Bloggang.com : Travel Animal :

รีวิวทริปมาเลเซีย ชิลด์ ชิลด์ สบาย ๆ กับประเทศเพื่อนบ้าน (ตอน 2 ตลุยเมืองมะละกา)

สถานที่ท่องเที่ยว : melaka, Malaysia
พิกัด GPS : 2° 10' 57.69" N 102° 14' 55.64" E

สวัสดีคะ ในที่สุดก็ได้มาต่อตอนที่สองกัน เป็นตอนที่เราจะเดินทางต่อจาก KL เพื่อไปเที่ยวเมือง Melaka (หรือ Malacca หรือ มะละกา) นะคะ

ใครที่สนใจอยากอ่านตอนแรก ตั้งแต่เริ่มเดินทาง และดูว่า เป้ไปเที่ยวไหนในเมือง KL บ้าง ตามไปได้ที่กระทู้นี้เลยคะ //pantip.com/topic/32011663

--------------
24 FEB 2014
เรานั่งรถออกจาก KL หลังมื้อกลางวันที่หอคอยกัวลาลัมเปอร์ ด้วยถนนไฮเวย์สมัยใหม่ทำให้เรามาถึงเมืองมะละกาภายในเวลา 2 ชั่วโมงครึ่ง เมืองมะละกาเป็นเมืองเล็ก ๆ ซึ่งเคยมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในฐานะเมืองท่าสำคัญ เนื่องจากตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญเลียบช่องแคบมะละกา นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งกำเนิดมรดกทางประวัติศาสตร์ลุวัฒนธรรมของชาติซึ่งตกทอดมาจากอดีตอันรุ่งโรจน์ที่หลงเหลืออยู่นั้นก็ยังคงได้รับการรักษาไว้เป็นอย่างดี มะละกาได้รับขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่มรดกโลกในปี 2008 นอกจากประวัติศาสตร์อันยาวนานที่เป็นเสน่ห์ของที่นี่ ความเรียบง่ายและเป็นกันเองของชนพื้นเมือง ก็ทำให้เมือง เล็ก ๆ แห่งนี้มีเสน่ห์มาก ๆ

บรรยากาศถนนหนทางในเมืองมะละกา

เรามาถึงมะละกาก็เกือบห้าโมงเย็นแล้ว เราก็เลยได้แค่ชมวิวระหว่างทาง ก่อนที่จะไปแวะชมหอคอยเมืองมะละกา (ที่มาเลเซียเนี่ย มีหอคอยแทบทุกเมืองเลยก็ว่าได้) หอคอยที่เมืองมะละกานี้ชื่อว่า Taming Sari Tower จริง ๆ ไม่ได้มีความสูงอะไรมากมาย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับตึกแฝดที่กัวลาร์ลัมเปอร์ แต่เนื่องจากเมืองนี้ไม่ค่อยมีตึกสูง การขึ้นไปชมวิวด้วย Taming Sari Tower ก็ทำให้ได้เห็นบรรยากาศรอบ ๆ เมืองมะละกาได้ดีขึ้น

TIP : สำหรับคนที่มาเองและไม่ได้มากับทัวร์ สามารถมาเที่ยวเมืองมะละกาได้ง่าย ๆ เลยคะ โดยนั่งบัสจาก Terminal Bersepadu Selatan หรือ KL International Airport ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ค่ารถก็ประมาณ 12-13 ริงกิต แล้วแต่บริษัทรถ แต่ถ้ามากันประมาณสี่คน แนะนำให้เหมาแท็กซี่คะ

อาหารเย็นวันนี้เป็นอาหารญวนญ่า ซึ่งเป็นอาหารประจำถิ่นของที่นี่ อาหารญวนญ่า ก็คืออาหารที่เป็นการผสมกันระหว่างอาหารมาเลและอาหารจีน (สมัยนี้ก็ต้องเรียกว่าเป็นอาหารฟิวชั่น) แต่อาหารญวนญ่า (Nyonya) ของที่มะละกาจะต่างกับที่ปีนังตรงที่อาหารญวนย่าของปังนั้นเน้นกะปิ แต่ที่นี่เน้นมะพร้าวและส่วนใหญ่มักใช้ไก่ในการประกอบอาหาร

ร้านที่เราไปกินชื่อร้าน Big Nyonya ชื่อเดิม คือ Kenny’s Delight หากใครสนใจก็สามารถเข้าไปดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ //www.bignyonya.com/
อาหารที่นี่หน้าตาคล้ายกับอาหารพื้นเมืองบางอย่างของภูเก็ตเลยอะ ส่วนตัวคิดว่าจืดกว่า แต่เนื่องจากเป็นสาวสายแข็งและชอบกินอาหารมาก เป้ก็กินอาหารอย่างเอร็ดอร่อย จนพี่ ๆ รายการโทรทัศน์ ต้องยกนิ้วให้เลยทีเดียว หุหุหุ (ไปเที่ยวนี้ได้รับการยอมรับจากหลายสถาบันมากอะ ว่าความสามารถในการกินไม่เป็นสองรองใคร)

พอกินอาหารเสร็จเราก็เข้าโรงแรมเพื่อพักผ่อนตามโปรแกรม โรงแรมที่เราพักคือ Hatten Hotel เป็นโรงแรมที่อยู่ในทำเลดีใกล้ที่เที่ยวแบบเดินได้ ใกล้ห้างใหญ่ ๆ 2 แห่ง มีสระว่ายน้ำด้วย และเนื่องจากเป็นตึกสูงเลยทำให้เห็นวิวรอบ ๆ ได้ถนัดคะ หากใครสนใจลองดูรายละเอียดได้ที่ //www.hattenhotel-melaka.com/

แต่เนื่องจากพวกเรายังมีไฟอยู่และราตรีนี้ยังอีกยาวไกล เราก็ต้องไปเดินเที่ยวกันซึ่งรอบ ๆ โรงแรมที่พักก็มีช้อปปิ้งใหญ่สองแห่ง คือ Mahkota Parade และ Phalawan Mall และสามารถเดินไปแถวไชน่าทาวน์ หรือ Jonker Street โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาที พอซื้อของเสร็จ พวกเราก็ไปนั่งดื่ม ชิลด์เอ้าท์กันที่บาร์บนชั้นดาดฟ้าของโรงแรม ปิดท้ายวันนี้ด้วย ค๊อกเทลไปหลายแก้วอยู่ พรุ่งนี้จะตื่นไหวไหมเนี่ย

25 Feb 2014

ตื่นมารีบกินอาหารเช้า อาหารเช้าโรงแรมนี้ดูอลังการกว่าโรงแรมที่ KL แต่เอาเข้าจริงกินอะไรไม่ลงอะ และเริ่มเบื่อไก่แล้ว (คิดถึงหมูมาก ณ จุดนี้)
ไกด์พาพวกเราเดินจากโรงแรม ไปยังประตูป้อม A FAMOSO ซึ่งถูกทำลายไปเกือบหมด เหลือไว้แค่ Porta De Santiago ไว้เป็นอนุสรณ์เท่านั้น ป้อมนี้ถูกสร้างขึ้นในปี 1511 โดย Afonso de Albuquerque เพื่อเป็นหนึ่งในเส้นทางเครื่องเทศของโปรตุเกส แต่ต่อมาเมื่อชาวดัชขับไล่คนโปรตุเกสออกไปจากมะละกา ป้อมนี้ก็ถูกเปลี่ยนมือไป และมีการซ่อมแซมในปี 1670 และต่อมาชาวดัชก็ยกป้อมนี้ (พร้อมเมืองมะละกาให้กับอังกฤษ เพื่อแลกกับการที่อังกฤษจะคุ้มครองให้พ้นจากการถูกยึดของกษัตริย์นโปเลียน สามารถหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ //en.wikipedia.org/wiki/A_Famosa
ก่อนศตวรรษที่ 14 มะละกาเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมง จนกระทั่ง Parameswara เจ้าชายจากสุมาตราเดินทางมาเจอระหว่างทางไปสิงคโปร์ เจ้าชายก็เลยตั้งเมืองที่นี่และเนื่องจากชัยภูมิที่ตั้ง ทำให้มะละกาในที่สุดก็กลายเป็นศูนย์กลางและจุดแวะพักที่สำคัญของพ่อค้าที่เดินทางไปค้าขายระหว่างจีนกับอินเดีย อีกทั้งยังสามารถเดินทางไปติดต่อซื้อขายเครื่องเทศได้สะดวก ต่อมาจักรพรรดิ์จีนได้ส่งลูกสาวมาแต่งงานด้วยเพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรี จึงเป็นที่มาของวัฒนธรรม Nyonya
ชาวโปรตุเกสที่มาค้าขาย เคยได้รับการดูแลอย่างดีเมื่อมาพักที่มะละกา จนกระทั่งราวศตวรรษที่ 15 มะละกาเริ่มมีการจับชาวโปรตุเกสไปซึ่งเป็นเหตุให้รัฐบาลโปรตุเกสอ้างความชอบธรรมและยึดมะละกาได้ในที่สุด โดยทีสุลต่านของมะละกาได้หนีไปตั้งเมืองใหม่ที่ยะโฮร์ (Johor) แต่ชาวโปรตุเกสก็ปกครองมะละกาได้ไม่นานก็ต้องเสียมะละกาไปให้กับชาวดัชต์ ซึ่งมีอิทธิพลมากมาจากฝั่งสุมาตรา ก่อนที่จะถูกเปลี่ยนมือมาอยู่ภายใต้การปกครองของอังกฤษในที่สุด (จริง ๆ ประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ยาวมาก ๆ คะ และก็มีการพูดถึงต่างกัน อยุ่ที่ว่าฝ่ายไหนพูดถึงนะ เราชนรุ่นหลังก็คงฟังไว้เป็นความรู้และอุทาหรณ์เท่านั้น)

หากใครที่ไม่ได้มากับทัวร์ ไม่ต้องห่วงเลยคะว่าจะเที่ยวลำบากและไม่สนุก เป้ชอบเมืองนี้มาก คิดว่าเหมาะกับการขี่จักรยาน หรือเช่าสามล้อถีบชมรอบเมืองมากคะ เป็นเมืองเล็ก ๆ ที่มีเสน่ห์เฉพาะตัวดีคะ

ต่อมาเราก็เดินขึ้นเนินเล็ก ๆ กันมาที่ Bukit St. John หรือป้อม St. John ซึ่งสร้างราวปี 1760 แต่เดิมที่นี้มีโบสถ์ซึ่งสร้างโดยชาวโปรตุเกส คือ St John Chapel แต่ต่อมาเมื่อมะละกาถูกโจมตีโดยอดีตสุลต่าน ในสมัยที่มะละกาเป็นของชาวดัชต์ หลังจากนั้นอีก 120 ปี ชาวดัชต์ถึงได้มีการสร้างป้อมล้อมรอบโบสถ์นี้ไว้ ตอนไปเที่ยวฟังไกด์เล่าไม่รู้เรื่องเลยไม่ได้ถ่ายรูปปืนใหญ่มาเลย ถ่ายมาแต่โบสถ์

จากนั้นเราก็ค่อย ๆ เดินลงเขามาตรง เรือ Medan Samudera ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์ทางทะเลเป็นแบบจำลองของเรือ Flor de La Mar ที่สร้างขึ้นในช่วงต้นปี 1990 และได้รับการเปิดตัวโดยนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย YAB Tun* ดร. Mahathir Mohamad ที่ 13 มิถุนายน 1994. นอกจาก พิพิธภัณฑ์ทางทะเลระยะที่สอง . พิพิธภัณฑ์ทางทะเลตั้งนี้อยู่ที่ Jalan Quayside ใกล้ปาก แม่น้ำมะละกา . สร้างขึ้นบนเรือจำลอง โปรตุเกส วัด 34 เมตรสูง 36 เมตรยาว 8 เมตรกว้าง จุดสนใจหลักของพิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นประวัติศาสตร์ของมะละกาและยุคทองของการเดินเรือมะละกาตะวันออกเอ็มโพเรียม นอกจากนี้ยังเผยให้เห็นถึงความไม่สงบทางการเมืองในการเดินเรือมะละกาพิสูจน์ให้เห็นว่าการสูญเสียอำนาจทางการเมืองแล้วคุณสูญเสียทุกอย่าง การจัดแสดงนิทรรศการที่แสดงให้เห็นการพัฒนาของการค้าจากวันมลายูสุลต่านแห่งมะละกาไปยังอาณานิคม โปรตุเกส , ดัตช์ , อังกฤษ และ พิชิตยุค ญี่ปุ่น ใน แหลมมลายู นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงภาพวาดแผนที่เก่าเรือจำลองและสิ่งประดิษฐ์ที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือและการค้าในแหลมมลายู
* มีเพื่อนในพันทิปได้อธิบายว่า คำว่า YAB เหมือนกับตำแหน่ง ฯพณฯ ท่าน ส่วนคำว่า TUN เหมือนกับตำแหน่งเจ้าพระยา

เมื่อเดินเที่ยวกันจนเหนื่อย เราก็ไปแวะกินลอดช่องใส่ทุเรียน ของขึ้นชื่อ OTOP ของเมืองมะละกา นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ขอบมาก แต่เป้เฉย ๆ อะ คงเพราะไม่ชอบของหวานเลยไม่ค่อยถนัดเท่าไหร่ ไงเพื่อน ๆ ที่ไปก็ลองไปทานกันดูนะคะ

ก่อนไปกินอาหารเที่ยง ไกด์ให้เราเดินเที่ยวตามใจชอบ เราก็เลยเดินเล่นและถ่ายรูปไปเรื่อย ๆ แถว ถนน Jonker Street ซึ่งเป็นถนนที่มีพวกของเก่าและของสะสมซ่อนตัวอยู่ มีลักษณะคล้ายไชน่าทาวน์ในหลาย ๆ เมือง (ของประเทศต่าง ๆ ที่เป้เคยไปเที่ยวมา)

หากเพื่อน ๆ คนไหนหลงใหลในสถาปัตยกรรมแบบผสม ต้องไม่พลาดไปเดินถ่ายรูปที่ Stadthuys ซึ่งอดีตเคยเป็นที่พำนักทางการของผู้ปกครองและทหารชาวดัทช์ อาคารหลังนี้สร้างขึ้นในปี 1645 และในปัจจุบันอาคารสีแดงนี้ก็เป็นพิพิธภัณฑ์ ประวัติศาสตร์และชาติพันธุ์วิทยา ถัดไปเป็นโบสถ์คริสถ์ตัวอาคารทาด้วยสีแดง ชื่อ Dutch Reform Church ซึ่งสร้างในศตวรรษที่ 18 ว่ากันว่า อาคาร Stadthuys เป็นอาคารที่แสดงถึงสถาปัตยกรรมของชาวดัทช์เพียงแห่งเดียวที่หลงเหลืออยู่และเก่าแก่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

หลังจากเดินกันจนเหนื่อยก็ได้เวลาของอาหารเที่ยงแล้ว วันนี้เราไปกินอาหารจีนกันคะ ชื่อ Famosa Chicken Rice Ball //www.boom68.com/famosachickenriceball/ ซึ่งเป็นร้านที่อยู่แถวไชน่าทาวน์ หรือย่าน Jonker Street เลย อาหารขึ้นชื่อของที่นี่คือ ไก่กินกับข้าวมันที่ปั้นมาเป็นก้อน ๆ และหมูแดงก็อร่อยมาก ๆ (ในที่สุดก็มีหมู) อาหารอย่างอื่นก็อร่อยคะ แต่ยกนิ้วให้ไก่และหมูแดงเลย เริ่ดมากกกกกกกกกกกกกกก

หลังจากกินกันเต็มคราบ พวกเราก็ต้องจากเมืองมะละกาเพื่อเดินทางต่อไปยังเมืองยะโฮร์ ยังมีอีกหลายที่ที่คิดว่าอยากไป และคิดว่าต้องหาโอกาสไปเยือนมะละกาอีก สถานที่ที่อยากไปเช่น พระราชวังจำลองของสุลต่านแห่งมะละกา พิพิธภัณฑ์มรดกบาบา- ญวนญ่า หมู่บ้านกัมปงหรือหมู่บ้านมาเลพื้นเมือง และถ้ามีโอกาสก็อยากลองไปนั่งเรือชมวิวแม่น้ำมะละกาดู รีวิวเมืองมะละกาก็ต้องจบแค่นี้ ขออนุญาตไปเลี้ยงลูกก่อนนะคะ แล้วพบกันใหม่ ตอนหน้าซึ่งเป็นตอนสุดท้ายแล้ว แม่เป้จะพาไปทัวร์ Kitty Land และ Lego Land แห่งแรกของเอเชียคะ

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามอ่านนะคะ หวังว่ารีวิวนี้จะเป็นประโยชน์คะ หากมีข้อเสนอแนะ เชิญได้เลยนะคะ

Create Date : 13 พฤษภาคม 2557

2 comments

Last Update : 13 พฤษภาคม 2557 18:00:49 น.

Counter : 1810 Pageviews.

ตามไปเที่ยวด้วยคนค่า

โดย: schnuggy 14 พฤษภาคม 2557 17:41:10 น.

ขอบคุณคะ คุณ schnuggy ที่มาแวะชมบล๊อกเรา หุหุหุ

โดย: Travel Animal 20 พฤษภาคม 2557 10:13:15 น.