The Wedding: วันของชำร่วยวินาศ
เหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางกระบาลอย่างแรง เมื่อเขาโทรมาบอกข่าวว่าเราจะไม่ได้ของชำร่วยตามที่เราจ่ายมัดจำไว้กับบริษัทนำเข้าสินค้ากิ๊ฟช้อปอย่างแน่นอนแล้ว
ทั้งๆ ที่เมื่อสองเดือนก่อน ฉันยังหลงลำพองใจอยู่ว่า ทำไมฉันช่างโชคดีอะไรอย่างนี้หนอ ยังไม่ได้เสียเหงื่อเดินหาของตามแหล่งต่างๆ สักนิดเลยก็ได้ของชำร่วยดีๆ ราคางามๆ แบบก็สุดแสนจะไฮโซ และเข้า Concept ที่ต้องการอย่างแรง แถมใครต่อใครก็ออกมาแสดงความชื่นชมว่า "ช่างเลือก" "ช่างโชคดี" "ช่างมีสเต็ปในการวางแผนงาน" และ "ช่างใจเย็น" อะไรเช่นนี้ ไม่รู้ทำบุญมาด้วยอะไร
มาวันนี้ชีพจรแตกซ่าน ไม่รู้ว่าจะลงกับอะไรดี เพิ่งรู้จักกับคำว่า ชีวิตควรตั้งอยู่บนความไม่ประมาท ทั้งๆ ที่รู้สึกตะหงิดๆ มาหลายอาทิตย์แล้ว เหตุเพราะหลังโอนเงินมัดจำก้อนนั้นไปให้กับบริษัทดังกล่าวแล้ว ท่านกลับเลือนหายราวไม่เคยมีชีวิตอยู่บนโลก ส่งผลให้ฉันต้องทวงถามเขาอยู่บ่อยๆ ว่าได้โทรไปตามบริษัทฯ แล้วหรือยัง ลงท้ายก็เลยต้องโทรตามเองเสียให้รู้เรื่องให้จงได้ เพราะปาไปสองเดือนแล้วเหตุใดท่านยังเงียบฉี่อยู่
ไม่ทราบว่าฉันเป็นพวกบิลลี่(เสียง)เข้มหรืออย่างไรหาทราบได้ เพราะคนรับสายนั้นละล่ำละลักบอกปากคอสั่นว่ามีปัญหาเล็กน้อย แต่รับรองว่าพี่จะได้ของแน่นอน ลงท้ายสัปดาห์ต่อมาแจ้งกำหนดแน่นอนว่าต้นเดือนสิงหาคมไม่มีพลาด พี่จะได้ของไปนอนกอดให้อุ่นใจล่วงหน้างานสามเดือนเลย
มาวันนี้ไม่มีเสียงหล่อนโทรมาเสียแล้ว หล่อนรู้หลบเป็นปีกรู้หลีกเป็นหางโทรไปบอกเขาแทนว่า "ไม่ได้" พอฉันรู้จากปากเขา ฉันนิ่งเงียบเหมือนมีเด็กหนุ่มวัยละอ่อนมาตกหลุมรัก ตะลึงจนไม่รู้จะทำการใดดี ลงท้าย "กูทนไม่ไหวแล้วโว้ย" ขอโทรไปให้รู้ดำรู้แดงกันเสียที ปรากฏว่าดูเหมือนพวกหล่อนจะรู้ชะตาหลบกันจ้าละหวั่น อ้างว่าติดประชุม แต่เสียงพูดที่กรอกลงไปในกระบอกหูดูนิ่มนวลเสียจนหล่อนคงคาดว่า ฉัน"ไม่โกรธ"
ฉันขับรถไปเรื่อยๆ ใจลอยออกไปถึงแปดริ้ว เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น เสียงหล่อนนั่นเองเข้มมาแต่ต้นสาย ฉันทำใจสงบๆ ด้วยหวังว่าจะปลอบหล่อนให้เห็นใจฉันบ้าง เสนอหล่อนไปว่าหากติดขัดที่เรื่องราคา จำนวนของ หรือแบบของสินค้า ฉันยินดีที่จะจ่ายเพิ่ม สั่งเพิ่ม หรือเปลี่ยนแบบ เพียงแต่ขอให้บอก ปะเหลาะกันไปขนาดนี้ หล่อนก็ยังปฏิเสธ และเสนอให้ฉันไปดูของที่ร้านกิ๊ฟช้อปของหล่อนว่าพอจะมีอะไรแทนกันได้บ้าง หล่อนเสนอ "โลมาเปิดขวด" ให้ลองไปพิจารณาดูที่ร้านสาขาของหล่อน
พอไปเห็นแล้วนึกสงสารที่แขกต้องแบกเจ้าโลมาอันนี้ติดตัวไปตลอดจนจบงาน แขกคงนึกอยากปล่อยโลมาลงทะเลเสียให้รู้แล้วรู้รอด ยิ่งคิดยิ่งโกรธ ยิ่งคิดยิ่งเครียด อีก 3 เดือนเอง แทนที่จะนั่งสบายๆ ทำใจให้ว่าง ทำหน้าให้สวย ไปใช้เวลาดูงานตกแต่งบ้านช่องห้องหับ หรือทำงานหาเงินมาจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ฉันต้องมานั่งหน้าหมองๆ หาของต่อไปเรื่อยๆ ตามแหล่งของชำร่วยต่อไปอีกเหรอเนี่ย ใจมันทุกข์ๆๆๆ เสียจนพูดอะไร ทำอะไร ไม่ถูก
นึกไปถึงหนังสือที่อ่านเมื่อเช้าระหว่างทำกิจส่วนตัว "เข็มทิศชีวิต" ของคุณฐิตินาถ ณ พัทลุง กล่าวถึงความทุกข์ที่เกิดขึ้นจากจิตที่ไปกำเอาความทุกข์ ไปยึดติดกับสิ่งของ ความอยากมี ความอยากได้ ไปยึดไว้ว่าของชำร่วยต้องชิ้นนี้เท่านั้น นึกไปถึงใจแขกว่าจะพอใจ ไม่พอใจ
ทั้งๆ ที่ก็รู้อยู่ว่าถึงแขกบ่นไปเราก็คงไม่ได้ยิน เขาว่าให้ปล่อยวางๆ ดีว่าเมื่อเช้าได้อ่านหนังสือเล่มนี้ ไม่เช่นนั้นตอนนี้ฉันคงด่าหล่อนแบบไม่เหลือดี พยายามปรับจิตปรับใจให้คิดไปตามคำแนะนำของหนังสือว่า "ปัญหา" คือสิ่งที่ติดตัวเรามากับการเกิด เราต้องแยกจิต กับปัญหาออกจากกัน ก็พยายามนั่งแยกอยู่เนี่ยแหละ คิดให้ตกว่า "มารไม่มี บารมีไม่เกิด" สุภาษิตนี้ถึงมันไม่เข้ากับสถานการณ์เท่าไร แต่ก็ยังรู้สึกดึขึ้นหน่อยว่าเผื่อเราจะมี "บารมี"
คิดไปแล้วก็อดขำไม่ได้ เออ หนอ เราจะไปทุกข์ทำไม๊ถึงไม่ได้ของชิ้นนี้ เราก็ยังได้แต่งงาน เขาก็ยังเอาฉันเป็นภรรยาอยู่ เจ้าบ่าวยังคงเป็นคนเดิม และงานแต่งยัง "ต้อง" ดำเนินต่อไปไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม กะอีแค่ของชำร่วย ชีวิตคงไม่ถึงกับบรรลัย
Create Date : 29 กรกฎาคม 2549 |
|
14 comments |
Last Update : 3 มกราคม 2550 1:01:33 น. |
Counter : 853 Pageviews. |
|
|
|