|
| 1 | 2 | 3 | 4 |
5 | 6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 |
12 | 13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 |
19 | 20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 |
26 | 27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
สีของความรัก
รอยยิ้มของ ‘คิมหันต์’ แข็งค้างอยู่บนใบหน้า เขาเป็นชายหนุ่มที่มาจากครอบครัวที่อบอุ่น จบการศึกษาจากสถาบันที่มีชื่อเสียง มีตำแหน่งหน้าที่การงานมั่นคง ที่สำคัญเขากำลังจะมีครอบครัว เขากำลังจะแต่งงานกับหญิงสาวที่เป็นรักแรก และรักเดียวของเขา “...คุณหมอ...ว่าอะไรนะครับ” คิมหันต์มาที่โรงพยาบาลแห่งนี้เพื่อทำการตรวจร่างกาย ก่อนการแต่งงานที่กำลังจะมาถึง ผลการตรวจของ ‘หนึ่งฤดี’ แฟนของเขาก่อนหน้านี้คือ ปกติ และเขาไม่เคยคิดแม้แต่นิดเดียวเลยว่า ผลการตรวจของเขาจะเป็นอย่างอื่นไปได้ “ผมต้องขอทำการตรวจเพิ่มเติมบางอย่าง...มันอาจจะไม่มีอะไรก็ได้ครับ” คิมหันต์จับน้ำเสียงที่ไม่แน่ใจของหมอได้อย่างชัดเจน แต่ก็ยังพยายามบอกตัวเองให้เชื่อคำพูดของเขา
***** “มีอะไรหรือเปล่าคะ คิม” น้ำเสียงที่เจือด้วยความเป็นห่วง และคิดถึง ดังผ่านโทรศัพท์มาจากสถานที่อันห่างไกล ถึงแม้ตัวจะไกล แต่ใจของทั้งสองก็ไม่เคยห่างกันเลย “...ไม่มีอะไรหรอก หนึ่ง...ทุกอย่างเรียบร้อยดี” “...แล้วหนึ่งจะรีบกลับไปหานะ” คิมหันต์พูดโกหก และเขาคิดว่าหนึ่งฤดีก็รู้เช่นกัน แต่ที่เธอไม่ถามคาดคั้นอะไรกับเขา ก็เพราะเธอเป็นแบบนั้นเอง เป็นหญิงสาวที่รัก และเข้าใจเขามากที่สุด “ผมพร้อมแล้วครับ” คิมหันต์เก็บโทรศัพท์ พร้อมกับเดินตามเจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลเข้าไปในห้องทึมๆ ที่เย็นจัด ภายในห้องมีเตียงแคบๆ ที่จะส่งร่างของเขาเข้าไปในอุโมงค์เล็กๆ ภายในห้องนี้ยังมีเสียงครวญครางประหลาดๆ ดังอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย การที่ต้องนอนนิ่งๆ อยู่หลายชั่วโมงในเครื่องมือนั้น คล้ายกับยาวนานเป็นวันๆ ในความรู้สึกของคิมหันต์ และเขาต้องนั่งรอหมอด้วยความกระวนกระวายยิ่งกว่าเพื่อรอรับฟังผลการตรวจ ‘ยินดีด้วยครับ เราไม่พบอะไรผิดปกติ’ นั่นคือสิ่งที่คิมหันต์อยากได้ยิน แต่สิ่งที่หมอพูดกับเขากลับกลายเป็น “เราพบความผิดปกติในสมองของคุณ มีก้อนเนื้องอกขนาดประมาณ 1 เซนติเมตร อยู่ใกล้ๆ กับเส้นประสาทตา ถ้ามันใหญ่ขึ้น...คุณอาจจะตาบอด และการผ่าตัด ก็อาจจะทำให้คุณตาบอดได้เช่นกัน” “...” ในหัวของคิมหันต์มีแต่ความเวิ้งว้าง เขานั่งคิดอะไรไม่ออกไปครู่ใหญ่ “...หมอว่าวันนี้คุณกลับไปแจ้งให้ทางบ้านได้รับทราบกันก่อนดีกว่า แล้วเราค่อยกลับมาคุยกันเรื่องทางเลือกในการรักษาอีกครั้ง” คิมหันต์ไม่แน่ใจว่าในวันนั้น เขากลับมาถึงห้องได้อย่างไร พอรู้ตัวอีกทีเขาก็กำลังจ้องมองเบอร์โทรศัพท์ที่คุ้นเคย นิ้วโป้งรออยู่ว่าจะกดปุ่มโทรดีหรือไม่ คิมหันต์มือสั่นเกร็ง เขาปาโทรศัพท์ออกไปอย่างเดือดดาล ก่อนที่จะกระแทกนั่งลงแล้วเริ่มร้องไห้โดยไร้เสียง เขาจำไม่ได้แล้วว่าตัวเองเคยต้องเสียน้ำตาครั้งล่าสุดให้กับเรื่องใด สุดท้ายแล้วเขาก็ไม่ได้บอกใครถึงอาการป่วยของเขา แม้แต่หนึ่งฤดีที่เป็นสุดที่รักของเขา
***** คิมหันต์ยืนมองผู้คนที่เดินขวักไขว่ไปมาอยู่ในสนามบิน เขารู้สึกว่าตัวเองเริ่มมองเห็นได้แคบลงกว่าเดิมมาหลายวันแล้ว แต่สิ่งที่เขาเห็นในวันนี้มันกลับแตกต่างไปจากทุกครั้ง ‘มันมองดูเหมือนกับท้องทะเลจริงๆ เลย’ คิมหันต์มองเห็นทะเลของสีฟ้าเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ ตัว คนแปลกหน้าเหล่านี้ส่องแสงสีฟ้าจางๆ ออกมาจากบริเวณหน้าอก คลื่นทะเลที่เงียบเหงาเคลื่อนตัวไปรอบๆ ราวกับว่าเขากำลังติดอยู่กลางเกาะร้าง ที่มีคลื่นแห่งความโดดเดี่ยวล้อมอยู่รอบกาย ‘ความรู้สึกอึดอัดที่น่าเหนื่อยหน่ายนี้มันคืออะไรกันนะ’ คิมหันต์ยกมือขึ้นกุมหน้าอก เขาคิดว่าแสงพวกนี้น่าจะส่องออกมาจากใจของผู้คนนั่นเอง เขาทอดสายตามองไปในท้องทะเลสีฟ้าอันเวิ้งว้าง ฉับพลันนั้นเองก็มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น แสงสีแดงจางๆ ค่อยๆ ลอยขึ้นมาจากสุดทางเดิน เหมือนกับยามเช้าริมทะเลที่ดวงอาทิตย์กำลังค่อยๆ เคลื่อนขึ้นสู่ฟากฟ้า ผู้ที่นำแสงสว่างมาสู่ใจของคิมหันต์คือหนึ่งฤดีนั่นเอง เธอมาหยุดยืนยิ้มอยู่ตรงหน้า เขาอดใจไม่ได้ที่จะทำสิ่งที่เขารู้ว่าเธอไม่ค่อยชอบสักเท่าไร เขากอดเธอแน่นโดยไม่สนใจสายตาของผู้ใด พร้อมกับกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูเธอว่า “ผมรักคุณ” หนึ่งฤดีไม่ได้ผลักคิมหันต์ออกไปเหมือนกับที่เขาคาด และเธอเองก็กอดเขาด้วยเช่นกัน “หนึ่งก็รักคุณ...มีอะไรก็รีบบอกออกมาให้หมด ก่อนที่หนึ่งจะอึดอัดตาย” คิมหันต์จับไหล่ของหนึ่งฤดีเอาไว้ พร้อมกับจ้องหน้าเธอ สิ่งที่เขากลัวที่สุดคือจะไม่ได้เห็นใบหน้าที่เปื้อนรอยยิ้มของเธออีก
***** “คุณไม่อยากผ่าตัด” คิมหันต์พยักหน้าให้กับคุณหมอที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ร่างของหมอส่องแสงสีน้ำเงิน พร้อมกับแผ่ความรู้สึกมั่นคง และเชื่อมั่นออกมา “...แต่สายตาของคุณเริ่มแคบลงแล้ว แสดงว่าเนื้องอกมีขนาดโตขึ้น ถ้ามีแนวโน้มแบบนี้ สุดท้ายมันอาจจะสร้างความเสียหายมากกว่าเรื่องตาก็ได้นะครับ” “...แต่การผ่าตัดเองก็มีความเสี่ยงใช่ไหมครับ” “ทุกการผ่าตัดมีความเสี่ยงทั้งนั้นแหละครับ โดยเฉพาะการผ่าตัดสมอง แต่ผมเองก็มั่นใจในฝีมือการผ่าของตัวเอง” “ผมไม่ได้ไม่ไว้ใจหมอนะครับ...แต่ผมอยากรอจนมันเป็นหนทางสุดท้ายเมื่อไม่อาจเลี่ยงได้แล้วเท่านั้น” คิมหันต์บีบมือหนึ่งฤดีที่นั่งอยู่ข้างๆ เขาเหลือบมองดูสีแดงที่ส่องออกมาจากร่างของเธอ ความรู้สึกนั้นเขามั่นใจว่า มันคือความรักอย่างไม่ต้องสงสัย เขาอยากอยู่กับเธอในขณะที่ยังคงเป็นปกติอยู่ให้นานที่สุด แล้วหลังจากนั้นจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเขา มันก็ไม่สำคัญอีกต่อไป
***** ช่วงเวลาแห่งความสุขมักผ่านไปอย่างรวดเร็ว สายตาของคิมหันต์แคบลงเรื่อยๆ บางครั้งก็เกิดภาพซ้อน และบางครั้งเขาต้องเลือกที่จะมองภาพที่เลือนลางด้วยตาข้างใดข้างหนึ่งเท่านั้น เพราะหากใช้ทั้งของข้าง ภาพนั้นจะไม่รวมเข้าด้วยกัน แต่มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลง นั่นคือสีแดงของหนึ่งฤดี ทุกครั้งที่เขาได้เห็นมัน เขาก็จะลืมความทุกข์ทรมานที่กำลังเผชิญอยู่ มันเป็นความจริงที่ว่า ‘ความสุขจะเพิ่มขึ้นเมื่อมีคนร่วมยินดี ส่วนความทุกข์จะลดลงเมื่อมีคนร่วมแบ่งปัน’
***** ยังมีความเป็นจริงอีกเรื่องหนึ่ง ที่ผู้คนมักแกล้งมองข้ามมันไป ‘ความสุขนั้นไม่ยั่งยืน’ มาถึงตอนนี้ดวงตาของคิมหันต์ก็แทบจะมองอะไรไม่เห็นอีกแล้ว และนอกจากนี้ยังมีอาการปวดหัวเพิ่มขึ้นมาด้วย แต่สิ่งเหล่านั้นก็เทียบไม่ได้เลยกลับความเปลี่ยนแปลงอีกเรื่องหนึ่ง สีแดงของหนึ่งฤดีค่อยๆ จืดจางลง พร้อมกับท่าทีที่ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปของเธอ ในขณะที่สีฟ้าอันโดดเดี่ยวของคนอื่นๆ ยังคงแจ่มชัดเช่นเดิม เรื่องนี้เป็นสิ่งที่ทำร้ายจิตใจเขามากยิ่งกว่าอาการป่วยที่กำลังเผชิญอยู่เสียอีก ‘ความไม่แน่นอนที่รออยู่ในอนาคต คงกัดกร่อนความรักของเธอที่มีต่อฉัน’ คิมหันต์มองแสงสีแดงจางๆ นั้นเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่มันจะเปลี่ยนกลายเป็นสีขาว ความรู้สึกเย็นเยียบเกิดขึ้นกลางใจของเขา “หนึ่งไม่อาจอยู่แบบนี้ต่อไปได้อีกแล้ว” สิ่งที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดในโลกดังสะท้อนก้องเต็มสองหู หนึ่งฤดีเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเขาแม้แต่แวบเดียว โลกของเขาได้มืดสนิทลงอย่างแท้จริงแล้ว
***** หนึ่งฤดีบังคับตัวเองไม่ให้หันมองกลับไป เธอยืนกล้ำกลืนน้ำตาอยู่หน้าประตู ก่อนที่จะหยิบโทรศัพท์ขึ้นโทรหาใครบางคน
***** คิมหันต์กำลังถูกเข็นเข้าห้องผ่าตัด ‘ฉันอาจจะไม่ได้กลับออกมาอีกเลย’ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญอีกต่อไปแล้ว ไม่มีแม้แต่อย่างเดียว แสงสีขาวที่ติดตรึงอยู่ในใจของเขาเคลื่อนเข้ามาใกล้เตียง “ผมไม่อยากเห็นหน้าคุณอีก” “...นี่แม่กับพ่อเองนะลูก ทำไมลูกถึงปิดบังพวกเราแบบนี้” ตั้งแต่ที่คิมหันต์เริ่มมีอาการ เขาก็ไม่ได้ติดต่อกับพ่อแม่ของเขาอีกเลย ด้วยกลัวว่าพวกท่านจะเป็นห่วงเขามากจนเกินไป คิมหันต์นิ่งอึ้งกับสิ่งที่ได้เห็น ท่ามกลางทะเลของสีฟ้า และน้ำเงิน พ่อแม่ของเขากลับส่องแสงสีขาวออกมา แสงที่เขาเคยคิดว่ามันคือความเย็นชา และห่างเหิน
***** “สูดหายใจเข้าลึกๆ นะครับ” นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่คิมหันต์ได้ยินในห้องผ่าตัด
***** หนึ่งฤดีวางสายจากหมอ หากเธอยังคงอยู่ข้างกาย คิมหันต์ก็จะไม่ยอมเข้ารับการผ่าตัดเสียที พ่อแม่ของเขามาทันก่อนที่การผ่าตัดจะเริ่มขึ้น แต่ถ้าหากเขาไม่อาจผ่านพ้นมันได้ ความรู้สึกผิดนี้จะฝังลึกอยู่ในใจของเธอไปตลอดกาล ***** การผ่าตัดผ่านพ้นไปด้วยความเรียบร้อย คิมหันต์ปลอดภัยแล้ว แต่สายตาของเขาก็ไม่อาจกลับคืนมาเป็นปกติได้อีก ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็น แต่เขาก็ยังสามารถกดโทรศัพท์ได้ เขานั่งฟังเสียงสัญญาณเรียกสายที่ยังคงดังไม่ยอมหยุด ‘สีขาวนั้นไม่ใช่ความเย็นชา แต่เป็นความรู้สึกอบอุ่น ห่วงใยอย่างที่สุด’ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เป็นความรู้สึกของตัวเขาเอง เขาคือคนที่สั่นคลอน เขาคือคนที่หมดความเชื่อมั่นในตัวเธอ ภายหลังการผ่าตัด แสงเหล่านั้นก็หายไปด้วยเช่นกัน มันคงเป็นผลพวงที่เกิดขึ้นจากเนื้องอกก้อนนั้น และตอนนี้มันก็ไม่จำเป็นกับเขาอีกแล้ว เพราะมัวไปกังวลอยู่กับมันจนหลงลืมสิ่งสำคัญที่สุดไป นั่นก็คือสิ่งที่เขารับรู้ได้ด้วยใจของตนมาตลอดนั่นเอง คิมหันต์ตัดสินใจลองกดโทรศัพท์ดูอีกครั้ง คราวนี้เขาได้ยินเสียงเรียกดังมาจากนอกโทรศัพท์ และกำลังเคลื่อนตรงมาหาเขา เขากดวางสาย แล้วเสียงดังกล่าวก็หายไปเช่นกัน ในท่ามกลางความเงียบงันอันเนิ่นนานนั้น มีคำพูดอยู่มากมาย แต่สิ่งที่เขาเลือกจะพูดออกมาเป็นคำแรกคือ “หนึ่ง...แต่งงานกับผมนะครับ” ในเสียงสะอื้นมีคำตอบที่มั่นใจดังขึ้นสั้นๆ “...ค่ะ...” และแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนสองคนที่รักกัน
Create Date : 17 กันยายน 2553 |
|
0 comments |
Last Update : 1 มีนาคม 2555 15:00:30 น. |
Counter : 662 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|