เสียงทักทายทางโทรศัพท์เป็นภาษาฮินดี ได้ถูกส่งไปถึงผู้รับสาย
ที่ฉันไม่ค่อยแน่ใจนักว่าจะคุยกันรู้เรื่องหรือไม่ จากการไหว้วานให้ชาวอินเดีย
ช่วยเป็นธุระโทรไปแจ้งกับ “รินเชน” ว่าฉันกำลังจะไปเยี่ยมพวกเขาที่วัด
เสียงตอบรับปลายสายดูเหมือนจะเงียบ ...รึว่า ภาษาฮินดีจะใช้ไม่ได้ผล?
ให้ตายเหอะ แล้วฉันจะไปหาคนที่สามารถติดต่อเป็นภาษาทิเบตได้ที่ไหนกัน
“จู๊เล”
คนที่ช่วยติดต่อได้ลองเปลี่ยนคำทักทายดู
จากนั้นฉันก็ได้ยินเสียงแว่วออกมาจากปลายสายเบา ๆ "จู๊เล..."
หัวข้อที่ร่างเป็นโจทย์ให้สอบถาม ก็คงไม่มีอะไรมากไปกว่า
เพื่อนคนไทยที่เคยเจอในแมคลอดกันจ์ กำลังจะเดินทางไปเยี่ยมเยือน
แล้วจากโซลัน จะสามารถต่อรถจากตัวเมืองไปยังหมู่บ้านโดลันจิได้ยังไง?
หมู่บ้านลึกลับที่แม้แต่คนอินเดียยังไม่ค่อยจะรู้จักกัน...
“พระบอกว่า โดลันจิ มีที่พัก แล้วก็จากเมืองโซลันจะมีรถแท็กซี่
ต่อไปยังหมู่บ้าน ค่ารถประมาณ 200 รูปี”
เขาหันมาบอกรายละเอียดจากที่ได้สอบถามมา แม้จะแอบบ่น ๆ
ว่า 'รินเชน' พูดภาษาฮินดีไม่ค่อยคล่องเสียเท่าไหร่นัก
“ทิ่ก เฮ !” โอเครรรร.... มีที่ไปแล้ว
นับตั้งแต่กล้องถ่ายรูปพัง ที่หมู่บ้านจิตกุล ตลอดจนกลับเข้าเมืองได้
ก็มาถึงเรื่องที่ทุกคนรอคอยมานานแสนนาน เพราะที่ผ่านมานั้น ฉันเกือบจะ
กลายเป็นเหมือนกับคนที่มาอินเดียแล้วไม่เข้าถึงแก่นแท้ซะที
เพราะในที่สุด...
ตัวเองก็ได้มาเกิดอาการท้องเสียนอนตายคาห้องพักไปเกือบสามวันจนได้
ข้อสันนิษฐานแรกคงไม่พ้น 'โมโม่' มังสวิรัติ มื้อสุดท้ายก่อนนั่งรถออกจากซาราฮัน
ที่ดันตะกละสั่งกินสิบชิ้นรวด อันเป็นเหตุต้องทำให้การเดินทางต้องมาชะงักลง
ส่วนเรื่องที่จะไป หมู่บ้านโดลันจิ เป็นอะไรที่นอกแผนเสียจริง
ก็ที่วัดนั่นฉันจะไปรู้จักใครได้... นอกจากพระทิเบตที่เคยให้ความช่วยเหลือ
เมื่อครั้งที่เดินทางไปถึงดารัมซาลา ตอนตีสองครึ่งหนนั้น
และถ้าหากชื่อของอารามสงฆ์ที่ปรากฏในนามบัตร
จะไม่ลงท้ายด้วยคำว่า Bön Monastery มันก็อาจไม่มีอะไร
ที่จะกระตุ้นเตือนความอยากรู้อยากเห็นแน่ เพราะฉันรู้โดยคร่าวว่า
ทั้งรินเชนและยงซุล 'เป็นพระในศาสนาเพิน'
จากเมืองชิมลา เมื่อนั่งรถโดยสารมาถึงเมืองโซลัน (Solan)
จะใช้เวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง ในระยะทางที่ห่างกันเพียงแค่ 50 กิโลเมตร
เพราะถนนวิ่งเลียบภูเขาและเข้าโค้งบ่อยไปหน่อยจนน่าเมารถ
ลานท่ารถแห่งหนึ่งใน โซลัน ที่ตั้งอยู้ไม่ไกลจากตลาด
ที่ลานจอดรถกลางชุมชนเมืองโซลัน มีรถประจำทางต่อไปยังที่อื่นเยอะแยะ-
ไปหมด แต่ปัญหาใหญ่ก็คือป้ายที่ติดบอกหน้ารถเขียนไว้เป็นภาษาฮินดีทั้งนั้น
ฉันจึงควักนามบัตรออกมาดูเพื่อท่องจำชื่อของหมู่บ้านให้แม่นซะก่อน
“คันนี้จะไปถึง โดลันจิ หรือปล่าวคะ?”
ฉันเดินเข้าไปถามกระเป๋ารถฯ ที่ออกมายืนพักจิบชาอยู่ที่หน้ารถ
เขาพยักหน้าและบอกใบ้ให้รู้ว่าไปกับรถคันนี้ได้ ฉันจึงแอบโล่งใจนิด ๆ แต่ก็ดู
เหมือนว่ากระเป๋ารถคนดังกล่าวจะยังมีเรื่องกังวลบางอย่าง พร้อมหันไปถามกับ
คนขับรถครู่หนึ่ง ... และพวกเขาก็พูดกันแต่ภาษาฮินดี
หลังจากที่ขึ้นมาจองที่นั่งด้านบน กระทั่งใกล้ถึงเวลาออกเดินทาง กระเป๋ารถเมล์
ก็เดินเข้ามาพูดคุยอะไรบางอย่างกับชายสองคนที่นั่งเบาะหลังเยื้องถัดไปไม่ไกล
จากฉันนัก ต่อมาหนึ่งในนั้นก็ลุกขึ้นมานั่งที่เบาะด้านข้างเพื่อคุยด้วย
“รถคันนี้จะไปไม่ถึงหมู่บ้านโดลันจิ เธอต้องลงที่แยกออชกาต แต่ไม่ต้องห่วง
ลุงกระเป๋ารถเมล์จะช่วยหาแท็กซี่ต่อให้จากที่นั่น วางใจได้”
อ๋อ! อย่างงี้นี่เอง เขาพยายามหาคนมาสื่อสารให้ฉันทำความเข้าใจก่อน
ถัดไปครึ่งชั่วโมงได้ผู้คนบนรถเริ่มเบียดเสียดเป็นปลากระป๋อง
จะกลัวแต่เพียงว่ากระเป๋ารถเมล์จะลืมบอกที่หมายให้ลงเท่านั้นล่ะ
ฉันไม่รู้จักเมืองโซลันสักนิดและไม่เคยนึกภาพของเมืองนี้ออก
ก่อนรถจะจอดลงกลางที่แยกแห่งหนึ่งก็มีคนบนรถบางส่วนเดินลงที่นี่
และผู้โดยสารขาใหม่ก็รีบกุลีกุจอก้าวย่างอัดเข้ามาในรถเพิ่มเติม ส่วนฉัน
ก็ยังนั่งกังวลอย่างเงียบเชียบ
แต่อยู่ดี ๆ ก็เหมือนกับมีอะไรมาเคาะที่กลางหัวอย่างจัง
ฉันหันกลับมองหาตัวการว่าใครกันฟระ ช่างกล้ามาเล่นหัวเรา !?
คนที่ว่านั่นก็คือลุงกระเป๋ารถฯ นั่นเอง แกพยายามเรียกให้ลงรถที่นี่
แต่ด้วยความที่มีคนเบียดกันเต็มรถ ก็เลยทำให้เอื้อมมือมาสะกิดไม่ถึง
เขาเลยวานให้ใครก็ไม่รู้ช่วยเรียกบอกให้รู้ตัวหน่อย
ลุงกระเป๋ารถฯ เดินนำหน้าฉันไปที่จุดจอดแท็กซี่ที่แยกออชกาต
และเป็นธุระบอกให้ไปส่งยังที่ตั้งของวัดใน 'หมู่บ้านโดลันจิ' ให้
ระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร ที่หลังจากนี้จะเหมือนนั่งรถเข้าป่า
กระทั่งเริ่มไกลออกไปจากตัวเมืองไปไกลทุกที ในใจฉันก็แอบหวั่นไม่น้อย
แม้ว่าคนขับแท็กซี่จะพยายามเปิดเพลงอินเดียกลบบรรยากาศ มาคุ ก็ตาม
ก่อนหน้านี้ ฉันเคยเปิดหาหน้าตาของวัด ผ่านทางเวบไซต์หนึ่งซึ่งมันก็มีโชว์
แต่เพียงหน้าตาของอารามสงฆ์ ส่วนบรรยากาศสถานที่โดยรอบกลับไม่มีภาพ
ให้พอได้ลุ้น ดังนั้นฉันจึงไม่ได้นึกเผื่อเลยว่าจะต้องหลุดหลงเข้ามาอยู่ในป่าแบบนี้
สภาพของบ้านเรือนที่หมู่บ้านโดลันจิ ที่อยู่ใกล้กับวัด
ที่ปากทางเข้า Yungdrung Bön Monastery
แล้วรถก็วิ่งมาจอดยังหน้าหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ที่ตรงนั้นมีแผ่นป้ายติดเป็นภาษาฮินดี
ส่วนบ้านเรือนที่ตั้งอยู่รายรอบกลางเขาแถวนั้นก็มีไม่กี่หลังคาเรือน คนขับแท็กซี่
หันมาบอกว่า 'สุดทางแล้ว' ...และฉันต้องเดินเข้าไปยังด้านในวัดเอง
ฉันลงจากรถและไปยืนตั้งหลักที่ร้านขายของตรงปากทางเข้าวัด
ดูเวลาตอนนี้ก็ปาไปสี่โมงเย็นแล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีที่ตั้งของเกสท์เฮาส์ใด ๆ
อยู่แถวนี้สักแห่ง ไม่แน่ว่าที่พักสำหรับคืนนี้จะเป็นที่วัด???
ขณะนั้นมีพระทิเบตสามรูปกำลังยืนจิบชากันที่หน้าร้านขายของชำ
และฉันหวังว่าจะพอคุยกับใครได้สักคน
“นี่คือ Yungdrung Bön Monastic Centre ใช่ไหมคะ” ฉันพยายามอ่านชื่อ
ของที่อยู่ดังกล่าวจากนามบัตรให้พอชัดเจนว่าเป็นวัดเดียวกับที่จะมา
“ใช่”
เฮ้อ...ค่อยใจชื้นหน่อยเมื่อพระตอบกลับมา
“แล้วได้ติดต่อใครไว้ก่อนหน้านี้หรือปล่าว?”
จากนั้นฉันจึงหยิบนามบัตรของรินเชนมายื่นให้ดู
“เขาชื่อรินเชนค่ะ”
ตอนน้นก็ลุ้นอยู่นะว่า ถ้าเกิดมาผิดวัดนี่อาจซวยและหาทางออก
จากที่นี่ลำบากแน่ มองไปทางไหนก็ดูไกลโพ้นโลกซะขนาดนี้
“เขาอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวจะโทรเรียกให้มารับ”
พระช่วยโทรไปติดต่อ (เป็นภาษาทิเบต)
เจรจากันอยู่ครู่เดียว และก็ได้ข้อสรุป
“รอตรงนี้นะ เดี๋ยวเขาออกมารับ” หลังช่วยบอกแจ้งไปแล้ว
พระทั้งสามต่างก็พากันเดินหายออกไปยังทางถนนลูกรัง
"จู๊เล!"
ไม่นักพระร่างสูงที่คุ้นหน้า ก็เดินออกมารับหน้าวัดก่อนจะพานำไปยังที่พัก
รินเชนทักฉันด้วยคำว่า จู๊เล!...ดังนั้นฉันก็เลยตอบไปว่า "จู๊เล" เช่นกัน
และหลังจากนี้ฉันก็หลงคิดไปว่านี่คือคำทักทายในภาษาทิเบต กระทั่งได้เผลอ
ปล่อยไก่ทักทายคนโน้นคนนี้ไปทั่ว...แต่ก็ไม่เห็นมีใครทักท้วงนะ ยกเว้นทักกลับ
แบบยิ้ม ๆ
หรือบางทีพวกเขาอาจจะคิดไปว่าฉันคงเป็นชาวลาดักห์ ???
ที่วัดนี้จะมีสถานที่พักจัดแยกไว้สำหรับให้คนที่มาเยือน ซึ่งส่วนมากก็มักจะเป็น
ชาวตะวันตก หลายคนที่ได้เห็นต่างก็มาเข้าอยู่กันนานหลายวันแล้วด้วยซ้ำ
นั่นก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกสงสัยเข้าไปใหญ่ว่า สถานที่ลึกลับแห่งนี้มีอะไรน่าสำคัญ?
หลังเก็บข้าวของที่ห้องเสร็จแล้ว รินเชนก็พาชาวทิเบตอีกคนหนึ่งมาเป็นเพื่อน
เขาชื่อ ล็อบซัง มาจากประเทศเนปาล แต่ล็อบซังที่น่าสงสาร...ฉันออกเสียง
เรียกชื่อของเธอผิดเพี้ยนมาตลอดว่าเป็น "รับสั่ง" จนกระทั่งวันกลับที่โผล่หน้า
ตะโกนเรียกจากบนรถเมล์เพื่อให้ทันโบกมือลา!
พวกเขาออกปากชวนให้ลงไปยังทางเดินด้านล่างที่ต้องออกแรงลงบันได
จากเนินที่พักไปโผล่ยังร้านน้ำชาของคนทิเบต ซึ่งถือว่าตั้งอยู่นอกเขตวัด
ที่ร้านนี้จะมีชา มีน้ำอัดลม และทำอาหารขายด้วย
ทั้งรินเชนและฉัน พวกเราก็พอจะคุยกันรู้เรื่องบ้างแล้ว
เพราะครั้งนี้มีล็อบซังมาช่วยทำหน้าที่เป็นล่ามให้
โต๊ะอาหารในร้านมีเพียงแค่โต๊ะเดียว ดังนั้นเราก็จำเป็นต้องมาร่วมวงกับคนอื่น
ที่เขามานั่งอยู่ก่อน ฉันเห็นพระที่เป็นผู้หญิงกับวัยรุ่นสาวทิเบตหนึ่งคนกำลัง
จิบชาด้วยกันอยู่ ส่วนตรงหัวโต๊ะด้านฝั่งประตูทางเข้าก็มีพระอีกรูปที่นั่งอยู่
ฉันและล็อบซัง พากันไปนั่งที่มุมด้านในส่วนพระรินเชนก็ปิดที่หัวโต๊ะ
บรรยากาศในตอนนั้นมีแต่บทสนทนาที่ระรัวส่งกันเป็นภาษาทิเบต
รินเชนบอกว่าช่วงนี้ยุ่ง ๆ กับงานสอนหนังสือที่หลังจากนี้อาจไม่ได้
มาทักมาเจอได้ แต่ยังไงก็ฝากล็อบซังช่วยดูแล และก่อนที่เขาจะออก
ไปจากร้านก็ยังคะยั้นคะยอให้ฉันสั่งอาหารเพื่อเลี้ยงต้อนรับ
“เอาซุปโมโม่ ดีป่ะ?” ล็อบซังช่วยเสนอตัวเลือกมาให้
หลังจากที่เราได้ชาทิเบตมาดื่มคนละถ้วยจนปากมันแผล่บ
โอ๊ะ! ...ฉันเพิ่งจะท้องเสียจาก 'โมโม่' ได้ไม่ทันไร
แล้วนี่จะต้องมากิน โมโม่ อีกแล้วรึเนี่ย ...
“มีแบบใส่เนื้อหรือปล่าว ฉันไม่ค่อยชอบโมโม่มังสวิรัติ”
.....
ถัดมา ล็อบซังได้พาไปดูวิทยาลัยการแพทย์แผนทิเบตที่ตั้งอยู่ใกล้ ๆ กับที่พัก-
ของฉัน ตรงอาคารด้านบนจะมีหอสวดสำหรับนักศึกษาที่จะสวดมนต์กันก่อนเข้า
ชั้นเรียนโดยจะนั่งแยกชายหญิงคนละฝั่ง นอกจากนักเรียนที่เหมือนจะมีแต่ชาวทิเบต
ก็ยังมี 'พระ' ที่เป็นนักศึกษามาร่วมเข้าเรียนในชั้นด้วย
เวลาที่ไปในตอนนั้นก็ถือว่าเย็นมากแล้ว ฉันจึงแทบไม่เห็นใครบนอาคารนี้เลย
นอกเสียจากนักศึกษาฯ อีกคนที่กำลังเดินท่องตำราวนไปวนมาอยู่หน้าห้องเรียน
อย่างจริงจังยังกับจะสอบจอหงวน ซึ่งเขาก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นของล็อบซังนี่แหละ
ภายในห้องเรียนกับโต๊ะเรียนแบบทิเบตดั้งเดิม
ทั้งนี้พวกเขาจะนั่งแยกกันคนละฝั่งระหว่างชายหญิง
รูปภาพของ His Holiness Lungtok Tenpai Nyima
ผู้นำทางจิตวิญญาณของเพิน องค์ปัจจุบัน (Menri Trizin ลำดับที่ 33)
และรูปปั้นบนแท่นบูชากลางห้องที่เป็นศาสดาและผู้ก่อตั้งศาสนาเพิน
ล็อบซัง ได้บอกฉันว่าบางคนมักเข้าใจผิดว่าเป็น 'พระพุทธรูป' ก็เยอะ
“ศาสนาเพิน” เป็นลัทธิความเชื่อเดิมของชาวทิเบต
อาจรู้จักกันในนามของ Pre-Tibetan Buddhism
เพราะเป็นที่นับถือก่อนหน้าที่พุทธศาสนาจะเข้ามามีอิทธิพลภายหลัง
และด้วยแนวคิดที่ถูกผสมผสานกลมกลืนกัน ทั้งพุทธวัชรยานทิเบตและเพิน
จึงดูเหมือนกับคำเปรียบเปรยที่ว่า "Same same but different"
บทกล่าวนำในเรื่อง Bön in Exile
จากหนังสือ Tibet's Ancient Religion Bon
ในปี ค.ศ. 1959 หลังจากที่ จีนเข้าทำการยึดครองดินแดนทิเบต
อินเดียจึงกลายเป็นสถานที่ลี้ภัย ของชาวทิเบตที่อพยพเข้ามา
หนึ่งในนั้นก็ยังมีชนกลุ่มหนึ่งที่นับถือศาสนาเพินลี้ภัยมาอาศัยอยู่บริเวณ
ทางตอนเหนือฯ อย่าง ลาดักห์, มะนาลี, ดาร์จีลิ่ง และกาลิมปอง
หรือกระทั่งในประเทศเนปาล โดยในช่วงแรกเริ่มนั้นพวกเขายังไม่มีที่ตั้ง
ของศูนย์กลางทางศาสนาอย่างเป็นทางการเท่าไหร่
กระทั่งได้รับเงินสนับสนุนช่วยเหลือมาจากชาติตะวันตก ในปี ค.ศ.1967
จนสามารถก่อร่างสร้างอารามสงฆ์แห่งแรกใน 'หมู่บ้านโดลันจิ' ได้สำเร็จ
และถือได้ว่าที่โดลันจิแห่งนี้เป็นที่ตั้งของศูนย์กลางหลักของ ศาสนาเพิน
แม้จะอยู่ในสถานะที่พลัดถิ่นก็ตาม
แต่ปัจจุบันก็ได้มีที่ตั้งของวัดในศาสนาเพินที่อินเดียถึง 4 แห่ง นั่นก็คือ
โดลันจิ (ถือเป็นศูนย์กลางหลัก), สิกขิม, ลาดักห์ และ เดห์ราดูน
ภาพจากในห้องสมุดของวัด และหนังสือ Bön in Exile
มุมสูงจากวัดด้านบน ในทุก ๆ เช้าที่เต็มไปด้วยไอหมอก
ที่นี่มีการสอนภาษาทิเบตสำหรับชาวต่างชาติอีกด้วย แต่ชั้นเรียนนี้จะเปิดในช่วงฤดูร้อน
ที่ห้องอาหารของที่พักวัดในมื้อเย็นวันนี้ ถือว่าเป็นช่วงเวลาการรวมตัวกัน
ของผู้มาเข้าพักทั้งหลาย เพราะต้องมากินอาหารกันตามเวลาที่เกสท์เฮาส์
ได้กำหนดไว้ตลอดสามมื้อ และดูเหมือนจะไม่มีทางเลือกไหนที่ดีไปกว่านี้
จากที่เห็นโดยมาก ก็คงหนีไม่พ้น 'ชาวรัสเซีย' ที่พากันมาเป็นกลุ่มใหญ่
พวกเขามาพำนักอยู่ที่นี่เพื่อฝึกและเรียนรู้วิถี “เพิน” กันเป็นแรมเดือน
ส่วนคนบางส่วนที่มาไกลกว่านั้นก็เห็นจะมีคู่รักหนึ่งคู่จากเม็กซิโก
ที่มาเข้าพักอยู่นานหลายเดือนแล้ว พวกเขาบอกว่ามาตั้งแต่ฤดูร้อน
ดังนั้นพวกเขาจึงจำคำว่า 'ร้อน' ในภาษาทิเบตได้ขึ้นใจ ซึ่งผิดกับฉัน
ที่จำได้แต่ 'trang-mo' ที่แปลว่า เย็น, หนาว
ทั้งนี้ก็ยังมีสาวยุโรปตะวันออกที่เป็นชาวเช็ก อีกหนึ่งรายด้วย
พวกเขาเหล่านี้ต่างคุ้นหน้าค่าตากันมานานหลายปี
ดังนั้นฉันจึงกลายเป็นคนประหลาดไปเสียได้
เมื่อถึงคราวถูกถาม เรื่องแรงจูงใจในการมาเยือนสถานที่นี้
"แล้วเธอ ...มาที่นี่เพื่อเรียนรู้วิถีของเพินใช่ไหม?"
ก็ว่ากันตรง ๆ ละกัน "ปล่าวหรอก ฉันแค่มาเยี่ยมเพื่อนเฉย ๆ"
คนกลุ่มนั้นพากันคิ้วขมวดไปประมาณพักหนึ่ง ก่อนพากันหัวเราะลั่น
เมื่อได้ฟังคำตอบที่ผิดไปจากสิ่งที่คาดคิดไว้แบบนี้
-----------------------------------------------------------------------------------------------
[เพิ่มเติม]
** Dolanji ถือเป็นหนึ่งในเขตพื้นที่พิเศษ ซึ่งมีชาวทิเบตลี้ภัยมาพำนักอาศัยหากจะค้างแรม
จำเป็นต้องทำใบอนุญาต (PAP ; Protected Area Permit) ยื่นแจ้งก่อนเข้าพักเสียก่อน
** เรื่อง Bön ในบล็อกนี้ จะไม่ลงเนื้อหาที่เน้นหนักไปทางศาสนศาสตร์นะคะ
แต่ละเล่าถึง บรรยากาศ สภาพแวดล้อม ของผู้คนในที่นี้มากกว่า
** และการทักทายของชาวทิเบต ไม่ใช่ จู๊เล อย่างที่เผลอเข้าใจไปทีแรก จริง ๆ แล้วคือ
"ทาชิ เดเลก" Tashi Delek ต่างหาก....(เดินทักรอบวัด มาหลายวันก็งี้ หน้าแตก 555)
** ค่ารถ
Shimla - Solan ุ65 รูปี
Solan - แยก Oachgart 15 รูปี
Taxi 100 รูปี
แง้ววววววววว สามวันเลยเหรอ ฮือออ แสดงว่าหนักจริง แล้วได้พกยาไปไหม รอดพ้นมาได้ไงอ้ะ
อ่านแล้วรู้สึกว่าฟ้ามีโชคทางการเดินทางพอควรเลยนะ มีคนคอยช่วยเหลืออยู่เนืองๆ อ้ะ
บันทึกการโหวตเรียบร้อยแล้วค่ะ
บันทึกการโหวต Blog ในวันนี้
ผู้เขียน Blog หมวดเนื้อหา Blog ได้รับโหวต
ไวน์กับสายน้ำ Diarist ดู Blog
zungzaa Parenting Blog ดู Blog
mambymam Home & Garden Blog ดู Blog
mariabamboo Photo Blog ดู Blog
ออโอ Book Blog ดู Blog
ชีริว Travel Blog ดู Blog
ลุงแมว Photo Blog ดู Blog
เรียวรุ้ง Literature Blog ดู Blog
คนบ้านป่า Home & Garden Blog ดู Blog
กาบริเอล Travel Blog ดู Blog
ระบบจะบันทึกคะแนนโหวต เฉพาะการโหวต 10 ครั้งล่าสุดในแต่ละวันเท่านั้น