ก็เลยบอกว่า "
เรามีเวลาทั้งคืน เดินเล่นในวัดทำอะไรให้ใจสบายๆไปก่อนเถอะ" เธอก็นิ่งๆไปหน้าหงอยไปเล็กน้อย แต่ไม่ยอมเดินไปไหนเลยค่ะ ปักหลักนั่งที่ศาลา กระติ๊บน้อยก็เดินเล่นในวัดไปก่อน เดินไปมาก็บังเอิญพบหลวงพ่อ ท่านเดินตัดถนนมาหาก็เลยไหว้ท่าน
ท่านถามว่า โยมมาด้วยหรือ
ก็ตอบท่านไปว่า "มาเจ้าค่ะ" ท่านก็จ้องอึดใจหนึ่ง แบบจ้องตานิ่งๆ กระติ๊บน้อยก็หนาวๆร้อนๆเวลาใครมาจ้องนิ่งๆ เพราะจะรู้สึกว่าเราทำความผิดอะไรหรือเปล่า
หลวงพ่อท่านพูดขึ้นมาว่า เดี๋ยวไปกินข้าวซะนะโยม ที่วัดมีโรงทาน มีผู้ใจบุญมาตั้งโรงทาน กินข้าวซะเย็นนี้จะได้ปฏิบัติธรรม แล้วหลวงพ่อจากเดินจากไป
กระติ๊บน้อยกราบขอบพระคุณท่าน เดินกลับมาบอกน้องเขาว่า ไปโรงทานกันแล้วจะได้อยู่ปฏิบัติธรรมกันคืนนี้
.อ้าวแล้วเรื่องแก้กรรมเรื่องคู่ล่ะคะพี่?"
เลยบอกว่า "เออน่า เดี๋ยวพี่กราบเรียนหลวงพ่อให้" พูดไปอย่างนั้นเองค่ะ แต่จริงๆแล้วไม่ได้กราบเรียนท่านหรอกค่ะ เพราะท่านงานเยอะไม่กล้าไปรบกวนท่าน
"อ่อค่ะๆพี่"เธอหน้าสดชื่นเลย วิ่งตามไปกินข้าวที่โรงทานโดยดี ดูแล้วน่าสงสารปนอิจฉา เธอเศร้าเรื่องความรักจนผอมโกรก ไอ้เรามีปัญหาเรื่องนี้ยังกินได้นอนหลับอ้วนปลาพยูนเลย55
พอค่ำ เวลาที่น้องเขารอคอยก็มาถึง เริ่มด้วยสวดทำวัดเย็น น้องเขาตั้งใจสวดมากเสียงดังฟังชัดชื่นใจ กระติ๊บน้อยงี้เสียงตกไปนานแล้วค่ะ
พอหลวงพ่อมาถึง น้องเขาชะเง้ออย่างตั้งใจว่า หลวงพ่อจะแก้กรรมอย่างไรบ้าง
ท่านขึ้นนั่งปุ๊บพอสบายๆ หลวงพ่อก็พูดขึ้นว่า
"ไหนบอกอาตมาซิรักเขาเพราะอะไร?"
กระติ๊บน้อย ก็อึ้งแบบจู่ๆหลวงพ่อท่านพูดแบบนี้ก็หันไปมองข้างหลังต่อเผื่อท่านถามน้องที่พามาด้วย
หลวงพ่อท่าน ก็พูดซ้ำขึ้นว่า "อาตมาถามโยมนั่นแหละ?"
ก็รู้สึกอายนิดๆว่าท่านถามตัวกระติ๊บน้อยเอง แต่ว่ายังทำคอแข็งหันไปทางน้องที่พามาซึ่งนั่งหลังกระติ๊บน้อย
ท่านเลยพูดขึ้นว่า "ถ้าอายก็ไม่ต้องตอบเสียงดังถ้ากลัวใครรู้ ตอบในใจตัวเองเองก็ได้"
"ไหนบอกอาตมาซิรักเขาเพราะอะไร?"
ทีนี้ต่างคนต่างตอบในใจ แต่มีคนตอบเสียงดังๆ "เขาหล่อค่ะ บางคนก็ตอบว่าเขายิ้มสวยแล้วก็ตาหวานครับ,เขาเป็นคนดีค่ะ มีเงินค่ะ คุยแล้วคลิกค่ะ ฯลฯ" แน่นอนว่ากระติ๊บน้อยก็ตอบตัวเองอยู่ในใจ ส่วนน้องเขาตอบอะไรในใจกระติ๊บน้อยก็ไม่ทราบค่ะ
หลวงพ่อหัวเราะกับคำตอบที่เซ่งแซ่มาหลายทิศทาง แล้วท่านก็เลยถามว่า
"แล้วถ้าเขาไม่หล่อล่ะยังรักไหม?"
"รักค่ะ" มีเสียงสวนตอบ กระติ๊บน้อยก็นั่งฟังเฉยๆในตอนนั้น
"แล้วไม่มีเงินล่ะ?"
รักค่ะ รักครับ
"แล้วแต่งกันไปยิ้มไม่สวยแล้วล่ะโยมเพราะว่าไม่สบาย กรามไม่ดีกรามค้างน้ำลายไหลยืดทั้งวันจะทำไงดี ยังรักไหม?"
ทีนี้เริ่มมีคนอึ้งนิดหน่อย เกิดลังเลในใจกันว่าเอาไงดี เสียงคนที่ตอบหลวงพ่อว่า" ยังรัก ครับ ยังรักค่ะ" ลดลงไปมากน่าจะเหลือแค่เสียงสองเสียง
มีหญิงคนหนึ่งตอบให้ขำกันทั้งศาลาว่า "หนูมีทิชชู่เช็ดน้ำลายให้เขาค่ะ"
หลวงพ่อหัวเราะบอกว่า "เออๆเป็นคนจิตใจเข้มแข็งดีมาก งั้นต่ออีกนิดว่า เขาป่วยไม่สบายตลอด โยมต้องใช้เงินจำนวนมากรักษาเขา เขาไม่มีเงินให้โยมแล้วเพราะเงินหมดไปกับการรักษาโรคอัมพาตของเขา ไอ้ที่ว่าหล่อ หมดไป เงินทองไม่มี เขานอนทั้งวัน น้ำลายก็ไหลยืด แถมขับถ่ายเองไม่ได้ โยมต้องคอยดูแลเช็ดอุจจาระ ปัสสาสวะให้ แถมยังต้องออกไปทำมาหากินเลี้ยงเขาด้วย....ยังรักไหม?"
คราวนี้ทั้งศาลาเงียบไปหมดค่ะ ลังเลตอบไม่ได้ว่ายังรักไหม ในเมื่อคนที่รักเป็นแบบนี้ไปแล้ว
หลวงพ่อท่านเลย พูดขึ้นว่า "โยมลังเลว่าจะดูแลเขาไปได้ตลอดหรือเปล่าใช่ไหมหน้าที่หนักอึ้งแบบนี้" ทุกคนก็เงียบไม่มีคำตอบให้หลวงพ่อหลวงพ่อเลยมีคำถามต่อมาว่า
"งั้นอาตมาถามใหม่ ถ้าโยม ไม่เจอแฟนคนนี้ แต่ไปเจอคนอื่นที่มีคุณสมบัติแบบที่ต้องการหมด หน้าที่การงานดี หล่อ ตาสวย ยิ้มหวาน เป็นคนดี คุยแล้วคลิกอย่างที่ โยมต้องการแล้วโยมจะรักเขาไหม?"
ตอนนี้หลายคนตอบว่า "รักครับ / ค่ะ"
หลวงพ่อท่านเลยถามว่า "งั้นโยมถามตัวเองดีกว่าว่าโยมรักคนที่โยมคิดว่ารักหรือว่าโยมรักตัวเองกันแน่หือโยม"
หลายคนลังเลเซ่งแซ่แล้วค่ะ ว่ารักเขาหรือว่ารักตัวเองกันแน่ ได้ยินเสียงหลายคนข้างตัวพูดว่า "แหมก็รักเขาแหละรักตัวเองอะไรกัน" แต่ก็ได้ยินคนพูดขึ้นว่า"เออจริงด้วย ชั้นเลือกแบบที่ชั้นสเปกตลอดนะ"
หลวงพ่อท่านปล่อยให้ทุกคนคิดไปก่อน กระติ๊บน้อยหันหลังไปมองน้องที่พาไป เห็นเธอนั่งหน้าเครียดเลย คือนั่งคิดพิจารณาคำถามที่หลวงพ่อถามมานั่นเอง
ต่อกันคราวหน้าค่ะ