The journey is my life

Travel Animal
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




เป็นคุณแม่มือใหม่ที่รักการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ เคยเป็นคนโสดที่รักอิสระและชอบเที่ยว ไปได้ทั้งแบบแบ็คแพ็ค ลุย จนถึงแบบชิลด์ ชิลด์ จิบกาแฟ

แม้ช่วงนี้จะสนใจเรื่องครอบครัวและการเลี้ยงดูลูกเพื่อให้เติบโตเป็นคนดีในอนาคต คุณแม่มือใหม่คนนี้ก็ยังพยายามหาเวลาว่าง ให้ตัวเองสามารถมีกิจกรรมร่วมกับเพื่อนที่มีครอบครัวและเพื่อนสาวโสดอยู่ตลอดเวลา

งานอดิเรก รักการเดินทาง อ่านหนังสือ ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจหากบล๊อกนี้จะเน้นเรื่องเที่ยวและเรื่องกิน
New Comments
Group Blog
 
 
มีนาคม 2557
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
15 มีนาคม 2557
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add Travel Animal's blog to your web]
Links
 

 
มาราธอน ตะลุยยุโรปใต้ (France, Spain and Greece) # ตอนที่ 2 เส้นทางสู่กรีซ เมืองพันเกาะ Acropolis

วันที่สิบสอง (11 Jun 08)

วันนี้เราจะไปเที่ยวอีกเกาะ คือเกาะ Hydra ซึ่งเราต้องไปขึ้นเรือ ของ hellennic Seaway ที่ท่าเรือใน Ermioni เราก็เลยถ่ายรูปท่าเรือที่ Ermioni ตอนที่แสงแดดเป็นใจ



ส่วนพาหนะที่เราใช้ก็คือ ferry ของ Hellenic seaway ที่กรีซนักท่องเที่ยวมักนิยมนั่งเรือ Ferry แล้วแวะเที่ยวไปตามเกาะต่าง ๆ การเดินทางระหว่างเกาะก็สะดวกสบาย และมีเรือชนิดต่าง ๆ ให้บริการตลอด อีกทั้งค่าโดยสารก็พอจ่ายได้

ที่กรีซ มีเกาะเยอะแยะมากมาย ให้จำชื่อทั้งหมดคงไม่ไหว ที่ดัง ๆ และคนไทยรู้จักก็คือ Santorini ซึ่งเราจะไปกันในวันศุกร์ และ Mykonos ซึ่งเป็นเกาะที่ถือได้ว่าเป็นสวรรค์ของเหล่าคนสีม่วงหรือเกย์ จริง ๆ แล้วช่วงที่เราไปเค้าก็มีการจัด เทศกาลเกย์ เราพยายามจองห้องพักแต่ไม่ได้เลย แถม Ferry ก็เต็มหมด สงสัย คนคงแห่กันไปเที่ยว เหมือนคนแห่ไปสงกรานต์ที่เชียงใหม่ เราก็เลย ต้องตัดใจ ไว้คราวหน้าฟ้าใหม่ ค่อยไป Explore เกาะมิโคนอสแล้วกัน

เรานั่งเรือมาประมาณ 20-25 นาที เราก็มาถึง Hydra เกาะนี้เป็นหนึ่งในหลาย ๆ เกาะของแถบ Saronic Islands ซึ่งตามประวัติ เกาะนี้ถูกสร้างโดยกลุ่มโจรสลัดที่อาศัยอยู่ในทะเลแถบนี้ พวกเค้าจะเอาทรัพย์สมบัติมาไว้ที่เกาะนี้ และก็สร้างเมือง บนเกาะจะมีประวัติเกี่ยวกับการทำสงครามระหว่าง ชาวกรีกบนเกาะ และทหารตุรกี

ต่อมา Hydra มีชื่อเสียงมากขึ้น เมื่อคนทำภาพยนตร์ในฮอลลี่วู๊ด มาใช้เกาะทำโลเคชั่นในหนังเรื่อง Boy on A Dolphines ในช่วงปี 1950s แล้วหลังจากนั้น นักแต่งเพลง ภาพยนตร์ ก็หลั่งไหลกันเข้ามา เพื่อหาบรรยากาศในการสร้างผลงานต่าง ๆ สุดท้าย เหล่า เซเล่บคนดัง และเหล่าไฮโซ ก็พากันมาตากอากาศกันที่นี่ แต่เดี๋ยวนี้ใคร ๆ ก็สามารถมาที่ Hydra ได้ แม้แต่ โลโซ จากเมืองไทย อย่างเรา

ม้า ลา และล่อ เป็นยานพาหนะที่นิยมบนเกาะนี้ เนื่องจาก ไม่มีรถบนเกาะเลย นอกจากจักรยาน แถมพื้นที่ส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเขาโอบล้อมท่าเรือ อยู่ด้านใน เพื่อนบอกว่าเป็นยุทธศาสตร์ที่ข้าศึกโจมตีได้ยากในสมัยโบราณ

ลาตัวนี้กำลังทำหน้าที่ของมัน เพื่อขนเอากระเป๋าสัมภาระของนักท่องเที่ยวไปส่งที่โรงแรมค่ะ

อีกมุมหนึ่งของท่าเรือ ซึ่งเป็นที่สำหรับจอดเรือ นักท่องเที่ยวที่มาจากสแกนดิเนียเวีย มักนิยมเช่าเรือยอร์ชพร้อมคนขับ แล้วก็ขับเรือไปเรื่อย ๆ โดยแวะจอดตามเกาะต่าง ๆ hydra ก็เป็นเกาะอันดับต้น ๆ ที่นักท่องเที่ยวต้องมาแวะชม

เราเดินเล่น ไปเรื่อย ๆ จนขึ้นไปถึงเนินซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ ก็พบปืนใหญ่ เข้าใจว่า คนสมัยก่อนใช้โจมตีศัตรูที่เข้ามาประชิดเกาะ

ร้านอาหารบรรยากาศน่านั่ง อยู่ที่ริมผา

ชายหาดเล็ก ๆ เพียงแห่งเดียว ที่เราสามารถเรียกมันว่าชายหาดได้ อยู่ไม่ไกลจากท่าเรือ

เมื่อไม่มีหาด มีแต่น้ำทะเลใส ๆ เค้าก็เลยสร้างมันขึ้นมา โดยการเทปูน แล้วให้นักท่องเที่ยวมานอนอาบแดดแบบนี้

เราอยู่เที่ยวกันจนเย็นก็ได้เวลา ต้องกลับบ้าน โดยเรือ ferry ของ Hellennic Seaway เหมือนเดิม

นักท่องเที่ยวมักได้รับการแนะนำให้จองเรือไว้ก่อนล่วงหน้า โดยเฉพาะในหน้าร้อน ที่จะมีนักท่องเที่ยวแห่กันมาเที่ยวทะเลกรีซกันมาก เพราะที่นี่เค้าจะไม่รับคนจนเกินจำนวนที่นั่ง

วันที่สิบสาม (12 Jun 08)

วันนี้เรากลับเอเธนส์กันแล้ว จริง ๆ เพื่อนบอกว่า ยังมีสถานที่ที่น่าท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง แต่เราไม่มีเวลาเลย

ระหว่างทางเรามาแวะเที่ยวที่ Ancient Epidauras ซึ่งตามตำนานเล่าว่า เมืองนี้สร้างโดย Asclepius ซึ่งเป็นลูกชายของ Apollo และ Coronis ซึ่งตามตำนาน Asclepius คือเทพเจ้าแห่งการแพทย์ (God of Medicine) แม้ว่า Apollo จะยึดเมืองนี้มาได้ในช่วง Mycenean และ Archeic แต่นับตั้งแต่ศตวรรษที่ 4 เป็นต้นมา Epidauras ก็เป็นที่รู้จักในนามของสถานที่เกิดของ Asclepius และสุดท้ายที่นี่ก็เป็น สุสานของ Asclepius ด้วย

สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุด ไม่ใช่ผังเมือง แต่เป็น Theatre ซึ่งสร้างในปลายศตวรรษที่ 4 ก่อน BC ได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่ยังสมบูรณ์อยู่มากของประเทศกรีซเลยทีเดียว โดยเฉพาะระบบเสียง ซึ่งกล่าวว่า หากเหรียญตกที่กลางเวทีด้านล่าง คนที่อยู่ด้านบนสุดก็จะสามารถได้ยินอย่างชัดเจน โรงละครนี้จุคนได้ทั้งสิ้น 14000 คน

ประตูทางเข้าทั้งสองถูกสร้างใหม่ ด้วย Corinthian Pilasters และในช่วงฤดูร้อนของทุกปี ช่วงเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม จะมีการจัดคอนเสิร์ตขึ้นที่นี่ด้วย

เราเดินเล่นบริเวณ Santuary Site เราก็พบว่ามีสนามซึ่งใช้เป็นการแข่งขันกีฬา ในสมัยกรีกโบราณในช่วงแรก คนที่สามารถเข้าแข่งขันต้องเป็นผู้ชายชาวกรีกเท่านั้น ต่อมาถึงมีการอนุโลมให้คนโรมันและคนอียิปต์เข้าร่วมได้ โดยในการแข่งขัน ผู้เข้าแข่งขันต้องถอดเสื้อผ้าออกให้หมด เพื่อความปลอดภัย และแสดงความบริสุทธิ์ใจว่าไม่มีอาวุธซ่อนอยู่ (ต๊าย อยากไปเกิดในสมัยนั้นจัง รับรองไปเป็นกองเชียร์ทุกรอบเลย)

โดยจะมีกรรมการถือเชือกว่า พอได้ยินเสียงกลองกรรมการก็จะปล่อยเชือก แล้วนักกีฬาก็สามารถออกตัววิ่งออกไปได้

รูปด้านบนเป็นรูปสมัยก่อน แต่ตอนนี้สนามแข่งหน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

หลังจากนั้นเราก็ไปแวะเที่ยว Corinth canal ซึ่งสร้างขึ้นโดยการตัดภูเขาออกไป ทำให้ทะเลLonian และทะเล Aegean เชื่อมต่อกัน

เราจะเห็นชัดขึ้นเมือเราอยู่บนสะพานที่ข้ามคลองนี้

หลังจากที่เราแวะเที่ยวแถว Corinth Canal แล้ว เราก็ขับรถมุ่งหน้าสู่เมืองเอเธนส์ เราขับรถรวดเดียวใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงหนึ่งก็มาถึง Central Station ซึ่งอยู่ใจกลางเมืองแถวถนนที่เป็นย่านธุรกิจ (เทียบไปคงเหมือนถนนสาธร) แล้วเราก็เอารถไปจอด เพื่อที่เราจะได้เดินทางในเมืองด้วยรถไฟใต้ดินแทน ซึ่งสะดวกกว่า

ต้องขอชมการคมนาคมภายในเมืองเอเธนส์ซักหน่อย ว่าค่อนข้างสะดวกและราคาไม่แพง (ถูกกว่าที่ Bordeaux ครึ่ง ๆ เลยหละ) แถมสถานีส่วนใหญ่ก็จะมีที่จอดรถขนาดใหญ่อยู่ใต้ดินไว้ให้บริการ และถ้าใครมาจอดรถเพื่อขึ้นรถไฟใต้ดินก็จะได้ส่วนลดพิเศษ (ซึ่งคล้าย ๆ กับบ้านเรา)

เรานั่งรถไฟไปแค่สถานีเดียว ก็มาถึง สถานี Acropolis ซึ่งเป็นสถานีทีไม่ใช่เป็นแค่สถานีรถไฟใต้ดินเท่านั้น แต่เค้ายังจัดเป็นพิพิธภัณฑ์เล็ก ๆ แสดงเกี่ยวกับ Acropolis ด้วย ซึ่งน่าสนใจมาก และนอกจากนี้ก็ยังทำให้สถานีนี้ดูดี ไฮโซไปกว่าสถานีอื่น ๆ

จุดหมายแรกของเราไม่ใช่ Acropolis แต่เป็นร้านอาหารค่ะ เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้องเท่านั้น เพื่อนพาเราไปกินที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ห่างจากตลาดเก่า หรือย่าน Plaka ชื่อร้าน Palea Athina ร้านนี้เป็นร้านมีชื่อมากโดยเฉพาะอาหารกรีกแบบดั้งเดิม ตอนที่เราไป แม้ว่าจะเป็นเวลา บ่ายสามโมงครึ่ง ซึ่งเลยเวลาอาหารเที่ยงมาแล้ว โต๊ะก็ยังเต็มเกือบหมด

คราวนี้เราสั่งอาหารมาเยอะอย่างเคย แต่ที่พิเศษก็คือปลาซาร์ดีนย่างเกลือ ซึ่งเวลากินก็กินกับน้ำมะนาว และกินไปทั้งตัวได้เลย เพื่อนสั่งมาให้เนื่องจากเจ้าของร้านบอกว่า ชาวประมงเพิ่งเอามาส่งให้ไม่เกินครึ่งชั่วโมง ซึ่งแสดงว่ามันสดมาก และอีกจานคือ Chicken Soup ซึ่งหน้าตาเหมือนกับข้าวต้มไก่ทุกประการ ต่างกันที่เรากินเป็นอาหารเช้า แต่คนกรีกกินเป็นอาหารเรียกน้ำย่อย เท่านั้นเอง
หลังจากนั้น เราก็เดินไปที่ Acropolis โดยที่เราไม่เดินกลับทางเดิม แต่เลือกที่จะเดินอ้อมเป็นวงกลม เพื่อเดินชมร้านรวง และถือเป็นโอกาสในการเลือกซื้อสินค้าไปด้วยในตัว ของฝากก็มีเยอะแยะมากมาย ตั้งแต่พวงกุญแจ ถ้วยกาแฟ แก้วน้ำ เสื้อยืด คล้าย ๆ กับบ้านเรา แต่ดีไซน์สามารถแยกได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ คือ ประเภทแรกจะเป็นรูปแบบของศิลปะแบบกรีกโบราณ รูปแบบที่สองเป็นดีไซน์มาจากสถานที่ท่องเที่ยว ซึ่งส่วนใหญ่ก็หนึไม่พ้น เสาของวิหาร Parthenon ใน Acropolis หรือ บ้านสีขาวหลังคาสีฟ้าของชาวเกาะซานโตรินี่ ส่วนแบบสุดท้าย จะเน้นหนักไปทางศาสนา ซึ่งกึ่ง ๆ ระหว่างคริสต์และยิว หรือพวกนิกายกรีกออร์โธดอกซ์

พวกเรายังไม่ได้ซื้ออะไร นอกจากสืบราคาอย่างเดียว กรีซนี่ก็เหมือนประเทศกำลังพัฒนาทั่วไป (ต่างตรงที่ได้เป็นสมาชิก EU ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นโชคดี หรือโชคร้าย) ดังนั้นการตั้งราคาต่าง ๆ ก็ไม่เป็นมาตรฐาน ราคาสามารถต่างกันได้ลิบลับ และสามารถต่อรองราคาได้ในบางร้าน หากใครมีโอกาสไป ก็ขอให้เดินดูหลาย ๆ ร้านก่อนตัดสินใจนะคะ

ของฝากนอกจากเป็นพวกของที่ระลึกแล้ว พวกฟองน้ำ (ซึ่งว่ากันว่า เป็นฟองน้ำธรรมชาติ เก็บมาจากทะเล) ก็เป็นที่นิยม เราเองก็ซื้อมาแจกเพื่อนหลายอัน ซึ่งมีพี่คนหนึ่งที่ออฟฟิศ เค้าบอกว่า ถ้าซื้อเมืองไทยราคาอยู่ประมาณ 600-700 บาท (เค้าซื้อไว้อาบน้ำลูกเค้านะคะ) แต่เราซื้อมาในราคาประมาณ 80-100 บาท สำหรับไซส์เล็ก นอกนี้ก็จะมีพวกเครื่องเทศ และเฟตต้าชีสที่ขึ้นชื่อมาก ถ้าใครเป็นนักดื่มไวน์ เราขอแนะนำให้ซื้อติดไม้ติดมือกลับมาค่ะ เพราะไวน์ที่กรีซนะอร่อยใช้ได้ทีเดียว แม้ว่าชื่อเสียงจะยังสู้ของฝรั่งเศสหรืออิตาลีไม่ได้ก็ตาม เพื่อนบอกว่ารัฐบาลค่อนข้างให้การสนับสนุน แถมยังมีนักลงทุนชาวออสเตรเลีย เข้ามาพัฒนาธุรกิจนี้ในกรีซกันมาก ดังนั้นผลิตภัณฑ์ที่ได้ก็จะมีลักษณะที่ผสมผสาน ระหว่างยุโรปซึ่งเป็นไวน์โลกเก่า และออสเตรเลียซึ่งเป็นไวน์โลกใหม่ค่ะ ส่วนตัวเราชอบ Nikteri ซึ่งเป็นไวน์มาจาก Santorini ไวน์อันนี้ได้รับรางวัล และได้รับการควบคุมคุณภาพด้วยนะคะ (สังเกตจากฉลากสีทอง) รับรองว่าหากหาซื้อไม่มีทางได้ของเสีย หรือของปลอมแน่นอนค่ะ

นอกจากนี้ ถ้าใครเป็นคนบ้ากระเป๋าหนัง กระเป๋าที่กรีซนี่ก็คุณภาพดีและราคาย่อมเยาด้วยค่ะ แม้ว่าบางร้านตอนแรกดูหน้าตาซำเหมา แต่พอเข้าไปดูรายละเอียดของแล้วจะเห็นเลยว่าฝีมือใช้ได้เลย แต่เราไม่ได้ซื้อติดมาหรอกค่ะ ไม่มีเวลาไปเดินเลือกนะ

ระหว่างทางเราก็เดินผ่านโบสถ์ซึ่งมีความสำคัญมาก แต่จำชื่อไม่ได้ว่าชื่ออะไร แต่น่าจะเป็น Athens Cathedral ภายในโบสถ์วิจิตรงดงามมาก รายละเอียดสวยมากกว่าที่วาติกัน และชิ้นงานแกะสลักทุกอย่างจะขลิบทอง เสียดายที่เราไม่สามารถถ่ายรูปด้านในมาได้ ก็เอารูปประตูไปดูก่อนแล้วกันค่ะ

มองเห็น Acropolis อยู่ลิบ ๆ แล้วค่ะ

ก่อนที่เราจะเดินไปถึงทางเข้า Acropolis เราก็เห็นยอดเขานี้ ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในเอเธนส์ และจากยอดเขานี้เราก็จะเห็นวิวของเมืองเอเธนส์ทั้งเมืองในวันที่อากาศสดใสค่ะ ชื่อของยอดเขานี้ก็คือ Lykavittos Hill ซึ่งในคืนสุดท้ายก่อนเรากลับเมืองไทย เราก็จะได้ไปดูคอนเสิร์ตร็อค ของ Mark Knopfler ที่ Lykavittos Theatre กลางแจ้งนี้ด้วย

จุดแรกที่เรามาแวะชมก็คือ Theater of Herodes Atticus ซึ่งสร้างโดยเศรษฐีชาวโรมันเพื่อไว้อาลัยให้แก่ภรรยาของเขา ซึ่ง Theatre นี้ก็ตั้งตามชื่อของเขานั่นเอง สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในปี 161 AD และก็มีการค้นพบหลักจากที่ถูกปล่อยร้างไป (เหมือนโบราณสถานหลาย ๆ แห่ง ที่นี่) ในช่วงปี 1857 และการบูรณะปฎิสังขรก็แล้วเสร็จในปี 1950

Theatre of Herodes Atticus จะเปิดให้คนเข้าได้ในเฉพาะช่วงที่มีการแสดงเท่านั้น ซึ่งตอนที่เราไปก็มีการแสดงบรอดเวย์ของดาราดังจากฝรั่งเศส คุณ Herve เค้าบอกว่า ป้าคนนี้ดังมาก แต่เราไม่รู้จักแหะ

เนินเขาเล็ก ๆ นี้เป็นเนินเขาที่อยู่ระหว่าง Acropolis และ Ancient Agora (Agora แปลว่า ตลาด ค่ะ) ถ้าเป็นช่วงพระอาทิตย์ตกดินจะมีนักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปอยู่กันบนนี้ เพื่อรอถ่ายรูปมหาวิหาร Parthenon ตอนพระอาทิตย์ตกดิน เราเองก็อยากไป ติดอยู่ที่เพื่อน ๆ ไม่เอออวยด้วย คุณ H บอกให้ไปซื้อโปสการ์ดมาดูแทน หนอย..... ไม่เข้าใจหัวใจคนชอบถ่ายรุปเลยวุ้ย

เราเดินมาเรื่อย ๆ ก็จะมาถึง Propylaia ซึ่งเป็นเหมือน Hall ทางเข้า ก่อนที่จะถึงมหาวิหาร Parthenon คงเหมือนท้องพระโรงที่เหล่าขุนนาง จะมารอเวลาจะเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ในสมัยก่อน หอนี้สร้างโดย Mnesicles ในปี 437-432 BC ตัวอาคารจะประกอบด้วยหอกลางและปีกด้านเหนือและด้านใต้ มีทางเข้าทั้งสิ้น 5 ประตู แต่ประตูกลางจะเป็นประตูใหญ่สุดที่นำไปสู่ ทางเดินที่เรียกว่า Panathenaic Way ซึ่งจะลาดไปยัง Upper City (หรือวิหาร Parthenon นั่นแหละ) อีกทีหนึ่ง เพดาน (ในสมัยก่อน) จะมีการวาดเป็นรูปดาวสีทอง บนพื้นท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม ปีกทางด้านเหนีอเคยเป็น Art Gallery (pinakotheke) ในขณะที่ปีกด้านใต้ จะเชื่อมต่อกับ Temple of Athena Nike (หากใครไม่ทราบว่าเทพไนกี้ หน้าตาเป็นอย่างไร ให้จินตนาการถึงเทพเจ้ากรีก แล้วใส่ปีกเพิ่มไป จริง ๆ เพื่อนคนกรีกเค้าก็อ้างว่า ไอ้เจ้ารองเท้าไนกี้นะ เอาชื่อมาจากกรีก และถ้าเราสังเกต เราก็จะเห็นเครื่องหมายการค้าของไนกี้ มีลักษณะคล้ายปีก...... ก็คงจริงมั้ง จริงไม่จริงอย่างไรต้องรอ ผู้รู้มาเฉลย)

Propylaia ยังคงสภาพอยู่ได้จนถึงปลายศตวรรษที่ 13 ก็เริ่มทรุดโทรม จากการบุกรุกของชนเผ่าต่าง ๆ ที่เข้ามายึดครอง (หากใครสนใจประวัติศาสตร์ ลองศึกษาดูจะรู้ว่า กรีกถูกคนหลายกลุ่มเข้ามาครอบครอง ตั้งแต่ โรมัน เตอร์ก ตุรกี รัสเซีย และคอมมิวนิสต์) Propylaia เสียหายอย่างหนักแทบไม่เหลือซากในศตวรรษที่ 17 เนื่องจากทหารตุรกีเก็บอาวุธและดินระเบิดที่ใช้ในสงครามที่นี่ แต่ถูกโจมตีจากทางอากาศ ผลก็คือ Acropolis แหลกเป็นจุล (นี่แหละน้า..... ภาษาบ้านเราต้องเรียก หัวล้านได้หวี ไม่เห็นค่าของดีที่มีอยู่ สู้รบกันอยู่ได้) แต่โชคยังดีที่ คุณ Heinrich Schiliemann (เป็นใครก็ไม่รู้) แกเห็นค่า ออกเงินบูรณะเมื่อช่วงปี 1909-1917 และนอกจากนี้ Propylaia ก็ได้รับการซ่อมแซมเพิ่มเติมภายหลังสงครามโลกครั้งที่สอง

และตอนนี้ก็กำลังซ่อมแซมอยู่ภายใต้งบประมาณของ UN และ EU ค่ะ

ในรูปเป็น Panathenaic Way และ มหาวิหาร Parthenon

ทางเดิน Panathenaic Way จะเป็นทางเดินที่อยู่กึ่งกลางของ Acropolis พอดี ซึ่งเป็นทางเดินแห่แหนของผู้คนในเทศกาล Panathenaic procession ซึ่งจัดขึ้นเพื่อบูชาเทพี Athena ซึ่งชาวกรีกเชื่อว่า เป็นผู้สร้างเมือง คนต้นคิด ไมทราบแน่ชัดว่าเป็นใคร ระหว่าง Erichthomius หรือ Theseus การเฉลิมฉลองจะมีสองแบบ แบบแรก เล็ก ๆ จัดขึ้นทุก ๆ วันครบรอบวันเกิดของ Athena และแบบที่สองยิ่งใหญ่ หรือ Great Panathenaic Festival จัดขึ้นทุก ๆ 4 ปี (แต่ยังเป็นวันเกิดของ Athena เหมือนเดิม) รายละเอียดในการจัดขบวนจำไม่ได้แล้ว หากผู้ใดสนใจก็หาอ่านเอาเพิ่มเติมแล้วกันนะคะ

ส่วนทีสำคัญสุดและเป็น highlight ก็คือ มหาวิหาร Parthenon ชื่อ Parthenon แปลว่า บริสุทธิ์ (virgin's apartment) เป็นวัดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (ที่ได้มีการสร้างอย่างสมบูรณ์) ในกรีกและเป็นวัดเพียงแห่งเดียวที่มีการสร้างด้วย Pentelic Marble ทั้งหลัง (ยกเว้น หลังคาซึ่งทำด้วยไม้ ตามลักษณะวัดกรีกโบราณทั่วไป) จุดที่ตั้งเป็นจุดศุนย์กลางของ Acropolis และเป็นจุดที่สูงที่สุดด้วย (เลยมีชื่อเล่นว่า upper city ค่ะ) รายละเอียดขอจบแค่นี้ก่อนแล้วกัน เพราะเดี๋ยวจะเบื่อซะก่อน หากใครสนใจก็หาอ่านเพิ่มเติมได้ เราเองก็จะไปซื้อหนังสือนิยายที่คุณ Patj แนะนำเหมือนกัน เผื่อว่าจะได้ความรู้มากขึ้น ไปคราวหน้าจะได้ซาบซึ้งกินใจยิ่ง ๆ ขึ้นไปอีก

คุณ Herve บอกว่า รูปปั้นของชาวกรีกโบราณมักโดนคนที่เข้ามายึดภายหลัง ตัดหัว ตัดมือ ตัดเท้า เพราะเห็นว่าเป็นความเชื่อที่ว่า ปิดการสื่อสารติดต่อกับเทพเจ้านะคะ จริงเท็จเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ถ้าใครไปเที่ยวก็จะเห็นว่าเป็นแบบนั้นจริง ๆ แม้แต่รูปปั้นเทพเจ้าที่อยู่เหนือประตูของวิหาร Parthenon สงสารเทพเจ้าพวกนี้จังเลย

นอกจากนี้ยังมีบางกระแสบอกว่า ช่วงที่กรีซเปิดประเทศใหม่ ๆ หลังจากที่เป็นคอมมิวนิสต์มานาน ก็มีนักท่องเที่ยว และคนกรีกเอง แอบลักลอบ ตัดศรีษะของเทพเจ้า หรือส่งออกพวกวัตถุโบราณที่ขุดพบ คาดว่าโบราณวัตถุที่เหลืออยู่ที่กรีซตอนนี้ น่าจะเป็นแค่หนึ่งในร้อยนะคะ ส่วนที่เหลือก็ถูกส่งออกไปยังส่วนต่าง ๆ ของโลก เห็นเค้าว่ากันว่า โกดังที่มีโบราณวัตถุของกรีกเยอะสุดก็คือพิพิธภัณฑ์ในอังกฤษ ซึ่ง UN เค้าก็ทำเรื่องขอคืนเพื่อเอามาไว้ที่เดิม ที่ที่มันเคยอยู่ ก็เอาใจช่วยให้สำเร็จค่ะ

พอเราเดินไปทางขวามือของวิหาร Parthenon เราก็จะเห็นวิวเมืองเอเธนส์ พร้อมทั้งซากปรักหักพังของ Theatre of Dionysos โรงละครนี้คาดว่าน่าจะสร้างราวศตวรรษที่ 6 BC ซึ่งในสมัยก่อนใช้เป็นสถานที่ในการจัดงานเทศกาล Festival of the Great Dionysia to Athens ในระหว่างเดือนมีนาคม ถึงเมษายน เทศกาลนี้จะมีการแข่งขันของเหล่าชายหนุ่มที่แต่งตัวด้วยหนังแพะ เทศกาลนี้โด่งดังมากในช่วงยุคทองของศตวรรษที่ 5 BC กลายเป็นกิจกรรมสำคัญที่ต้องมีการลงไว้ในปฏิทินกันเลยทีเดียว ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ในงานจะสปอนเซอร์โดยนักการเมืองและเหล่าขุนนางของเมืองเอเธนส์

โรงละครแห่งนี้สร้างขึ้นใหม่ด้วยหินและหินอ่อน โดยช่างชื่อ Lycurgus ระหว่างปี 342-326 BC สามารถจุคนได้ 17000 คน ที่นั่งแบ่งเป็นชั้น ๆ จำนวน 64 ชั้น ซึ่งปัจจุบันจะเห็นซากเหลืออยู่แค่ไม่เกิน 20 ชั้น ที่นั่งจะถูกสร้างโดย Piraeus Limesstone โดยเป็นที่นั่งของคนทั่วไป (ยกเว้นที่นั่งแถวหน้าเพียงแถวเดียวซึ่งสร้างด้วย Pentelic Marble และที่นั่งจะมีพนักพิง ซึ่งมีไว้ให้ข้าราชการและบาทหลวงนั่งเท่านั้น จำนวน 67 ที่นั่ง) ที่นั่งใหญี่ตรงกลางจะเป็นที่นั่งสำหรับ Priest of Dionysos ในสมัยโรมัน โรงละครนี้ถูกใช้ในงานพิธีที่สำคัญต่าง ๆ ของเมือง และใช้เวลามีการแสดงด้วย

มองเลยไปจะเห็น Temple Of Olympian Zeus ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นวัดที่ใหญ่สุดในกรีซและใช้เวลาในการสร้างร่วม 700 ปี โดยเริ่มสร้างตั้งแต่ศตวรรษที่ 6 BC โดย Peisistratos และต่อมาผู้นำกรีกก็ช่วยกันสร้างมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งถึงยุคของกษัตริย์ Hadrian ในปี AD 131

ลักษณะเด่นก็คือเสา Corinthian Columns ซึ่งสูงประมาณ 17 เมตร และมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.7 เมตร จำนวนทั้งสิ้น 104 เสา (แต่ปัจจุบันเหลืออยู่แค่ 15 เสา เท่านั้น) กษัตริย์ Hadrian สั่งให้มีการสร้างรูปปั้นของเทพเจ้า Zeus ไว้ในวัดนี้ และยังให้มีการปั้นรูปของพระองค์ใหญ่เท่าพระองค์จริง ตั้งไว้ข้าง ๆ ด้วย (ปัจจุบัน คิดว่ารูปปั้นนั้นน่าจะอยู่ที่ National Archaeological Museum)

ถ้าเราเดินต่อไปเรื่อย ๆ จะเห็นอาคารหลังหนึ่งซึ่งอยู่ทางด้านหลังของมหาวิหาร แต่ก่อนเป็น Acropolis Museum แต่ตอนนี้เนื่องจากต้องมีการซ่อมแซม Acropolis เป็นการใหญ่ และเพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนักโบราณคดี รัฐบาลกรีกก็เลยไปสร้างพิพิธภัณฑ์ใหม่ซึ่งอยู่ทางด้านล่าง ไม่ไกลจากทางเข้า Acropolis แทน

สิ่งที่เราประทับใจมากที่สุดไม่ใช่มหาวิหาร Parthenon (แม้ว่าจะยอมรับในความยิ่งใหญ่อลังการ และจินตนาการถึงสมัยก่อนก็เถอะ) แหมจะให้ชอบได้อย่างไร หากคุณมาเที่ยวแล้วเห็นนั่งร้านเหล็กเกะกะไปหมด แถมบางครั้งก็จะมีเสียงหมาเห่ามาเป็นระยะ ๆ คุณ H ให้ข้อสังเกตว่า เสียงหมาเห่า เนี่ยเป็นเสียที่อัดเทปไว้ เอาไว้ขู่ไม่ให้คนเข้าไปในวิหาร เพราะมีการก่อสร้าง เนื่องจากตามธรรมชาติของหมาหรือสุนัข มันควรจะต้องมีเห่าแบบดุ เห่าแบบดีใจ และก็ต้องมีหยุดพักด้วย นี่อะไร เห่าเสียงเดียวได้ตลอดเป็นชั่วโมงไม่มีเหนื่อย

อะเข้าเรื่องว่าเรา ประทับใจเทพีทั้งหก ที่ยืนเอาหัวค้ำหลังคา ของ the Southern portico of the Erichtherion ค่ะ เราว่าพวกนางทั้งหกเนี่ยเท่ห์ดี (เสียดายโดยตัดมือจนกุดเลย)

ตามตำนาน (อีกแล้ว .... อย่างว่า เราไม่รู้จริง ก็อ้างตำนานไว้ก่อน ผิดจะได้ไม่มีใครว่า 55555) สถานที่นี้เป็นที่ที่ Poseidon เจาะดินด้วยฉมวกสามง่าม (ซึ่งเป็นอาวุธประจำตัวของ Poseidon) เพื่อให้เทพเจ้า Athena ได้ปลูกต้นมะกอก มาถึงตรงนี้ขอเล่าประวัติย่อซักเล็กน้อยว่า

เมืองเอเธนส์ถูกค้นพบโดยชาว Phoeneiian ที่ชื่อว่า Cecrops ซึ่งเดินทางมาที่ Attica และสร้างเมืองขึ้นบนหินใกล้ ๆ กับทะเล (น่าจะเป็นเนินเขาแถบนี้ในเมืองเอเธนส์) ต่อมาเทพเจ้า Olympus ก็อ้างว่าชื่อเมืองควรตั้งตามชื่อเทพเจ้าที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่จะเป็นประโยชน์ตกทอดให้กับมนุษย์ในยุคถัด ๆ ไป ซึ่งผู้เข้าแข่งขันที่สูสีก็มี 2 ท่าน คือ Athena (Goddess of Wisdom) และ Poseidon (God of the Sea). เทพี Athena สร้างต้นมะกอก เพื่อเป็นสัญลักษณ์ แห่งสันติและความมั่งคั่ง ในขณะที่ Poseidon ขุดดินโดยใช้ฉมวกสามง่าม ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของความแข็งแกร่ง เหล่าเทพก็เลยตัดสินให้ Athena เป็นผู้ชนะ เพราะคิดว่าต้นมะกอกของ Athena น่าจะมีประโยชน์กับประชาชนมากกว่าความเข้มแข็งของ Poseidon ขอย้อนกลับมาที่ Erechtheion ตามประวัติบอกว่า กว่าจะมีการสร้าง Erechtheion ได้ก็ปาไปหลังสงคราม Peloponnesian War ทั้ง ๆ ที่มีแผนการสร้างตั้งแต่แรก เริ่มสร้างในปี 421 BC และแล้วเสร็จประมาณ 406 BC

จุดเด่นก็คือเสาซึ่งสร้างเป็นลักษณะของหญิงสาว 6 คน ยืนทูนหัวแบกหลังคาไว้ ซึ่งแบบนี้เข้าใจว่าได้รับแรงบันดาลใจมาจากหญิงสาวจาก Karyai (หรือ Karyes) ซึ่งอาศัยอยู่ใน Lakonia

ส่วนหนึ่งของเสาที่ยังเหลืออยู่ของ Erechtheion ตอนแรกอยากถ่ายให้ติดวิวเมืองเอเธนส์เบื้องล่าง แต่พระอาทิตย์ไม่เป็นใจเลย ย้อนแสงเต็ม ๆ แถมแสงอาทิตย์ก็แรง แม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว เอาเป็นว่า ดูรูปนี้ไปก่อนนะคะ

ซากเพดานที่ยังเหลืออยู่ของ Erechtheion ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังพยายามหาชิ้นส่วนมาประกอบเพิ่มเติม

ที่กรีซ หากใครได้มีโอกาสไปเที่ยวชมโบราณสถาน หากคุณสังเกตจะพบว่า ชิ้นส่วนที่วางเกลื่อนกลาดตามทางนั้น ล้วนมีรหัสลับเป็นตัวเลข 6 หลัก เราไม่รู้หรอกว่ามันหมายถึงอะไร แต่คุณ H เดาว่า นักโบราณคดีทำขึ้นเพื่อให้ทราบว่า ชิ้นส่วนนี้มาจากไหนและมันควรจะไปอยู่ ณ ที่ใด

ห้องปีกด้านหนึ่งที่ยังเหลืออยู่ของ Propylaia ถ่ายเก็บไว้ตอนเดินลงจาก Acropolis

พอเราเดินลงมา เราก็จะเห็นทางเข้า Theatre Of Herodes Atticus พอดี ซึ่งตรงหน้าทางเข้าสามารถมองเห็นวิหาร Parthenon ที่อยู่ด้านบนได้ชัดเจน

พอเราเดินลงมา เราก็เดินเลียบข้าง ๆ Acropolis เพื่อมุ่งหน้าไปยัง Flea Market เพื่อหาซื้อของที่ระลึก ระหว่างเดินไปเราจะพบ Acropolis Musuem ที่สร้างขึ้นใหม่ (เป็นตึกรูปทรงสมัยใหม๋สีดำ) อยู่ติดกับตึกทรงยุโรปโบราณ ซึงเราไปแอบถ่ายประตูในรูปนี้มาเป็นที่ระลึก

ตึกนี้มีนักท่องเที่ยวมาแวะเยอะเหมือนกัน เพราะที่ผนังตึกจะมีรูปของโมเสสและเทพเจ้ากรีกต่าง ๆ เขียนด้วยสีน้ำมัน ศิลปินเป็นใครจำไม่ได้แล้ว รู้แต่ว่าตอนนี้รัฐบาลกรีกอยากจะทุบตึกอันนี้ทิ้ง เพราะเนื่องจากบางส่วนของตึกมันบังวิว Acropolis จากพิพิธภัณฑ์ที่สร้างใหม่ ทำให้ไม่สามารถเห็น Acropolis ได้ช้ดเจนจากพิพิธภัณฑ์ ซึ่งแน่นอน หลาย ๆ คนไม่เห็นด้วย เพราะตึกนี้รู้สึกว่าจะเก่าแก่อายุเป็นร้อยปีเหมือนกัน ตอนนี้ก็เลยมีการล่ารายชื่อเพื่อเอาไปเสนอรัฐบาล เราก็ไปลงชื่อกับเค้าด้วย เพราะยังไง ๆ ตึกนี้ก็สวยดูดี กว่าพิพิธภัณฑ์ที่สร้างใหม่เป็นกอง (ไม่รู้ว่ารัฐบาลเค้าคิดยังไงของเค้า) เสียดายตึกสวย ๆ

Acropolis ถ่ายจากหน้าตึกที่กำลังอยู่ระหว่างการต่อรองเพื่อไม่ให้มีการทุบทิ้ง

พอเราเดินมาถึง Flea Market คุณ H ขอแยกตัวไปกินกาแฟกับเพื่อน ทิ้งให้เราไปช้อปกับเพื่อนอีกคนหนึ่ง อ้างว่า เรื่องซื้อของนะคุณเค้าไม่สันทัด เราเดินเลือกซื้อของ แล้วก็มาติดใจกับรถที่มีไว้บริการนักท่องที่ยวคันนี้ หน้าตามันตลกมากเลย (เหมือนรถตุ๊ก ตุ๊ก ที่ศรีพันดอน ประเทศลาวเลย แต่ใหม่กว่า) เลยเอารูปมาให้ชม

หลังจากซื้อของเสร็จ เราไปแวะกินข้าวที่ ร้าน ๆหนึ่งในย่าน Varkiza ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้าน เพื่อไปเปิบพิสดารแชนวิชแบบกรีก ชื่อเรียกจำไม่ได้ แต่มันคล้ายกับ Kebabs ที่มีขายในเมืองไทย ที่นี่จะใช้แป้งพิต้าที่อบกำลังดี และมีให้เลือกสองอย่างคือ หมูกับไก่ และคนซื้อก็สามารถเลือกได้ว่าจะใส่เครื่องเคียงอะไรเพิ่มเติม เช่น แตงกวา มะเขือเทศ หอมแดง ใส่ซ๊อสครีมซึ่งมีรสชาดเปรี้ยว เค็ม หรือจะเลือกไม่ใส่ก็ได้

หลังจากกินเสร็จเรียบร้อย เราก็กลับบ้านไปจัดกระเป๋าเพื่อเตรียมตัวไป Santorini .....อู๊ย ตื่นเต้น จนนอนแทบไม่หลับเลย



Create Date : 15 มีนาคม 2557
Last Update : 15 มีนาคม 2557 14:41:09 น. 0 comments
Counter : 1824 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.