กลุ่มคนจากอุตตระกาสี เดินทางไกลมายังที่นี่เพื่อนำเทพเจ้าท้องถิ่น
มาทำการขอพรจาก พระแม่คงคา ยังวัดหลักแห่งนี้
พวกเขานั่งล้อมลงตรงลานพิธีเล็ก ๆ ริมแม่น้ำภกีรติ นำน้ำจากแม่น้ำรดพรมใส่
แท่นวางรูปหน้าเทพเจ้า ซึ่งมีคานสำหรับให้คนหามแบกรวมไปถึงรูปเคารพชิ้น
เล็กชิ้นน้อย ที่ถูกนำมาแยกวางไว้กลางวง บ้างก็เป็นรูปปั้นเหมือนกับคน บ้างก็
คล้ายงูซึ่งถูกเรียกว่า นาค (Nag)
เสียงของกลอง กระดิ่ง และสังข์ คลอประสานเบา ๆ ขณะที่ผู้นำของกลุ่ม
กำลังทำการสวดประกอบพิธีและจากนั้นพวกเขาก็นำ เทพเจ้าประจำท้องถิ่น
เคลื่อนย้ายตรงขึ้นไปยังวัด เพื่อรับพรที่หน้ารูปปั้นพระแม่คงคาที่ตั้งอยู่ด้านใน
เทพเจ้าฯ ถูกแบกกลับมายังบริเวณลาน ตรงดิ่งมายังศาลาที่มีกลุ่ม ปัณฑิต
ผู้ที่กำลังทำหน้าที่ขับร้องเพลงสวด ทำการเจิมให้
ไม่รู้ว่าสองคนที่ทำหน้าที่หามคานรูปหน้าเทพเจ้าฯ นี้ทำการนัดหมายหรือซักซ้อม
การก้าววิ่งเคลื่อนที่มาก่อนหรือเปล่า พวกเขาเดินวนรอบไปด้วยกันแบบไม่สะดุด
ผืนผ้าคลุมที่เป็นชายยาวกรอมพื้นนั่นก็โล้ไปมาตามแรงเหวี่ยง ดูไปก็คล้ายกับ
หุ่นที่มีมีชีวิตกำลังเดินเหินไปมาทั่วลานหน้าวัด ...
หากเทวรูปนี้ไปหยุดตรงที่ใคร คน ๆ นั้นก็จะก้มตัวลง เพื่อเอาหน้าผาก
ไปทาบแตะที่เทวรูปคล้ายกับเป็นการรับพร
พอใกล้จบงาน คณะแสวงบุญที่ร่วมทางมาด้วยกันต่างทยอยเข้าไปมุดลอดใต้
ชายผ้าของเทวรูปนี้กัน จากนั้นก็รวมตัวกันถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างว่องไว
คล้ายกับจะเป็นลำดับขั้นตอนที่นัดแนะกันมาเรียบร้อย
หลังจากที่ตัวเองตีเนียนตามเก็บภาพไปกับเขามาพักใหญ่ ทั้งที่ไม่ได้เกี่ยวข้อง
อะไรกับหมู่คณะนี้สักนิด ช่างภาพประจำกลุ่มเลยได้ทีรีบส่งกล้องให้ฉันโดยไว
เพื่อที่ตัวเขาเองจะได้มีรูปร่วมกับกลุ่มด้วย
เมื่อทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาวะปกติหลังพิธีกรรมท้องถิ่นดังกล่าวจบสิ้น ทุกคนต่าง-
พากันแยกย้ายกลับ และในวันถัดไปก็จะมีกลุ่มคนจากพื้นที่อื่นในรัฐอุตตราขัณฑ์
ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันนำเทพเจ้าท้องถิ่นของพวกเขา แห่ขึ้นมาทำพิธีแบบนี้
เช่นเดียวกันจนกว่าฤดูกาลจะหมดลง
แม่น้ำภกีรติ จากจุดตรงนี้ดูใสสะอาดและเรียบง่าย เพราะยังอยู่ในสภาพแวดล้อม
ที่ดี ฉันเริ่มชอบที่นี่มากกว่าแม่น้ำคงคาบริเวณอื่นเคยพบเห็นมาก่อนเสียแล้วสิ
คงเพราะยิ่งสายน้ำนี้พาดผ่านใกล้จุดวัฒนธรรมมากขึ้นเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีการค้าขาย
เข้ามายุ่งเกี่ยวเยอะจนดูวุ่นวายไปหมด
แต่ถึงอย่างนั้น แถวนี้ก็ยังมีขยะที่ปลิวตกลงด้วยความมักง่ายของใครบางคน
ที่เผลอทำหล่นทิ้งลงน้ำไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็เถอะ มันคงเป็นภาพที่ไม่น่า-
ดูเท่าไหร่หากปล่อยผ่านไป เช้านั้นฉันจึงเดินลงไปเก็บขยะแถวริมน้ำอยู่พักหนึ่ง
ก็แค่เพื่อความสบายใจล่ะนะ แต่จากนั้นก็ดันหาจุดทิ้งไม่เจอ เลยต้องไปถามจาก
กลุ่มพราหมณ์ที่ยืนอยู่แถวนั้นอีกที
"ขอบใจมาก มีถังขยะอยู่ที่ข้างวัด" พวกเขาชี้ให้เห็นจุดทิ้งและดูชอบใจที่ฉัน-
ทำแบบนี้ ลุงพราหมณ์บอกว่าดีแล้วที่ช่วยกันดูแลพื้นที่ หลังจากนั้นพวกเราก็เลย
ได้มีโอกาสใช้เวลาพูดคุย ถ่ายรูป และไปยืนให้อาหารนกด้วยกันต่อ
"ไม่คิดไปเที่ยวฝั่งโน้นล่ะ ไปดูจุดที่เรียกว่า โกริกุล กับ สุริยากุล สิ"
มีลุงคนหนึ่งแนะนำให้ฉันเดินข้ามฟากไปดูสถานที่ชื่อแปลก ๆ ด้วย
ดีเลย ...วันนี้มีนัดไปที่อาศรมเจ้าวิเนย์พอดี
และฉันยังไม่เคยข้ามไปยังฝั่งป่าสนนั่นสักหน
เมื่อข้ามสะพานไปอีกฝั่งหนึ่งก็จะเจอกับดงต้นสน และอาศรมเต็มไปหมด
ที่นี่ดูเงียบสงบมาก และไม่จอแจเหมือนฟากที่ตัวเองพักอยู่
ฉันชะโงกหน้าไปดูอาศรมที่ชื่อ ศิวะกังกา ก็เจอวิเนย์กำลังหิ้วถังน้ำอุ่นเตรียมอาบ
ที่หน้าห้องน้ำพอดี เขาบอกให้นั่งรอสักพักก่อน ระหว่างนั้นพี่สาวของเขาก็เอา
ขนมหวานมาให้ลองกิน
มันคือเส้นแป้งคล้ายสลิ่มแต่แข็งกว่ากับน้ำเชื่อมสีขาว ที่มองไม่ออกว่า
เป็นนมหรือกะทิกัน ถึงจะจำชื่อไม่ได้แต่ก็กินจนหมดเกลี้ยง
หลังจากวิเนย์แต่งตัวเสร็จ เขาก็จะต้องออกไปซื้อถั่วที่ตลาดมาทำกับข้าว โดย-
จะข้ามสะพานเล็กที่ตั้งคนละแห่งกับที่ฉันเดินข้ามมา เขาถามถึงเรื่องรองเท้า
ของฉันที่ใส่มาวันนี้ด้วย แบบว่าเดินคีบแตะท้าหนาวได้แบบไม่สะท้านเลยทำได้ไง?
"ก็หนาวอยู่นะแต่กลัวเท้าจะพังก่อนมากกว่า" ฉันตอบพร้อมทั้งเดินกระเผลก ๆ ไป
ด้วย เอ้อ...ไหน ๆ ก็คุยเรื่องการแต่งตัวแล้ว ก็แอบสงสัยเรื่องเกี่ยวกับแฟชั่นของ
วิเนย์บ้าง
"เธอเป็นชาวหิมาจัลรึไง ทำไมถึงใส่หมวกนี้?"
ก็เจ้าหมวกสีดำที่วิเนย์สวมทรงนี้ ฉันเคยเห็นแต่คนแถบหิมาจัลประเทศ ใส่กัน
ซะมากกว่าก็เลยอดสงสัยไม่ได้ ว่าจริง ๆ แล้วพื้นเพเดิมเป็นคนที่ไหนกันแน่?
แต่คำตอบที่ได้กลับมาดันกลับตาลปัตรเกินคาดสักหน่อย
"ซื้อมาใส่เล่น ๆ น่ะ ก็แค่ใช้กันหนาว ... ความจริงแล้วบ้านเกิดของฉันอยู่ที่
เมืองริชชิเกช แต่ที่มาอยู่กังโกตรี ก็เพราะต้องทำงานกับครอบครัวของพี่สาวที่นี่"
เขาบอกว่ามีบ้านอยู่ที่ฝั่งรามจุฬา ซึ่งฉันก็เคยไปพักอยู่ย่านนั้นเมื่อปีก่อน
เราแยกกันที่ป้ายหน้า Tourist Guesthouse ที่เป็นของรัฐบาล จากจุดตรงนี้จะ
มีทางลงไปยังสะพานเล็กข้ามไปยังฝั่งตลาดและทางแยกสำหรับทางไปป่าสน
พวกเรานัดไว้ว่าจะกลับมาเจอกันอีกทีก็ตอนมื้อเที่ยง
ที่นี่ยังมีอีกสถานที่น่าสนใจอย่าง Pandava cave เสียด้วย
ซึ่งชื่อ Pandava ที่พูดถึงนี้ก็คือ เหล่าปาณฑพ ไงล่ะ
จากเรื่อง มหาภารตะยุทธ ก็กล่าวถึงหลังเหตุการณ์อภิมหาสงครามระดับเลือด
ท่วมนองถึงท้องช้าง ณ ทุ่งกุรุเกษตร จบสิ้นลง เหล่าห้าพี่น้องปาณฑพ (รวมถึง
นางเทราปตี ผู้เป็นภรรยา) ได้ออกเดินทางเข้าป่าบำเพ็ญเพียรกันที่นี่เพื่อล้าง-
บาปที่ได้ล่วงฆ่าญาติพี่น้องของพวกตน ก่อนที่พวกเขาจะมุ่งไปสู่เขาไกรลาสกัน
ในตอนท้าย...
ฉันใช้เวลาเดินเล่นที่นั่นได้ไม่นานเท่าไหร่ รองเท้าแตะมันไม่เอื้อต่อทางเนินดีนัก
อีกทั้ง มันดูไกลออกไปแหล่งชุมชนและผู้คนไปมาก เลยได้แค่สำรวจต้นสนที่มี
มากกว่าหนึ่งสายพันธุ์จากความแตกต่างของใบกับลูกของมัน กับหินผาที่มีพื้นผิว
แปลกประหลาด
จากพื้นที่แห่งนี้จนยาวไปถึงโกมุข คงน่าจะเหมาะกับพวกที่ชอบ ภูมิศาสตร์
พกฤษศาสตร์ และธรณีวิทยา มากเลยนะ โดยเฉพาะทรงพื้นผิวของหินตรงจุด
ที่มีน้ำตกเล็ก ๆ ไหลผ่านที่ชื่อสุริยากุลและโกริกุล ต่างก็มีรูปทรงและสีสันที่แปลกตาดี
พอได้เวลาเที่ยงตรงปั๊บ ฉันก็ตรงกลับมาที่อาศรมตามนัด
และแล้วเมนูมื้อนี้ก็หนีไม่พ้นแกงถั่วอย่างที่คาดไว้จริงด้วย
คำถามคือ รู้ทั้งรู้แบบนี้ก็ยังจะมาอีก...
อย่างนี้เขาเรียกว่าเห็นแก่กินใช่ไหมเนี่ย?
ระหว่างที่นั่งรอถั่วสุกฉันก็พึมพำถึงอาหารหลักของคนที่นี่ไปเรื่อย
ดาล! จาวาล! ที่หมายถึง แกงถั่ว! ข้าว! ...
จนวิเนย์ที่กำลังยืนทำอาหารอยู่ ต้องหันกลับมาพูดค้านกลับมาว่าฉันเข้าใจ
คำเรียกแกงถั่วแบบผิด ๆ "มื้อนี้มันไม่ใช่ ดาล - แต่มันคือ ราชมา ต่างหาก!"
พอวิเนย์ ยกชุดอาหารไปให้ผู้ใหญ่ที่อยู่ชั้นบนเรียบร้อยแล้วเขาก็ตัก ข้าวใส่จาน
และเอาแกงถั่วสีน้ำตาลข้นใส่ถ้วยโลหะแยกให้ต่างหาก พวกเราก็นั่งกินมื้อกลางวันที่ครัว
ปกติแล้วเวลาที่สั่งข้าวกับแกงถั่ว
ฉันก็มักจะโมเมใช้ คำว่า "ดาล" แทนคำว่า "ถั่ว" เสมอ
ไม่ว่ามันจะเป็นสายพันธุ์ไหนก็ช่าง ก็แล้วแต่ทางร้านจะมีมากกว่า
พอกลับมาหนนี้ ก็เริ่มขยายภาคส่วนการจำแนกศัพท์ เยอะขึ้น
ก็เพื่อความอยู่รอด อย่าง...
chana - ถั่วชิคพี
mong dal - ถั่วเขียว, ถั่วเขียวซีก
rajma - ถั่วแดงหลวง
dal - ถั่วเลนทิล
ทั้งนี้ทั้งนั้น มันก็คือ ถั่ว ถั่ว ถั่ว แล้วก็ ถั่ว
ส่วนกรรมวิธีการปรุงก็คงต่างกันออกไป
บางที่ก็เป็นซุปเกือบใส บางแห่งก็แอบข้น
และส่วนมากก็มักจะไม่ค่อยอร่อย
แต่ แกงถั่ว(ราชมา) หนนี้กลับมีรสเผ็ดและอร่อยตามที่โม้ไว้! จนฉันต้องตักเติมถึง
สองหน เพราะอยากกินอะไรเผ็ด ๆ ไล่อาการเบื่ออาหารที่กำลังเป็นอยู่ในตอนนี้ไง
วิเนย์บอกว่าไม่ได้ใส่พริกแต่เป็นเพราะเครื่องเทศสูตรเฉพาะของเขา ซึ่งฉันก็ดัน
ไม่ได้ขอจดสูตรเอาไว้ซะด้วยสิ ...เสียดายเนอะ เพราะหลังจากนี้ไปแล้วฉันแทบ
ไม่มีโอกาสได้กินแกงถั่วอร่อย ๆ อย่างนี้อีกเลย
หลังจากที่ต้องลาเพื่อนใหม่ไป ฉันก็กลับมายังฝั่งถนนคนเดินอีกครั้ง เพื่อ
สอบถามเรื่องเที่ยวรถสำหรับเดินทางในเช้าวันพรุ่งนี้ แม้ใจจริงจะอยากอยู่ต่อ
แต่นับตั้งแต่ขึ้นเครื่องฯ จากไทยจนกระทั่งมาถึงที่นี่ ฉันยังไม่ได้ติดต่อส่งข่าว
กลับไปยังเมืองไทยอีกเลย
กังโกตรี ช่างเหมาะต่อการปลีกวิเวกถึงขั้นตัดขาดจากโลกภายนอกเสียจริง
เพราะไม่มีทั้งอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ ไม่มีไฟฟ้าให้ใช้อย่างต่อเนื่อง ไม่มีตู้กดเงิน
อีกทั้งไม่มีการแลกเงินในเรทมาตรฐาน และที่สำคัญไม่มีแมวให้เล่นซักตัว!
จะเว้นแต่เจ้าตูบขนฟูตัวเดิมที่วิ่งไปวิ่งมา ระหว่างหมู่บ้านตรงนี้กับบนเขาที่ฉันเจอ
ไม่รู้ว่ามันหลงมาอยู่ที่กังโกตรีได้ยังไง ที่ผ่านมาก็เห็นมันอยู่แค่ตัวเดียวซะด้วยนะ
ช่วงเย็นนี้กลุ่มนักท่องเที่ยวคณะใหม่ต่างทยอยเดินทางกันมาตั้งหลักที่นี่กัน
ก็มีทั้งชาวต่างชาติที่กำลังเตรียมพร้อมสำหรับเดินทางเข้าอุทยาน และชาวฮินดู
ที่เดินทางมายาตราแสวงบุญ
คืนนี้มีหนาวลมกรรโชกแรงมาก แต่ฉันก็ยังออกมาเดินเล่นที่ลานหน้าวัดตามปกติ
ซึ่งมีอาคารจากด้านนอกตั้งเป็นที่กำบังขวางแรงลมอยู่ ตั้งใจจะมาเยี่ยมกลุ่มคน
ที่เจอเมื่อเช้านี้เพราะพรุ่งนี้จะต้องเดินทางต่อแล้ว
ก็แอบรู้สึกว่าทำไมนี้มีคนเยอะจังนะ แถมยังมีตำรวจคอยเฝ้าระวังเสียด้วย
ฉันหามุมนั่งที่ลานประจำและได้คุยกับคนที่เจอตอนเช้าพอดี ลุงบอกว่า
พวกเขาก็เป็นกลุ่มคนที่มาจากอุตตระกาสี เหมือนกับที่เห็นเมื่อเช้านี้
เรานั่งดูพิธีกันไปสักพัก ลุงพราหมณ์ก็ชวนออกมาเดินดูที่ศาลเล็ก ๆ ริมน้ำ
เป็นที่เดียวกับที่ มาดุ และวิกกี้ มาทำพิธีในคืนวันแรก ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่า
จะมีจุดหนึ่งบนพื้นดูคล้ายกับแอ่งพื้นหินมีน้ำขังอยู่ซึ่งถูกเรียกว่า ภกีรัต ศิลา
"ที่ตรงนี้กษัตริย์ภกีรัต เคยเฝ้าภาวนาขอให้สายน้ำคงคาที่อยู่บนสวรรค์
ไหลลงมายังสู่โลกมนุษย์"
แล้วลุงก็ชี้ให้เห็นรูปปั้นคน ๆ หนึ่ง ที่ใช้เป็นตัวแทนของกษัตริย์ผู้นั้น
"เราจึงเรียกแม่น้ำจากต้นสายแรกเริ่มนี้ว่าภกีรติ เพื่อเป็นเกียรติแก่ท่าน"
แล้วภาพในหัวของฉัน ก็นึกถึงหนังอินเดียเรื่องหนึ่ง ที่เคยดูมานานแล้ว
ในฉากที่ กษัตริย์ภกีรต เพียรเฝ้าสวดภาวนา พร้อมกับประโยคคุ้นหูที่ว่า
"เชิญ พระแม่คงคา" ขึ้นมาทันที
ภาพจาก https://en.wikipedia.org/wiki/Ganges_in_Hinduism
ฉันเริ่มสนุกกับการฟังเรื่องเล่าที่มาของสถานที่ต่าง ๆ จากคนท้องถิ่นเหล่านี้
เพราะทุกอย่างดูไม่ไกลตัวเท่าไหร่นัก ไม่ว่าจะเป็นหนังที่เคยดูหรือแม้แต่เรื่อง
ที่หยิบยกเอาตำนานปรัมปราไปดัดแปลงเป็นเรื่องราวมากมาย สู่หน้าตำราของ
ไทย เราก็เลยเข้าใจและคุ้นเคยกับวัฒนธรรมบางอย่างโดยง่ายดาย
แต่ทุกวันนี้ยังสงสัยอยู่ไม่หาย ตกลงว่านิทานพื้นบ้านเรื่องปลาบู่ทอง
เหล่าตัวแสดงและพื้นเพของท้องเรื่องนี้ตั้งอยู่ที่อินเดียรึไง?
ก็เห็นร้อง ๆ กันว่า สงสารแต่แม่ปลาบู่ อาศัยอยู่ในฝั่งคงคา ...อิอิ
ได้เวลาย้ายถิ่นฐาน...
ฉันเดินทางออกจากกังโกตรี ด้วยรถโดยสารที่มีแค่รอบเดียว
ไปยังเมืองริชชิเกชตอนตีห้า และต้องใช้เวลาอยู่บนรถราวเก้าชั่วโมง
ประมาณบ่ายสี่ เมื่อถึงท่ารถที่หมายก็ต้องมาต่อสามล้อมาลงที่ รามจุฬา
ฉันข้ามฟากที่แม่น้ำจากทางเรือไปยังย่าน Swarg Ashram แทนที่จะไปทาง
สะพานแขวนเพราะร้สึกเหนื่อยจนเริ่มไม่อยากออกแรงอะไรมากแล้ว
สภาพแวดล้อมที่ผ่านตาในครั้งนี้พบว่ามีบางสิ่งบางอย่างดูเปลี่ยนไปทั้งสถานที่
ที่มีผู้คนที่เยอะขึ้น อีกทั้งการก่อสร้างหน้าอาศรมเก่า ก็มีการปรับปรุง ทาสีใหม่
และกำลังมีชั้นเรียนอบรมครูสอนโยคะหลักสูตร 200 ชั่วโมงอยู่พอดี
โชคดีที่วันนั้นยังมีห้องเหลือสำหรับผู้เข้าพักขาจรอย่างฉันอยู่
ลุงหนวด เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลฯ กำลังเตรียมกรอกเอกสารเข้าพักให้กับฉัน
เขามองหน้าครู่หนึ่งและสะดุดกับอะไรบางอย่างเล็กน้อย
"ปีก่อนเคยมาใช่ไหม?"
โห ยังจำกันได้ด้วย! เขาต้องกินปลาเยอะแน่ ๆ
เฮ้ย...ไม่สิ พวกคนชาวเมืองนี้เป็นมังสวิรัติกันนี่
"ใช่" ฉันตอบ และแสดงสีหน้าดีใจ
"ไต้หวัน ใช่รึปล่าว?" เฮ ...ตกลง ลุงหนวด แกจำได้ไหมเนี่ย
แต่มันก็ใกล้เคียงนิดหน่อยนะ ไต้หวัน-ไทยแลนด์
พอเฉลยว่าเป็นคนไทย แกก็ร้องอ๋อขึ้นมาทันที
ลานหน้าอาศรมที่ริมฝั่งแม่น้ำเขาทุบรื้อสร้างอะไรกันนะ ?
ฉันเห็นสิ่งแปลก ๆ ที่กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ พื้นลานตรงนั้นจะมีพวกบาบา
มาปูผ้ารองนอน แบบที่ว่า 'มีฟ้าเป็นมุ้ง-มียุงเป็นเพื่อน' กันเยอะแยะในช่วงกลางคืน
เลยสงสัยอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น
"พวกเขาจะสร้างสะพานเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งที่สำหรับรองรับ เทศกาลกุมภะเมลา
ที่ หริดวาร์-ริชชิเกช จะเป็นเจ้าภาพเร็ว ๆ นี้" ลุงหนวดตอบ
"อือ แล้วชื่อสะพานนี้จะตั้งว่า สีตาจุฬา รึไง?"
ฉันส่งชื่อนี้เข้าประกวดทันทีในเมื่อที่นี่มีทั้ง ลักษมันจุฬา กับรามจุฬา ไปแล้ว
"นั่นแหละ ๆ ชื่อนั้นล่ะเหมาะสุดแล้ว"
ลุงหนวดและเพื่อนอีกคนพากันหัวเราะลั่น ไม่คิดว่าฉันจะเล่นมุกเป็นกะเค้าด้วย
ไม่รู้ว่าจะเป็นเรื่องดีสำหรับทางอาศรมด้วยไหม ที่จะมีสะพานข้ามแม่น้ำคงคา
ทอดตรงมาแบบนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่รู้ได้แน่นอนก็คือในเมื่อมีการขยายพื้นที่สัญจร
เพิ่มขึ้น ผู้คนก็จะแห่กันมามากและย่านสงบแถบนี้คงเปลี่ยนไปเยอะทีเดียว
คิดถึงริชชิเกช ในความรู้สึกแรกเมื่อได้มาเยือนจัง
มาถึงตอนนี้มันก็คงดูไม่เหมือนเก่าอีกต่อไปแล้ว...
อ.เต๊ะ แปะใจให้ วิเนย์ ก่อนน้า โทษฐานทำแกงถั่วอร่อย อิอิ
เดี๋ยววันนี้ต้องไปทำงานก่อน กลับแล้วจะมา
อ่านใหม่จ้า