The journey is my life

Travel Animal
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




เป็นคุณแม่มือใหม่ที่รักการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ เคยเป็นคนโสดที่รักอิสระและชอบเที่ยว ไปได้ทั้งแบบแบ็คแพ็ค ลุย จนถึงแบบชิลด์ ชิลด์ จิบกาแฟ

แม้ช่วงนี้จะสนใจเรื่องครอบครัวและการเลี้ยงดูลูกเพื่อให้เติบโตเป็นคนดีในอนาคต คุณแม่มือใหม่คนนี้ก็ยังพยายามหาเวลาว่าง ให้ตัวเองสามารถมีกิจกรรมร่วมกับเพื่อนที่มีครอบครัวและเพื่อนสาวโสดอยู่ตลอดเวลา

งานอดิเรก รักการเดินทาง อ่านหนังสือ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจหากบล๊อกนี้จะเน้นเรื่องเที่ยวและเรื่องกิน
New Comments
Group Blog
 
 
มีนาคม 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
15 มีนาคม 2557
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Travel Animal's blog to your web]
Links
 

 
มาราธอน ตะลุยยุโรปใต้ (France, Spain and Greece) # ตอนที่ 3 เส้นทางสู่เกาะสวรรค์ Santorini

วันที่สิบสี่ (13 jun 08)

วันนี้ตื่นมาตั้งแต่ตีสามครึ่ง เพราะว่าต้องอาบน้ำแต่งตัว ออกจากบ้านเพื่อไปขึ้นเครื่องให้ทันตั้งแต่ตีสี่ เดชะบุญจากบ้านเพื่อนซิ่งรถสปอร์ตมาแค่อึดใจกว่า ๆ (15 นาที) เราก็มาถึงสนามบินของกรุงเอเธนส์ ซึ่งเครื่องจะออกตอน 5.20 น. สาเหตุที่เลือกไฟล์ทนี้ก็ไม่ใช่ว่าขยันอยากไป Santorini แต่เช้า แต่เนื่องจากมันไม่มีเที่ยวบินแล้ว มีทางเลือกแค่ บินเที่ยวนี้กับ สายการบิน Aegean Airlines หรือ อีกเที่ยวหนึ่งตอน 5.15 น. กับสายการบินแห่งชาติของกรีกสายการบิน Olympic Airlines หลังจากดูราคาแล้ว เราก็เลือก Aegean เลย เพราะราคาถูกกว่ากันประมาณ คนละ 7 ยูโร (ค่าตั๋วเที่ยวเดียว คนละ ประมาณ 110 ยูโร ซึ่งรวมทุกอย่างแล้ว) แหม 7 ยูโรก็ 350 บาทแล้วนา เก็บไปเป็นค่ารถดีกว่า การซื้อตั๋วก็ไม่ยาก สามารถซื้อได้ทางอินเตอร์เน็ท ตัดเงินผ่านบัตรเครดิตได้เลย

และก็ต้องถือว่าเป็นโชคที่เราเลือกสายการบินนี้ เพราะเครื่องบินตรงเวลา บริการดี (ไม่เหมือน Olympic ขนาดออกก่อนนะ เครื่องเพิ่งจะแลนด์ถึง Santorini ตอนที่เราขึ้นแท็กซี่ออกจากสนามบินแล้ว อะร้าย จะเป็นสายการบินหวานเย็นขนาดนั้น) เพื่อนบอกว่า คนกรีกนะ เลือกได้ไม่ค่อยมีคนขึ้น Olympic หรอก เพราะเค้าไม่มั่นใจในตัวเครื่องบิน และความปลอดภัย เราก็เอออ..... ไงก็ได้ เพราะคงไม่มีเครื่องบินที่ไหน จะหน้ากลัวและเสียวไส้เท่าที่แทนซาเนียแน่นอน (ผ่านวิกฤตนั้นมาแล้ว อะไรอะไรก็ทนได้)

อะ โชว์เครื่องบินซะหน่อย





ตอนที่เรามองลงมาจากหน้าต่างเครื่องบิน เราก็ว่า เกาะอะไรหว่า ทำไมมันหน้าตาแปลกประหลาด คือมีลักษณะแบนราบ ทอดตัวอยู่บนทะเล แต่แล้วอยู่ก็มีภูเขาปูดโปนขึ้นมาตรงกลางเกาะ เหมือนคนหัวโนซะงั้น คิดยังไม่ทันจบ คุณแอร์สุดสวยก็ประกาศว่าเครื่องกำลังร่อนลงจอดที่สนามบินของ Santorini

เอ๊ะ เข้าใจอะไรผิดอะป่าว ไอ้เกาะนี้เนี่ยนะ ที่เค้าว่าโรแมนติกนักหนา ดูยังไง ๆ ก็ไม่เห็นเหมือนเลย

ในรูปอาจจะเห็นในส่วนที่แบนราบไม่ชัด เพราะถ่ายไม่ทันค่ะ อยู่คุณนักบินเกิดเปลี่ยนเส้นทางเพื่อเตรียมลงจอดกะทันหันนะ

แล้วกัปตันก็นำเครื่องลงจอดอย่างปลอดภัย พร้อมกับเสียงปรบมือของเหล่าผู้โดยสาร สนามบินนี้สวยมากเลยหละ โดยเฉพาะวิวอีกฝั่งซึ่งเห็นทะเล และเกาะที่มีลักษณะเหมือนหน้าผา (Caldora) คุณ H บอกว่า สนามบินนี้เหมือนสนามบินที่สมุยเลย ซึ่งเราก็ว่ามันคล้าย ๆ กันที่บรรยากาศ คงเพราะเป็นสนามบินบนเกาะเล็ก ๆ เหมือนกันมั้ง ?

หลังจากที่เรารับกระเป๋าแล้ว เราก็ไปโบกแท็กซี่ซึ่งจอดรอรับผู้โดยสาร เพื่อไปยังโรงแรม Thea Studio ที่เราจองไว้ผ่านทางอินเตอร์เน็ท ตอนแรกเราก็เลือกอยู่นานเหมือนกัน เอาโรงแรมไหนดีฟะ อยากอยู่ที่สวย ๆ ก็อยากอยู่ แต่ก็เสียดายตังค์ แค่คืนเดียวเอง แถมสงสัยไม่มีเวลาอยู่โรงแรมหรอก คิดไป คิดมา เอามันที่นี่แหละ (เพื่อนก็เชียร์ด้วย เค้าบอกว่า มันคลับคล้ายคลับคลา ว่าเคยเห็น และคิดว่ามันใช้ได้) ราคาตกคืนละ 70 ยูโร สำหรับห้อง Superior Studio (จริง ๆ มีอีกแบบ ถูกกว่า คือ Standard Studio ราคา 55 ยูโร ซึ่งเราก็ไม่รู้มันต่างกันตรงไหน แต่เพื่อนบอกว่าไม่ควร จองห้องถูกมาก เราก็เลย เอาอันนี้แหละ)

ในรูปกัปตันนำเครื่องลงจอดตอนที่พระอาทิตย์กำลังจะพ้นน้ำพอดี

ได้คุณพี่ใจดี แต่พูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้ ถามว่าจะไปไหน เราบอก "FIRA" ซึ่งเป็นหมู่บ้านหลักของเกาะนี้ แล้วก็บอกชื่อโรงแรมไปแต่แกไม่รู้แฮะ สุดท้ายคุณพี่คนขับรถแวะถามคนขายหนังสือที่แถวกลางเมือง (ที่นี่ก็เงี้ย แทบทุกคนล้วนรู้จักกัน แล้วก็ช่วยเหบลือกันตลอดเลยค่ะ เราสองคนจะพบเจอเหตุการณ์แบบนี้มากขึ้น ตอนเที่ยวรอบเกาะ) หลังจากส่งภาษาจนรู้แล้วว่าโรงแรมอยู่ที่ใด คุณพี่ก็ค่อย ๆ พาเราจากตัวเมืองมาอย่างช้า ๆ โดยลงมาตามเนินเขา (ถนนที่นี่เป็นเนินทั้งนั้น)

เราก็ เอ ไหนในอินเตอร์เน็ทมันบอกว่าอยู่ในเมือง ทำไมมันขับห่างออกไป ห่างออกไป แต่ไม่ไกลเท่าไหร่ เราก็มาถึงโรงแรม Thea Studio ตอนที่เรามาถึงไม่มีใคร โรงแรมดูเงียบพิกล มีคุณป้าแม่บ้าน พูดภาษาอังกฤษไม่ได้หนึ่งคืนยืนอยู่ไม่ไกลจาก บริเวณที่เราคาดว่าน่าจะเป็นห้องอาหารเพียงห้องเดียวของโรงแรม แล้วคุณป้าก็จับตัวฉันให้ลงไปนั่งที่เก้าอี้ ในขณะที่ตัวเองก็วิ่งปรู๊ดออกไปอย่างเร็ว ไม่พูดอะไรเลย

ซักพัก มีเด็กหนุ่มเดินเข้ามาถามว่า What's your name? แล้วก็เดินหายไปไหนออฟฟิศ แล้วก็กลับมาด้วยใบจองโรงแรม ปึกย่อม ๆ (สงสัยจะหาชื่อเราไม่เจอ) เราก็เอามาดู ๆ จนได้ใบที่เป็นชื่อเราส่งให้ไป น้องเค้าก็ไม่พูดไม่จา เดินไปหยิบกุญแจ พร้อมกับพาเราไปยังห้องพัก

ห้องพักของเราเป็นห้องที่อยู่ช่วงกลางของตึก มีประตูที่สามารถเดินไปยังสระว่ายน้ำได้เลย เฟอร์นิเจอร์ในห้องก็เป็นไม้ธรรมดา มีซิ้งค์ซึ่งใช้ทำอาหารและเครื่องใช้ในครัวอยู่ในลิ้นชัก ก็จัดได้ว่าโอเค แต่ไม่ค่อยประทับใจตรงที่มันไกลนี่แหละ แล้วตอนดึก ๆ จะไปกินข้าวไงเนี่ย

รูปโรงแรมจากวิวสระว่ายน้ำ

อันนี้เป็นวิวจากห้องนอนค่ะ ที่เห็นลิบ ๆ นั่นรู้สึกจะเป็นเกาะอีกเกาะหนึ่ง

ตอนแรกตั้งใจว่าจะออกไปเช่าคอว์ตไบค์มาขับเลย เพื่อไม่ให้เสียเวลา แต่พอเห็นเตียงนอนนุ่ม ๆ น่านอนก็อดใจไม่ไหว เพราะเมื่อคืนก็ไม่ค่อยได้นอน สุดท้ายมองหน้าคุณ H ต่างคนต่างนอนกันดีกว่า เดี๋ยวไม่มีแรงซ่าคืนนี้

เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบ ถูกปลุกให้ตื่นจากภวังค์ด้วยเสียกระเพาะร้องของเราเอง 5555 มีนาฬิกาในตัวก็เงี้ย ถึงเวลาไม่ได้กินต้องส่งเสียงเตือน เราก็เลยรีบปลุกคุณ H เพื่อชวนกันเข้าเมืองไปเช่ารถขับดีกว่า

เดินออกมาจากห้องเจอน้องคนเดิม ตอนนี้รู้แล้วว่า ที่แกไม่ค่อยพูดนะ เพราะแกพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วตูจะถามข้อมูลยังไงหละเนี่ย สุดท้ายใช้ภาษาใบ้ จนได้เบอร์ร้านที่ให้เช่ารถ กะว่าจะเช่าแล้วให้เค้าขับมาให้ที่โรงแรมเลย แต่สุดท้ายเช่าไม่ได้ เพราะคุณ H ดันไม่เอาใบขับขี่มา เพราะคิดว่าไม่ต้องใช้ ส่วนเรานะไม่ได้อยู่แล้ว เพราะใบขับขี่สากลทำไม่ทัน ไม่มีเวลาไปทำก่อนจากเมืองไทยมา เราก็เลยเซ้ง และกำลังกลุ้มว่า จะเอาไงกับชีวิตดี แล้วฉันจะไปเที่ยวยังไง ให้นอนอยู่โรงแรมทั้งวัน ไม่ได้หรอกนะ เสียเงินมาเที่ยวทั้งที คุณ H ก็ปลอบให้ใจเย็น ๆ ค่อยไปหาร้านใหม่ในเมืองดีกว่า

ซักพักมีอีกหนุ่มนึงขับรถเข้ามา แนะนำตัวว่าเป็น Hotel Manager เราก็เออ นึกว่าเป็นน้องเด็กหนุ่มนั่นซะอีก คนมาใหม่นี้ท่าทางพูดภาษาอังกฤษใช้ได้ เค้าอาสาพาเราไปส่งในเมือง แถมพาตระเวนหาร้านให้เช่ารถด้วย สุดท้ายไม่มีใครให้เราเช่าเลย เพราะเราไม่มีใบขับขี่ เราก็แย้งว่าที่อื่น อย่าง Spetses ไม่เห็นต้องใช้เลย ทำไมที่นี่ต้องหละ เค้าก็บอกว่า ที่นี่ตำรวจดุมาก และถ้าร้านไหนให้คนไม่มีใบขับขี่ ตำรวจก็จะปรับเจ้าของด้วย เป็นเงิน 400 ยูโร ขนาดเช่าจักรยานยังต้องมีใบขับขี่เลย กำลังเศร้าใจกับชีวิต เพราะไม่อยากเดินเล่นแค่ใน FIRA นะ อยากไปที่อื่นด้วย โดยเฉพาะ IA ซึ่งเพื่อนบอกสวยนักหนา สุดท้ายคุณ H คงรู้ว่าเราอารมณ์เริ่ม บ่ จอย เค้าก็เลยเสนอว่า ไม่เป็นไร เราไปเรียกแท็กซี่ก็ได้นะ อยากไปไหนก็ได้เหมือนกัน ไม่ต้องกังวล (เราก็เอ แล้วงบการเที่ยวตรู ไม่บานปลายไปไหนต่อไหนหรือนั่น ขนาดนั่งมาจากสนามบิน แท็กซี่ยังฟันไปตั้ง 20 ยูโรเลย) ไหนบอกว่าต้องเก็บตังค์ เอาเงินมาใช้ฟุ่มเฟือย ได้ไงหละ

กำลังเดินคอตก คิดหาวิธีการและหาแท็กซี่ พลันสายตาเหลือบไปเห็น ออฟฟิศของ Tourist Information ก็เลยชวนคุณ H เข้าไปถามเค้าดีกว่า เผื่อเค้าจะมีรถให้เราเช่า หรือมีทัวร์ไปเที่ยวรอบเกาะ เจอสาว (ตัว) ใหญ่สองคน ท่าทางใจดี พอเราบอกความประสงค์ของเรา เค้าก็ตอบกลับมาว่า ทำไมเราไม่ไปขึ้นรถบัสหละ ประหยัดกว่ากันตั้งเยอะ ไม่ต้องไปเช่ารถ หรือแท็กซี่ให้เมื่อยตุ้มหรอก อยากไปไหน รถบัสก็มีไปทั้งนั้น แล้วก็มีวิ่งเกือบทั้งวันเลย

โอ ดีใจมากเลย ในที่สุ่ด เราก็ไปเที่ยว Explore เกาะได้เหมือนเดิม หลังจากสอบถามทางเป็นที่เรียบร้อยเราก็รีบบึ่งไปยังสถานีรถบัสอย่างเร็ว พอไปถีงมีรถกำลังจะออกไป IA ซึ่งเป็นสถานที่ขึ้นชื่อ พอดี ตอนแรกเราอิดออดเพราะอยากไปตอนเย็นกว่านี้ เนื่องจากเพื่อนบอกว่าไปดูพระอาทิตย์ตกที่ IA นะสวยที่สุด แต่คุณ H บอกว่าไปเถอะ ไม่ต้องไปรอรถคันอื่นให้เสียเวลา ไอ้เราก็กลัวจะอดไป ก็เลย ไปก็ไปวะ เสียค่ารถคนละ 1.6 ยูโร

รถวิ่งออกไปตามถนนหลักซึ่งมีแค่สายเดียวไปทางเหนือเพื่อมุ่งหน้าไปยัง IA ระหว่างทางเราก็จะเห็นป้ายรถเมล์เป็นระยะ ๆ

เพื่อให้เข้าใจกระทู้นี้และการเดินทางของเราสองคน ก็จะขอโพสต์แผนที่คร่าว ๆ ให้ชม ซึ่งตอนนี้เรากำลังมุ่งหน้าไปทางเหนือสู่หมู่บ้าน IA (หรือ OIA) ค่ะ

Santorini เป็นหมู่เกาะที่เป็นส่วนหนึ่งของ Cyclades Islands ซึ่งอยู่ใต้สุดพอดี ประกอบด้วยเกาะหลัก SNATORINI (THIRA) และเกาะเล็ก ๆ อีก 4 เกาะ คือ Thirasia, Aspronissi (ซึ่งไม่มีในแผนที่), Palea Kameni และ Nea Kameni ซึ่งสองเกาะสุดท้ายเป็น Volcanic Islands หรือภูเขาไฟที่ดับแล้ว (แก้ไขตามคำแนะนำของคุณกระทู้ที่ 14)

Santorini อยู่ไม่ไกลจากเกาะ Crete ซึ่งเป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดของกรีซ หากนักท่องเที่ยวมาเที่ยว Crete ก็สามารถซื้อ One Day Tour มาเที่ยวที่ Santorini ได้ แต่ในความเห็น เราว่าไหน ๆ มาแล้ว อยู่เที่ยวซักสองสามวัน ดีกว่า เพราะว่าที่ Santorini มีอะไรให้ดูเยอะแยะ เที่ยวไม่เบื่อเลยค่ะ

ในที่สุดรถบัสก็พาเรามาสุดถนนที่จัตุรัสกลางหมู่บ้าน ซึ่งรายล้อมด้วยร้านขายของที่ระลึกและร้านอาหาร เราก็ เอ เอาไงดีหละ เป็นกะเหรี่ยงมาก ๆ เดินไปมั่ว ๆ ตามทางเดินที่เห็นนักท่องเที่ยว ไปเยอะ ๆ แล้วกัน

บ้านส่วนใหญ่ที่นี่จะเป็นสีขาวน่ารักและก็มีแต่ถนนแคบ ๆ เป็นถนนขึ้น ๆ ลง ๆ เราเดินกันไปเรื่อย ๆ ซึ่งก็จะเห็นร้านขายของที่ระลึกให้นักท่องเที่ยวเป็นย่อม ๆ กระจายอยู่ทั่วไป

เดินไปเดินมา ชักหิวเข้าจริง ๆ และเวลาคนโมโหหิวนะ น่ากลัวมาก ซึ่งคุณ H รู้ดี ว่าถ้าไม่รีบหาอาหารมาใส่ปากเรารับรอง ได้มีทะเลาะกันแน่นอน ก็แหมมันปาเข้าไปบ่ายโมงครึ่งแล้ว จะไม่ให้หิวได้ไง เดินไปใช้สัญชาตญาณช่วย มาเจอป้ายร้านอาหาร ชื่อ POKA เราตัดสิ้นใจเดินตามลูกศรไป เดินไปเลี้ยวสองรอบ ไม่เจอแฮะ เจอลูกศรบอกทางต่อ ไอ้ร้านอาหารมันอยู่ตรงไหนเนี่ย อย่างกะเล่นเขาวงกต เลี้ยวไปมาอีกสองสามทีเราก็มาเจอร้านเล็ก ๆ มีแค่ 5 โต๊ะอยู่ที่ระเบียงซึ่งมองเห็นวิวทะเลได้ถนัด พอเข้าไปสื่อภาษาว่ามากินข้าว ปรากฎมีคนรีบเดินออกมาจากครัวบอกว่า อาหารยังไม่เสร็จ ให้มาอีกซัก 40 นาที อะไรเนี่ย จะบ่ายสองอยู่แล้ว ไม่กินข้าวเที่ยงกันหรือไงเนี่ย (คนกรีกกินข้าวเที่ยงตอนบ่ายสอง และข้าวเย็นตอนสี่ทุ่ม โดยประมาณ ดังนั้น ถ้าเข้าร้านเร็วแล้วเค้าบอกว่าไม่มีอาหารไม่ต้องตกใจค่ะ แต่ถ้าเป็นตามเมืองใหญ่ หรือร้านอาหารต่างชาติก็อาจเปิดเร็วกว่านี้ เช่นพวกร้านฟาสต์ฟู๊ด จะเปิดตลอด แต่เราไม่เข้าค่ะ ไม่นิยม)

เราอยากจะนั่งรอ จนร้านเปิด เพราะจากกลิ่นที่ลอยมา รับรองได้ว่า อาหารอร่อยชัวร์ แต่คุณ H ซิ บอกว่าเสียเวลา ไปเดินเที่ยวดีกว่า ก็ได้ เพราะถ้าให้เรานั่งรอ โดยมีกลิ่นมายั่ว เราคงต้องไปทะเลาะกับพ่อครัวแน่เลย
สุดท้ายไปเดินเที่ยวดีกว่า ภาพบรรยากาศของถนนเล็ก ๆ ในOIA

โบสถ์สีสันสดใส

เดินมาจนถึงจุดชมวิวที่คนนิยมไปถ่ายรูป วิวด้านขวามือเป็นแบบนี้ค่ะ

ไปดูวิวทางซ้ายบ้างดีกว่า

ส่วนมุมที่เราจะเห็นกันบ่อย ๆ ก็น่าจะเป็นมุมนี้นะคะ จริง ๆ วันนั้นตอนเราไปที่เอีย ท้องฟ้าไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ (มันสวยได้กว่านี้นะ ถ้าเป็นมาตรฐานของกรีซ) เพราะจริง ๆ อีกซักพักฝนก็จะตกแล้ว

จากมุมเดิมเรามองลงไปข้างล่างก็จะเห็นท่าเรือของหมู่บ้านเอีย ซึ่งจริง ๆ แล้วเราก็สามารถไปถึงได้โดยรถยนต์ แต่เนื่องจากเราไม่มีรถ เราก็เลยต้องค่อย ๆ เดินลงไปตามทางค่ะ

พอเราเดินลงมาเรือย ๆ พอเรามองขึ้นไปด้านบน เราจะเห็นว่า มันมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่สองส่วน คือ ส่วนที่เป็นบ้านสีขาว และส่วนที่เป็นซากปรักหักพังของบ้านเก่า ซึ่งแทบดูไม่ออกว่า แต่เดิมมันเคยมีลักษณะเป็นอย่างไร

และด้วยความที่คุณ Herve เป็นคนที่ซุกซน ชอบออกนอกเส้นทาง ถ้าแกสงสัยอะไรแกต้องไปดู แกก็เลยยืมกล้อง G9 ของเราไปซูมดู เผื่อว่าแกจะพบ Track ที่เดินไปได้นอกจากไปตามทางบันได แล้วแกก็ไปตามเส้นทางใหม่ที่พบ

เดินไต่เขาไปเรื่อย ๆ เฉียดตกเขาก็หลายที จนกระทั่งไปเจอโบสถ์ร้างแห่งนี้ จริง ๆ มันก็ไม่สวยอะไร แต่เราว่ามันมีประวัติที่น่าสนใจนะ เราพยายามหาคนพื้นเมืองเพื่อถามแล้ว แต่เหมือนไม่มีใครตอบเราได้เลย สงสัยต้องไปอีกรอบ จะได้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติม
และเราก็ได้วิวทะเลนี้ที่เราถ่ายจากโบสถ์ร้างมาฝาก


ภาพหมู่บ้านเอียจากจุดที่ต่ำกว่า (แต่ไม่ต่ำเท่ากับที่ท่าเรือนะคะ ถ้าถ่ายที่นั่น สงสัยต้องใช้เลนส์ซูมอย่างเริ่ด แทนกล้อง G9)

เราเดินต่อมาเรื่อย ๆ จนถึงท่าเรือ มีร้านขายของเล็ก ๆ ซึ่งคุณ H ไปขอซื้อรองเท้าแตะ บอกว่าอากาศร้อน ใส่ผ้าใบไม่ไหวแล้ว หลังจากนั้นเราก็ตรงดิ่งไปเล็ง ๆ ร้านอาหารทันที ไม่รอแล้ว หิวจนจะกินคนได้ 3 คนแล้ววุ้ย

สั่งอาหารเสร็จพนักงาน เอาน้ำแร่ที่เราสั่งมาเสิร์ฟ ถ่ายมาเพราะเห็นว่ามันคล้ายกับ น้ำแร่ Pierre ที่คุณ H ชอบนักชอบหนา คุณ H เห็นขวดหัวเราะใหญ่บอกว่า ของเลียนแบบ แต่พอได้ดื่มเข้าไป ก็บอกว่า ไม่เป็นไร เพราะอร่อยเหมือนกัน พร้อมยิ้มแช่งว่าจะซื้อมาฝากเพื่อนคนฝรั่งเศสที่เมืองไทย

วันนี้ขอกินน้อยกว่าปรกติ เพราะตั้งแต่มากินไม่ได้หยุด แถมกินเยอะทุกมื้อ จนลำไส้เริ่มแสดงอาการว่าเหนือ่ย เราสั่ง สลัดบีทรูท สลัดซานโตรินี่ และพาสต้าทะเล มาแชร์กันสองคน

อาหารก็คล้าย ๆ ที่อื่น แต่อร่อย ที่แปลกก็คือ สลัดซานโตรินี่ ซึ่งเหมือนสลัดกรีกทุกประการต่างกันก็แค่มะเขือเทศที่เป็นพันธุ์เฉพาะ ปลูกที่นี่เท่านั้น แล้วก็ใส่ใบอะไรไม่รู้มาด้วย ชิมแล้วไม่อร่อยเลยไม่อยากจำชื่อ

มะเขือเทศที่ซานโตรินี่มีความพิเศษ คือ เค้าจะขุดเป็นหลุม ๆ เพื่อปลูกมะเชือเทศในหลุม (เหมือนกับการปลูกไวน์ในช่วงแรก) เพื่อนบอกว่าที่ทำแบบนี้เพราะเนื่องจาก ซานโตรินี่ไม่ค่อยมีน้ำหน้าดิน ก็เลยต้องขุดดิน เพื่อให้เกิด condensation ในเวลากลางคืน และเพื่อให้รากได้ดูดน้ำจากในดินลึก ๆ ซึ่งเป็นน้ำแร่จากภูเขา เราฟังก็ไม่ค่อยเข้าใจนะ เลยถ่ายทอดได้แค่นี้ หากมีท่านใดที่มีความสามารถด้านการเกษตร มาช่วยเฉลยก็จะเป็นพระคุณยิ่งค่ะ

มาดูหน้ามะเขือเทศกันดีกว่า หน้าตาประหลาดเชียว แถมมีทุกขนาดด้วย แต่รับรอง อร่อยมาก ๆ

หลังจากที่เรากินอาหารจนอิ่มแล้ว เราก็สั่งน้ำส้มมากินกันคนละสองแก้ว และกาแฟเย็นอีกคนละหนึ่ง ก็อากาศมันร้อนต้องหาอะไรเย็น ๆ มาดับกระหายซักหน่อย นั่งดูคนเดินไปมาซักพัก แอบถามพนักงานเสิร์ฟว่าไปว่ายน้ำที่ไหนได้บ้าง เค้าบอกว่าให้เดินไปเรื่อย ๆ ทางซ้ายมือของร้าน จะมีหาดเล็ก ๆ อยู่ สวยใช้ได้ทีเดียว เราเดินไปจนสุดทางเดิน ไม่เห็นมีหาดอย่างที่เค้าบอกเลย (หรือว่านี่คือชายหาด สำหรับคนกรีก)

ไม่เป็นไร น้ำสะอาดน่าว่ายเล่นอยู่ แถมมีคุณป้าคุณลุงชาวสแกนฯ อยู่สองสามคู่ เราก็เลยไปขอจอยกับเค้าด้วย คุณ H เหมือนเดิม ว่ายน้ำไปซะไกลเชียว ว่ายจนไปถึงอีกเกาะที่อยู่ใกล้ ๆ คงเพราะว่ามันเป็นเวลาที่น้ำลงพอดี ถ้าคนว่ายน้ำเก่ง ๆ ก็ว่ายไปได้ ส่วนเรา ไม่เอาอะ แค่มาว่ายน้ำทะเลที่ไม่มีชายหาดก็เสียวจะแย่ ขอเม้าท์อยู่กับคุณป้าทั้งหลายดีกว่า เราเล่นน้ำกันจนพักใหญ่จนควรแก่เวลา เราก็เลยเดินกลับขึ้นไปที่จตุรัสกลางหมู่บ้าน เพื่อที่จะกลับไป Fira และอาจจะหารถไปเที่ยวที่อื่นต่อ

เราชอบบ้านของคนที่นี่นะ เพราะมันดูเล็ก ๆ น่ารักดี บ้านเค้ามันตลก ๆ นะ เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกว่าบ้านได้หรือเปล่า แต่คงต้องเรียกว่ากลุ่มบ้าน เพราะบางครั้งเราจะเห็นว่า ระเบียงหน้าบ้านที่ไว้ชมวิวไม่ได้อยู่ติดกับตัวบ้าน แต่มีถนนกั้นกลางอยู่ หรือแม้ว่าบ้านจะเป็นสองชั้นก็ต้องขึ้นบันไดจากนอกบ้าน อย่างบ้านในรูปเนี่ยเราเห็นว่าน่ารักดีเลยถ่ายรูปมา พอเจ้าของบ้านเห็นก็มาส่งภาษาอะไรไม่รู้ ฟังไม่ออก (ตอนแรกนึกว่าเค้าไม่พอใจ) ที่ไหนได้ระหว่างที่ยืนเอ๋ออยู่ เค้าก็เอาน้ำมายื่นส่งให้ ซาบซึ้งมากเลย คุณ H ได้แต่บอกว่า อยากย้ายมาอยู่ที่กรีก ซะเดี๋ยวนั้นเลยทีเดียว

ร้านอาหารนี้ สีสันดูสดใสน่าเข้าไปกินจัง แต่เราสองคนก็ไม่ได้แวะ เพราะยังอิ่มอยู่ คุณ H เดาว่าที่นี่อาจเป็นเคยเป็นโบสถ์มาก่อน เพราะมีไม้กางเขนอยู่บนหลังคาบ้าน เราเดินกลับไปที่ป้ายรถเมล์ ในใจก็ได้แต่คิดว่า อยากมาที่ OIA อีกในวันพรุ่งนี้ คุณ H erve จะว่ายังไงน้า

เดิน เดิน เดิน แถมฝนก็เริ่มตกแล้ว แต่เม็ดเล็ก ๆ พอเดินได้ โชคดีนะเนี่ย ถ่ายรูปไปได้เยอะแล้ว ถ้าฝนตกตอนมาถึงหละก้อ หัวเด็ดตีนขาด ฉันไม่ไปไหนต่อแน่จนกว่าจะได้รูป พอเรามาถึงที่ป้ายรถเมล์ รถก็กำลังจะออกพอดี เราต้องวิ่งตามรถแทบไม่ทัน พอขึ้นมาบนรถได้ ฝรั่งคนอื่น ๆ ในรถปรบมือให้เรากันใหญ่ เราก็อะไรฟะ ตรูวิ่งตามรถเห็นเป็นเรื่องตลก ก็มีฝรั่งคนหนึ่งเค้าบอกว่า เห็นฝนตกแล้ว และคนขับก็แกล้งขับไปช้า ๆ เค้าก็ลุ้นอยู่ว่าเราจะได้ขึ้นรถมาหรือเปล่า เพราะถ้าเราพลาดเที่ยวนี้เราต้องรอไปอีก 1 ชั่วโมง อะไรฟะ มีงี้ด้วย แกล้งผู้โดยสาร

แล้วเราก็กลับมาที่ท่ารถของเมือง FIRA เช่นเคย (ขอเรียกว่าท่ารถแล้วกัน เพราะมันเป็นแบบนั้นจริง ๆ ให้จินตนาการถึงท่ารถต่างจังหวัดที่ไหนซักแห่งในเมืองไทย ที่จะมีรถบัสจอดรอคิวอยู่เป็นแถวเป็นแนวนะคะ)

ที่ท่ารถจะมีบอร์ดสีดำซึ่งจะติดตารางการเดินรถไว้คอยบอกเวลารถออกจาก FIRA และออกจากสถานที่ปลายทาง ซึ่งมีประโยชน์มากเลยทำให้เราสามารถวางแผนการเดินทางได้ถูก ไม่ต้องมานั่งรอไปเรื่อยไร้จุดหมาย

ตอนนี้สี่โมงแล้ว ทำอะไรดีหละ ไม่มีไอเดีย จำได้แค่ว่า เพื่อนแนะนำให้ไปกินอาหารกลางวันที่ Red Beach เพราะวิวดีอาหารอร่อย แต่อาหารก็กินแล้ว ไม่เป็นไร ถ้าวิวสวยเราไปว่ายน้ำเล่นอีกรอบก็ได้ รถจะออกตอนประมาณห้าโมงสิบห้า มีเวลาชั่วโมงนึง ไปเช็คเมล์ดีกว่า

คราวนี้เราเสียค่ารถประมาณ 1.8 ยูโร แพงกว่าไปเอีย แต่ก็นับว่าราคาไม่แพง แถมค่อนข้างสะดวก นั่งไปซักพักก็มีคุณลุงมาสะกิดคุยด้วย ถามว่ามาจากไหน พอเราบอกไปแกก็ถามอีกว่าทำไมมาเล่นน้ำเอาป่านนี้ รถเที่ยวสุดท้ายหมดสองทุ่มนะ เราก็บอก โอ้ยชั่วโมงเดียวเหลือแหล่ ไม่อยู่จนดึกหรอกค่ะ คุยไปคุยมาลุงบอกว่าลุงเป็นเชฟที่ร้านอาหารที่ red beach ให้ไปแวะหา จะเลี้ยงกาแฟ แนะซะงั้น ทำไมคนกรีกนี่ใจดีเหลือหลาย เลี้ยงของคนแปลกหน้าตลอดเลย เราดีใจใหญ่ แต่คุณ H นะขำ บอกว่า เค้าเห็นเธอเป็นลาวนะสิ ถึงได้อยากเลี้ยงดูปูเสื่อ อะไรเนี่ย แทนที่จะชมว่า ฉันมนุษยสัมพันธ์ดี มาแซวว่าเป็นลาวซะนี่ เออ จริง ๆเราก็มีเชื้อสายลาวจากทางคุณพ่อนะเออ

เรานั่งรถไปประมาณ 45 นาที เราก็มาถึง Red Beach แต่ไม่เข้าใจว่ามันสวยตรงไหนเนี่ย หาดมีแต่หินสีดำ แล้วตรูจะกล้าเล่นน้ำได้ไงหละ

จริง ๆ หาดนี้น่าจะชื่อ Black Beach มากกว่า เพราะมันเป็นสีดำ เดินย้อนกลับไปตรงที่เป็นใจกลางชุมชนก็เห็นป้าย Akritori Site เราก็เลยอยากไปดูรู้สึกว่า มันจะเกี่ยวกับบรรพบุรุษของคนบนเกาะนี้ แต่นะ Akritori Site ปิดตั้งแต่บ่ายสอง มิวเซียมอะไรเนี่ยปิดแต่หัววันเชียว นี่ไม่ใช่หน้าหนาวนะ

ในเมื่อไม่มีอะไร เราก็ต้องไปที่ชายหาด คุณ H บอกให้ลองเดินเลียบหาดไปเรื่อย ๆ โดยเราไปทางที่ไม่มีร้านอาหารตั้งอยู่ เผื่อจะมีที่ให้เราได้ลงเล่นน้ำได้ เราก็ว่าไงว่าตามกัน เดินไปเรื่อย ๆ ได้มาหยุดแถว ๆ นี้ แล้วก็วางของทิ้งไว้ พร้อมทั้งกระโจนลงน้ำ จริง ๆ มันก็ไม่เลวร้ายอย่างที่คิด แถมเราชอบมากกว่าเล่นน้ำที่หาดทรายอีก เพราะว่าเราสามารถนั่งบนหินที่อยู่ในน้ำได้ และคลื่นก็ไม่ค่อยแรง เลยเหมือนเล่นน้ำอยู่ในจากุชชี่ขนาดใหญ่ คุณ H นั้น ก็ตามเคย ว่ายออกไปกลางทะเลเลย พอซักพักก็มานั่งเล่นกับเรา พร้อมทั้งเก็บหินมาดู หินที่นี่สีแปลกดีดูจากชายหาดเหมือนเป็นสีดำ แต่พอลงไปในน้ำแล้วหยิบมาดูกลับเป็นสีต่าง ๆ ทั้งสีเขียว สีฟ้า สีส้ม เราอยากเก็บมา แต่สุดท้ายก็ทิ้งไว้อย่างเดิม ไม่กล้าหยิบติดมือมานะ เสียดาย เดี๋ยวธรรมชาติมันจะหายไป

เดินย้อนกลับมาเพื่อจะรอรถ เจอคุณลุงเชฟ เค้าก็เลยเลี้ยงกาแฟเรา แบบหนึ่งเป็นแบบปั่น และอีกแบบเป็นกาแฟเย็นใส่นม คนกรีกเรียกว่า frappe

เราขอบคุณคุณลุง ด้วยการให้เงินบาทไปเป็นแบงค์ร้อย แล้วบอกให้คุณลุงเก็บมาใช้ที่เมืองไทย พอเรากินกาแฟเสร็จรถก็มาพอดี เราเดินทางกลับไปยังทางเดิม (ก็ถนนมันมีแค่ไม่กี่สาย สายหลักก็มีแค่สายเดียว)

หน้าตาของถนนในเกาะ Santorini

พอเรามาถึงที่ท่ารถ เราก็ตั้งใจว่าจะลองเดินกลับโรงแรมดู นั่งรถมาสองรอบแล้ว เราน่าจะจำทางได้ เราเดินลงไปตามเขาด้านตะวันออกของเกาะเรื่อย ๆ ก็ชักงง เพราะถนนมันจะเล็ก ๆ และวนไปวนมา เริ่มไม่แน่ใจว่าจะไปยังไง แต่เพราะเรามองเห็นอาคารโรงแรมอยู่ไม่ไกล เราก็เลยเดินไปตามทางที่คิดว่าน่าจะเป็นไปได้ ใช้เวลาทั้งสิ้นไม่น่าจะเกินสิบนาที

พอมาถึงน้องผู้จัดการ (ซึ่งชื่อ Nikos) ก็เข้ามาถามไถ่ ถึงเรื่องการผจญภัยของเรา เราคุยกับเค้าเล็กน้อย พร้อมกับให้เค้าแนะนำร้านอาหารซึ่ง Nikos ก็แนะนำให้เราไปกินที่ Dionysos ซึ่งอยู่ในย่าน Shopping Street

คุณ Herve ชวนว่ายน้ำเล่นในสระ ก็ดีเหมือนกัน มีสระว่ายน้ำพร้อมวิวสวย ๆ ต้องใช้บริการซะหน่อย พอเสร็จอาบน้ำแต่งตัว ตายละหว่า นี่มันจะสองทุ่มครึ่งแล้ว จะไปทันดูพระอาทิตย์ไหมเนี่ย เรารีบเร่งคุณ Herve ให้ออกไปที่ในเมือง FIRA แม้ไม่ได้เห็นวิวพระอาทิตย์ตกที่ OIA ที่เค้าว่าสวยนักหนา ฉันก็ขอดูพระอาทิตย์ตกที่ FIRA แล้วกัน เราเดินกันมาโดยมีจุดมุ่งหมายตรงที่เป็นหน้าผาที่สามารถมองเห็นวิว Caldora ได้ พอมาถึงก็เกือบจะไม่ได้เห็นแสงของพระอาทิตย์เสียแล้ว

เดินเล่นแถวนั้นซักพัก ท้องร้องอีกแล้ว เราก็เลยต้องตามหาร้าน Dionysos แต่ Direction ที่น้อง Nikos ให้มามันไม่ค่อยเคลียร์กว่าเราจะหาร้านเจอก็เสียเวลาไปเป็นครึ่งชั่วโมง แถมต้องถามทางไปเรื่อย ๆ ดีว่าคนที่นี่นะอัธยาศัยดีมาก ๆ

เรามาถึงร้าน หน้าตาดูดี แถมคนค่อนข้างแน่น เดินเข้ามายังไม่ทันได้ห้าก้าว ก็มีบริกรเข้ามาบริการ เค้าเป็นคนที่อัธยาศัยดีมากและก็มี Service mind มาก ๆ ด้วย เราให้เค้าแนะนำทั้งอาหารและไวน์มาให้ ซึ่งที่นี่ทำให้เราค้นพบไวน์ Nikteri ซึ่งสุดท้ายเราก็ขนกลับมาฝากเพื่อนที่เอเธนส์และเมืองไทยเป็นครึ่งโหล อาหารที่เราสั่งในวันนี้ก็มีหลายอย่าง คือ มะเขือเทศสอดไส้ เห็ดอบเนย ปลาหมึกย่างใส่น้ำมันมะกอกกับมะนาว มีทบอลราดซอสมะเขือเทศ และ Dionysos salad

ดีใจได้มา Santorini เกาะก็สวย คนก็น่ารัก แถมอาหารยังอร่อยอีกด้วย

อาหารมาแล้ว จานแรกเป็นมะเขือเทศยัดไส้

ตามด้วย เห็ดอบเนย อันนี้คุณบริกรเค้าบอกว่าเด็ด เมนูแนะนำ เหมาะกับเราซึ่งต้องการลดอาหารและกินอะไรเบา ๆ ไม่หนัก

จานถัดมาก็เป็นหนวดปลาหมึกย่างค่ะ ก็อร่อยมากเหมือนกัน จริง ๆ อาหารทะเลที่กรีซอร่อยทุกอย่าง คุณ H ผู้ซึ่งไม่ fancy กับการกินอาหารทะเล และเกลียดปลาหมึกเป็นชีวิตจิตใจ ยังชอบมากเลย บอกว่าถ้าเป็นที่กรีซหละก็กินได้

นอกจากอาหารและไวน์แล้ว เราประทับใจบริกรมาก ๆ เลย เรากับคุณ H พนันกันว่าเค้าเป็นคนชาติอะไร เราทายถูกว่าเค้าเป็นคนอิตาลี สอบถามได้ความว่าเค้าจะอยู่ที่ Santorini 6 เดือน แล้วก็จะไปอยู่ที่บ้านเกิดคือ Milan อีก 6 เดือน เพราะเค้าชอบ Santorini มาก เค้าบอกว่าไม่เคยมาเมืองไทย แต่ได้ยินว่ามีชายหาดที่สวยมาก ถ้ามีโอกาสเค้าก็อยากมาเที่ยว มื้อนี้เราจ่ายค่าอาหารไปประมาณ 60 ยูโร ซึ่งถือว่าไม่แพงเลยเพราะมีไวน์ด้วย (ไวน์ Nikteri ที่เรากิน ถ้าเป็นร้านอื่น เค้าคิดขวดละ 25 - 30 ยูโรค่ะ แต่รู้สึกร้านนี้จะคิดแค่ 18 ยูโร แต่ถ้าไปซื้อในซุปเปอร์มาร์เก็ต ก็เหลือขวดละ 8.75 ยูโรเท่านั้น เราก็เลยหอบมา 6 ขวด)

กินข้าวเสร็จ แวะดื่ม Mojito ที่ผับใกล้ ๆ ร้าน Dionysos นั่งดูดาวไปด้วย เฮ้อ มีความสุขจัง อยากให้นาฬิกาหยุดหมุนซะนาทีนั้น นั่งดื่มด่ำบรรยากาศพอสมควร เราก็เดินกลับโรงแรมที่พัก

พูดถึงโรงแรมที่เราพักเนี่ยก็ดีเหมือนกัน เพราะมันอยู่ไม่ไกลจาก FIRA และก็เดินทางสะดวก แต่ขณะเดียวกันก็แยกออกมาซักหน่อย พอให้มีความรู้สึกเป็นส่วนตัวไม่แออัดจนเกินไป คุณ H นะชอบโรงแรมนี้มาก เพราะความที่เค้าไม่ชอบอยู่ในที่จอแจ

วันนี้เราก็หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย (อีกเช่นเคย)


Create Date : 15 มีนาคม 2557
Last Update : 15 มีนาคม 2557 15:09:55 น. 0 comments
Counter : 716 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.