หญิงสาวชาวคินนัวร์ กับชุดพื้นเมืองสีเขียวที่ทำมาจากผ้ากำมะหยี่
เมื่อหลุดออกจากตัวเมืองซังกลาไป สภาพเส้นทางก็จะเริ่มเป็นทางดิน
เครื่องแต่งกายของชาวคินนัวร์สำหรับผู้หญิง นอกเหนือไปจากหมวกเทปัง
(Thepang) สีเขียวแล้ว พวกเธอจะสวมชุดกำมะหยี่สีเขียวแขนยาวที่มีแนวผ้า
สีแดงปักแทรกและใส่เครื่องประดับที่เป็นสีทองไม่ก็เงิน
ดังนั้นเวลาที่ได้เห็นเครื่องแต่งกายแบบนี้เมื่อไหร่ ก็ย่อมหมายความว่าพวกเธอ
จะต้องเตรียมตัวไปร่วมงานในโอกาสพิเศษ หรือไม่ก็ฉลองเทศกาลที่สำคัญ
สักอย่างแน่นอน
อย่างหญิงสาวชาวพื้นเมืองที่นั่งริมหน้าต่างท้ายรถก็เช่นกัน วันนี้เธอแต่งตัว
ซะเต็มยศรวมไปถึงกลุ่มเพื่อน ๆ ที่นัดกันใส่ชุดเขียวประจำเผ่าพร้อมกัน
ราวกับว่าจะเตรียมไปงานฉลองที่หมู่บ้านไหนสักแห่ง
ขณะที่ฉันกำลังนั่งอินกับบรรยากาศของความเป็นท้องถิ่นได้ไม่นาน
กระจกหน้าต่างรถถูกเปิดแง้มออกเพื่อรับลม จากแม่สาวนางหนึ่งที่ย้ายเบาะ
นั่งมายังริมหน้าต่างข้างฉัน และแทนที่มันจะเย็นฉ่ำด้วยสายลมอ่อน จนได้
อารมณ์ประมาณว่า Wind blowing through my hair อย่างที่เคยมโนไว้
มันดันกลับโบกเอาละอองฝุ่นพัดเข้ามาในรถจนฟุ้งไปหมด
กลุ่มคนงานขนแอปเปิ้ลรวมไปถึงฉันที่นั่งเรียงกันอยู่ตรงเบาะหลัง ต่างพากัน
เอามือปิดจมูก ไม่ก็หาผ้าเช็ดหน้ามาประกบหน้ากันอย่างอุตลุด แค้ก ๆๆๆๆ
ส่วนแม่สาวคินนัวรีผู้นั้น ก็ยังดูมีความสุขดีที่ได้หันหน้าออกไปชมวิวข้างนอก
ไม่กลัวปอดพังเหรอเธอ???
พอผ่านไปได้สักระยะรถเมล์ก็พาเลี้ยวลงเขา สู่ทางเข้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ตั้ง
แทรกกลางดงใบไม้สีเหลืองขนาบด้วยภูเขาสีเขียว มันช่างเป็นภาพที่ดูสวยชะมัด
ฉันพยายามยกกล้องขึ้นมาเก็บภาพให้ทัน ก่อนที่รถจะเลี้ยวกลับเพียงเสี้ยววินาที
พบว่าบริเวณนี้ต่างมีการปลูกแอปเปิ้ลกันเป็นล่ำเป็นสันพอ ๆ กับ ซังกลา...
โดยคาดเดาจากลังพลาสติกที่ใช้ขนผลผลิตเรียงวางซ้อนสุมตรงข้างทางนี่แหละ
จากนั้นก็ได้ถามกับแม่สาวเสื้อเขียวถึงชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ ไว้จดบันทึกเป็นหลักฐาน
ก็ได้ใจความว่าชื่อของที่นี่คือ 'Barseri'
กลุ่มสาวชุดเขียวเหล่านั้น ต่างพากันทยอยลงรถกันที่นี่ และทันทีที่ฉันได้เข้าไป
นั่งแทรกที่ตรงริมหน้าต่างแทน คนขนแอปเปิ้ลที่นั่งถัดไปไม่ไกล ต่างก็เรียกร้อง
ให้เอากระจกหน้าต่างปิดลงเสีย ท่าทางจะทนสูดฝุ่นกันมานานแล้วแต่ไม่กล้า
ปริปากบ่นใช่ไหมล่ะ?
ดู ๆ ไปแล้ว ตอนนี้ฉันก็เริ่มมีสภาพมอมแมมไม่แพ้กันนั่นแหละนาย!
จากนั้นรถเมล์ก็เลี้ยววกกลับขี้นไปยังด้านบนทางเดิม
และพาวิ่งบุเรง ๆ ไปต่อยังที่หมายปลายทางสุดท้ายอย่างเนิบช้า
หมู่บ้านจิตกุล
ตั้งอยู่บนความสูงจากระดับน้ำทะเล 3,450 เมตร มีอากาศค่อนข้างหนาวเย็น
เป็นที่ตั้งของหมู่บ้านแห่งสุดท้าย ก่อนจะถึงทางที่เชื่อมโยงต่อไปยังสุด-
ปลายเขตชายแดน จีน/ทิเบต ซึ่งอยู่ถัดไปอีก 90 กิโลเมตร
และที่นี่เคยเป็นเส้นทางการค้าเก่าแก่ระหว่างอินเดียกับทิเบตในครั้งอดีต
ทั้งนี้ ถึงจิตกุลจะอยู่ใกล้เขตพรมแดนธรรมชาติ แต่นักท่องเที่ยวต่างชาติ
ก็สามารถเดินทางเข้ามายังหมู่บ้านแห่งนี้ได้โดยไม่ต้องทำใบอนุญาตฯ เข้าพื้นที่
พวกต้นไม้ที่ล้อมรอบพื้นที่แห่งนี้ หากคะเนจากสายตาที่มองผิวเผินแล้ว ก็คงหนี
ไม่พ้นต้นสนที่มีขึ้นอยู่เต็มไปหมด และดูเหมือนว่าหมู่บ้านจิตกุลจะไม่มีการทำ
'สวนแอปเปิ้ล' อย่างที่เห็นเช่นในหมู่บ้านอื่น ๆ
แต่ผลผลิตการเกษตรที่โด่งดังที่สุดกลับเป็น "มันฝรั่ง"
ที่ว่ากันว่ามีคุณภาพระดับโลกและราคาแพง
ฉันมาถึงที่หมายในเวลาบ่ายสาม เหล่าชาวบ้านต่างพากันเดินลงจากรถเพื่อกลับ
บ้าน ...ดูเหมือนจะไม่มีใครเป็นนักท่องเที่ยวสักคนเลย ตรงจุดรอรถประจำทาง
มีป้ายเล็ก ๆ ที่แปะชื่อที่พักแห่งหนึ่งเอาไว้ แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเดินไปยังไงน่ะสิ
"จะค้างแรมที่นี่หรือปล่าว?"
ชาวบ้านคู่หนึ่ง กำลังขนข้าวของลงจากรถได้หันมาถาม
ในขณะที่ฉันกำลังมองหาทิศทางเดินเข้าหมู่บ้านเล็ก ๆ นี่อยู่
"อาคารสีเขียวตรงท่ารถ ลองเข้าไปถามได้ เขามีห้องพัก"
ตรงมุมห้องด้านล่างของอาคารหลังเขียวนั่น ถูกจัดแยกเป็นห้องครัว มีผู้ชาย
รูปร่างสันทัด หน้าตา สีผิว ดูไม่ต่างไปจากคนไทยเท่าไหร่นัก เป็นผู้ทำหน้าที่
ดูแลที่พัก และรวมเป็นทั้งคนทำครัวอยู่แค่คนเดียว กำลังสาละวนกับการทำอาหารอยู่
"ที่นี่ มีห้องให้พักมั้ย ?" ฉันโผล่หน้าไปถามที่ช่องหน้าต่าง
"พักมากกว่าหนึ่งคืนหรือปล่าว" เขาวางมือจากการควงตะหลิว หันมาถามกลับ
"ใช่ อยู่เกินคืนนึง"
บ็อบบี้ คือชื่อของชายผู้เป็นคนดูแล บอกว่าไม่สะดวกเท่าไหร่ถ้าจะอยู่นานกว่านั้น
แต่เขาก็ได้แนะนำโฮมสเตย์อีกแห่งให้ฉันแทน
"ถ้าอย่างนั้นไปที่ Amar Guesthouse ดีกว่านะ พวกเขาอาจลดราคาให้ได้"
แต่กว่าที่ฉันจะหา Amar Guesthouse ที่เป็นบ้านไม้ซึ่งดัดแปลงแบ่งห้อง
ให้นักท่องเที่ยวเข้าพักจนเจอเนี่ย ก็เล่นซะเหงื่อตก! หน้าบ้านนั้นไม่มีป้ายติด-
บอก เดินหาให้ตายยังไงก็หาไม่เจอ สุดท้ายก็ต้องถามจากชาวบ้านสถานเดียว
ฉันเห็นชายสูงอายุคนหนึ่ง กำลังนั่งเกลี่ยเมล็ดพืชผึ่งแดด
บนหน้าลานบ้านชั้นบน "จู๊เล....ยังมีห้องพักเหลืออยู่ไหมคะ?"
ตรอกทางเข้าหมู่บ้าน
บ้านไม้และยุ้งฉาง บริเวณรอบข้างที่พัก
บ้านลุงอมาร์ ได้แบ่งพื้นที่สำหรับใช้เป็นห้องพักของนักท่องเที่ยวเป็นสามห้อง
และในเมื่อตอนนี้หมดฤดูการท่องเที่ยวแล้ว คงไม่น่าจะเต็ม แต่ที่นี่อาจเรียกว่า
เป็นโฮมสเตย์ได้ไม่เต็มปากนัก จากความรู้สึกแล้วพวกเขาไม่ค่อยดูแลผู้มาพักดี
เท่าไหร่นัก และนี่คงอาจเป็นเรื่องแย่นิดหน่อยสำหรับจิตกุล ที่ฉันไม่มีตัวเลือกอื่น
ที่ดีกว่านี้
"เราไม่มีน้ำร้อนให้นะ ส่วนอาหารก็ไปซื้อกินแถวที่รอรถเอาแล้วกัน
ยังมีเปิดขายอยู่สอง สามร้าน"
ด้วยเหตุนี้ ร้านของบ็อบบี้จึงกลายเป็นที่ ๆ ฉันมาอุดหนุนอาหารเป็นประจำ
อาจเพราะอัธยาศัยที่ดีแล้วก็ยังให้คำแนะนำเรื่องการเดินทางได้ตลอดด้วย
"ตอนนี้ก็มีอยู่แค่นี้แหละ หมดฤดูการท่องเที่ยวแล้ว เลยไม่มีที่พักให้เลือก"
อืม ก็จริงนะ...
พอมองไปรอบ ๆ ตอนนี้ก็มีร้านอาหาร แค่สามแห่งแล้วก็ร้านขายของชำอีกสองที่
บ็อบบี้ บอกว่าหมู่บ้านนี้ลำบากตรงที่ต้องลงไปซื้อวัตถุดิบและข้าวของจากซังกลา
และนักท่องเที่ยวก็ไม่ค่อยนิยมมาพักแรมกัน เพราะมันไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกนัก
ไม่มีทั้งปั๊มน้ำมัน ไม่มี ATM และอินเตอร์เน็ตคาเฟ่ มากสุดในฤดูนี้ก็คงเช่ารถ
มาเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ โดยจะไปปักหลักพักกันที่ซังกลาเสียมากกว่า
ฉันเห็นชาวต่างชาติคู่หนึ่งที่มาเข้าพักที่หมู่บ้านนี้
และหากรวมฉันเพิ่มไปด้วยอีกหนึ่ง ก็คงมีแค่ สาม
แต่ถ้าพวกเขาไปจากที่นี่พรุ่งนี้ ...ก็คงเหลือฉันเพียงลำพัง
หญิงชาวบ้านกำลังคั่ว เมล็ดข้าวบาร์เลย์ ในช่วงเวลาเย็น
ในช่วงวันอันแสนสั้นของฤดูหนาวแบบนี้ พอหลังพ้นสี่โมงเย็นไปแล้ว
ดวงอาทิตย์ก็ตกจะลับหายไปจากหลังเขา และเริ่มหมดแสงในเวลาห้าโมงครึ่ง
อีกหนึ่งกิจวัตรของชาวบ้านจิตกุล ที่ได้เห็นก่อนพลบค่ำวันนี้
ก็คือการคั่วข้าวบาร์เลย์สำหรับเก็บสำรองเอาไว้กินในครัวเรือน
ซึ่งป้าที่อยู่ข้างบ้านพักของฉัน ก็กำลังวุ่นวายตรงหน้ากระทะที่ตั้งไฟ
บนถ่านไม้ ถือไม้พายคอยเกลี่ยธัญพืชให้สุกร้อนและแตกพอง
ทั้งนี้ข้าวบาร์เลย์เมื่อถูกนำมาคั่วและบดเป็นผงจะเรียกว่า ซัมป้า (Tsampa)
แต่หากคั่วทั้งเมล็ดให้ปริคล้ายป๊อบคอร์นแบบนี้ จะถูกเรียกว่า Yoe
พอตกกลางคืนที่นี่ก็เงียบมาก ท้องฟ้าถูกรบกวนจากแสงของหมู่บ้านนิดหน่อย
ฉันออกมานั่งเล่นที่ริมชานด้านนอกเพื่อออกมาดูดาว แล้วก็พบว่า ในที่พักแห่งนี้
ยังมีนักท่องเที่ยวชาวอินเดียอยู่หนึ่งคนอีกด้วย เขาอยู่นานถึงสามวันแล้วและจะ
เดินทางกลับในวันพรุ่งนี้
" ตอนนี้ อากาศก็ราว ๆ ลบหนึ่ง "
เขาโชว์การวัดอุณหภูมิจากมือถือให้ฉันดู
"กลางดึกก็ลบสี่"
มีเรื่องบางอย่างที่เขาเล่าให้ฟังอย่างน่าสนใจว่า ชาวจิตกุล มักไม่ค่อยเดินทาง
ไปยังเมืองด้านล่างหรือออกจากเขตพื้นที่นี้บ่อยครั้งนักหรอก เพราะมีปัญหา
เรื่องปรับตัวให้เข้ากับอากาศที่ร้อนได้ไม่ดีนัก บางทีก็หนักถึงขั้นป่วยเชียวล่ะ
...
ในเวลาสองทุ่ม สำหรับที่นี่ถือว่าดึกมากและไม่ควรจะนอนช้าไปกว่านี้
ทั้งหมู่บ้านต่างเก็บตัว ปิดบ้านเรือนกันเงียบกริบหมด
แย่หน่อยนะ...ที่ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปร่วมนั่งผิงไฟในห้องครัว
ก็เข้าใจได้ว่าพวกเขาไม่อยากให้คนนอกเข้ามาวุ่นวายพื้นที่ภายใน
ตะตะแต่....มันหนาวมากเลยนะเฟร้ย!
อยากจะร้องบ่นเป็นภาษาฮินดีซะจริง
ทัน ด้า !
ในเช้าวันถัดมา ฉันยังมีชีวิตอยู่และไม่ได้แข็งตายอย่างน่าเศร้า...
และดูเหมือนว่าฉันคงเป็นคนแรกที่ตื่นขึ้นด้วยซ้ำ พร้อมกับต้องมาล้างหน้า
แปรงฟัน ด้วยน้ำเย็นเฉียบจากในกะละมังที่รองเอาไว้ในห้องน้ำตั้งแต่เมื่อคืน
ถึงอย่างนั้น มันก็ดีกว่าถังรองน้ำที่วางทิ้งค้างคืนไว้ตรงระเบียงนอกชายคา ที่ต่าง
จับตัวเป็นน้ำแข็งเรียบร้อย ส่วนตรงพื้นที่บริเวณนอกเมื่อมองไปทางไหนก็ดูขาว
โพลนไปด้วยแม่คะนิ้ง
ดีใจจนน้ำตาไหล ไม่ต้องไปดูไกลถึงยอดดอยอินทนนท์แล้ว เย่!
แต่แล้ว ก็มีเรื่องให้ต้องเสียเวลานิดหน่อย
ฉันยังออกไปสำรวจที่ไหนไม่ได้ตามอย่างใจนึก
เมื่อพบว่ากางเกงยีนส์ที่ซักตากไว้เมื่อคืน มันดันแข็งโป๊กเสียขนาดนี้
ขอเวลาปิ้งกางเกง แป๊บ....
"อื่น ๆ"
- ค่ารถจาก ซังกลา - จิตกุล : 31 รูปี
รถจะมาจอดที่ท่ารถประมาณ 11 โมง
และออกเดินทางตอนเที่ยง การเดินทางใช้เวลาราว 3 ชั่วโมง
- ยังมีหมู่บ้านแห่งสุดท้ายที่ติดกับพรมแดน ทิเบต อีกแห่ง บนเส้นถนน National Highway
หมายเลข 58 มีชื่อว่า มานา (Mana Village) ไกลจากชายแดนเพียงแค่ 24 กิโลเมตร
ตั้งอยู่ในจังหวัด Chomali , รัฐอุตตราขัณฑ์
(ไม่ไกลไปจากสถานที่แสวงบุญของชาวฮินดูที่ชื่อ Badrinath นัก)
- Chhitkul ยึดการสะกดชื่อตามป้ายที่ติดไว้ที่หมู่บ้านนะคะ ข้อมูลโดยทั่วไปจะมีทั้ง
เขียนว่า Chitkul และ Chittkul อ่านว่า จิต-กุล เช่นเดียวกัน
(ตอนไปแรก ๆ ก็มีเผลอออกเสียงเพี้ยนเป็น ชิต-ตะ-กุล เฉยเลย)
- Thanda (ทันด้า) ภาษาฮินดี แปลว่า หนาว
- ที่พักคืนละ 250 รูปี
*** เพิ่มเติม จากที่พี่เต้ย ถาม ชื่อหมู่บ้่าน Barseri จะออกเสียงประมาณว่า บาเซริ
รถโดยสารจะวิ่งเลี้ยวเข้ามาส่งคนลงที่นี่ ก่อนวกย้อนกลับขึ้นไปทาง จิตกุล
ได้จังหวะเห็นผ่านตาพอดี แม้จะ 5 วินาที ก็เต๊อะ ***
ฮ่าๆๆๆๆ โหวตก่อนๆๆๆ Travel blog นะจ๊ะ
เดี๊ยวรีดผ้าเสรดค่ำๆเยอรมัน จะมาอ่านค่ะ