วประเทศรับผิดชอบโดยทนายความที่จะปฏิบัติหน้าที่ให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหาได้จะต้องเป็นทนายความที่ยื่นความจำนงขอขึ้นทะเบียนต่อกระทรวงยุติธรรมและกระทรวงยุติธรรมได้ส่งมอบบัญชีรายชื่อให้กับพนักงานสอบสวนประจำสถานีตำรวจต่าง ๆจะต้องแจ้งทนายความเข้าร่วมฟังการสอบสวนตามบัญชีรายชื่อดังกล่าวเป็นลำดับโดยมิให้ข้ามลำดับรายชื่อดังกล่าวเพื่อป้องกันมิให้ทนายความและพนักงานสอบสวนร่วมกันปฏิบัติงานเป็นทีมเพื่อให้ดูเหมือนว่าหลักประกันสิทธิในการมีทนายความได้รับการประกันตามกฎหมายที่กำหนดไว้ตามหลักสากลและหลักกฎหมายของประเทศไทยแล้วเท่านั้นแต่ไม่มีประสิทธิภาพในการช่วยเหลือใด ๆ ในทางความเป็นจริง ซึ่งกรณีนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งกันระหว่างกระทรวงยุติธรรมและสภาทนายความ ที่มีอำนาจหน้าที่ในการช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมายและได้รับการอุดหนุนเงินงบประมาณแผ่นดินจากรัฐเช่นเดียวกันโดยสภาทนายความไม่เห็นด้วยกับกฎกระทรวงดังกล่าว กระทรวงยุติธรรมมีแนวคิดที่จะจัดตั้งสำนักงานความช่วยเหลือทางกฎหมายในรูปแบบพิเศษที่ให้ข้าราชการกระทรวงยุติธรรมทำหน้าที่ทนายความเพื่อช่วยเหลือประชาชนโดยตรงอีกทางหนึ่ง
โจทย์สำคัญสำหรับประเทศไทย จึงมีหลายประเด็น เช่น ๑. ระบบงบประมาณประเทศไทยจะรับภาระไหวกับการช่วยเหลือผู้ต้องหาในทุก ๆ คดีโดยไม่ต้องพิจารณาปัจจัยเรื่องความยากจนของผู้ถูกกล่าวหาเลยหรือไม่ ๒. จะมีวิธีการตรวจสอบการปฏิบัติงานของทนายความอย่างไร ว่าสามารถปฏิบัติงานได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ องค์กรใด จะตรวจสอบได้บ้าง องค์กรศาล อัยการ หรือพนักงานสอบสวน หรือแม้กระทั่งผู้เสียหาย สามารถดำเนินการอย่างไร เมื่อมีการกระทำที่ไม่มีสิทธิภาพของทนายความ องค์กรใด ระหว่างสภาทนายความ เนติบัณฑิต หรือองค์กรพิเศษอื่น ๆ ที่สามารถตรวจสอบการดำเนินการของทนายความได้ หรือจะปล่อยให้เป็นไปตามระบบปัจจุบัน ที่สภาทนายความ จะดำเนินการตรวจสอบเองโดยลำพัง โดยปราศจากการตรวจสอบที่จริงจัง ๓. กรณีที่ทนายความไม่มีประสิทธิภาพ จะมีผลต่อคดีอย่างไร เช่น การพิจารณาคดีใหม่ จะทำได้หรือไม่ ใครจะต้องจ่ายค่าเสียหายที่เกิดขึ้นหากจะต้องดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีใหม่ กระทรวงยุติธรรม จะมีบทบาทอย่างไรในการช่วยเหลือกรณีที่มีการปฏิบัติหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพของทนายความ ???
ผู้เขียนได้เคยศึกษาเรื่องเกี่ยวกับระบบการพัฒนาทนายความไว้แล้วโปรดศึกษารายละเอียดในรายงานวิจัย รองศาสตราจารย์ ดร. ศรีสมบัติ โชคประจักษ์ชัด,พันตำรวจเอก ดร. ศิริพล กุศลศิลป์วุฒิ, และ ดร.ดล บุนนาค การส่งเสริมสิทธิแก่ผู้ต้องหาในการสอบสวนคดีอาญาอย่างมีประสิทธิภาพ,รายงานวิจัยเสนอ กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ, กระทรวงยุติธรรม, ๒๕๕๖
Create Date : 30 มิถุนายน 2558 | | |
Last Update : 16 กุมภาพันธ์ 2559 15:16:39 น. |
Counter : 2918 Pageviews. |
| |
|
|
|