ปาร์ตี้นักเขียนวงใหญ่ที่สุดในประเทศ "สมานมิตร บรรเทอง วันกันลืมของคนกันเอง"
ในบรรณพิภพ...อาชีพ "นักเขียน" หลายคนเลือกปลีกตัวออกมาทำงานอย่าง "โดดเดี่ยว" โหยหาเวลาเงียบ ๆ สบตาพูดคุยกับตนเอง หลังออกเก็บเกี่ยวข้อมูลจากสังคม เพื่อคั้นความคิดกลั่นกรองออกมาเป็นตัวอักษรสื่อสารกับผู้อ่าน
ยามใดก้าวออกจากโลกส่วนตัว มาพบปะสังสรรค์ในมวลหมู่สหายน้ำหมึก ท่ามกลางบรรยากาศเปี่ยมน้ำมิตร ตามประสาคนคอเดียวกัน จึงช่วยให้หัวใจนักเขียนกระชุ่มกระชวย ราวกับเป็น "โอเอซิส"กลางทะเลทรายอันเปล่าเปลี่ยว
การตั้งวงกินดื่มสรวลเสเฮฮาหลังวางปากกา ไม่ใช่แค่การร่ำสุราเพื่อความสำเริงสำราญ แต่เป็นช่วงเวลาแห่งการแลกเปลี่ยน พลิกมุมคิด ปรับแต่งมุมมองให้คมคายยิ่งขึ้น เสมือนอาหารเสริมเพิ่มพลังงานให้การบรรเลงตัวอักษรแต่ละบรรทัดกลมกล่อมมากขึ้นด้วย
ทว่าบรรยากาศการพบปะของแวดวงน้ำหมึกเกิดขึ้นเป็นเรื่องปกติ แต่การรวมพล "วงใหญ่" ของนักเขียนนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ แต่ใช่ว่าจะทำไม่ได้
บรรยากาศอุ่นหนาฝาคั่งในงาน"สมานมิตร บรรเทอง วันกันลืมของคนกันเอง" งานเลี้ยงสังสรรค์นักเขียนชื่อดังและรวมรุ่น
นักเขียนภายใต้ชายคา "เครือมติชน" ที่จัดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว หลังจากห่างหายไปหลายปี ได้นัดรวมพลกันอีก ทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่กว่า 200 ชีวิต ซึ่งไม่ได้เห็นบ่อยนักในเมืองไทย ที่นักเขียน เรื่องสั้น สารคดี นวนิยาย กวีนิพนธ์ รวมถึงคอลัมนิสต์ นักคิด นักวิชาการในสายสังคมศาสตร์ หลากสไตล์ หลายความคิด จะมาร่วมกันเป็น "วงใหญ่" แสดงอารมณ์สรวลเสเฮฮาแบบเพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมวิชาชีพเดียวกันอย่างเป็นกันเอง
มาถึงปีนี้ วันวานอันหวานชื่นของคนเขียนหนังสือกำลังจะหวนกลับมา "สมานมิตร" อีกครั้งเป็นปีที่ 2 ในช่วงเวลาแดดร่มลมตกของเย็นวันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556 พบกันที่เดิม ณ มติชนอคาเดมี
หลายเรื่องเล่าขานความประทับใจยังคงก้องกังวานปากต่อปากผ่านนักเขียนหลายเจเนอเรชั่น ทั้งรุ่นเก๋า-รุ่นกลาง-รุ่นใหม่ สะท้อนความหมายแห่งมิตรภาพในหมู่มิตรรักน้ำหมึกด้วยกันเอง
มติชนได้แต่เพียงหวังว่า งาน "สมานมิตรฯ" จะเป็น "ข้อต่อสำคัญ" เชื่อมประสาน "นักเขียนชั้นครู" กับทายาท "นักเขียนรุ่นใหม่" ให้ช่วยกันผนึกเป็นขุมกำลังสืบสายธารวรรณกรรมไทยไม่ให้แห้งขอดตื้นเขินตามกาลเวลา
หนึ่งในครูใหญ่คนสำคัญแห่งวรรณกรรม "กฤษณา อโศกสิน" นามปากกาของ สุกัญญา ชลศึกษ์ ด้วยวัย 81 กะรัต ผู้ที่ไม่นิยมปรากฏกายในงานสังคมมากนัก แต่ไม่ยอมพลาดงานนี้
"ราชินีแห่งวงการนวนิยาย" ย้อนถึงความรู้สึกอิ่มเอมใจที่ได้รับจากงานเมื่อปีที่แล้วให้ฟังว่า
"เป็นงานเลี้ยงที่สนุกมาก ได้พบปะนักเขียนหลายท่านที่ไม่ได้เจอหน้ากันตั้งนาน อย่างคุณสำราญ ทรัพย์นิรันดร์ (หมอทรัพย์ สวนพลู) ปกติได้แต่คุยโทรศัพท์ระหว่างกัน ส่วนท่านที่ได้พูดคุยกันมากเป็นพิเศษก็คือ คุณวสิษฐ เดชกุญชร และอีกหลายท่านที่ได้พบเจอกันในงานนี้"
ไม่เพียงได้หวนพูดความหลังกับเพื่อนฝูงรุ่นลายครามด้วยกันเท่านั้น
ฝั่งนักเขียนชั้นครูยังได้สะท้อนพัฒนาการของนักเขียนรุ่นน้องมองอย่างเข้าอกเข้าใจจากประสบการณ์ที่เคยผ่านร้อนผ่านหนาวมาก่อนโดยเชื่อมั่นอย่างมีหวังว่า
"วุฒิภาวะและช่วงวัยจะทำให้งานเขียนค่อย ๆ หนักแน่นขึ้น"
ด้วยความห่วงใยในฐานะรุ่นพี่ จึงอดไม่ได้ที่จะฝากถึงทายาทวรรณกรรม ก่อนตวัดปลายปากกาลงบนกระดาษให้ระลึกไว้ว่า
"ตัวอักษรที่ผลิตออกมาขาย ควรมีสาระและความคิดอันเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านสอดแทรกอยู่ด้วย สิ่งสำคัญที่นักเขียนควรเน้น คือ คุณภาพนำหน้า แล้วคิดถึงเงินตามหลัง แม้การสร้างของดีมีคุณภาพในช่วงแรกอาจยังไม่มีใครนิยมอย่างแพร่หลาย แต่กาลเวลาจะทำคุณค่าในงานเขียนปรากฏขึ้นเอง แล้วจะขายได้อย่างมีเกียรติ"
ทางฟากฝั่งนักเขียนรุ่นกลางดีกรีซีไรต์ ปี 2548 "บินหลา สันกาลาคีรี"เผยความรู้สึกอบอุ่นเหมือนได้กลับมาเยือนบ้านหลังเก่าสมัยยังเป็นนักข่าวอยู่ด้วย
"ผมน่าจะมางานเป็นคนแรก ๆ และกลับเกือบคนสุดท้าย จำได้ว่างานเลิก 4 ทุ่ม แต่ผมกลับบ้านตี 2 (หัวเราะ) สิ่งที่ชอบมากที่สุดคือ นักเขียนมาร่วมงานเยอะมาก และหลายรุ่น ผมได้เจอทั้งตั้งแต่เสนีย์ เสาวพงศ์, กฤษณา อโศกสิน, วสิษฐ เดชกุญชร, พี่สุจิตต์ วงษ์เทศ รวมถึงได้พูดกับนักเขียนน้องใหม่ ดูเหมือนตอนนี้นักเขียนมารวมตัวกันในงานที่มติชนมากกว่างานอื่น ๆ
ผมคิดว่าการพบหน้ากันระหว่างนักเขียนเป็นพื้นฐานแรกที่จะนำพาไปสู่อะไรบางอย่าง ทั้งเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการวิพากษ์วิจารณ์ฉันมิตร ไปจนถึงการไถ่ถามความเป็นไประหว่างกัน สำหรับ
นักเขียนที่ส่วนใหญ่ทำงานอย่างโดดเดี่ยว การได้เจอกันแต่ละครั้งจึงเป็นเรื่องที่มีความหมายมาก" บินหลาเล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงยิ้ม ๆ
ขณะที่ "คำ ผกา"นักเขียนหญิงร้อนแรงแหวกแนวยุคสมัย บ่นเบา ๆ ว่า "เมืองไทยไม่มีปาร์ตี้รวมนักเขียนวงใหญ่ ๆแบบนี้เลย ส่วนใหญ่ก็เป็นแต่วงเสวนา แต่ก็เข้าใจว่าสังคมวันนี้เล็กลง ความเป็นปัจเจกชนก็มากขึ้น งานรวมนักเขียนขนาดนี้ก็ต้องมีบารมีระดับหนึ่งถึงจะจัดงานใหญ่ได้"
นักเขียนฝีปากดุเดือดเผ็ดร้อนเล่าถึงงานปาร์ตี้นักเขียนที่ไม่ลืมชมว่า "อาหารอร่อยมาก"ทว่านัยน์ตาและคำพูดบ่งบอกถึงความรู้สึกปีติยินดีและเป็นเกียรติที่ได้รับการโอบอุ้มเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอาชีพนักเขียน
เช่นเดียวกับ "อนุสรณ์ ติปยานนท์"เลือกหยิบยกคำพูดของพญาอินทรีแห่งสวนอักษรที่นับถืออย่าง "รงค์ วงษ์สวรรค์" ที่เคยกล่าวว่า
"วงนักเขียนก็เป็นเหมือนเครือญาติน้ำหมึก"
ด้วยเหตุนี้ งานสมานมิตร บรรเทองฯ จึงเปรียบเสมือนวันรวมญาติกันปีละครั้ง
"เพราะทำให้ผมได้กลับมาในชุมชนที่เข้าใจเรา และยังเป็นโอกาสที่ดีของนักเขียนรุ่นเล็กที่จะได้มีโอกาสแนะนำตัวเอง"
ข้ามมายังนักเขียนอาวุโสน้อย"กล้า สมุทวณิช" หรือเจ้าของนามปากกาที่มิควรแปลเป็นภาษาอังกฤษว่า "บุญชิต ฟักมี" ลูกไม้หล่นใต้ต้นของ "ชัยสิริ สมุทวณิช"โอดครวญอย่างเสียดาย หลังปีที่แล้วพลาดไม่ได้พบกับ "เสนีย์ เสาวพงศ์" มาถึงปีนี้เขาภาวนาขอให้ได้กราบสวัสดีนักเขียนในดวงใจสักครั้ง เพราะเส้นทางนักเขียนได้ก่อเกิดตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หลังจากอ่านหนังสือเรื่อง "ปีศาจ"
"นักเขียนส่วนใหญ่มีแรงบันดาลใจจากนักเขียนรุ่นคลาสสิก ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีหากนักเขียนติดสำนวนอันสละสลวยจากชั้นครูมาอยู่ในงานเขียนของเรา แม้อาจไม่เป็นตัวของตัวเองในช่วงแรก แต่อย่างน้อยก็ได้เชื้อตั้งต้นที่ดีในการพัฒนางานเขียนต่อ"
มิตรภาพจากผู้คนในแวดวงเดียวกัน ทำให้ "กล้า" รู้สึกมีพลังให้กลับมาเขียนงานต่อ เช่นเดียวกับความรู้สึกที่ได้รับ "รางวัลมติชน"
ประเภทเรื่องสั้น จากผลงานชื่อ "หญิงเสา"ก็เป็นเหมือนกำลังใจที่ช่วยปลุกวิญญาณนักเขียนให้กลับมาโลดแล่นอีกครั้ง
ในชีวิตคนเขียนหนังสือ คงไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นและตื้นตันมากไปกว่าเมื่อ "มิตรพบมิตร" มาพูดคุยแลกเปลี่ยนแชร์ประสบการณ์บนหนทางเดียวกัน ถามไถ่ผลงานของกันและกันเพียงแค่ไม่กี่คำก็เข้าใจกันได้ง่าย เหมือนกลับมา "ชาร์จพลัง" ในงาน "สมานมิตรบรรเทอง วันกันลืมของคนกันเอง" เก็บสะสมแรงใจเมื่อยาม
นักเขียนหันหลังกลับไปนั่งเงียบ ๆ ผลิตงานเขียนเพียงลำพัง
ความรู้สึกเช่นนี้ อาจเป็นเหมือน "ยากระตุ้นชีพจร"ให้โลกวรรณศิลป์ วรรณกรรมไทย ได้กลับมาตื่นเต้น คึกคัก เบิกบานใจไม่ให้โลกน้ำหมึกห่อเหี่ยวแห้งแล้ง ขาดน้ำมิตรหล่อเลี้ยงจนเกินไป
(ที่มา:ประชาชาติธุรกิจออนไลน์)
ขอบคุณ มติชนออนไลน์ ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
สิริสวัสดิ์ศุกรวารค่ะ
Create Date : 25 มกราคม 2556 |
|
0 comments |
Last Update : 25 มกราคม 2556 12:40:37 น. |
Counter : 1615 Pageviews. |
|
|
|