ช่วงนี้ชีวิตวุ่นวายเกินพิกัด...แล้วจะกลับมาเขียนเรื่องที่ค้างไว้ให้จบครับ...สักวัน
Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
26 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
คืนแค้น 6/6/6 (ตอน 1/2)

6/6/2006
13.13 น.

ผมกวาดสายตาจ้องมองดูภาพในจอโทรทัศน์เป็นครั้งสุดท้าย ทุกอย่างดูเรียบร้อยดี ชายคนนั้นยังคงนอนนิ่งอยู่บนเตียงในท่าที่จัดเอาไว้ ขาทั้งสองของเขาแนบชิดติดกัน มือวางอยู่ข้างลำตัว

หน้ากากที่มีรูพรุนถูกสวมยึดตรึงหัวของเขาเอาไว้อย่างแน่นหนา ชวนให้นึกไปถึงหนังฝรั่งที่เคยได้ดู หนังที่เล่าเรื่องราวของการทรมานในยุคมืด ร่างที่ถูกรัดติดกับเตียงโดยมีชายคลุมหน้าพร้อมด้วยเครื่องมือทรมานหน้าตาแปลกๆ สารพัดชนิด

ผมกดปุ่มบังคับให้หัวของเครื่องฉายรังสีค่อยๆ หมุนมาอยู่ทางด้านขวาของเขา ช่องที่เหมือนปากของมันค่อยๆ เปิดอ้ากว้างออกตามขนาดที่ถูกกำหนดเอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะพ่นรังสีออกมาได้ทุกเมื่อ

ผมตรวจสอบหน้าจอที่อยู่ถัดไปทางด้านซ้าย ปริมาณรังสีที่ตั้งเอาไว้ถูกต้อง ผมจดบันทึกตัวเลขต่างๆ ลงในแฟ้มอย่างรวดเร็ว เอื้อมมือบิดกุญแจบนแผงควบคุมไปที่ตำแหน่ง 'เปิด' แล้วกดปุ่ม เสียงนับจังหวะที่คุ้นเคยแผดดังขึ้น ตัวเลขบอกปริมาณรังสีเริ่มต้นจากศูนย์แล้วค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ

จอโทรทัศน์ยังคงฉายภาพชายคนนั้นนอนนิ่งอยู่เช่นเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ถึงแม้ว่าภาพบนจอจะเห็นเป็นเช่นนั้นแต่ผมก็รู้ดีว่ามันไม่จริง ขณะนี้รังสีพลังงานสูงกำลังถูกกระหน่ำยิงเข้าใส่หัวของเขา เพียงแต่เราไม่สามารถจะมองเห็นพวกมันได้ รังสีพวกนี้จะพุ่งทะลุทะลวงผ่านเข้าไปสู่สมอง โจมตีทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่ว่าจะเป็นเซลปกติ หรือ เซลมะเร็ง แต่เซลปกติจะทนทานและพื้นตัวกลับคืนมาได้ ในขณะที่ เซลมะเร็ง จะอ่อนแอแล้วตายไป

ตลอดเวลาหลายปีที่ทำงานนี้มา ผมคงฆ่าพวกมันไปแล้วหลายล้านเซลเลยทีเดียว

“แล้วเจอกันวันจันทร์นะครับ”

ผมบอกกับชายคนที่เคยนอนอยู่ภายใต้หน้ากากก่อนที่เขาจะกลับ

“…ผมยังต้องฉายอีกกี่ครั้งครับ”

เสียงของเขาฟังดูอ่อนล้า แหบแห้ง หน้าตาก็ดูอิดโรยและเป็นทุกข์ ผมในบริเวณที่ถูกรังสีหลุดร่วงไปเป็นหย่อมๆ ร่างกายผ่ายผอมจนแทบจะเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก แต่ผมรู้ว่าถ้าการรักษาได้ผลดี ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าเขาจะดูดีขึ้นจนเป็นคนละคนเลยทีเดียว ผมก้มลงเปิดดูแฟ้มในมือก่อนที่จะยิ้มตอบกลับไปว่า

“เหลืออีกสามครั้ง อาทิตย์หน้าก็ครบแล้วครับ”

“ฮัด…ชิ่ว”

เขาจามใส่หน้าผมในตอนที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาพอดี ผมรีบล้วงผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดอย่างรวดเร็ว เขารีบขอโทษผมเป็นการใหญ่ก่อนที่จะเดินจากไป ผมไม่ได้โวยวายอะไรกับเขา สิ่งที่เขากำลังเผชิญอยู่ก็ย่ำแย่มากเพียงพอแล้ว ผมไม่ต้องการที่จะเพิ่มอะไรลงไปอีก

17.30 น.

เย็นวันศุกร์นับเป็นช่วงเวลาที่น่าเบื่อเป็นอย่างยิ่ง การที่ต้องโหนอยู่บนรถ ป.อ. ที่มีคนยืนเบียดเสียดกันจนแน่น และรถที่ติดมากกว่าปกติ หลังจากที่ต้องทำงานหนักมาทั้งวัน เป็นเรื่องที่เลวร้าย แต่ถ้าเป็นเย็นวันศุกร์ที่คุณกำลังจะออกไปเที่ยวเฮฮากับเพื่อนฝูงนั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“ชิดในหน่อยค่ะ…ประตูขึ้นไม่ได้แล้ว”

เสียงตะโกนเหมือนเดิมดังขึ้นอีกเป็นครั้งที่เท่าไรก็ไม่รู้ ผมเหลียวกลับไปมองทางด้านหลัง ไม่มีที่ว่างเหลือพอที่จะให้ขยับอีกแล้วผมจึงยืนเฉย สายตาคู่นั้นมองดูผมแล้วมองเลยผ่านไปทางด้านหลัง แต่เธอก็ไม่ได้ตะโกนอะไรออกมาอีก

ผมคิดว่าในที่สุดเธอก็เข้าใจแล้วว่ารถคันนี้ 'เต็ม' แล้ว เธอไม่อาจที่จะยัดคนขึ้นมาเพื่อเก็บค่าตั๋วเพิ่มได้อีก แต่ผมคิดผิด เธอยังคงไม่เข้าใจ กระเป๋ารถเมล์นางนี้ค่อยๆ เบียดร่างของเธอเพื่อไปยังท้ายรถ เธอคงต้องการเห็นด้วยตาของเธอเองว่าไม่มีที่ว่างเหลืออยู่จริงๆ แต่เธอก็มาได้แค่ตรงหน้าผม

ผมหายใจรดหัวเธออยู่พักหนึ่ง ก่อนที่เธอจะยอมแพ้แล้วถอยกลับไปที่ประตู พอถึงป้ายถัดไปเมื่อประตูเปิดออก ผู้คนทยอยกันลงและขึ้นรถ เธอก็ตะโกนบอกคนข้างล่างว่า

“ไปไม่ได้รอคันหลังนะคะ”

การที่ต้องโหนรถเมล์ไปกลับระหว่างกลางเมืองกับชานเมืองทุกวันก็ไม่ใช่เรื่องน่าสนุกเช่นกัน แต่จะทำอย่างไรได้ถ้าคุณมีครอบครัว แต่ไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อบ้านในเมือง และรถใหม่สักคันได้ บ้านชานเมือง และรถเมล์ ก็เป็นคำตอบที่ 'ถูกต้องแล้วคร๊าบ...' สำหรับคุณ

ข้าวกล่อง และแกงถุง สำหรับมื้อเย็นก็เป็นอีกคำตอบหนึ่ง ผมและแฟนต้องโหนรถเมล์กลับบ้านค่ำๆ มืดๆ พอมาถึงต่างก็ไม่เหลือเรี่ยวแรง และเวลาพอที่จะทำอาหารเย็นกันแล้ว ร้านป้าที่หน้าปากซอยจึงเป็นทางรอดเดียวของพวกเรา แม้ว่าป้าแกจะสาดผงชูรสลงไปอย่างไม่ยั้ง แต่ใส่เนื้อให้เพียงน้อยนิด ก็พวกเราไม่มีทางเลือกมากนัก

ผมจัดการกับข้าวเย็นที่ร้านป้าก่อนที่จะเดินกลับบ้าน วันนี้แฟนผมหยุดงาน และเมื่อตอนกลางวันเธอก็โทรมาบอกว่าจะไปค้างที่บ้านแม่ แต่พอดีช่วงนั้นงานของผมยุ่งมากจึงต้องรีบวางสาย ผมไม่ชอบคุยเรื่องส่วนตัวในขณะที่กำลังทำงาน จึงยังไม่ทันได้ถามไถ่รายละเอียดกัน

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาเธอ แต่เธอไม่ได้เปิดเครื่อง ผมลังเลอยู่ว่าจะโทรไปที่บ้านแม่ของเธอดีหรือไม่ แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจที่จะไม่โทร ผมไม่ได้ทะเลาะอะไรกับเธอ คงจะเป็นเรื่องธุระอะไรบางอย่าง ไว้พรุ่งนี้ค่อยโทรไปใหม่ หรืออาจจะแวะไปหาเธอที่บ้านแม่เลยก็ได้

ผมเดินมาหยุดยืนอยู่ที่หน้าบ้าน ห้องแถวสองชั้นขนาดพื้นที่ 18 ตารางวา สองห้องนอน สองห้องน้ำ ไม่ใหญ่โตอะไรแต่ก็เพียงพอสำหรับเราสองคน กับสมาชิกใหม่ที่อาจจะมีเพิ่มขึ้นในอนาคต และเพียงแค่นี้ก็ทำให้เราต้องก้มหน้าก้มตาทำงานหนักกันต่อไปอีกหลายปี ผมไขกุญแจเปิดประตูเข้าไป บ้านทั้งหลังมืดและเงียบสงัด ผมเกิดความรู้สึกแปลกๆ อย่างที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน

นอกจากผมกับแฟนแล้วที่บ้านยังมีหมาพุดเดิ้ลสีน้ำตาล อยู่อีกตัวหนึ่ง 'เจ้าตุ้ย' สุดที่รักของแฟนผม ที่เธอแอบไปอุ้มเอามาจากบ้านญาติตั้งแต่ยังเป็นลูกหมาตัวเล็กๆ โดยที่ไม่ได้ปรึกษากันก่อน และสุดท้ายผมเองก็ต้องถูกบังคับให้มีส่วนร่วมในการเลี้ยงดูมันไปด้วย

ผมไม่ได้เกลียดหมาแต่ก็ไม่ได้ชอบมันมากนัก บางครั้งมันจะทำให้ผมโกรธด้วยการ 'ขับถ่าย' ที่ไม่เป็นที่เป็นทางของมัน แต่คืนนี้บ้านเงียบสนิท มันไม่ได้อยู่ในบ้าน ชามข้าว น้ำ และของใช้อื่นๆ ของมันก็หายไป แฟนผมคงหอบหิ้วพามันไปที่บ้านแม่ด้วย ซึ่งทำให้ผมไม่ค่อยพอใจนัก เธอต้องเรียกแท็กซี่ไปแน่ๆ ซึ่งเป็นการกระทำที่ไม่คุ้มเอาเสียเลย ต้องเสียเงินเกือบสองร้อยบาทเพื่อที่จะพามันไปด้วย

ผมปิดบ้าน เก็บข้าวของ ถอดเสื้อผ้าออกแล้วรีบอาบน้ำทันที คืนวันศุกร์มักจะเป็นคืนแห่งความรื่นรมย์ แต่วันนี้ผมรู้สึกเหนื่อยมากจนไม่อยากจะทำอะไรอีกแล้ว ภาพของเตียงนอนที่แสนสบายลอยไปมาอยู่ตรงหน้าผมอยู่ตลอดเวลา

เมื่อหัวถึงหมอนผมก็แทบจะหลับไปในทันที แต่ยังมีอะไรบางอย่างรบกวนจิตใจผมอยู่ อะไรบางอย่างที่ไม่ถูกต้อง ผมคิดว่ามันคงเป็นเพราะความเงียบ บ้านทั้งหลังในตอนนี้มีผมอยู่เพียงลำพังเท่านั้น แถมบ้านข้างๆ ก็ยังปิดไฟเงียบ รถของพวกเขาไม่อยู่ เหมือนกับว่าในตอนนี้ทุกคนต่างพากันหนีผมไปจนหมด

ผมเริ่มคิดถึงแฟน และ เจ้าตุ้ย อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะคิดถึงมันได้มากขนาดนี้ แต่ในที่สุดความอ่อนเพลียก็เป็นฝ่ายมีชัย ผมงีบหลับไปในที่สุด

??.?? น.

ในห้วงแห่งความดำมืด ความอึดอัดค่อยๆ แผ่กระจายไปทั่วร่างอย่างช้าๆ ลมหายใจเริ่มติดขัดจนผมสะดุ้งตื่นขึ้นมา แต่เมื่อกวาดตามองออกไปก็ไม่มีสิ่งใดปรากฏให้เห็น มีเพียงฝ้าเพดาน และแสงจางๆ จากภายนอกที่ส่องผ่านช่องเปิดของผ้าม่านหน้าต่างเข้ามาเท่านั้น แต่ความรู้สึกอึดอัดนั้นยังคงอยู่ และค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมบอกกับตัวเองว่ามีอะไรบางอย่างกำลังกดทับหน้าอกของผมอยู่ในตอนนี้

ผมพยายามที่จะก้มหน้าลงมอง แต่ร่างกายกลับไม่สามารถขยับได้ ผมพยายามดิ้นรนอีกครั้งแต่ก็ไม่เป็นผล เจ้าสิ่งที่อยู่บนร่างของผมค่อยๆ ขยับตัวสูงขึ้นมาเรื่อยๆ ผมไม่เคยเชื่อเรื่องผี ผมคิดว่าวิญญาณนั้นมีจริง แต่ผีหลอกเป็นเพียงเรื่องเล่าลือที่ผิดเพี้ยนซึ่งเกิดจากความขวัญอ่อนของคน

ผมเคยได้ยินเรื่องผีอำอยู่บ่อยครั้ง และทุกครั้งคำบอกเล่าก็จะคล้ายๆ กับที่ผมกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ ผมทำในสิ่งที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะทำ ผมเริ่มต้นสวดมนต์ บทแรกสุดที่ผมสามารถนึกขึ้นมาได้

“นะโม…”

มีของสิ่งหนึ่งยื่นเข้ามาในปากของผม มันแหยะๆ สากๆ และมีกลิ่นเหม็นมาก ผมรู้สึกขยะแขยงอย่างบอกไม่ถูก ดวงตาสีดำสนิทคู่หนึ่งโผล่ขึ้นมาแล้วจ้องมองประสานสายตากับผม

“ไอ้…ตุ้ย”

ร่างของผมพลันขยับเคลื่อนไหวได้ในทันที ผมรีบลุกขึ้นนั่งจนทำให้เจ้าหมาพุดเดิ้ลกลิ้งตกลงไปที่พื้นข้างเตียง ผมยกมือขวาขึ้นปาดเช็ดปาก ร่างกายบางส่วนยังคงชาอยู่ไม่หาย

มันคงขึ้นมายืนอยู่บนตัวผมซักพักหนึ่งแล้ว น้ำหนักตัวของมันแม้จะไม่มากนัก แต่ตำแหน่งที่มันยืนคงจะตรงกับเส้นเลือดสำคัญเข้าพอดี จึงทำให้เกิดอาการเหล่านั้นขึ้น ตอนนี้ผมคงต้องถูกนับรวมให้กลายเป็นหนึ่งในหมู่คนขวัญอ่อนไปด้วยแล้ว

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นยืนแล้วมองหา เจ้าตุ้ย ไปรอบห้องแต่ก็ไม่พบ ผมก้มลงมองเข้าไปข้างใต้เตียง ซึ่งมันชอบที่จะมุดเข้าไปนอนหลบอยู่แต่ก็ไม่เห็น ผมต้องรีบเงยหน้าขึ้นเมื่อพบว่าข้างใต้เตียงนอนในยามกลางดึกที่ต้องอยู่เพียงลำพังให้ความรู้สึกที่น่ากลัวอย่างบอกไม่ถูก ภายในห้องนอนมีเฟอร์นิเจอร์อยู่เพียงไม่กี่ชิ้น เตียงนอน ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะเครื่องแป้ง ไม่มีซอกมุมอื่นใดให้มันสามารถซ่อนตัวได้อีกแล้ว

ผมพลันเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาอีกครั้ง ตอนผมกลับเข้าบ้านมาก็ไม่ได้เห็นตัวมัน แล้วมันมาจากไหน และตอนนี้มันหายไปไหน ผมพบคำตอบเรื่องที่มันหายไปได้ในไม่ช้า เพราะพอผมเดินมาถึงหน้าห้องน้ำที่มีประตูเปิดจากภายในห้อง ทะลุออกไปยังบันไดข้างนอก ผมก็พบว่าประตูได้ถูกแง้มอยู่ โดยมีพรมเช็ดเท้าสอดกั้นเอาไว้ นี่เป็นสิ่งที่แฟนผมทำเป็นประจำ เธอจะให้ เจ้าตุ้ย สามารถวิ่งเข้านอกออกในห้องนอนได้ตลอดเวลา ผมคงลืมเอาผ้าที่กั้นไว้ออกตอนที่เข้าห้องมา

ผมเดินผ่านห้องน้ำทะลุออกไปสู่ชานบันไดที่อยู่หน้าห้องนอน ประตูของห้องนอนเล็กที่อยู่ฝั่งตรงข้ามยังคงปิดสนิท ผมกดเปิดไฟตรงบันไดให้สว่าง แต่ก็ยังไม่เห็นมัน ผมจึงค่อยๆ ย่องลงมายังชั้นล่าง เหลืออยู่อีกเพียงสองแห่งเท่านั้นที่มันพอจะเข้าไปซ่อนอยู่ได้ นั่นก็คือที่ใต้บันได กับใต้โซฟา

พอผมกดเปิดไฟชั้นล่างทุกดวงให้สว่าง ก็รีบวกกลับไปดูที่ใต้บันได ข้างใต้นั้นมีกล่องเก็บของที่เคยขนซื้อมาแต่ไม่ค่อยได้ใช้วางอยู่สองสามใบ แต่ไม่มี เจ้าตุ้ย มันไม่ได้อยู่ตรงนั้น ตอนนี้ก็เหลืออยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น

ผมเดินมาหยุดอยู่ที่หน้าโซฟาก่อนที่จะคุกเข่าลงแล้วมองลอดเข้าไป มันหลบอยู่ที่นี่เอง นอนขดอยู่โดยหันก้นให้ผม หางเล็กๆ ที่เป็นพวงของมันแบนลีบ บริเวณก้นก็ดูสกปรก และผมยังได้กลิ่นเหม็นๆ โชยออกมาด้วย มันคงท้องเสียอีกแล้ว แฟนผมชอบเอานู่นเอานี่ให้มันกินอยู่เรื่อย ไม่ว่าเธอจะกินอะไรมันก็ต้องได้กินด้วย ผมจึงไม่แปลกใจเลยที่มันท้องเสียอยู่บ่อยๆ

“ตุ้ย…ออกมาข้างนอกเร็ว ออกมานะ”

มันยังคงนอนนิ่งไม่สนใจ ผมลุกขึ้นยืนแล้วมองดูนาฬิกา ดึกป่านนี้แล้ว ผมยังง่วงอยู่และอยากนอนต่อ เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเก็บกวาดทำความสะอาด และ 'ลงโทษ' ไอ้ตุ้ย ทีหลังก็ได้ ผมเดินไปปิดไฟกำลังจะกลับขึ้นไปนอน แต่แล้วก็เกิดเปลี่ยนใจ ขอดื่มน้ำเย็นๆ สักแก้วก่อนดีกว่า คืนนี้อากาศร้อนอบอ้าวมากทีเดียว ลำคอของผมจึงแห้งผาก

ผมไม่ได้เปิดไฟแต่เดินฝ่าไปในความมืด ผมอยู่บ้านนี้มาหลายปีแล้ว แค่เดินจากบันไดไปหาตู้เย็นไม่ใช่เรื่องยากเลย แล้วตอนนั้นเองที่ความคิดบางอย่างแวบขึ้นมา

'แล้วเมื่อตอนค่ำ ไอ้ตุ้ย มันหายไปอยู่ที่ไหนมา…ชามข้าว ชามน้ำ ของมันหายไปไหน…'

ผมรู้สึกคล้ายกับถูกจ้องมองมาจากทางด้านหลัง ขนบริเวณหลังคอของผมลุกตั้งชัน มันกำลังจ้องมองผมอยู่ แต่มีอะไรแปลกๆ ผมรู้สึกกลัวขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก อยากจะหันหลังกลับไปดูแต่ก็ไม่กล้า อยากจะเดินกลับไปเปิดไฟให้สว่างแต่ขาก็ทำได้แค่พาตัวเองให้เดินหน้าต่อไป

ตู้เย็นอยู่ตรงหน้า แต่ความรู้สึกกระหายสลายไปจนหมดสิ้นแล้ว ผมเห็นอะไรบางอย่างที่แปลกตาติดอยู่บนบานประตูตู้ มีกระดาษแผ่นหนึ่งถูกหนีบเอาไว้ด้วยตัวแม่เหล็กหน้าตาพิลึกๆ ผมหยิบมันออกมาดู มีข้อความบางอย่างเขียนอยู่ ผมพยายามที่จะอ่านแต่มันก็มืดเกินไป

ความรู้สึกเดิมนั้นยังคงอยู่ มันอยู่ข้างหลังผมนี่เอง ผมคิดว่าข้อความบนกระดาษแผ่นนี้อาจจะเปิดเผยเรื่องราวอะไรบางอย่างที่น่ากลัวให้ผมได้รู้ ผมไม่อยากที่จะอ่านแต่ผมก็ต้องอ่านมัน

ผมค่อยๆ แง้มประตูตู้เย็นออก แสงไฟจากภายในส่องสว่างแลบออกมาจากช่องเปิดนั้น ลายมือที่คุ้นเคยถูกเขียนเอาไว้สั้นๆ แต่ได้ใจความ ผมอ่านมันแล้วหยุดหายใจไปชั่วขณะ ผมอ่านมันอีกครั้ง ข้อความทั้งหมดยังคงเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกของผมเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ผมกลัวจนแทบบ้า

'ไอ้ตุ้ย ตายแล้ว ฉันฝังมันเอาไว้หน้าบ้าน คงไม่กลับอีกหลายวัน'

เสียงขู่คำรามดังมาจากทางด้านหลัง ผมเหลียวหน้ากลับไปมอง ภายใต้แสงสลัวจากตู้เย็น สิ่งที่ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ใช่ ไอ้ตุ้ย อีกต่อไปแล้ว ร่างของมันบวมอืด มีเศษดินเกาะติดอยู่เต็มตัว ดวงตาสีดำคู่นั้น ถูกสิ่งที่เคยอยู่ในกะโหลกดันปูดจนหลุดออกมาอยู่นอกเบ้า มีหนอนมากมายไต่คลานยั้วเยี้ยออกมาทางรูจมูก และปาก มันกำลังแยกเขี้ยวแสยะยิ้ม ยิ้มให้กับผม

ผมพยายามกรีดร้องแต่ไม่มีเสียงใดๆ หลุดออกมา มันยังคงยืนยิ้มอยู่อีกครู่หนึ่ง ก่อนที่จะกระโจนเข้าใส่ มันฝังเขี้ยวเข้าที่คอหอย ผมรู้สึกเย็นวาบที่บริเวณนั้น มีเสียงดัง ครอกๆ พร้อมกับของเหลวอุ่นๆ ไหลผ่านหน้าอกลงไป ผมล้มหงายลงไปทางด้านหลัง มือยังคงกำกระดาษแผ่นนั้นเอาไว้แน่น ประตูตู้เย็นเปิดอ้ากว้างออก ภาพสุดท้ายที่ผมได้เห็น คือ ไอ้ตุ้ย ที่กำลังก้มหน้าก้มตาคุ้ยกินสิ่งที่เคยอยู่ในท้องของผม

ผมเคยแกล้งลืมให้อาหารเย็นมันบ่อยๆ วันนี้มันแก้แค้นด้วยการกินผมเป็นอาหารมื้อดึก

##########

6/6/2006
17.33 น.

“ชิดในหน่อยค่ะ…”

ฉันเกลียดคนพวกนี้จริงๆ ไม่รู้ว่าทำไมเวลาขึ้นมาบนรถแล้วชอบหยุดยืนออกันอยู่ตรงประตู ทั้งๆ ที่ด้านในก็มีที่ว่างอยู่เยอะแยะไป แค่ทยอยเดินชิดกันเข้าไปแค่นี้ ทำไมถึงทำกันเองไม่ได้ ต้องให้ฉันมาคอยยืนตะโกนบอกอยู่อย่างนี้ด้วย

“ชิดเข้าไปหน่อยสิคะ…แบ่งๆ กันไปจะได้ไปกันเร็วๆ นะคะ”

ฉันเกลียดช่วงเวลาเลิกงานเป็นที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเย็นวันศุกร์ ผู้คนจะแห่ขึ้นมาเบียดเสียดกันจนแน่นรถ แน่ล่ะว่าฉันจะได้ส่วนแบ่งค่าตั๋วมากขึ้น แต่ฉันคิดว่ามันไม่ค่อยจะคุ้มสักเท่าไร

“ชิดในหน่อยค่ะ…ประตูขึ้นไม่ได้แล้ว”

กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่อยู่ท้ายรถดูจะยืนกันอย่างตามสบาย ถ้าพวกเขายืนชิดกันเข้าไปอีกสักหน่อย คงมีที่ว่างเพิ่มขึ้น ฉันพยายามที่จะเบียดตัวผ่านชายสองคนที่ยืนขวางอยู่เพื่อเข้าไปให้ถึงกลุ่มเด็กเหล่านั้น

ผู้ชายหนึ่งในสองคนซึ่งฉันจำได้ว่าขึ้นรถมาจากหน้าโรงพยาบาลใหญ่แห่งหนึ่งด้วยท่าทางเหน็ดเหนื่อย แสดงสีหน้าไม่พอใจ ฉันยังคงลองพยายามอีกครั้ง แต่ในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ ช่างมัน ใครไปไม่ได้ก็รอไปแล้วกัน ฉันจึงค่อยๆ ถอยกลับมาอยู่ที่ประตูเหมือนเดิม

“ไปไม่ได้รอคันหลังนะคะ”

23.00 น.

คืนนั้นกว่าจะกลับไปถึงห้องเช่าเล็กๆ ของฉันก็ดึกมากแล้ว ตึกเก่าสองชั้นที่ถูกดัดแปลงให้กลายเป็นหอพักขนาดสิบห้อง ชั้นบนหก ชั้นล่างสี่ และมีห้องของเจ้าของที่พักรวมอยู่ด้วย แม้ห้องจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก และค่าเช่าก็ดูออกจะแพงไปสักนิดแต่มันก็มีห้องน้ำในตัวทุกห้อง ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้ฉันตัดสินใจเลือกเช่า ฉันไม่ชอบที่จะต้องเดินออกจากห้องเพื่อไปใช้ห้องน้ำรวมกับคนอื่นๆ

พรุ่งนี้เป็นวันหยุดของฉัน ตอนแรกฉันคิดว่าจะไปเที่ยวคาราโอเกะต่อกับพวกเพื่อนๆ แต่กลับรู้สึกไม่ค่อยสบายเนื้อสบายตัว ท่าทางคล้ายกับจะเป็นไข้ สุดท้ายจึงตัดสินใจที่จะกลับมานอนพักผ่อน

ในตอนที่ก้าวเท้าเข้ามา ทั้งหอพักมีแต่เพียงความเงียบ คืนวันศุกร์แบบนี้คงยังไม่ค่อยมีใครกลับกัน ซึ่งก็นับเป็นเรื่องที่ดี ฉันจะได้นอนพักผ่อนอย่างสงบ

ฉันเดินขึ้นบันไดไปที่ชั้นสอง ห้องของฉันอยู่ด้านในสุดห้องขวามือ คนที่อยู่ห้องข้างๆ ดูเหมือนจะเป็นพนักงานขายของตามห้าง ส่วนห้องฝั่งตรงข้ามเป็นของนักศึกษากลุ่มหนึ่ง ซึ่งฉันไม่แน่ใจนักว่ามีอยู่กี่คนกันแน่ เจ้าของหอพักแห่งนี้ออกจะใจดีกับพวกนี้มากไปสักหน่อย หรืออาจเป็นเพราะเขากลัวหากจะต้องมีเรื่องกันก็เป็นได้

ทุกห้องดูเหมือนจะยังไม่มีใครกลับมา หรือไม่ก็หลับกันไปหมดแล้ว แต่นักศึกษาพวกนั้นคงพากันไปเที่ยวแน่ๆ ฉันได้แต่หวังว่าคงไม่ต้องตื่นขึ้นมาในตอนที่พวกนี้กลับมาถึง ถ้าจะให้ดีก็ขอให้กลับกันตอนเช้าไปเลย ฉันรีบอาบน้ำ คลี่ที่นอนออกมาปูตรงกลางห้อง แล้วนอนหลับไปอย่างรวดเร็ว

??.?? น.

กี่โมงแล้วก็ไม่รู้ในตอนที่เสียงดังเอะอะจากหน้าห้องปลุกฉันให้ตื่นขึ้น ฉันดึงหมอนขึ้นมาปิดหู นักศึกษาพวกนั้นคงกลับมากันแล้ว ทั้งส่งเสียงดังพูดจาเอะอะโวยวาย และระเบิดเสียงหัวเราะใส่กัน อย่างไม่เกรงใจใคร เสียงของพวกนั้นยังคงป้วนเปี้ยนอยู่ที่หน้าห้องไม่ยอมเข้าห้องกันไปสักที หัวสมองของฉันปวดตุบๆ ฉันหงุดหงิดจนทนไม่ไหวแล้ว

“พวกเด็กบ้าไปเห่าหอนกันที่อื่นได้ไหม คนเขาจะหลับจะนอน หัดเกรงใจกันบ้างสิ”

ฉันตะโกนออกไปดังลั่น เสียงเอะอะข้างนอกเงียบไปในทันที จะมีเรื่องกันก็ช่างมัน ขอให้คืนนี้ฉันได้นอนต่ออีกสักหน่อยเถิดปวดหัวจนจะบ้าตายอยู่แล้ว ที่หน้าห้องยังคงเงียบสงัด แต่ฉันกลับนอนไม่หลับเสียแล้ว ความรู้สึกแปลกๆ คุกคามจนฉันต้องลุกขึ้นมานั่ง ฉันรู้สึกถึงอันตรายบางอย่างคล้ายกับเวลาที่ถูกพวกโรคจิตแอบจ้องมองบนรถ ป.อ. ในเวลาทำงาน

หัวของฉันยังคงปวด แต่ฉันก็กัดฟันลุกขึ้นแล้วค่อยๆ ย่องไปที่ประตู ข้างนอกยังคงเงียบเชียบ ฉันจึงเอาหูแนบกับประตู

“…แกรก…แกรก…”

มีเสียงแปลกๆ ดังเบาๆ อยู่ที่หน้าห้อง เสียงของมันเคลื่อนที่ไปมาและฟังดูสับสนเหมือนกับว่าแหล่งที่มาของเสียงนั้นมีมากกว่าหนึ่ง ฉันนิ่งฟังอยู่อีกครู่หนึ่งจึงนึกขึ้นมาได้ว่ามันน่าจะเป็นเสียงของอะไร มันเหมือนกับเสียงเล็บเท้าของหมาที่เดินขูดไปบนพื้นหิน คงมีหมาจรจัดแอบหนีเข้ามา หรือไม่ก็มีใครแอบเอาเข้ามาเลี้ยงเอาไว้

ฉันตัดเรื่องหมาจรจัดออกไป คงไม่มีหมาจรจัดที่ไหนเปิดประตูแล้วเดินขึ้นมาถึงชั้นสองได้ โดยที่ไม่โดนเจ้าของหอพักไล่ตีออกไปเสียก่อน คงจะมีใครแอบเลี้ยงหมาเอาไว้ ถ้ามันไม่ได้รบกวนใครก็ช่างมันเถอะ แต่ถ้ามันก่อเรื่องอะไรขึ้น ฉันจะรีบแจ้งเจ้าของหอพักทันที

“…แกรก…แกรก…แกรก…แกรก…”

ท่าทางจะมีมากกว่าหนึ่งตัว ห้องแคบๆ แค่นี้ใครกันที่เอาหมามาเลี้ยงเอาไว้ตั้งหลายตัว แค่นอนคนเดียวก็อึดอัดจะตายอยู่แล้ว สงสัยว่าน่าจะพึ่งเอามาวันนี้ หรืออาจจะแค่เอามาฝากไว้ชั่วคราวก็ได้ ฉันกำลังจะกลับไปนอนต่ออยู่แล้ว ในตอนที่มีเสียงดังขึ้นที่ประตู

“แกรก…แกรก”

เสียงเหมือนกับมันยืนขึ้นแล้วใช้สองขาหน้าตะกุยบานประตู ช่างมันเดี๋ยวเจ้าของก็คงรีบมาดู เขาเองก็คงไม่อยากจะมีปัญหากับใครให้โดนไล่ออกไปแน่

“แกรก…แกรก…แกรก”

เสียงตะกุยถี่และดังขึ้น คืนนี้มันเป็นวันซวยของฉันหรือไรกันนะ ถึงต้องมาเจอเรื่องอะไรที่มันหงุดหงิดติดต่อกันแบบนี้ ไหนจะปวดหัว ไหนจะพวกเด็กไร้มารยาท คราวนี้ก็ยังต้องมาผจญกับพวกหมาที่เจ้าของไร้ความรับผิดชอบอีก พอกันทีสำหรับคืนนี้

“แกรก…แกรก…แกรก…แกรก”

ฉันพุ่งไปที่ประตู มือขวาคว้าเอาไม้เบสบอลที่วางอยู่ข้างประตูขึ้นมาถือเอาไว้ จริงๆ แล้วไม้เบสบอลอันนี้ฉันเตรียมเอาไว้ใช้กับขโมยหรือไม่ก็พวกโรคจิตที่อาจจะต้องพบเจอ มือซ้ายจับลูกบิดประตูกำลังจะกระชากมันให้เปิดออก

“…ตึง…”

เสียงดังสนั่นทำให้ฉันหยุดชะงัก อะไรก็ตามที่อยู่ข้างนอกนั่นกระแทกเข้าใส่บานประตูห้องฉันอย่างแรง จากความสูงของตำแหน่งที่มันกระแทกเข้าใส่ และเรี่ยวแรงของมัน ทำให้ฉันเริ่มไม่แน่ใจเสียแล้วว่ามันจะเป็นหมาอย่างที่คิดเอาไว้ นอกจากว่าเจ้าหมาตัวนี้จะยืนขึ้นได้สูงและมีเรี่ยวแรงพอๆ กับคนๆ หนึ่ง เจ้าพวกนักศึกษาคงเล่นงานฉันเข้าให้แล้ว

ฉันรีบเปิดไฟแล้วตะโกนออกไปดังลั่น

“ฉันจะโทรไปแจ้งตำรวจนะ ถ้าพวกเธอยังไม่ยอมหยุด”

“แกรก…แกรก…ตึง”

ฉันวิ่งไปที่โทรศัพท์แล้วยกหูขึ้น พยายามที่จะนึกเบอร์สถานีตำรวจท้องที่แต่ก็นึกไม่ออก ฉันจึงกดเบอร์ หนึ่ง เก้า หนึ่ง มีเสียงสัญญาณดังขึ้นสองครั้งก่อนที่จะมีเสียงชายหนุ่มตอบกลับมาจากทางปลายสายว่า

“สวัสดีครับ ผม คมสัน รับสายครับ”

“ตึง..ตึง”

“ช่วยด้วยค่ะคุณตำรวจ กำลังมีคนพยายามที่จะบุกเข้ามาทำร้ายฉันในห้องค่ะ”

“ครับๆ ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ บอกที่อยู่ของคุณมา แล้วผมจะแจ้งให้สายตรวจรีบไปทันทีเลยนะครับ”

“ค่ะ ดิฉันอยู่ที่หอพัก…”

“…”

เสียงในสายเงียบหายไปเฉยๆ ก่อนที่ไฟในห้องจะดับลง ฉันอยู่ให้ห้องที่มืดมิดเพียงลำพัง ตะโกนกรอกเสียงลงไปในหูโทรศัพท์อย่างกับคนบ้า

“ฮัลโหล…ฮัลโหล…ฮัลโหล…”

“ตึง…แครก…”

เสียงดังคราวนี้เรียกสติของฉันให้หวนกลับคืนมา ฉันปล่อยหูโทรศัพท์ให้มันห้อยตกลงแล้วมองไปที่ประตู มีอะไรบางอย่างพุ่งทะลุผ่านเข้ามา และคาอยู่บนบานประตู แต่เป็นเพราะไฟในห้องดับไป ทำให้ฉันดูไม่ออกว่ามันเป็นอะไรกันแน่ เจ้าของสิ่งนั้นหดกลับหายไปก่อนที่จะเกิดเสียงดัง และเห็นมันพุ่งทะลุผ่านประตูเข้ามาอีกครั้ง

พวกมันคงเมากันมากแน่ๆ หรืออาจจะเสพพวกยาเสพติดด้วยก็ได้ คราวนี้พวกมันถึงกับ ตัดโทรศัพท์ ตัดไฟ แล้วใช้อะไรก็ไม่รู้หวดใส่ประตูพยายามที่จะพังเข้ามา แล้วพวกคนอื่นๆ ไปอยู่ที่ไหนกัน พวกมันทำกันถึงขนาดนี้แล้ว ทำไมถึงยังไม่มีใครโผล่มาเลย

ร่องบนบานประตูค่อยๆ ขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ฉันตัดสินใจขนทุกสิ่งที่อยู่ในห้องเท่าที่จะขนได้มาวางขวางประตูเอาไว้ แต่ก็ดูจะไม่ค่อยได้เรื่องมากนัก เพราะในห้องไม่มีตู้หรือข้าวของชิ้นใหญ่ๆ เนื่องจากห้องเปล่าๆ มันก็แคบมากอยู่แล้ว ของที่ฉันซื้อมาใช้จึงมีแต่พวกเบาๆ เล็กๆ เท่านั้นจำพวก ตู้ผ้าใบ ฟูกปูนอน โต๊ะญี่ปุ่น ฯลฯ

“แครก…แครก”

พวกมันเริ่มคุ้ยช่องให้กว้างออก มีสายตาคู่หนึ่งมองทะลุผ่านรูเข้ามา แวบหนึ่งที่ฉันเห็นมันสะท้อนกับแสงจันทร์ที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่างเป็นประกายสีแดงแวววับเจิดจ้า ฉันเริ่มนึกสงสัยถึงพวกที่อยู่ข้างนอกว่าจะใช่พวกนักศึกษาจริงหรือไม่ ประกายตาแบบนั้นทำให้ฉันนึกไปถึงหนังสารคดี ดวงตาของสัตว์ผู้ล่าในยามค่ำคืนที่สะท้อนกับแสงไฟของทีมงานถ่ายทำ

แต่เหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ฉันนึกถึงสิ่งหนึ่งขึ้นมาได้ 'หน้าต่าง' ถึงแม้ว่าห้องนี้จะอยู่ชั้นสองแต่มันก็ไม่ได้สูงจนเกินไปนัก ถ้าจำเป็นจะต้องไต่ หรือกระโดดลงไป ฉันรีบวิ่งไปที่หน้าต่าง หน้าต่างบานที่ฉันแทบจะไม่เคยสนใจมันมาก่อน มันก็เหมือนกับหน้าต่างตามห้องเช่าทั่วๆ ไปที่มี 'เหล็กดัด' และก็เหมือนกับตึกทั่วๆ ไปที่เหล็กดัดที่ใช้จะเป็นแบบ 'ติดตาย' เพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายของเจ้าของ

ฉันกำสองมือแน่นแล้วเขย่ามันอย่างแรง เจ้าเหล็กดัดกลับไม่เก่าไปตามตึกอย่างที่มันควรจะเป็น มันยังคงติดแน่นและทำหน้าที่ของมันได้อย่างดี ดีจนฉันแทบจะแผดร้องออกมา

“แครก…แครก”

ฉันหันกลับไปดูอีกครั้ง หัวใจแทบจะหยุดเต้น ฉันมองเห็นแล้วว่าสิ่งที่พวกมันกำลังใช้พังประตูกันอยู่คืออะไร มันคือเล็บแหลมคมที่งอกยาวออกมาจากปลายนิ้ว ที่ติดอยู่บนมือและแขนที่มีขนยาวรกรุงรัง พวกมันผลัดกันยื่นมือเข้ามาเพื่อคว้าลูกบิดประตู แล้วในที่สุดมือข้างหนึ่งของพวกมันก็คว้าเอาไว้ได้ ฉันคิดว่าตัวเองกำลังฝันร้าย ผันร้ายอย่างสุดๆ แต่อีกใจหนึ่งก็บอกกับตัวเองว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นเป็นเรื่องจริง ลูกบิดหมุนดัง 'คลิก' ประตูถูกเปิดออก

“ตึง”

ประตูแง้มออกเพียงเล็กน้อยก่อนที่จะหยุดอยู่เพียงแค่นั้น โชคดีที่คืนนี้ฉันคล้องโซ่ที่ประตูเอาไว้ด้วย ถ้าพวกมันดึงประตูกลับแล้วถอดโซ่ออก ทุกสิ่งก็คงจะสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว แต่พวกมันกลับพยายามยื้อแย่งกันเข้ามา ทั้งหมดจึงติดพันกันอยู่ตรงนั้น

ฉันหันกลับไปหาเหล็กดัด มันถูกยึดเอาไว้ด้วยนอตเพียงสี่ตัวเท่านั้น ฉันรีบวิ่งไปคว้ากระเป๋าถือแล้วเทข้าวของที่อยู่ภายในนั้นออกมา สิ่งที่ฉันต้องการร่วงลงมาเกือบจะเป็นชิ้นสุดท้าย ชุดมีดสารพัดประโยชน์ ที่มีทั้ง ใบมีด กรรไกร ที่เปิดขวด และ 'ไขควง' ฉันใช้มือที่สั่นเทาหมุน นอต ตัวแรก และตัวที่สอง ที่อยู่ทางด้านล่าง ออกมาได้อย่างไม่ยากเย็นนัก แต่อีกสองตัวที่เหลือ ที่อยู่ด้านบนกลับติดแน่น และมีสนิมจับอยู่เกรอะกรัง

“กร๊อบ…”

บานประตูทั้งบานหลุดออกจากบานพับที่เคยยึดมันเอาไว้กับกรอบประตู ฉันตัดสินใจโถมตัวดันเหล็กดัดบริเวณด้านล่างออกไปสุดแรง บานเหล็กดัดเปิดงัดออกไปดึงเอานอตอีกสองตัวที่เหลือให้หลุดกระเด็นแล้วร่วงลงไปสู่พื้นด้านล่างส่งเสียงดังสนั่น ฉันรีบปีนขึ้นไปบนขอบหน้าต่างแล้วจึงหันกลับมาดู

สิ่งที่กำลังยืนอยู่หลังบานประตูที่ถูกพังลงมา เป็นร่างที่เต็มไปด้วยขนสามร่าง หูของพวกมันตั้งสูงชันขึ้น จมูกยื่นยาวออกมา เขี้ยวและเล็บแหลมยาว ดวงตาสะท้อนแสงเป็นสีแดง บนร่างของพวกมันยังคงมีเศษชุดนักศึกษาเหลือติดอยู่ พวกมันไปเที่ยวกันทั้งชุดแบบนี้เลยหรือ นอกจากนี้ฉันยังได้ 'กลิ่น' ของพวกมันอีกด้วย กลิ่นสาบของสัตว์เหมือนกับเวลาที่ไปเดินเที่ยวในสวนสัตว์ พวกมันเป็น 'มนุษย์หมาป่า' ตามแบบฉบับเลยทีเดียว

ฉันมองดูร่างเหล่านั้นอย่างไม่เชื่อสายตาก่อนที่จะทำสิ่งที่ไม่น่าเชื่อ ฉันหัวเราะออกมา

'ผู้จัดการเปี่ยนไป๊'

ฉันนึกถึงหนังโฆษณาที่เคยดู เป็นเรื่องของเลขาสาวได้เห็นเจ้านายของเธอกำลังกลายร่างไปเป็นมนุษย์หมาป่า แต่สิ่งที่เธอทำคือยืนมองแล้วอุทานคำนั้นออกมา

“นักศึกษาเปี่ยนไป๊”

ฉันยังคงหัวเราะหึๆ อยู่ในลำคอ พวกมันจ้องมองฉันอย่างลังเล แต่ยังไม่มีตัวใดตัดสินใจพุ่งเข้ามา นี่เป็นโอกาสสุดท้ายของฉันแล้ว ถ้าหนีรอดออกไปข้างนอกได้พวกมันคงจะไม่กล้าตามไป ผู้คนข้างนอกออกจะมากมาย พวกมันต้องคอยหลบซ่อนตัวคงจะไม่กล้าออกไล่ตามอย่างเปิดเผย ถ้าหากฉันรอดออกไปได้พวกมันก็คงจะพากันหายสาบสูญไป หายไปจากชีวิตฉันตลอดกาล เป็นเพียงฝันร้ายในคืนหนึ่งเท่านั้น

ฉันหันหลังกลับแล้วตัดสินใจกระโดดออกไป ร่างของฉันลอยละลิ่วแต่ไม่ได้ลอยลงไปเบื้องล่าง ร่างของฉันลอยกลับเข้ามาภายในห้อง และตกลงที่กลางวงล้อมของพวกมัน ตอนที่ฉันโดดออกไป มนุษย์หมาป่าอีกตัวหนึ่งที่แอบซุ่มคอยโอกาสอยู่บนหลังคาก็คว้าตัวฉันเอาไว้แล้วกระโดดกลับเข้ามาภายในห้อง ฉันหันมองดูพวกมันทั้งหมดแล้วเริ่มกรีดร้อง สิ่งสุดท้ายที่ฉันได้รับรู้ก็คือ

มนุษย์หมาป่าที่อยู่ห้องตรงข้ามมีอยู่ทั้งหมดสี่ตัว

##########


Create Date : 26 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 26 พฤศจิกายน 2552 8:33:46 น. 0 comments
Counter : 383 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

zoi
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




..........
Friends' blogs
[Add zoi's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.