พอเดินมาได้ครึ่งทางจาก main square ก็จะผ่าน TIPA หรือชื่อเต็ม ๆ ก็คือ Tibetan institute of performing art
ฉันเดินเข้าไปในนั้นตามเสียงเพลง เลี้ยวแวะไปส่องชมการเรียน ดนตรีพื้นเมืองของทิเบต ที่ดูคล้ายกับเครื่องสายแบบกีตาร์
ในชั้นเรียนนั้นกำลังเล่นเพลงประสานพร้อมกัน ฟังแล้วเพราะดี
ทำให้บรรยากาศดูเปลี่ยนไปเกือบลืมเลยว่า ที่นี่คืออินเดีย...
และช่วงเวลาเดียวกันนี้ ยัง มีการเตรียมจัดนิทรรศการ สำหรับงานเทศกาล- ภาพยนต์อิสระนานาชาติ (DIFF) กันที่หน้าลานสนามคอนกรีต อีกไม่นาน พวกคอหนังทั้งหลายก็คงจะเริ่มแห่ขึ้นมาอย่างคับคั่งแน่นอน
ส่วนทางไป เขาตรีอูน อยู่ถัดไปจากนี้ พวกนักท่องเที่ยวก็มักจะเหมารถให้ไปส่ง ที่ทางขึ้นเขา แต่ปีนี้ฉันก็ต้องขอยกเว้นตามเคย จากบาดแผลที่ลื่นล้มหนที่ 4 เพราะพื้นที่เย็นจัดจนน้ำแข็งเกาะตอนอยู่ที่สปิตินั่นไง
มันหนักหนาจนเนื้อที่หัวแม่เท้าเปิดลึก และ ฉันก็ไม่อยากจะทรมานตัวเอง โดยฝืนสังขารเดินกะเผลก 9 กม. เพื่อพิชิตเขาลูกนั้นด้วยรองเท้าแตะนักหรอก
เวลาอยู่ที่นี่ จะเจอกับที่พระเดินสวนผ่านมาบ่อยเหมือนกัน
ฉันกำลังทำความเข้าใจกับบริบทการดำเนินชีวิตของพวกเขาอยู่
การที่ได้เห็นพระสะพายเป้แทนที่จะเป็นย่าม หรือสวมรองเท้าผ้าใบ และ นั่งสั่งอาหารกินที่ร้าน สำหรับที่นี่มันไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลกอะไร
ที่ หมู่บ้านดารัมกอท ดูเงียบสงบดี ไม่มีย่านถนนคนเดินกันขวักไขว่จอแจ อยู่ ท่ามกลางขุนเขาและแวดล้อมไปด้วยพื้นที่เพาะปลูกเล็ก ๆ แต่กว่าจะมาได้ก็ต้อง ผ่านทางเดินที่ติดเนินเขาเต็มไปด้วยป่าซีดาร์ และฉายาของที่นี่จากเท่าที่ได้ยินมา ก็คือ Hippie Village พอได้เห็นบรรยากาศแล้ว ก็ดูใช่อยู่นะ
ถ้ามองแบบโลกสวย - คือเราจะได้สัมผัสกับธรรมชาติที่ไร้ผู้คนรบกวน ได้ฟัง นอนเสียงลมพัดผ่าน เบา ๆ ผ่านขุนเขา หรือ บางทีก็มีเหล่ากวางน้อยลงมาทักทาย บ้าง ช่างคู่ควรต่อการหนีความ วุ่นวายจากโลกข้างนอกดีมาก
แต่หากจะมองแบบความเป็นจริง - การมาคนเดียวก็ดูอันตรายอยู่ วังเวงเกินไป นาน ๆ ทีถึงจะเจอคนสวนผ่าน และยิ่งเข้าหน้าหนาว บรรดาพวกสัตว์ป่าบนเขา ก็มักจะเดินลงมาหาอาหารที่พื้นด้านล่างนี้กัน และถ้าหากเป็นเช่นนั้น หลังตะวัน ตกดินไปแล้ว ฉันคงออกเดินไปไหนไม่ได้อีก
พอถึงขากลับ ก่อนจะบอกลาจากดารัมกอท ฉันได้ย้อนแวะไปนั่งจิบชาที่ร้าน เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ตรงทางแยกที่มีร้านขายของและถัดจากตรงนั้นมันจะมีทางเดิน ที่อยู่คนละฟากส่วนกับเส้นทางขามา
ดูเหมือนจะเป็นป่า แต่พอได้เห็นว่ามีพระเดินเข้าไป ก็เลยลองเดินตามดูบ้าง อยากรู้จริงว่าจะพาลัดไปโผล่ยังที่ไหนได้ต่อ
ผลก็คือ ฉันมาได้เจอกับสถานที่นั่งสมาธิที่ชื่อว่า Tushita สภาพแวดล้อมดูเป็นใจดีเลย เงียบสงบมาก
แต่ถัดจากนี้ กลับเป็นเรื่องน่าประหลาดใจเล็กน้อย ที่ฉันหลุดมาโผล่ยังย่านตลาดร้านค้า ที่หน้าตาคุ้น ๆ ที่แท้นี่คือทางลัดทะลุมาถึงแมคลอดกันจ์ได้ซะงั้น!
แถมไวกว่าที่เดินช่วงขามาตั้งเยอะเพราะ ป้ายบอกทาง
ที่บอกไว้อย่างเป็นทางการนั่นแท้ ๆ ที่หลอกให้หลงเดินเสียตั้งไกล
....
มาเดินเทียนกัน
ช่วงเย็นของวันนี้ ฉันออกมาที่สี่แยกเพื่อสอบถามเรื่องเที่ยวรถตรงซุ้มที่ให้ บริการจองเที่ยวรถ HRTC ที่ main square แต่มากลับเจอกลุ่มชุมนุมชาวทิเบต มายืนตั้งหลักพูดคุยที่บริเวณด้านหน้า ทำให้ฉันหาทางเข้าไปติดต่อสอบถามไม่ได้ ดูเหมือนว่าพวกเขา กำลังจะรวมตัวกันเพื่อทำอะไรบางอย่างในไม่ช้า
มีเสียงตะโกนร้องประกาศดังเป็นภาษาทิเบตจากเหล่าหญิงสาว ที่ยืนรับผิดชอบหน้าที่นี้ ตรงโต๊ะ ที่วางไว้เป็นฐานที่มั่นชั่วคราว
มีเทียน กล่องลังกระดาษและกล่องนม วางเคียงอยู่พร้อมกับกองเทียน
พวกเขาต่างนำเอา กล่องนม มาตัดแบ่งครึ่ง ลังกระดาษเก่า ถูกดึงฉีกออกมาแบบง่าย ๆ เพื่อใช้เสียบรองเทียน
มีชาวต่างชาติคนหนึ่งเดินมาดูเหตุการณ์ และได้รับคำเชิญให้หยิบเทียน
กลุ่มหญิงสาวที่โต๊ะนั้นพูดบอกกล่าวอะไรบางอย่างกับเขา ด้วยภาษา- ที่ฟังไม่ได้ศัพท์ ฉันแอบทึกทักไปว่าชาวต่างชาติคนนี้อาจเข้าใจใน สถานการณ์ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ เลยเดินตรงเข้าไปถามว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่
"คงมีคนเผาร่างตัวเองเพื่อต่อต้านรัฐบาลจีน" เขาได้ตอบตามความเข้าใจที่ดูน่าจะเป็นไปได้
ฉันยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง กับคำตอบที่ได้รับมา
ในเย็นวันนั้นฉันตัดสินใจไม่ไปเตร็ดเตร่ที่ไหนต่อ
และเดินตรงเข้าไปรับเทียนเพื่อร่วมเดินกับเขาด้วย แม้จะยังไม่รู้ที่มาของเรื่องนี้ดีนัก
ไม่กี่อึดใจผู้เข้าร่วมชุมนุมต่างทะยอยเข้ามาเรื่อย ๆ จนแน่นเต็มลาน ในวันนี้ร้านรวงที่เป็นกิจการของชาวทิเบตต่างปิดกันตั้งแต่หัววัน พวกเขาคงพร้อมใจกันออกมาทั้งหมด
ไฟจากปลายเทียนของแต่ละคนถูกจุดส่งต่อกันไปเรื่อย ๆ
มีชาวเอเชียสองคนเดินเข้ามาสะกิดถามฉันว่ามันเกิดอะไรขึ้น
ฉันได้แต่บอกกลับไปตามจริง โดยไม่โมเมแบบฝรั่งคนนั้น "ไม่รู้เหมือนกัน"
เมื่อได้เวลา ขบวนเดินเทียนนี้ก็เริ่มก้าวเดิน
พร้อมกับเสียงสวดร้องที่วนไปมาอยู่แค่ประโยคเดียว
....
"เขาตายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา แต่ไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาล"
พี่ทิเบตผู้สวมชุดประจำชาติฯ สีดำ บอกกับฉันระหว่างที่เดินมาขอต่อเทียน
เขาบอกว่าที่รู้เรื่องนี้ดีก็เพราะว่าสถานที่เกิดเหตุ อยู่ไม่ไกลไปจากที่ทำงาน
ฉันเลยได้รู้ที่มาของเรื่องว่า เกิดจากเหตุวิวาทจนนำไปสู่การ 'ฆาตกรรม'
ซึ่งคืนที่เกิดเหตุขึ้นนั้น ก็ไล่เลี่ยจากวันที่ฉันเดินทางมาถึงเพียงแค่หนึ่งวัน และหนำซ้ำมันเกิดขึ้นที่แมคลอดกันจ์นี่แหละ!
VIDEO ในบทเพลงสวดที่ร้องกัน ฉันไม่เคยได้ยินจากที่ไหนมาก่อน
มันเป็นภาษาทิเบต ซึ่งยากที่จะเข้าใจความหมายได้ เลยวานขอให้ชาวทิเบตผู้นั้นช่วยเขียนบอกให้หน่อย
"ได้ แต่ขอเป็นหลังเดินเทียนละกัน" พี่เสื้อดำรับปาก
เริ่มจากย่าน Main Square เราร่วมเดินไปที่ถนนบัคซู ไปจนสุดทางถนน
จากถนนบัคซู ย้อนกลับมายัง ถนนโจกิวารา
จาก โจกิวารา ก็วกกลับมาต่อยังเส้นทางสุดท้าย
ที่จะตรงไปสิ้นสุดกันที่วัดทะไลลามะ
เรามาหยุดกันตรงลานด้านหน้าอนุสรณ์สถาน ที่เป็นรูปปั้นผู้พลีชีพจากการเผาร่างซึ่งตั้งตรงข้ามกับพิพิธภัณฑ์ฯ
ในช่วงท้าย ของขบวนเดินเทียน บรรดาเสียงอื้ออึงทั้งหลายต่างเริ่มสงบลง
ดูราวกับว่า เรากำลังเข้าสู่ภวังค์เงียบพร้อมกันโดยไม่ต้องบอกกล่าว มีคำสวดเบา ๆ จากพระภิกษุรูปหนึ่ง ดังแทรกมาจากพื้นที่ส่วนด้านหน้า
ความรู้สึกในตอนนั้น ฉันเองก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน
ฉันไม่รู้จักกับผู้เสียชีวิต และผู้คนเหล่านี้เป็นการส่วนตัว
แต่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้รู้สึกจับคว้าความเศร้าเข้ามาในใจได้?
หลังจากที่เสียงสวดของพระจบลง ก็มีการพูดประกาศผ่านโทรโข่งต่อ
ก่อนที่จะเว้นช่วงให้ยืนสงบนิ่งเป็นการไว้อาลัยชั่วครู่ และจากนั้น เราต่างร่วมวางเทียนเพื่อไว้อาลัย ณ ที่แห่งนี้ บ้างก็ปักที่หน้าแท่น รูปปั้นนักบวชผู้ซึ่งยืนอยู่ในเปลวเพลิง บ้างก็ปักตามแนวกำแพง
"วันพรุ่งนี้เป็นวันสำคัญจะมีพิธีใหญ่ที่วัดฯ ท่านทะไลลามะ จะออกมา เทศนา และพบปะประชาชนด้วย เธอรีบมาจองที่นั่งแต่เช้าเลยนะ "
พี่ทิเบตคนนั้นได้แจ้งบอกเรื่องบางอย่างที่ดูน่าสำคัญไว้ต่อฉัน ในช่วงระหว่าง ที่เรายังคงเดินพร้อมกัน ก่อนที่จะพลัดหลงถัดจากนั้นไม่นาน จนกระทั่งเมื่อ มาถึงที่ปลายทางแห่งนี้ มีผู้คนต่างพากันทะยอยเดินออกกันเยอะไปหมด และฉันก็มองหาเขาไม่เจอเสียแล้ว
เรื่องราวของชายผู้นี้ได้ถูกเผยแพร่ลงยังแหล่งข่าวชุมชน ทั้งในส่วนของ ใบปิดประกาศตามพื้นที่ต่าง ๆ รวมไปถึงเครือข่ายออนไลน์
หนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ เขาได้มีโอกาสกลับไปเยี่ยมครอบครัวที่ทิเบตเป็นหนแรก หลังจากมาอาศัยอยู่ในอินเดียนานถึง 12 ปีเต็ม และมีแผนที่จะกลับไปอีกครั้งใน เดือนมกราคม ปีถัดไป
Tsultrim Chokden อายุ 29 ปี ถูกทำร้ายจนเสียชีวิต สถานที่เกิดเหตุ อยู่ไม่ไกลไปจาก Green Hotel ตรงเส้นถนนทางไปบัคซู ในช่วง กลางดึก ของคืนวันศุกร์ (30 ต.ค. 2015) ในขณะกำลัง เดินกลับที่พักพร้อมกับเพื่อนสาว
ระหว่างนั้น ก็ได้เจอกับกลุ่มวัยรุ่นชายสามคน มาแสดงท่าทีข่มขู่หญิงสาว แม้คำให้การจากพยานจะบอกว่า ชายคนนี้ไม่ได้พูดตอบโต้หรือแสดง ท่าทีอะไรออกไป แต่เขาก็ยังโดนรุมทำร้ายและถูก แทงจนเสียชีวิต
หลังจากนั้นอีก สามวันต่อมา ชาวทิเบตผู้อาศัยในย่านแมคลอดกันจ์ ต่างพากันมาเดินเทียนไว้อาลัย พร้อมกับเรียกร้องให้ทางการเร่งจับตัว ผู้กระทำผิด มาดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมโดยไว ...
หลังจากที่ได้วางเทียนลง ... ฉันก็ได้ครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ เรื่องราวในวันนี้มัน ไม่ใช่ประสบการณ์ที่ดีเลย เพราะมันไม่สมควรจะเกิดขึ้น ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด ๆ ก็ตาม
"ไปสู่สุขคตินะ"