ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
21 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
ทางสามแพร่ง

ร้อยวันพันปีที่ผ่านมาผมไม่เคยสนใจเลยว่าถนนที่อยู่ข้างๆ ห้องเช่าของผมนั้น มันเป็นทางสามแพร่ง จนกระทั่งคืนนี้ ในคืนที่ดวงจันทร์หลบเร้นหายไปอยู่หลังเมฆดำทึบ ดวงดาวก็ถูกแสงจากความเจริญกลบไปจนหมดสิ้น แต่แสงแห่งความเจริญเหล่านั้นดูเหมือนจะถูกม่านลึกลับบางอย่างบดบังเอาไว้ จนไม่สามารถส่องเข้ามาในถนนเส้นนี้

ถนนที่เคยพลุกพล่านไปด้วยผู้คนกลับเงียบสงัดจนวังเวง ไม่ว่าจะเป็นรถ จักรยานยนต์ หรือแม้แต่คนเดินเท้าก็ไม่มีให้พบเห็น ผมก้าวเท้าไปอย่างหวาดๆ บรรยากาศตอนนี้เหมือนกับในหนังสยองขวัญต่างๆ ที่เคยดูมา ผมเร่งฝีเท้าขึ้นอีกนิด เหลือระยะอีกไม่ไกลแล้ว ขอเพียงเลี้ยวซ้ายผ่านทางสามแพร่งข้างหน้านี้ ผมก็จะถึงที่พักแล้ว

จมูกของผมได้กลิ่นหอมๆ ของอะไรบางอย่างโชยมา ผมขนลุกซู่ขึ้นทันที 'กลิ่นธูปนี่หว่า' ใครมาจุดธูปตอนกลางค่ำกลางคืนแบบนี้กันนะ ผมก้มหน้าก้มตาเร่งฝีเท้าขึ้นอีก ยิ่งเข้าไปใกล้ทางแยก กลิ่นธูปก็ยิ่งแรงขึ้น

ผมเหลือบมองไปที่เสาไฟฟ้าซึ่งอยู่ตรงทางสามแพร่งอย่างอดไม่ได้ ผมรู้แล้วว่ากลิ่นธูปนั้นมาจากไหน และหัวใจผมก็เกือบจะหยุดเต้น มีเงาตะคุ่มๆ ร่างหนึ่งกำลังนั่งอยู่ที่โคนเสาไฟฟ้า กระทงของไหว้ที่ชาวบ้านแถวนี้เอามาไหว้อยู่ในมือของเงาร่างนั้น ธูปที่เคยปักอยู่ถูกดึงออกวางไว้ที่พื้น มันเป็นเรื่องแปลกที่ผมยังได้กลิ่นธูปเหล่านั้นอยู่ แต่ตอนนี้ผมมีเรื่องอย่างอื่นให้กังวลมากกว่า

เงาร่างนั้นกำลังกินของที่อยู่ในกระทงอย่างมูมมาม ผมแน่ใจว่าพวกมันน่าจะถูกเอามาไหว้ตั้งแต่เช้าแล้ว และตอนนี้พวกมันก็น่าจะอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยดีนัก แต่ชายคนนั้นทำเหมือนกับว่าพวกมันเป็นอาหารแสนอร่อย ที่สำคัญผมไม่แน่ใจว่าเขาจะเป็นคนจริงหรือไม่

ผมรีบบังคับสายตาให้เบนออกมาจากเสาไฟฟ้าต้นนั้น และถึงแม้ขาจะสั่นสักเพียงใด ผมก็ยังพยายามบังคับมันให้ก้าวเดินต่อไป 'อย่าหยุด อย่าดู อย่าหยุด อย่าดู' ผมรีบเลี้ยวไปทางซ้าย แต่แทนที่ผมจะได้พบกับภาพของถนนที่คุ้นตา มันกลับกลายเป็นตึกแถวเก่าๆ ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน

ผมมองซ้ายมองขวาอย่างงงงัน ผมแน่ใจว่าไม่ได้เดินเลี้ยวผิดที่ตรงไหนแน่ แต่ตรงนี้ก็ไม่ใช่ตึกที่พักของผม หลังจากยืนงงอยู่พักหนึ่งผมก็ตระหนักว่าคงต้องย้อนกลับไปทางเดิมก่อน แต่สิ่งที่อยู่ตรงเสาไฟฟ้าเมื่อครู่ก็ทำให้ผมต้องคิดหนัก ผมเริ่มท่องคาถาเดิมอีกครั้ง 'อย่าดู อย่าดู'

ผมหันหลังกลับไป สายตาก็เหมือนกับถูกบังคับให้จ้องตรงไปที่โคนเสาไฟฟ้าในทันที ไม่มีอะไรอยู่ตรงนั้น แต่เศษข้าว และกระทงที่ตกอยู่ คล้ายกับจะยืนยันว่าสิ่งที่ผมพึ่งเห็นไปเมื่อครู่นั้นมีตัวตนอยู่จริง ผมพยายามจะไม่มองดู หรือนึกถึงมันอีก ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเลี้ยวกลับไปทางเดิม

แล้วสิ่งที่เห็นก็ทำให้ผมแทบช๊อค มันยังคงเป็นตึกแถวเก่าๆ แบบเมื่อครู่นี้ทอดยาวไปจนสุดสายตา 'นี่มันที่ไหนกัน' ผมรีบหันกลับแล้วเลี้ยวไปทางขวา ตึกแถวพวกนั้นยังคงปรากฏขึ้นเหมือนเดิม เหงื่อเย็นเยียบเริ่มไหลออกมาจนชุ่มแผ่นหลัง ทั้งๆ ที่อากาศในค่ำคืนนี้ก็ค่อนข้างเย็น

ผมย้อนกลับไปกลับมาที่ทางสามแพร่งอีกสองสามครั้ง และก่อนที่ผมจะสับสนไปมากกว่านั้น ผมก็ตัดสินใจเลี้ยวแล้วเดินกลับไปในเส้นทางเดิมที่พึ่งจะเดินผ่านมา แต่ตึกแถวพวกนั้นก็ทอดยาวไกลออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีที่สิ้นสุด สำหรับผมในตอนนี้ ตึกแถวเหล่านี้น่ากลัวยิ่งกว่าสิ่งที่เห็นตรงทางสามแพร่งเมื่อครู่เสียอีก

ผมเดินไปจนรู้สึกเหน็ดเหนื่อย แต่ตึกแถวพวกนี้ก็ยังคงไม่หมดสิ้น นอกจากนั้นแล้วผมยังรู้สึกเหมือนกับว่าเบื้องหลังหน้าต่างเก่าๆ และบานประตูไม้โบราณที่ปิดอยู่ของตึกพวกนี้ มีสายตาที่กำลังจับจ้องมองอยู่ ผมเดินลงไปที่กลางถนน มันกลายเป็นถนนดินไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ เหมือนถนนตามหมู่บ้านในต่างจังหวัด

ผมมองไปทางซ้ายขวา ไฟถนนไม่มี เสาไฟฟ้าไม่มี รถยนต์ จักรยานยนต์ คนเดินเท้า แม้แต่หมา หรือแมว สักตัวก็ไม่มี ผมเหลือบมองขึ้นไปบนฟ้า และต้องตกตะลึงกับภาพที่เห็น ดวงดาวพร่างพราวเต็มท้องฟ้าแบบที่ผมเคยเห็นเพียงครั้งเดียว คือในท้องฟ้าจำลองเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก

ตอนนี้เหลืออยู่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ผมได้แต่ภาวนาอยู่ในใจ ก่อนจะค่อยๆ หันหลังกลับไป ผมกรีดร้องออกมาอย่างสุดเสียง เสาไฟฟ้าอยู่ตรงนั้น ทางสามแพร่งก็อยู่ตรงนั้น เศษกระทง เศษข้าว และมันก็อยู่ข้างหลังผมนี่เอง ผมร้องตะโกนโหวกเหวกโวยวายอีกครู่หนึ่ง แต่รอบข้างก็ยังคงมีเพียงความเงียบ

ผมวิ่งวนเวียนอยู่อีกนานเท่าไรก็ไม่รู้ สองข้างทางมีเพียง ตึกแถวเก่าๆ เสาไฟฟ้าต้นนั้น และดวงดาวเต็มฟ้า ผมวิ่งวนไปมาจนไม่รู้ทิศทาง วิ่งวนไปมาจนในที่สุดก็เหนื่อยจนล้มตัวลงนอน ผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ผมนอนอยู่กลางถนนดิน พรุ่งนี้เช้าคงมีคนมากมายมามุงดูแล้วคิดว่าผมเป็นคนบ้า แต่ถ้ามันเป็นอย่างนั้นจริง ผมคงดีใจเป็นที่สุด

ผมลืมตาตื่นขึ้นสิ่งแรกที่พบเห็นคือความมืด และดวงดาวเต็มฟ้า ผมลุกขึ้นนั่งบนถนนดิน สองข้างทางยังคงเป็นตึกแถวเก่า ผมกรีดร้อง ผมกรีดร้องจริงๆ น้ำตาไหลพรากอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เมื่อความรู้สึกที่อัดอั้นอยู่ในอกเริ่มเบาบางลง ความรู้สึกอีกชนิดหนึ่งก็เข้ามาแทนที่ มันเป็นความรู้สึกที่ผมไม่เคยให้ความสนใจกับมันมากนัก แต่ในตอนนี้มันทำให้ผมรู้สึกกลัว

'หิว' ท้องผมส่งเสียงครวญครางอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สิ่งที่เคยเต็มอยู่ในนั้นได้ถูกย่อยไปหมดแล้ว แต่ในสถานการณ์แบบนี้ผมจะไปหาอะไรที่ไหนกินได้ แล้วทันใดนั้นเองสายตาของผมก็ถูกดึงดูดไปที่เสาไฟฟ้าต้นนั้น กระทงใบตองเล็กๆ ที่มีธูปเก่าๆ ปักอยู่ สิ่งของที่อยู่ในนั้นมีสภาพที่ไม่ค่อยจะดีนัก

แต่ความหิวก็ผลักดันผมให้ก้าวเดินไป ผมเอื้อมมือไปหยิบมันขึ้นมาดม กลิ่นเปรี้ยวฉุนเฉียวลอยเข้าจมูก ผมรีบวางพวกมันกลับไปที่เดิม ก่อนจะเริ่มต้นเดินไปตามทางแยกเหล่านั้นอีกครั้ง มันยังคงเหมือนเดิม ไม่ว่าผมจะเดิน วิ่ง อย่างไร มันก็ยังมีเพียงตึกแถวเก่าๆ เสาไฟฟ้า ถนนดิน และดวงดาว

ผมกลับมาที่เสาไฟฟ้าและพบว่าข้าวของในกระทงพวกนั้นถูกกินไปหมดแล้ว ผมไม่เห็นว่าอะไร หรือใครเป็นคนกิน แต่ตอนนี้ผมหิว หิวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้กินพวกมันตั้งแต่แรก ผมเริ่มเดินเคาะไปตามบ้าน และพยายามจะปีนขึ้นไป แต่ก็ไม่สำเร็จ มันเหมือนกับมีกำแพง หรือพลังอะไรบางอย่างครอบอยู่

ผมเลิกเดิน นั่งลง ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว ทั้งกระหาย ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าสิ่งเหล่านี้จะมีความน่ากลัวถึงเพียงนี้ ผมเคยดู เคยฟังข่าวเกี่ยวกับเรื่องความอดอยาก ขาดแคลนอาหาร แต่ผมไม่เคยได้รู้ความหมายของมันอย่างจริงจังถึงเพียงนี้มาก่อนเลย

ความรู้สึกทรมานอีกอย่างหนึ่งเข้ามาเล่นงาน ผมต้องไปห้องน้ำเดี๋ยวนี้ ผมมองรอบตัวแล้วเดินไปที่ประตูของตึกแถวห้องหนึ่ง 'ใครจะไปสนใจ' ผมจัดการธุระของผมตรงนั้น แม้มันจะรู้สึกแปลกๆ ในตอนแรก แต่ก็ไม่ได้เป็นเรื่องยุ่งยากมากมายอะไรนัก แต่มันก็ทำให้ผมเริ่มคิดถึงธุระอีกอย่างหนึ่งที่ลำบากยิ่งกว่า 'ช่างมันก่อนเถอะ ถึงเวลาค่อยว่ากัน'

ผมเลิกเดินแล้วกลับไปนอนที่เสาไฟฟ้า พยายามข่มตาให้หลับถึงแม้ว่าท้องจะยังคงลั่นโครกคราก ผมหวังในใจลึกๆ ว่าเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ทุกอย่างจะกลับเป็นเหมือนเดิม

ผมลืมตาตื่นขึ้นสิ่งแรกที่พบเห็นคือความมืด และดวงดาวเต็มฟ้า ผมลุกขึ้นนั่งบนถนนดิน สองข้างทางยังคงเป็นตึกแถวเก่า ผมกรีดร้อง ผมกรีดร้องจริงๆ น้ำตายังคงไหลพรากเหมือนเดิม 'นี่มันเกิดบ้าอะไรขึ้นมา ทำไมฉันต้องมาเจอเรื่องแบบนี้ด้วย'

ผมกระเดือกข้าวบูดๆ กับข้าวที่มีกลิ่นแปลกๆ เศษธูป ขี้ฝุ่น และอะไรอีกหลายอย่างลงไปอย่างยากเย็น ผมอาเจียนมันออกมา แต่เพราะความหิวทำให้ผมพยายามจะกล้ำกลืนพวกมันลงไปให้ได้ มันเป็นความรู้สึกที่สวนทางกันอย่างสิ้นเชิง การกิน กับ ความหิว ทั้งสองสิ่งในตอนนี้คือความทรมาน ผมนั่งลงพิงเสาไฟฟ้าเหม่อมองดูดวงดาวด้วยสายตาเลื่อนลอย

ผมมองลงไปจากบนเสาไฟฟ้า มันคงยังไม่สูงพอ เสาต้นนี้เป็นสิ่งเดียวที่ผมสามารถปีนขึ้นมาได้ ตอนแรกผมแค่อยากจะมองไปรอบๆ แต่ตอนนี้ความคิดอีกอย่างหนึ่งได้แทรกตัวเข้ามา ข้างบนนี้มีแต่ภาพของหลังคาที่เหมือนๆ กัน ต่อเนื่องยืดยาวไปทุกทิศทุกทาง เท่าที่สายตาของผมจะมองไปได้

'ถ้ากระโดดลงไปจะตายไหมนะ' นั่นคือสิ่งเดียวที่ผมไม่แน่ใจ หากโดดลงไปแล้วไม่ตาย ต้องนอนทรมานอยู่อย่างนั้นมันคงไม่ดีแน่ แต่ถ้าโดดลงไปแล้วตายจบเรื่องกันไปก็คงจะดี ผมพยายามจะปีนให้สูงขึ้นไปอีก แต่ดูเหมือนมันจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ทั้งมือ แขน ขา ของผมเต็มไปด้วยรอยถลอกปอกเปิกจากเสาต้นนี้

ผมมองลงไปเห็นทางสามแพร่งข้างล่างได้อย่างชัดเจน หลังบานหน้าต่างของตึกแถวเก่าๆ เหล่านั้นมีดวงตาประหลาดแอบมองผ่านช่องออกมา ผมมองลงไปข้างล่างอีกครั้ง 'จะโดดไม่โดด จะตายไม่ตาย' เสียงโต้เถียงของตัวผมเองดังอื้ออึงขึ้นเรื่อยๆ อยู่ภายในหัว

“โว้ย”

ผมปล่อยมือกระโดดเอาหัวทิ่มลงมาจากเสาไฟฟ้าต้นนั้น อะไรจะเกิดก็ให้มันเกิดไปเถอะ 'ช่างมันแล้วโว้ย' ไม่ทันที่ความคิดอื่นใดจะผุดขึ้นมา ไม่เหมือนกับที่ใครหลายคนเคยบอกว่า ช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตนั้นจะเหมือนกับถูกยืดยาวออกแล้วสิ่งต่างๆ ในชีวิตจะผ่านเข้ามาอะไรแบบนั้น แต่มันเพียงวูบเดียว แล้วผมก็รู้สึกปวดแปลบที่หัวเมื่อมันปักลงบนถนนดิน

#####

“เอ็งเคยได้ยินเรื่องทางสามแพร่งหรือเปล่า”

“ที่ว่าจะมีวิญญาณเร่ร่อนมาดักรอคนที่ดวงตกใช่ไหม”

“เออ...แล้วที่ว่าใครอยากทำบุญให้พวกนี้ ก็ให้เอาอาหารไปไหว้ไง”

“แล้วไงล่ะ”

“ที่ข้างหอข้าน่ะมันก็เป็นทางสามแพร่งเหมือนกันนะ”

“แล้วไง”

“ข้าเคยเห็นด้วยนะ ตรงเสาไฟฟ้าน่ะ มีเงาแปลกๆ มานั่งกินของไหว้ด้วย”

“...จริงน่ะ...พวกคนเร่ร่อนหรือเปล่า”

“ไม่ใช่หรอก...ยังมีเรื่องแปลกกว่านั้นอีกนะ”

“แปลกยังไง”

“เคยมีคนกระโดดเสาไฟฟ้าต้นนั้นลงมาคอหักตายด้วย ข้าเองก็เคยเห็นเงาแปลกๆ กระโดดลงมาจากเสาไฟฟ้าต้นนั้นกับตา มันกระโดดลงมาแล้วก็หายไป น่ากลัวจริงๆ เลย”

“โม้หรือเปล่า”

“เฮ้ย เรื่องจริง...ไว้เอ็งตามข้าไปดูที่หอสิ”

“คืนนี้เลยเป็นไง”

“เออ คืนนี้เลยก็ได้ ข้าเห็นบ่อยๆ ไป”

“เฮ้ยเดี๋ยว เอ็งเคยได้ยินอีกเรื่องที่เขาว่าถ้ามีวิญญาณสิงสู่อยู่ตรงไหน มันต้องรอให้มีคนมาอยู่แทนก่อนถึงจะไปผุดไปเกิดได้บ้างไหม”

“เออ เคยได้ยินเหมือนกัน”

“ทางสามแพร่งมันจะเป็นยังงั้นหรือเปล่านะ”

“...ไม่รู้สิ...คงไม่เหมือนกันมั๊ง”

“เอองั้นเย็นนี้รอไปด้วยกันนะ”

“เออ...แล้วเจอกัน”


Create Date : 21 กรกฎาคม 2554
Last Update : 1 มีนาคม 2555 15:06:56 น. 0 comments
Counter : 1241 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.