ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
21 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
ดาบปวดใจ (ตอน 2/2)

ดาบที่สอง

“น้องชายขอเส้นหมี่เนื้อวัวชามหนึ่ง”

แฝงหมี่เล็กๆ นี้แม้ดูซอมซ่อ แต่กลับมีผู้คนแวะเวียนมามิได้ขาด ซึ่งส่วนใหญ่แล้วเป็นบรรดาผู้ใช้แรงงานอยู่ในตลาดใกล้ๆ นี้แทบทั้งสิ้น เส้นหมี่ชามใหญ่ ใส่เนื้อย่างชิ้นโต กับน้ำซุปที่เข้มข้น ช่วยให้กินอิ่ม และผ่านงานหนักไปได้อีกวัน

ชายร่างใหญ่ที่ทำงานแบกของใช้ตะเกียบคีบหมี่คำโตใส่ปาก ก่อนยกชามซดน้ำซุปร้อนๆ เข้าไป ช่วงนี้อากาศเริ่มหนาวเย็น น้ำซุปในชามดูเข้มข้นกว่าในตอนอากาศร้อน ช่วยให้ร่างกายรู้สึกอบอุ่น

“...น้องชาย เจ้าเปลี่ยนน้ำซุปด้วยหรือ”

ชายซอมซ่อยิ้มให้ลูกค้าประจำของมัน ใครบอกว่าคนหยาบกร้านไม่ใส่ใจในเรื่องการกิน บางครั้งพวกมันกลับสามารถจำแนกรสได้ดียิ่งกว่าเศรษฐีเรื่องมากเสียอีก

“หากอากาศร้อนน้ำซุปใสรสจัดย่อมทำให้รู้สึกสดชื่น แต่ช่วงนี้อากาศเริ่มเย็นลง ข้าจึงเพิ่มเนยใสเพื่อให้น้ำซุปเข้มข้น สร้างความอบอุ่นให้กับร่างกายมากกว่าเดิม”

ชายกรรมกรพยักหน้า พร้อมกับคีบเนื้อย่างขึ้นกัด เนื้อที่ใช้เป็นเนื้อราคาถูก เป็นเนื้อส่วนที่ติดกระดูก แต่ไม่ทราบว่ามันทำอย่างไรจึงทำให้เนื้อเหล่านี้มีรสอร่อย มันมิได้นุ่มเหมือนเนื้อส่วนที่มีราคาแพง แต่ความเหนียวที่ต้องเคี้ยวก็ก่อให้เกิดรสอร่อยได้เช่นกัน

“ข้าถามจริงๆ ทำไมเจ้าไม่ไปทำงานตามร้านอาหารใหญ่ๆ กลับหนีมาเปิดแผงหมี่เล็กๆ เช่นนี้ ฝืมือการทำอาหารอย่างเจ้าต้องเป็นที่ต้องการแน่”

ชายซ่อมซ่อไม่ตอบเอาแต่เหม่อมองไปยังยอดตึกหลังหนึ่ง แถวนี้มีหมู่ตึกอยู่เพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น และมันคือหมู่ตึกที่อยู่ในสำนักคุ้มกันภัยภูเขาทองที่ลือชื่อนั่นเอง

ถึงแม้จะมีข่าวลือไม่สู้ดีเกี่ยวกับการหายตัวไปอย่างลึกลับของคุณชายม้าขาว บุตรชายคนเดียวของจ้าวสำนัก ซึ่งกระทบกระเทือนกับกิจการของพวกมันอยู่บ้าง แต่ด้วยอำนาจบารมีของสำนักที่สั่งสมมานาน พวกมันจึงยังคงยืนหยัดอยู่ได้

มันมองตามสายตาของคนขายหมี่ไปอย่างไม่เข้าใจ แต่มันเข้าใจอยู่อย่างหนึ่ง ใบหน้ากับดวงตาเช่นนั้นย่อมเป็นอื่นใดไปไม่ได้นอกจากคนที่หัวใจแหลกสลาย มันยกน้ำซุปในชามที่เหลือขึ้นดื่มจนหมด

“น้องชาย...เรื่องราวบางอย่างหากเราเอาแต่จ้องมองดูมัน มันจะใหญ่โตจนบดบังทุกสิ่งไปจนหมด หากเพียงเราหันมองไปทางอื่น อาจพบเจอหนทางออกอย่างคาดไม่ถึงก็เป็นได้”

คำพูดนี้แทงลึกเข้าไปในจิตใจของมัน แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังไม่อาจบังคับสายตาของตนให้ละจากหมู่ตึกนั้นได้ ชายร่างใหญ่วางชามลง พร้อมกับเงินค่าหมี่ก่อนลุกเดินจากไป มันมั่นใจว่าคนขายหมี่ผู้นี้คงต้องใช้เวลาอีกเนิ่นนานกว่าจะมองไปยังที่อื่นได้อีกครั้ง

หญิงแก่ร่างท้วมคนหนึ่งพลันปรากฏกายขึ้น ชายซอมซ่อเหมือนกับเหลือบมองดูนางเพียงแวบเดียว แต่ความจริงแล้วมันระมัดระวังตัวอย่างยิ่ง หญิงชราผู้นี้ไม่เคยมายังแผงหมี่ของมันมาก่อน การแต่งกายของนางยิ่งชวนสงสัย มันคาดว่านางน่าจะเป็นคนของสำนักภูเขาทองนั่นเอง

“รับอะไรดี”

“เอาหมี่เนื้อชามหนึ่ง เส้นไม่ต้องมากนัก”

ชายซอมซ่อแอบหัวร่อในใจ ผู้ที่แวะเวียนมากินหมี่ของมันส่วนใหญ่มักหวังให้มันใส่เส้นหมี่ให้มากอีกหน่อย แต่นางผู้นี้กลับบอกมันให้ใส่น้อยลง

“แม้ลดเส้นหมี่ แต่ไม่ลดราคา”

หญิงชรามองดูมันอย่างเหยียดหยาม

“เราย่อมมีปัญญาจ่าย...หากไม่จำเป็นต่อให้แถมเงิน เรายังไม่ยอมกินหมี่ของเจ้า”

ชายซอมซ่ออมยิ้มก่อนโยนเส้นหมี่ที่นวดมาครู่หนึ่งแล้วลงในน้ำ มันใช้ตะเกียบยาวคีบเส้นหมี่อย่างชำนาญ ความนุ่มของเส้นหมี่ในน้ำส่งผ่านมาจากปลายตะเกียบ หญิงชราผู้นี้คงคุ้นเคยกับอาหารอ่อนนุ่ม ดังนั้นมันจงใจลวกเส้นให้นานขึ้นอีกครู่หนึ่ง ส่วนเนื้อแม้ดูเหมือนตักอย่างไม่ใส่ใจ ความจริงเพียงเลือกส่วนที่อ่อนนุ่มที่สุดเท่านั้น น้ำซุปหลังใส่ลงในชามยังเพิ่มน้ำอีกส่วนหนึ่งให้เจือจาง หญิงชราย่อมไม่ต้องการอาหารแบบเดียวกับกรรมกรในตลาดเหล่านั้น

นางคีบเส้นหมี่เข้าปากคำหนึ่ง ชิมน้ำซุป ก่อนคีบเนื้อเข้าปาก แล้วแอบชำเลืองมองดูชายซอมซ่อ เมื่อเห็นมันมองไปทางอื่นนางก็รีบคีบเส้นหมี่ติดต่อกันอย่างรวดเร็ว

'ไม่น่าเชื่อว่าเส้นหมี่เช่นนี้กลับมีรสที่ดียิ่ง แม้แต่เส้นหมี่เนื้อสันในย่างของร้านโต๊ะใหญ่ที่ลือชื่อยังไม่อาจเทียบได้' เพียงคีบไม่กี่ครั้งเส้นหมี่ก็หมดแล้ว นางนึกเสียดายที่บอกให้มันใส่เส้นให้น้อยลงเมื่อครู่ หากจะบอกให้มันใส่เพิ่มในตอนนี้ย่อมเสื่อมเสียหน้าอย่างยิ่ง

หญิงสาวอีกคนที่สวมใส่เสื้อผ้าคล้ายกับนางเดินผ่านมา ชายซอมซ่อพลันขมวดคิ้ว มันตั้งแผงขายหมี่มาเนิ่นนาน ไม่เคยพบเห็นคนของสำนักคุ้มกันภัยภูเขาทองใช้เส้นทางสายนี้มาก่อนเลย แต่วันนี้กลับได้พบเจอถึงสองคนแล้ว

“เสี่ยวซา เจ้าจะไปไหนกัน”

“อา ท่านแม่บ้าน ไยมานั่งกินหมี่อยู่อย่างนี้”

“ข้าวุ่นวายทั้งวัน จนไม่มีเวลากิน จึงต้องมาหลบนั่งกินหมี่อยู่ตรงนี้ นายท่านจัดโต๊ะเลี้ยงแขก เจ้าอ๊ะ เจ้าโกย กลับเจ็บป่วยทำให้ที่เหลือต้องมีงานล้นมือ”

นางหมายถึงสองคนงานที่คอยช่วยเหลือในครัว คนที่เหลือจึงต้องวุ่นวายเป็นพิเศษ

“ตอนท่านไม่อยู่ มีเรื่องร้ายเกิดขึ้น”

“มีเรื่องอันใดอีก แค่เท่าที่มียังไม่ร้ายพออีกหรือ”

หญิงชราขมวดคิ้ว ชายซอมซ่อพลันเกิดความอยากรู้ขึ้นมาทันที ไม่แน่ว่าอาจจะมีอะไรเกิดขึ้นกับนางอีกหรือไม่ แค่นึกถึงนาง ในใจก็พลันปวดแปลบ มันเคยคิดเก็บของจากสถานที่นี้ไปหลายครั้งแล้ว แต่ทุกครั้งมันล้วนไม่อาจตัดใจ 'หากมีอะไรเกิดขึ้นกับนาง ข้าย่อมไม่อาจให้อภัยตัวเองได้อีก'

หญิงสาวลดเสียงให้เบาลง แต่นางกลับไม่สนใจว่ามีคนขายหมี่ยืนอยู่ใกล้ๆ อาจบางทีคนขายหมี่ในตรอกซอมซ่อเช่นนี้ไม่อาจนับเป็นผู้คนในสายตาของพวกนางก็เป็นได้

“...ขุนพลโจรส่งเทียบมาใบหนึ่ง แจ้งว่าจะมาช่วงชิงฮูหยิน”

คิ้วของหญิงชราขมวดจนแทบจะกลายเป็นปมขึ้นมา

“หญิงงามนางนี้นำพาแต่เรื่องร้ายมาให้ไม่จบสิ้น ตอนนางมาถึง คุณชายม้าขาวก็ประสบเคราะห์กรรม มาคราวนี้ยังชักนำจอมโจรอื้อฉาวผู้นี้มาอีก นายท่านไม่น่ารับนางเป็นฮูหยินเลย”

หญิงสาวรีบมองรอบกายอย่างหวาดหวั่น

“ท่านแม่บ้าน ไยจึงพูดเช่นนี้ หากมีผู้แอบได้ยิน เก็บไปรายงานกับนายท่านจะทำอย่างไร”

สายตาของหญิงชราพลันสาดประกายเจิดจ้า

“หากเป็นเช่นนั้น ย่อมเป็นเจ้าที่คาบข่าวไปฟ้องนายท่าน เจ้าก็อย่าหวังจะได้อยู่อย่างเป็นสุขอีกเลย”

เสี่ยวซารีบก้มหน้าลง ไม่กล้าสบสายตากับนาง

“ข้าย่อมไม่กล้าทำเช่นนั้นแน่ ขอท่านแม่บ้านโปรดเมตตา”

หญิงชราโบกมือว่าหมดเรื่องแล้ว หญิงสาวก้มศีรษะกล่าวลา ก่อนรีบเดินจากไป ชายซอมซ่อพลันนึกสงสัย ไม่รู้ว่าที่ที่นางกำลังจะไปนั้นเกี่ยวข้องกับการรับมือจอมโจรผู้นี้หรือไม่ แต่มันก็ไม่ใส่ใจอีกแล้ว ตอนนี้สิ่งที่มันห่วงกังวลเป็นที่สุดคือความปลอดภัยของนาง

หญิงชราวางเงินค่าหมี่ก่อนเดินกลับไปยังหมู่ตึกสูง สุดท้ายนางก็อดกล่าวชมเชยคนขายหมี่ไม่ได้

“...เส้นหมี่ของเจ้าอร่อยมาก”

#####

จ้าวสำนักนั่งเหม่อมองไปยังที่ไกลตา แม้รอบโต๊ะกลมมีผู้คนนั่งล้อมอยู่ แต่มันกลับมีท่าทางเดียวดาย ที่ข้างกายของมันคือหญิงงามผู้เป็นภรรยา แต่ท่าทีของทั้งสองกลับดูห่างเหินอย่างน่าประหลาด

หมูหัน เป็ดปักกิ่ง พระกระโดดกำแพง หูฉลามแผ่นน้ำแดง และอาหารหรูหราอื่นๆ อีกมากมายวางเรียงรายอยู่เต็มโต๊ะ ผู้คนต่างตะเกียบไม่ว่าง คีบส่งอาหารใส่ปาก พร้อมกล่าวคำเยินยออย่างคล่องแคล่ว

“อาหารเหล่านี้ล้วนโอชะอย่างยิ่ง”

“วัตถุดิบสูงค่า ผ่านการปรุงอย่างยอดเยี่ยม”

“ท่านจ้าวสำนักกิม มีโอกาสรับประทานเช่นนี้ทุกวัน นับเป็นผู้มีบุญวาสนาอย่างแท้จริง”

มีแขกบางคนมองเห็นท่าทีที่เฉยชาของมันเข้า เมื่อบรรจุกระเพาะของตนจนเต็มอิ่มแล้ว อดกล่าววาจาห้าวหาญสักเล็กน้อยไม่ได้

“ท่านจ้าวสำนักกิมโปรดวางใจ พวกเรามีคนมากมายเพียงนี้ ขุนพลโจรย่อมไม่กล้าผลีผลามลงมือแล้ว”

ผู้คนรอบโต๊ะพากันส่งเสียงสนับสนุน มันได้แต่ทอดถอนใจ ผู้ที่รับทราบความร้ายกาจของขุนพลโจรอย่างกระจ่างแจ้งที่สุดย่อมเป็นมัน หากเมื่อกาลก่อนมันไม่ทุ่มเทสมบัติมากมายเพื่อให้คนผู้นี้ยอมอ่อนข้อให้กับมันบ้าง คงไม่มีสำนักคุ้มกันภัยภูเขาทองที่ยิ่งใหญ่ดังเช่นทุกวันนี้แล้ว

มันเผลอเอื้อมมือไปจับตรงนิ้วก้อยที่ถูกตัดขาดไป รอยแผลนั้นผสานกันดีแล้ว ผสานกันอย่างดียิ่ง ดีจนมันเกือบเชื่อว่า ตัวมันเองไม่เคยมีนิ้วที่ตำแหน่งนั้นมาก่อน ผิวเนื้อผสานกันแนบสนิทไร้รอยแผล ราวกับว่าพวกมันก็พากันลืมนิ้วที่ถูกตัดไปแล้วเช่นกัน แต่บางครั้งการไม่มีรอยแผล กลับคล้ายเป็นรอยแผลขนาดใหญ่ที่ไม่อาจลืมเลือน ‘หากมันเร่งรุดมาในที่นี้ด้วยก็ดี’ ไม่ทราบว่าคนที่จ้าวสำนักคิดถึงอยู่นี้คือผู้ใดกัน

“จัดเลี้ยงอาหารเลอเลิศ ท่ามกลางหมู่มิตรสหาย ซ้ำยังมีฮูหยินที่งดงามอยู่เคียงข้าง ข่างน่าอิจฉายิ่งนัก”

เสียงยังดังอยู่ด้านนอกห้อง แต่คนกลับก้าวมาถึงโต๊ะกลมแล้ว ผู้ที่กล่าวขุนพลโจรคงไม่กล้าลงมือเมื่อครู่ ถูกหิ้วขึ้นมาจากเก้าอี้ราวกับเป็นลูกแมวตัวหนึ่ง ก่อนชายร่างสูงในชุดยาวสีเหลืองอ่อน จะเหวี่ยงร่างของมันออกทางหน้าต่างราวกับไม่มีน้ำหนัก มันหยิบพัดจีบออกมากาง พร้อมโบกช้าๆ ทุกคนภายในห้องต่างได้กลิ่นหอมของดอกโบตั๋นโชยมาตามลม

ดอกโบตั๋นบนพัดเป็นเพียงภาพวาด แต่กลับสามารถส่งกลิ่นหอม นอกจากนี้บนพัดยังมีตัวอักษรคำว่า ‘ขุนพล’ เขียนด้วยลายมือที่ทรงอำนาจ หลายคนเคยสงสัยว่าผู้ที่เขียนตัวอักษรนี้อาจบางทีเป็นขุนพลจริงๆ และอาจเป็นขุนพลที่มีชื่อเสียงโด่งดังก็เป็นได้

ใบหน้าของมันมิได้แสดงให้เห็นถึงความชรา แต่ผู้คนส่วนใหญ่ต่างทราบว่า ขุนพลโจรสมควรมีอายุไม่ต่ำกว่าห้าสิบปีแล้ว เพราะมันอาละวาดสร้างชื่อเสียงมายาวนาน ผู้คนรอบโต๊ะแม้คาดว่าผู้มาถึงนี้เป็นมัน แต่ก็ยังอดระแวงสงสัยไม่ได้

จ้าวสำนักกิมลุกขึ้นยกมือคารวะ โดยใช้มือข้างที่ดี ปิดบังมือที่เสียนิ้วก้อยไปเอาไว้

“ไม่พบกันเนิ่นนาน ท่านกลับไม่เปลี่ยนแปลงเลย นับว่ามีวาสนากว่าข้ามากนัก”

ขุนพลโจรส่งเสียงหัวร่อ ในเสียงแฝงกำลังภายในจงใจกระแทกใส่โต๊ะอาหาร ถ้วยชามบนโต๊ะต่างสั่นไหวคล้ายถูกผู้ใดเขย่า แขกที่นั่งอยู่ได้แต่มองหน้ากัน นึกไม่ถึงว่ามันจะมีพลังฝีมือร้ายกาจยิ่งกว่าที่ร่ำลือเสียอีก

“ต้องสามารถมีฮูหยินน้อยที่งดงามเช่นดังท่าน จึงนับว่ามีวาสนาอย่างแท้จริง”

จ้าวสำนักกิมพลันทอดถอนใจ

“เรา ท่าน ต่างคนต่างเดินเรื่อยมา เหตุใดต้องทำเช่นนี้ด้วย”

ขุนพลโจรยิ้ม โบกพัดอย่างยียวน มันไม่ตอบคำถามนี้ แต่กลับหันไปหาแขกทั้งหลายที่ตอนนี้ต่างวางตะเกียบมองมาที่มันเป็นจุดเดียว

“หากผู้ใดต้องการลงมือก็ขอเชิญ มิเช่นนั้นให้รีบไสหัวไปให้กับเรา”

มีหลายคนผุดลุกขึ้น แต่พวกมันกลับก้มหน้าก่อนจากไปอย่างเร่งร้อน จนสุดท้ายหลงเหลืออยู่เพียงผู้เดียวเท่านั้น ชายผู้นี้ลุกขึ้นช้าๆ ก่อนหันไปคารวะจ้าวสำนักกิม

“เราต้วนฟงแม้ไร้ชื่อเสียง แต่คืนนี้รับประทานกับข้าวไปหลายอย่าง สมควรต้องตอบแทนผู้เหย้าบ้างสักเล็กน้อย”

“ท่านต้วน ท่านถ่อมตัวเกินไปแล้ว”

ขุนพลโจร มองดูมันขึ้นๆ ลงๆ ชายผู้นี้ไม่มีลักษณะสะดุดตาในที่ใดเลย ใบหน้าไร้จุดเด่น เสื้อผ้าที่ไม่หรูหรา แต่ก็มิได้ซอมซ่อ แม้แต่ท่าทาง และการพูดจาของมันก็ธรรมดา อีกทั้งไม่ได้พกพาอาวุธสิ่งใดให้พบเห็น หากให้มันยืนปะปนอยู่ในฝูงชน รับรองว่าไม่มีใครแยกแยะมันออกมาได้

“ทายาทแห่งตระกูลต้วน...ช่างร้ายกาจนัก”

ต้วนฟงผสานมือคารวะ ในจังหวะเดียวกันนั้นคล้ายภายในห้องมีลมเบาๆ พัดผ่านเข้ามา ขุนพลโจรพลันโบกพัดจีบในมือรอบหนึ่ง เหล็กเหลี่ยมเล็กๆ เจ็ดอันก็ร่วงหล่นลงสู่พื้น

“อาวุธลับของตระกูลต้วนร้ายกาจสมคำร่ำลือ แต่ท่านควรรับทราบเอาไว้ว่า อาวุธลับจะร้ายกาจที่สุดได้นั้นต้องเลือกเวลาลงมืออย่างเหมาะสม ท่านกลับแสดงตัวอย่างเปิดเผยก่อนลงมือจู่โจม นับว่าถือดีในวิชาของตนมากเกินไปแล้ว”

ต้วนฟงหน้าแดง ก่อนก้มกายคารวะจ้าวสำนักกิมอีกครั้ง แล้วเร่งจากไปโดยไมกล่าววาจาอันใดอีก แต่เมื่อมันเร่งรุดไปถึงประตู ในขณะที่มันยังหันหลังอยู่ พลันมีเงาแวววาวพุ่งเข้าใส่ร่างของขุนพลโจรจากทางด้านหลัง ขุนพลโจรก็ล้มลงไปแล้ว มันเดินกลับมาพร้อมส่งเสียงหัวเราะก้อง

“ขอบคุณที่ท่านชี้แนะ คำพูดของท่านถูกต้องแล้ว การใช้อาวุธลับต้องลงมืออย่างคาดไม่ถึงจึงจะประสบผล เรื่องนั้นเราย่อมรับทราบมานานแล้ว…”

ร่างของขุนพลโจรพลันเลื่อนไหลไปตามพื้นได้อย่างไม่คาดคิด วิชาตัวเบาที่ใช้ได้แม้แต่ในท่านอนเช่นนี้คงมีมันเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถใช้ออกได้

ต้วนฟงที่ไม่ทันระวังตัว ถูกมันจับข้อเท้าทั้งสองเอาไว้ได้ เรี่ยวแรงพลันสูญสลาย ขุนพลโจรใช้มือเดียวหิ้วร่างของมันขึ้นมา พัดจีบที่ถูกหุบลงกระหน่ำแทงไปตามจุดเส้นต่างๆ ทั่วร่างกาย ทำให้มันรู้สึกเจ็บปวดจนต้องร่ำร้องออกมา

“ถือว่าเจ้าเชื่อฟังคำสอนของเรา จะยอมปลดปล่อยเจ้าไปสักครั้ง”

แม้ปากพูดเช่นนั้น แต่พัดในมือยังคงจี้ไปตามจุดต่างๆ ไม่ยอมหยุด แต่สุดท้ายมันก็โยนร่างที่ร่อแร่นั้นออกไป

“หากเจ้าไม่รีบจากไป เราคงต้องเปลี่ยนใจแล้ว”

แม้ยังเจ็บปวดตามจุดเส้นต่างๆ ทั่วร่างกาย แต่ต้วนฟงก็กัดฟันพาร่างของมันจากไปอย่างทุลักทุเล หลังจากนั้นมันยังต้องนอนรักษาตัวอีกเป็นเวลานานกว่าอาการทั้งหมดจะทุเลาลง

ขุนพลโจรโคจรพลังรอบหนึ่ง เหล็กเหลี่ยมที่ติดอยู่ที่ด้านหลังก็ร่วงหล่นลงมา บนเสื้อไม่ปรากฏคราบโลหิตเลยแม้แต่น้อย จ้าวสำนักกิมส่ายหน้าอย่างท้อแท้

“…ท่านฝึกวิชาระฆังทองคุ้มกายด้วยหรือ”

ขุนพลโจรหัวเราะอย่างพอใจ

“เราย่อมไม่เสียเวลาฝึกวิชาไร้ประโยชน์นั้น เพียงแต่ชีวิตของโจรก็มีค่า เราจึงสวมใส่เกราะใยทอง สมบัติลับที่หาค่าไม่ได้ติดตัวไว้เสมอ หากไม่เห็นว่าท่านเป็นสหายเก่า เราคงไม่กล้าเปิดเผยถึงเพียงนี้”

ที่แท้แม้แต่สมบัติลับขององค์ฮ่องเต้ก็ยังตกอยู่ในกำมือของจอมโจรผู้นี้ ฟังว่าเกราะใยทอง มีน้ำหนักเบา แต่หยุ่นเหนียว ของมีคมไม่อาจตัดขาดได้โดยง่าย ยกเว้นว่าเป็นอาวุธวิเศษที่ฟันเหล็กดุจฟันหยวก ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้น บางคนยังเล่าลือว่ามันสามารถต้านทานกำลังภายในได้ด้วย แต่ไม่มีใครกล้ายืนยันในเรื่องนี้

ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงจ้าวสำนักกิมคงย่ำแย่แล้ว ไม้ตายของมันคือวิชาเคลื่อนภูเขาทอง ซึ่งเป็นกำลังภายในรูปแบบหนึ่ง หากเสื้อเกราะตัวนี้สามารถป้องกันได้จริง มันก็คงไม่มีโอกาสชนะ ขุนพลโจรพลันหรี่ตาคล้ายสามารถคาดเดาความคิดของมันได้

“...ท่านไยไม่ทดลองดู”

จ้าวสำนักกิมเข้าใจความหมายในคำพูดนี้ หากมันไม่ลงมือก็แล้วไป แต่หากมันตัดสินใจลงมือ ก็ต้องจัดการได้อย่างเด็ดขาดในทันที มิเช่นนั้นคงต้องถูกตอบโต้กลับมาอย่างสาสม

มันปีนี้อายุก็ย่างเข้าเลขหกแล้ว แม้มีกิจการใหญ่โต สมบัติมากมาย แต่กลับไร้ซึ่งทายาทสืบตระกูล ตอนนี้มันมุ่งหวังอยากมีทายาทใหม่อีกสักคน ดังนั้นไม่คิดเสี่ยงตายอีก ขุนพลโจรคล้ายสามารถอ่านมันเหมือนเป็นหน้าหนังสือ อ้าปากส่งเสียงหัวเราะดังลั่น

“ยิ่งสูงวัยชีวิตยิ่งล้ำค่า ยิ่งมีฮูหยินที่งดงาม ชีวิตยิ่งล้ำค่ามากยิ่งขึ้น”

มันพลันเปลี่ยนเป็นทอดถอนใจ

“สหายเก่าเอ๋ย ท่านไม่คิดว่าเราเองก็อาจคิดเหมือนท่านบ้างหรือ”

จ้าวสำนักกิมหน้าเคร่งเครียดขึ้น

“...หากเรายกสมบัติให้กึ่งหนึ่ง เจ้ายินยอมถอนตัวหรือไม่”

“หากท่านยอมมอบมาทั้งหมด เราอาจลองคิดดูก่อน”

แม้เหตุการณ์ที่ผ่านมาจะมอบความท้อแท้ให้กับมัน แต่เมื่อถูกลบหลู่ถึงเพียงนี้ ด้วยศักดิ์ศรีแห่งจ้าวสำนัก ที่ประกอบกิจการใหญ่โต เป็นที่นับหน้าถือตา สุดท้ายแม้ไม่อยากลงมือ แต่มันก็ไม่อาจถอยมากกว่านี้อีกแล้ว ฮูหยินพลันเอื้อมมือมาจับชายแขนเสื้อยาวของมันเอาไว้

“ท่านถอนตัวล้างมือ แล้วมอบสมบัติทั้งหมดออกมา เราจะยอมให้ท่านเก็บชีวิตไปมีความสุขกับฮูหยินอีกสักหลายปี”

เสื้อผ้าของจ้าวสำนักกิมพลันโป่งพองขึ้น มันคิดเสี่ยงชีวิตใช้พลังลมปราณผลักภูเขาทองออกมาแล้ว ดอกโบตั๋นพลันคลี่กางอยู่ตรงหน้า พัดจีบแปรเปลี่ยนเป็นกำแพงไร้สภาพ ดอกโบตั๋นงดงาม ตัวอักษรเปี่ยมพลัง ไม่มีช่องว่างรอยโหว่ให้มันลงมือได้เลยแม้แต่น้อย

ตะเกียบข้างหนึ่งพุ่งทะลุพัดได้อย่างน่าอัศจรรย์ ตำแหน่งที่มันทะลุผ่านนั้นพอดีเป็นจุดที่เชื่อมต่อระหว่างภาพดอกไม้กับตัวอักษร เป็นจุดสิ้นสุดแห่งความงาม การเริ่มต้นของพลัง เป็นจุดสิ้นสุดแห่งพลัง และการเริ่มต้นของความงาม นับเป็นตำแหน่งที่เปราะบางอย่างถึงที่สุด

ขุนพลโจรใช้สองนิ้วของมืออีกข้างคีบตะเกียบเอาไว้ได้ มันเหม่อมองความเสียหายที่เกิดขึ้น หุบพัดจีบลง แล้วขว้างมันทิ้งไปพร้อมกับตะเกียบข้างนั้น

“น่าเสียดายนัก ถึงแม้จะเป็นพัดที่เราเคยชื่นชอบเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อมีตำหนิเกิดขึ้นเช่นนี้ เราย่อมไม่อาจทนใช้มันต่อไปได้”

ชายซอมซ่อก้าวออกมาจากห้องด้านใน ไม่รู้ว่ามันเข้ามาอยู่ภายในสำนักได้อย่างไรกัน แต่วันนี้มันแต่งกายด้วยชุดคนรับใช้ที่เรียบร้อย ผมถูกรวบมัดเอาไว้ มองดูไม่คล้ายชายซอมซ่อคนเดิม ใบหน้าของมันไม่อาจจัดว่าหล่อเหลา แต่เค้าหน้าที่ซื้อตรงนั้นทำให้ชวนมอง

ฮูหยินจ้องมองมันอย่างไม่เชื่อสายตา แต่ดูเหมือนจ้าวสำนักจะไม่ประหลาดใจที่ได้พบเห็นมันเช่นนี้ ขุนพลโจรมองดูท่าทางของมัน ก่อนประสานมือแล้วกล่าวอย่างสุภาพ

“ไม่รู้ว่าท่านจ้าวสำนักได้เชิญแขกพิเศษไว้คอยต้อนรับเราด้วย น่าเสียดายที่ทุกวันนี้มียอดฝีมือรุ่นใหม่ผุดขึ้นมากมายราวดวงดาวบนฟากฟ้า เรากลับไม่อาจทำความรู้จักได้จนหมดสิ้น ขอทราบนามสูงส่งของท่านด้วย”

ฝีมือการซัดตะเกียบเมื่อครู่นี้ทำให้ไม่อาจดูแคลนคู่ต่อสู้ที่ดูธรรมดาตรงหน้าได้ มันยกมือขึ้นคารวะตอบอย่างนอบน้อม

“ท่านเป็นคนแรกในที่นี้ที่เอ่ยถามนามของข้า ข้าแซ่ก้วย อาจารย์เรียกข้าว่าฮื้อ มิได้เป็นผู้สูงส่งมาจากที่ใด ข้าเป็นแค่คนช่วยงานในครัวเท่านั้น”

ขุนพลโจรหัวร่อเสียงดัง ก่อนล้วงหยิบพัดจีบอีกอันหนึ่งออกมาจากในแขนเสื้อ พัดอันนี้มีขอบทำจากโลหะ เมื่อมันกางออก ภายในวาดภาพใบหน้าของปีศาจเอาไว้ แม้เป็นเพียงรอยตวัดด้วยพู่กันหมึกสีดำ แต่กลับสร้างความเสียวสยองให้กับผู้ที่พบเห็นราวกับถูกจ้องมองโดยปีศาจจากขุมนรก

“ถ้าเช่นนั้น เราจ้างเจ้าไปเป็นพ่อครัวประจำเรือของเราจะได้หรือไม่”

ขุนพลโจรผู้นี้มีเรือสำราญลำหนึ่ง ฟังว่าบนนั้นมีทั้งหญิงงาม และสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย มันแม้เป็นโจร แต่กลับใช้ชีวิตอย่างหรูหราสุขสบาย ราวกับเป็นเทพที่อยู่บนสวรรค์เลยทีเดียว

“นั่นคงต้องแล้วแต่…”

“แล้วแต่สิ่งใด”

“ฟังว่าทุกครั้งที่ท่านส่งเทียบมา จะไม่ยอมรามือเลิกราอย่างเด็ดขาด ครั้งนี้ท่านยินยอมกลับไปมือเปล่าได้หรือไม่”

“...หากเราตกลง”

“ข้าจะลองไตร่ตรองดูข้อเสนอของท่านอีกครั้ง”

ขุนพลโจรโบกพัดในมือเบาๆ รอยยิ้มค่อยๆ สลายไปจากใบหน้า ตอนนี้แววตาของมันค่อยๆ เปลี่ยนเป็นคล้ายกับแววตาของปีศาจที่อยู่บนพัดแล้ว

“ชนะเราให้ได้ก่อน แล้วค่อยมาพูดจาวางโตเยี่ยงนี้”

คำพูดไม่ทันจบมันก็ลงมือแล้ว พัดเหล็กในมือหุบลงแล้วแทงออกอย่างรวดเร็ว มองดูคล้ายกับงูตัวหนึ่งที่มีผิวมันแวววาวเหมือนโลหะ ฮื้อก้วยไม่มีท่าทางคิดหลบหนีเลย ใจของมันหวนคิดถึงเมื่อครั้งที่ฝึกการทำอาหารอยู่กับอาจารย์จาง

‘งูและปลาไหลมีการเคลื่อนไหวที่ยากคาดเดา แต่สุดท้ายแล้วทุกอย่างก็อยู่ที่ตำแหน่งเพียงตำแหน่งเดียวเท่านั้น’ ตะเกียบที่เหลืออีกข้างหนึ่งของมันพลันแทงออก พอดีเป็นตำแหน่งกึ่งกลางของพัดเหล็กที่แทงเข้ามาพอดี ‘ไม่ว่าลำตัวของพวกมันจะพลิกแพลงลื่นไหลสักเพียงใด สุดท้ายแล้วพวกมันเพียงจู่โจมด้วยหัวเท่านั้น’

ขุนพลโจรมองพัดในมือของตนอย่างไม่เชื่อสายตา พัดของมันแม้ไม่นับเป็นที่หนึ่งในแผ่นดิน แต่ก็ไม่เคยมีผู้ใดหยุดมันเอาไว้ได้ด้วยตะเกียบเพียงข้างเดียวเช่นนี้ มันมองคู่ต่อสู้ขึ้นๆ ลงๆ อีกครั้ง

“...เจ้ายังคงยืนยันว่าเป็นเพียงผู้ช่วยในครัว ฝีมือของเจ้านี้หากท่องไปในยุทธภพ เรารับรองว่าไม่เกินสามปีต้องมีชื่อเสียงเลื่องลือแน่”

“ข้ามิได้เป็นผู้ฝึกวิทยายุทธ ที่ข้าฝึกคือวิชาทำครัว ข้าเพียงทำแต่อาหาร ไม่ฆ่าคน”

ขุนพลโจรหัวเราะอย่างเบิกบาน

“เห็นทีเราคงต้องเข้าครัวปรุงอาหารให้มากขึ้นเสียแล้ว”

มันหันมองไปยังจ้าวสำนักที่มีสีหน้าบัดเดี๋ยวดีใจ บัดเดี๋ยวเคร่งเครียด มันยังพบว่าจ้าวสำนักเอาแต่ลูบมือข้างหนึ่งอย่างลืมตัว

“...ที่แท้นี่เป็นเรื่องราวใดกัน ดูเหมือนว่าท่านมิได้เป็นคนเชิญสหายผู้นี้มาใช่หรือไม่”

จ้าวสำนักกิมขบฟันกรอด

“เราย่อมไม่อาจเชิญมันมาได้”

พร้อมกันนั้นก็หันไปทางฮูหยินที่นั่งเงียบอยู่ นางมองดูผู้คนทั้งหมดสุดท้ายไปหยุดอยู่ที่ฮื้อก้วย ก่อนพูดเน้าทีละคำอย่างช้าๆ

“เราเป็นคนเชิญมันมาเอง”

ที่แท้นางคือคนที่แอบให้คนรับใช้ทั้งสองไปยังแฝงหมี่ของมัน อีกทั้งยังยอมให้มันเข้ามาทำงานเป็นผู้ช่วยในครัว โดยไม่บอกจ้าวสำนักด้วย ฮื้อก้วยดูมีท่าทีไม่ประหลาดใจนัก ดูเหมือนมันคาดเดาเรื่องเหล่านี้ได้ตั้งแต่เห็นคนของสำนักคุ้มกันภัยภูเขาทองที่แฝงหมี่ของมันแล้ว

จ้าวสำนักกิมมองดูฮูหยินสาวที่พึ่งแต่งงานใหม่ของมัน

“…เจ้าคิดทำอะไรกันแน่”

นางขบฟัน ก้มหน้า

“เราเพียงต้องการช่วยท่าน เราเห็นท่านวิตกกังวลจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ศัตรูผู้นี้คงตึงมือเกินไป เรายังแอบเห็นท่านเก็บข้าวของ คล้ายคิดจะหลบหนี ตอนนี้เราเป็นภรรยาของท่านแล้ว เราไม่อาจนิ่งเฉยดูดายได้”

คำ ‘ภรรยาของท่าน’ กระแทกเข้าใส่หัวใจของฮื้อก้วย พอพบเห็นช่องว่างเกิดขึ้น ขุนพลโจรก็รีบลงมือทันที พัดในมือพุ่งปราดฉกเข้าใส่ร่าง มันกลับพริ้มตาลง คล้ายรอคอยเวลานี้ให้มาถึง ฮูหยินน้อยกรีดร้องพร้อมยื่นมือออกไปคล้ายต้องการไขว่คว้าสิ่งใด

ร่างของมันล้มหงายลงไป แต่มิใช่ด้วยการโจมตีจากพัด แต่เป็นการจู่โจมอย่างคาดไม่ถึงของจ้าวสำนักกิม แต่การโจมตีนี้กลับทำให้มันสามารถรอดชีวิตมาได้ มันเหม่อมองจ้าวสำนักอย่างไม่เข้าใจ ขุนพลโจรมองดูทั้งหมดอย่างไม่เข้าใจเช่นกัน สามคนนี้ที่แท้มีความสัมพันธ์เช่นไรกันแน่

“...ข้าคิดว่าพวกท่านทั้งสองร่วมกันวางแผนกำจัดข้า”

ฮื้อก้วยกล่าวออกมาในที่สุด จ้าวสำนักกิมยืนนิ่ง ส่วนฮูหยินกลับก้มหน้าลง นี่มีความหมายความเช่นไรกันแน่ นางกัดฟันก่อนเอ่ยปากในที่สุด

“ทั้งหมดนี้เป็นแผนของเราเอง เราเพียงคิดหาคนมาช่วยเหลือสามีเท่านั้น”

คำพูดนี้บาดลึกลงไปในใจของมันอีกครั้ง

“...แล้วเมื่อครู่เจ้ายื่นมือออกไปคิดไขว่คว้าสิ่งใดกัน”

จ้าวสำนักกิมเอ่ยถามช้าๆ อย่างเยือกเย็น ฮูหยินน้อยก้มหน้าหลบเลี่ยงสายตาของมัน

“...เราเพียง เราเพียง...”

จ้าวสำนักกิมพลันทอดถอนใจยาว

“เจ้าคิดว่าด้วยการหักหลังมันเช่นนี้ จะทำให้สามารถลืมมันได้จนหมดสิ้น ตัดใจจากมันได้เด็ดขาด แต่สุดท้ายเจ้ายังอดเป็นห่วงมันไม่ได้ สุดท้ายเจ้ายังคงคิดไขว่คว้ามันเอาไว้...เจ้าเชื่อจริงๆ หรือว่า สิ่งที่เจ้าทำลงไปทั้งหมด เรื่องราวที่เกิดขึ้นในสำนักจะเล็ดรอดสายตาเราไปได้ เราเพียงแต่ไม่ลงมือขัดขวางเท่านั้นเอง”

นางมองหน้าสามีอย่างตกตะลึง

“...เราเองก็คิดจะยืมมือขุนพลโจร ให้ช่วยกำจัดมันให้พ้นไปจากชีวิตของพวกเรา”

“แต่เมื่อครู่นี้...”

“ใช่ เมื่อครู่นี้เราช่วยเหลือมันเอาไว้ เพราะเจ้า...เราไม่อาจทนดูเจ้าเสียใจชั่วชีวิตได้”

ขุนพลโจรเก็บพัดเหล็กคืนใส่แขนเสื้อ พร้อมกับจ้องดูทั้งสามราวกับพวกมันเป็นตัวประหลาดที่พึ่งเคยพบเห็น

“...ความรักเอย เจ้านั้นเป็นเช่นใด ไม่ว่าแก่ชรา ไร้เดียงสา ล้วนไม่อาจพ้นเงื้อมมือเจ้า”

มันหันกายคิดเดินจากไปแล้ว

“ตกลง ครั้งนี้เรายินยอมรับความพ่ายแพ้ มิอาจช่วงชิงหญิงงามไปได้...ตอนนี้ต่อให้นางต้องการติดตามเราไป เราอาจต้องรีบหนีหายไปในทันใด นางจึงนับเป็นตัวอันตรายอย่างแท้จริง”

จ้าวสำนักกิมกับฮูหยินเขยิบกายเข้าหากันโดยไม่รู้ตัว ในสายตาของทั้งคู่คล้ายมีความเข้าใจกันมากขึ้น เมฆหมอกเบาบางสลายหายไป สายตาของชายซอมซ่อพลันกระจ่างแจ้ง ทั้งคู่แม้เคยคิดว่ารักกันมาเนิ่นนาน รักกันไม่มีวันเสื่อมคลาย แต่สุดท้ายแล้วเป็นเช่นนั้นจริงหรือ ความรักนั้นที่แท้คือการได้ครอบครองใช่หรือไม่ หรือเป็นสิ่งอื่นใดที่แตกต่างออกไป

เมฆหมอกที่เคยปกคลุมจิตใจของมันก็คลี่คลายออกชั้นหนึ่งเช่นกัน ‘ตอนนี้ข้าสามารถมองไปทางอื่นได้แล้ว’ ถึงแม้จะเพียงแวบเดียว แต่เพียงแวบเดียวนี้มันก็พบกับความเปลี่ยนแปลง โลกของมันพลันกระจ่างจ้า มีสิ่งอื่นๆ อีกมากมายอยู่ทั่วหล้า

ฮื้อก้วยพลันเงยหน้าขึ้นกู่ร้อง แม้บนสองบ่ายังมีน้ำหนักอีกมากมายกดทับอยู่ แต่มันก็พร้อมจะออกก้าวเดินอีกครั้งแล้ว มันพลันควงมีดปังตอคู่กายด้วยท่าทางที่งดงาม มองดูคล้ายกับจอมยุทธที่กำลังร่ายรำเพลงกระบี่ แม้แต่ขุนพลโจรยังอดอุทานด้วยความตื่นตาไม่ได้

“ท่านยังต้องการพ่อครัวอีกหรือไม่”

ขุนพลโจรยิ้มก่อนหันหลังเดินต่อไป

“ฝีมือการทำอาหารของเจ้าเป็นอย่างไร”

มันเก็บปังตอเอาไว้ก่อนเริ่มออกเดินติดตามขุนพลโจรไป

“ยังเหนือล้ำกว่าฝีมือการต่อสู้มากนัก”

“ดี ถ้าอย่างนั้นเรือสำราญของเราก็ขอต้อนรับ ได้ยินมาว่าในท้องทะเลแถบหมู่เกาะพู้ซึ้งมีปลาวิเศษแหวกว่ายอยู่ในทะเลลึก เนื้อของมันมีรสอร่อยซ้ำช่วยให้มีอายุยืนนาน เราว่าจะลองไปค้นหาดู”

ฮื้อก้วยยิ้มมันเองก็เคยได้ยินมาเหมือนกัน อีกทั้งอาจารย์จางของมันก็เดินทางกลับไปยังหมู่เกาะแห่งนั้น ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่านผู้เฒ่า บางทีมันอาจมีโอกาสได้พบเจอกับท่านอีกสักครั้ง


Create Date : 21 กรกฎาคม 2554
Last Update : 21 กรกฎาคม 2554 12:12:25 น. 0 comments
Counter : 611 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.