สึนามิ คลื่นยักษ์ที่พัดกระหน่ำคนทั้งโลก หาใช่แค่ชาวญี่ปุ่นไม่

ผมเขียนบทความนี้ขึ้นหลังจากผมได้นั่งชมการตัดต่อภาพเหตุการณ์คลื่นยักษ์และแผ่นดินไหวที่โจมตีประเทศญี่ปุ่นครั้งรุนแรงที่สุดในรอบกว่า 65ปี ประกอบเพลง if we hold on together ผ่านทางรายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ของคุณสรยุทธ์ น้ำตาผมไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว แต่น้ำตาของผมไม่ได้ไหลให้กับโศกนาฏกรรมครั้งนี้ แต่ไหลให้กับความเข้มแข็ง ความอดทน ของชาวญี่ปุ่นที่ประสบเคราะห์ ผ่านทางแววตาของทุกคนที่ผมได้เห็นผ่านภาพรีวิวประกอบเพลงความดีเพลงนี้ แววตาที่แสดงถึงความตกใจ เสียใจ แต่กลับไม่มีน้ำตาไหลออกมาแม้สักหยด ไม่แม้กระทั่งเด็กประถมตัวเล็กที่นั่งขี่อยู่บนหลังของทหารที่เข้าไปช่วยเหลือ ไม่แม้กระทั่งผู้สูงอายุที่มีทหารเดินประคองออกมาจากซากปรักหักผัง แววตาแต่ละคู่ที่ผมสังเกตเห็น เป็นแววตาที่น้อมรับและเข้าใจ แทบจะเป็นการแสดงความเคารพด้วยซ้ำ กับพลังมหาศาลของธรรมชาติครั้งนี้ ที่ทั้งกวาดทำลาย อาคาร ตึกรามบ้านช่อง ยานพาหนะ รวมไปถึงพัดพาเอาความรู้สึกมักมาก ละโมบ และเห็นแก่ตัวในจิตใจของมนุษย์ติดไปด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ชาวญี่ปุ่นทั้งประเทศรับรู้ คือ มหาพสุธากัมปนาทครั้งนี้ไม่ได้สั่นไหวเฉพาะเกาะญี่ปุ่น แต่มันได้สั่นไหวไปถึงจิตใจและความรู้สึกของโลกทั้งใบ ผ่านทางการเชื่อมต่อที่แสนจะใกล้ชิดกันของโลกทุกวันนี้ หลังจากเกิดเหตุไม่นาน ความช่วยเหลือต่าง ๆ ได้หลั่งไหลเข้าสู่เกาะญี่ปุ่น ทั้งในรูปความช่วยเหลือของทีมกู้ภัย ในรูปของเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ในรูปของอาหารสำเร็จรูป และที่สำคัญในรูปของเงิน



ทุกครั้งที่โลกเกิดเหตุการณ์สำคัญ คนทั้งจะร่วมแรงร่วมใจ สลัดทิ้งความเห็นแก่ตัว และการแบ่งแยกเชื้อชาติออกไป อย่างเมื่อไม่นานมานี้ในเหตุการณ์ที่เฮติ และในนิวซีแลนด์ แต่ว่าเหตุการณ์ในญี่ปุ่นครั้งนี้ มันสั่นสะเทือนผมมาก ก็เนื่องเพราะชีวิตผมผูกพันกับความเป็นญี่ปุ่นค่อนข้างมาก ตั้งแต่สมัยเด็ก ผมก็มักจะได้ดูได้อ่านการ์ตูนจากทางฝั่งญี่ปุ่นมากกว่าจะเป็นทางฝั่นตะวันตก ทำให้เหมือนกับว่าผมโตมากับความเป็นญี่ปุ่น จนมาถึงช่วงอายุที่ผมรักการอ่านมาก การอ่านของผมก็จะผูกติดอยู่กับวรรณกรรม นิยาย เรื่องแปล ที่มาจากทางญี่ปุ่นเป็นส่วนใหญ่ กว่าร้อยเล่มที่ผ่านตาผมก็จะเป็นหนังสือที่มาจากญี่ปุ่น รวมไปถึงภาพยนตร์ที่มักจะสะกดผมได้อยู่เสมอเสมอ และนักเขียนที่เป็นเหมือนกับตรายางให้กับชีวิตของผม อย่างฮารูกิ มูราคามิ ก็เป็นชาวญี่ปุ่น เมื่อเกิดเหตุการณ์รุนแรงจึงทำให้ผมสั่นสะเทือนได้มาก สองสามวันที่ผ่านมาทุกครั้งที่นั่งหน้าจอทีวีเพื่อติดตามข่าวของเหตุการณ์นี้ ผมจะน้ำตาซึมเวลาเห็นภาพสดขณะเกิดเหตุการณ์ เป็นเหมือนตอนที่สึนามิพัดถล่มภาคใต้ของประเทศไทย



แผ่นดินไหวและสึนามิถล่มครั้งรุนแรงนี้ เกิดกับประเทศที่ได้ชื่อว่ามีการรับมือและเตรียมการกับมหันตภัยลักษณะนี้ได้ดีที่สุดในโลก มีการศึกษา สร้างเครื่องมือป้องกัน ซ้อมรับมือกันมาเป็นเวลากว่าสิบปี เห็นได้จากการก่อสร้างกำแพงรอบเมืองเพื่อรับมือกับคลื่นยักษ์ ซึ่งความสูงของกำแพงนั้นกว่า 10 เมตร ใช้เวลาก่อสร้างเกือบ 30 ปี แต่ก็หารับมือกับพลังและความรุนแรงของธรรมชาติได้ไม่ ทำได้เพียงลดความเสียหายลงได้เพียงไม่กี่มากน้อย จากเหตุการณ์ทำให้มนุษย์ได้เรียนรู้ว่า ธรรมชาติ มีอยู่เพื่อให้เราเรียนรู้การอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจ หาใช่เรียนรู้เพื่อต่อกรหรือเปลี่ยนแปลง



ผมเขียนบทความนี้ขึ้น ไม่ได้เพื่อให้ทุกคนตื่นตัวที่จะรับมือหรือต่อกรกับธรรมชาติ เพียงแค่อยากให้ทุกคนเรียนรู้ที่จะอยู่กับธรรมชาติอย่างเข้าใจและเอาใจใส่ มนุษย์ไม่เคยมีพลังที่สามารถทำลายล้างธรรมชาติได้อย่างที่ธรรมชาติทำลายล้างเรา แต่มนุษย์มีความสามารถพิเศษในการค่อย ๆ กัดกร่อน ทำลาย สร้างความเสียหาย และทำร้ายธรรมชาติมาเป็นเวลาช้านาน นานหลายร้อยหลายพันปี สะสมความรู้ความสามารถเพื่อที่จะเปลี่ยนแปลงและต่อสู้กับธรรมชาติ แต่ไม่เคยเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ผมว่าช่วงอายุของพวกเราต่อจากนี้ คงจะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงจากมนุษย์มากขึ้น และน่าจะเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น เมื่อได้เห็นความพิโรธของธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งในช่วงไม่กี่ปีนี้ ในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ได้มีการนำเสนอภาพความรุนแรงของธรรมชาติ ในรูปแบบของคำว่าวันสิ้นโลก มากมายหลายเรื่อง ล่าสุดอย่างในเรื่อง 2012 ขณะดูผมได้แต่นึกในใจว่าช่างเกินจริง โอเว่อร์ แต่หลังจากภาพข่าวของเหตุการณ์ที่ญี่ปุ่น ความรู้สึกต่าง ๆ ได้เปลี่ยนไปจนเกือบหมด ธรรมชาติมีพลังเหนือเราจริง



หากใครที่ได้อ่านบทความนี้ หลังจากอ่านจบอยากให้สงบนิ่งและช่วยกันสวดมนต์ภาวนา ไม่ว่าจะในภาษาของศาสนาใด แต่สวดภาวนาให้กับผู้สูญเสียในเหตุการณ์ครั้งนี้ ให้ได้ไปสู่สุขคติ และสวดภาวนาให้กับจิตวิญญาณของผู้ที่ยังอยู่ ยังต่อสู้และรับมือกับความสูญเสียอยู่ ให้ได้มีกำลังที่เข้มแข็ง ไม่รู้สึกโดดเดี่ยวจากโลกทั้งใบของเรา และอย่าลืมส่งความช่วยเหลือทางใดทางหนึ่งก็ได้ที่เราสามารถช่วยได้ เพราะเมื่อครั้งที่เราเกิดภัยพิบัติครั้งสำคัญ ประเทศแรก ๆ ที่จะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเราก็คือ ญี่ปุ่น ครั้งนี้ก็จะเป็นครั้งสำคัญที่เราจะทำให้รู้ว่า เราไม่เคยลืมมิตรที่ดีอย่างญี่ปุ่นเลย ผมชอบคำพูดหนึ่งของคุณสรยุทธ์ ที่ว่า ไม่ว่าประเทศใดเกิดเหตุการณ์รุนแรงทางธรรมชาติ ประเทศแรกแรกที่จะเข้าไปช่วยเหลือก็คือ ญี่ปุ่น ผมหวังว่าครั้งนี้โลกจะไม่ทำให้ชาวญี่ปุ่นต้องผิดหวัง กับความปรารถนาดีที่ชาวญี่ปุ่นได้หยิบยื่นให้โลกเสมอเสมอ



หวังว่าการสั่นสะเทือนเล็กเล็กของผม จะไปกระทบความรู้สึกใครได้บ้าง แม้เพียงสักคนก็ยังดี หากมันทำให้เกิดประโยชน์ต่อเหตุการณ์ครั้งนี้





Create Date : 14 มีนาคม 2554
Last Update : 14 มีนาคม 2554 21:16:37 น.
Counter : 1210 Pageviews.

2 comments
สัมผัสชาวขะแมร์ตั้งแต่ ยุค ค.ศ 1983 เป็นต้นมา EP3.5 สมาชิกหมายเลข 8900029
(24 มิ.ย. 2568 07:54:50 น.)
18 มิย 68 mcayenne94
(18 มิ.ย. 2568 17:08:30 น.)
วัน แบงค็อก เฉลิมฉลองเดือนแห่งความภาคภูมิใจ เปิดงาน One Bangkok, One Pride อย่างยิ่งใหญ่ อุ้มสี
(7 มิ.ย. 2568 00:38:55 น.)
นกยางกรอกพันธุ์จีน tuk-tuk@korat
(5 มิ.ย. 2568 12:35:42 น.)
  
รู้สึกเช่นเดียวกันเลยค่ะ และรู้สึกถึงความลึกลับในจิตใจของชาวญี่ปุ่นผู้เต็มไปด้วยบาดแผลจากประวัติศาสตร์ หวังว่าเขาจะผ่านเหตุการณ์ร้ายๆได้ด้วยดีอีกครั้ง
โดย: ฮูก (midnight OWL ) วันที่: 14 มีนาคม 2554 เวลา:22:50:18 น.
  
คุณฮูก ผมมีความรู้สึกว่าญี่ปุ่นเป็นเหมือนประเทศที่ต้องคำสาปเลยครับ มักจะเจอเหตุการณ์ที่รุนแรงแบบนี้ เหมือนตอนสงครามโลกครั้งที่2
โดย: i.am.Victor วันที่: 15 มีนาคม 2554 เวลา:22:16:43 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

My-codename-v.BlogGang.com

i.am.Victor
Location :
กรุงเทพฯ  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]

บทความทั้งหมด