บ้านฉันอยู่กลางทุ่งนา มีปู่ มีย่า มีหมา มีควาย เอิงเอย!
|
||||
พ่อเล่าว่า : พ่อเลี้ยง ปี 2485 น้ำท่วมใหญ่กรุงเทพมหานคร พ่อบอกว่ายังเป็นเด็กเล็กแต่เดินวิ่งเล่นได้แล้ว ใต้ถุนบ้านน้ำนองสูงเพียงครึ่งเข่าพ่อเอากะลามาช้อนปลาเล็กปลาน้อยเล่นอย่างไม่เดียงสา ปีนั้นน้ำหลากท่วมพระนครและธนบุรีตั้งแต่เดือนกันยาจนเข้าสู่เดือนพฤศจิกาซึ่งเป็นต้นฤดูหนาว ชาวพระนครพากันเอาเรือออกพายและยังมีการจัดแข่งขันเรือพายกับเวิ้งน้ำหน้าสวนอัมพร
ปี 2488 ความสุขสงบในบ้านถนนดินสอก็หายไปพร้อมกับเสียงหวอเตือนภัย โรงเรียนสตรีวิทยากลายเป็นแค้มป์ทหารแขกมายึดเป็นทำเล ทหารแขกชอบชะแง้แลมองมาบ้านด้านหลังโรงเรียน บางวันก็ทำไม่รู้ไม่ชี้โยนขนมปังออกมาให้ชาวบ้านได้กินกัน จนเมื่อเริ่มมีเสียงหวอถี่ขึ้นอันตรายใกล้ตัวเข้ามาทุกขณะ ชาวบ้านถนนดินสอและครอบครัวของปู่ก็จำต้องอพยพหนีภัย
ปู่พาทุกคนลงเรือที่บางลำพูข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาเข้าคลองบางกอกน้อยลัดเลาะสู่บ้านญาติที่บางขุนนนท์ อยู่ไปอยู่มาญาติที่บ้านฝั่งธนก็กลายมาเป็นแม่เลี้ยงของพ่อ พ่อคงอยู่ที่นั่นต่อไปอีกหลายปี ถ้าไม่เพราะญาติฝั่งถนนดินสอทนเห็นโศกนาฏกรรมแม่เลี้ยงลูกเลี้ยง ทำนองรักลูกฉันแต่ไม่รักลูกเธอ พ่อโดนตีบ่อย จนญาติฝั่งพระนครต้องมาขอตัวกลับไปอยู่ที่ถนนดินสออีกครั้ง
ปู่ยังเดินสายเล่นลิเกไปโน่นไปนี่ไม่หยุด พ่อว่าโตจนเกือบสิบขวบพ่อก็ยังไม่มีเอกสารสำหรับฝากเข้าโรงเรียน พ่อก็เลยยังเดินเล่นโต๋เต๋อยู่แถวย่านบางลำพูแต่ยังไม่ได้เข้าเรียนหนังสือ อาศัยว่าปฏิภาณไวจำแม่นถึงแม้ไม่ได้เข้าเรียน แต่พ่อก็อ่านเขียนและคิดเลขได้คล่องแคล่ว ในขณะที่พ่อเหมือนเป็นกำพร้าเพราะแม่ล้มเจ็บ ฉันเป็นลูกคนที่สองของบ้านก็มีพี่เป็นโรคลิ้นหัวใจรั่วตั้งแต่เกิด แม่ต้องวุ่นวายกับการพาพี่วนเวียนเข้าออกโรงพยาบาลศิริราชในขณะพ่อต้องทำงานอยู่ที่จังหวัดชัยภูมิ ฉันอายุเกือบขวบแม่ก็ตัดสินใจไปหารายได้ทำงานพิเศษกิจการทำว่าวของป้าพี่สาวของพ่อที่ซอยตลาดพลู
แม่ไม่อยู่บ้าน ปู่กับพ่อช่วยกันดูแลพี่กับฉันในวัยแบเบาะ ไม่รู้ว่าผู้ชายสองคนสองวัยนี้แบ่งหน้าที่กันยังไง ทั้งหาข้าวหาน้ำชงนม ซักผ้าอ้อม อาบน้ำเด็ก แต่ผู้ชายทั้งสองคนนี้ก็เลี้ยงฉันรอดมาได้ด้วยดีไม่มีเผลอไผลทำตกทำหล่น..(ถึงแม้ว่าโตมาแล้วฉันจะตัวเล็กราวลูกกรอกก็เอาเหอะ)
ถึงพ่อจะไม่ได้หาแม่เลี้ยงให้ แต่ฉันก็มีพี่(ช่วย)เลี้ยงมากมาย
บางวันแม่ค้าขายไก่ในสถานีเอาน้องไปช่วยเลี้ยงเช้าก็พาตัวไปเย็นก็กลับมาส่ง พี่สาวขายไก่คนหนึ่งที่ช่วยเลี้ยงมีเหาก็เลยใจดีแบ่งเหาบนหัวมาให้น้องบ้าง พอบ่าย ๆ นำตัวฉันมาส่งคืนก็เลยได้เห็นตัวเหาแดงๆ เดินสวนสนามกันอยู่บนหัว เคราะห์ดีว่าตอนยังเป็นทารกฉันมีผมบางมากถึงมากที่สุดทั้งหัวมีเส้นผมอยู่ไม่กี่เส้นแถมผมยังสีจางจนมองแทบไม่ออกว่าเป็นผม เจ้าตัวเหามาอยู่บนหัวฉันกระโดดหนีไปมาทำยังไงก็หาที่หลบซ่อนไม่ได้ มันจึงมักถูกจับสำเร็จโทษบี้แบนไปอย่างง่ายดาย ..เฮ้อ .. เเจ้าหาเอ๊ย ..อยู่ที่เก่าก็ดีแล้วไม่น่าเลย..
เปรียบเทียบระหว่างเราสองคน พ่อโตมาด้วยกล้วยน้ำหว้าบดแทนน้ำนมแม่ที่ล้มป่วยจนไม่มีน้ำนมให้ลูก ฉันเติบโตมาด้วยนมกระป๋องเหตุเพราะความเจ็บป่วยของพี่ แต่เราก็มีความอบอุ่นจากสายใยรักของทั้งพ่อแม่และทีมสนับสนุนโอบอุ้มหล่อเลี้ยงใจเราไว้
พ่อมีเรื่องตลกเล่าไปหัวเราะไปแต่ฉันไม่ตลกเล่าให้ฟังบ่อยยามเห็นกล่องนม พ่อว่าวันหยุดพักผ่อนประจำเดือนพ่อมักจะหอบหิ้วพาลูกน้อยไปหาแม่ พากันนั่งรถไฟจากชัยภูมิตุเลง ๆ ตัวฉันยังเล็กแบเบาะ พ่อว่า ลูกคนนี้เลี้ยงง่าย นอนในกล่องนมได้พอดีเลย .. แล้วก็หัวเราะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า .. ตลกตรงไหนพ่อ ไม่เห็นตลกเลย แค่ตัวจิ๋ว
คนสองวัยในครอบครัวเราเหมือนกันตรงนี้เอง ผู้ชายคนแรกคือปู่หนีบลูกชายวัยรุ่นตระเวณเล่นลิเกหนีไม้เรียวแม่เลี้ยง ผู้ชายคนที่สองคือพ่อกระเตงฉันกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูและหอบหิ้วขึ้นล่องทั่วไทยเพราะภาวะเศรษฐกิจในครอบครัว อาจจะแตกต่างในรายละเอียด ที่ผู้ชายคนแรกมักชอบหาเครื่องทุ่นแรงคือแม่ใหม่มาช่วยเลี้ยง ส่วนผู้ชายคนที่สองลงมือเลี้ยงลูกเอง
.. ถ้าไม่ใช่พ่อเลี้ยง แล้วใครจะเลี้ยงหนูล่ะเนอะ .. อ่านเพลินเลยค่ะ
เคยเรียนที่สตรีวิทยา จำแถวนั้นได้ดี ถนนดินสอ ถนนพระอาทิตย์ บางลำพู เคยเดินเสียทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว สมัยนี้ถ้าได้ไปแถวนั้นอีกคงจำไม่ได้แล้ว อ้อ! นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่งค่ะ สมัยที่เรียนอยู่สตรีวิทย์ตอนนั้นมีอาจารย์อยู่คนหนึ่งเป็นสาวชาววัง เป็นแบบเช้ามาสอนหนังสือ เย็นกลับวัง ไม่เคยไปไหนเลย แม้แต่ข้ามถนนก็ไม่เคย มีอยู่วันไปกินข้าวกลางวันกับเพื่อนครูด้วยกันแล้วต้องข้ามถนนพระอาทิตย์ซึ่งเป็นเพียงถนนสายเล็กๆ สองเลนแค่นั้นเอง แกไม่กล้าข้าม ต้องเรียกรถตุ๊กตุ๊กพาแกข้ามถนน โดย: กุลธิดา (kdunagin ) วันที่: 26 กรกฎาคม 2559 เวลา:9:39:11 น.
|
ป้าทุยบ้านทุ่ง
Rss Feed Smember ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?] บ้านฉันอยู่กลางทุ่งนา มีปู่ มีย่า มีหมา มีควาย เอิงเงย
Group Blog All Blog
Friends Blog
|
|||
Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved. |
พ่อเป็นนักเดิน เมื่อต้องเลี้ยงลูกสาวจะทิ้งไว้คนเดียวก็ไม่ได้ พ่อจึงต้องพาลูกเดินไปด้วย ไปไหนไปกัน
ในวัยอนุบาลของฉัน เมื่อไรพ่อมีวันหยุดจะพากันไปย่ำต๊อกเที่ยวเมืองบางกอก นั่งรถเมล์ไปลงรถที่คลองผดุงกรุงเกษม ตระเวณหาคนรับจ้างชุบเครื่องหมาย เดินมาไกลแค่ไหนก็หายเหนื่อยเมื่อยล้าเพราะฉันชอบดู ยามเมื่อช่างลงมือทำให้เครื่องหมายโลหะสีดำด่างจะกลับมามีชีวิตชีวาเป็นสีทองวับวาวได้อีกครั้ง ด้วยกรรมวิธีที่เหมือนการเล่นกล
จบภารกิจชุบเครื่องหมายจะเป็นเวลาของการอ่าน พ่อมักพาฉันเดินลัดเลาะผ่านคลองหลอดหลังกระทรวง ไปโผล่ที่ซุ้มหนังสือหัวมุมสนามหลวง พ่อลูกเลือกหนังสืออ่านกันคนละเล่มสองเล่มตามอำเภอใจ แล้วเราก็พากันเดินไปท่าพระจันทร์ นั่งเรือข้ามฟากไปกลับระหว่างท่าพระจันทร์-ศิริราชเล่น ปล่อยให้ลมเย็นของแม่น้ำพัดโกรกจนพอใจก็ขึ้นจากเรือ เป็นอันจบโปรแกรมท่องเที่ยวของเรา
พ่อไม่มีวัยอนุบาล .. พ่อเข้าโรงเรียนเมื่ออายุสิบขวบ ..
โรงเรียนแรกของพ่อคือโรงเรียนวัดจันทาราม วัดนี้ชาวบ้านเรียกกันแต่เดิมว่าวัดบางพลัดใน คู่กันกับวัดอาวุธวิกสิตารามที่เรียกว่าวัดบางพลัดนอก
การเข้าเรียนของพ่อเป็นการเข้าเรียนแบบพิเศษเพราะปู่ยังไม่ได้ส่งเอกสารให้ทางโรงเรียน พ่อจึงไม่มีชื่อใน ต.2 ก. ซึ่งเป็นเอกสารที่บอกว่าพ่อเป้นนักเรียนของโรงเรียนอย่างเป็นทางการ
เรื่อง ต.2 ก.ของพ่อเป็นเรื่องไม้เบื่อไม้เมาระหว่างพ่อกับครูเลยทีเดียว เพราะครูประจำชั้นก็มักจะทวงถามใบเกิดของพ่อว่าเมือ่ไรปู่จะเอาไปให้
ครูทวงถามบ่อย ๆ พ่อก็ย้ายจากชั้นมูลไปนั่งเรียนห้องป.1 เรียนได้สักพักครูก็ทวงถามใบเกิดอีกเช่นเคย พ่อตอบผลัดไปผลัดมา ปู่ก็ยังไม่มีใบเกิดมาให้โรงเรียน ถามมากครั้งเข้าพ่อก็แก้ปัญหาด้วยการย้ายหนีไปเรียนที่ห้อง ป.2 แทน และเกือบจะต้องย้ายหนีไปเรียนห้อง ป.3 อีกครั้ง พอดีว่าปู่เอาใบเกิดมาให้โรงเรียนเสียก่อน เป็นอันว่าปีแรกพ่อก็อยู่ที่ห้อง ป.2
พ่อบอกว่าพ่อได้เรียนประถมแค่สองปี เข้าเรียนครั้งแรกป.2 เรียนป.3 ได้ครึ่งเทอมครูก็ปรับให้ขึ้นไปเรียนชั้นป. 4 จบหลักสูตรประถมศึกษาแค่เพียงเท่านี้
บ้านที่พ่ออาศัยอยู่ห่างจากโรงเรียนวัดบางพลัดใน ประมาณ 45 นาทีด้วยการเดิน ฝั่งธนบุรีสมัยพ่อยังเด็กเป็นเรือกสวน บ้านที่พ่ออยู่ก็เช่นกัน
ทางสัญจรมีทั้งแบบเป็นถนนดินอัดแน่น สองข้างทางเป็นท้องร่องสวนสูงท่วมหัวเด็ก ผ่านวัด ผ่านป่าช้า และบางช่วงต้องเดินข้ามสะพานไม้แคบๆ พาด ต้องมีสติตลอดเพราะเผลอไผลเดินไม่ดีอย่างเบาก็อาจตกท้องร่องสวนโคลนเลอะหัวจรดเท้า แต่ถ้าเลี้ยวผิดหลงเข้าไปในป่าช้าได้มีการหัวใจวายตายกันแน่แท้ทีเดียว
ถึงทางเดินจะลำบากและสยองขวัญแบบนี้ พ่อก็ยังอุตส่าห์เดินหลับได้
มีอยู่ครั้งหนึ่งปู่เดินนำหน้าพ่อเดินตามหลัง เดินตามกันไปเรื่อยผ่านทางแยกสายตรงกับทางอ้อม ปู่เดินไปทางสายอ้อมแต่พ่อเดินไปทางสายตรง ต่างคนต่างเดินแยกกันไปพ่อก็ยังไม่รู้เพราะหลับตาเดิน พอทางมาบรรจบกันปู่ยืนรอดูพ่ออยู่ บ๊ะ .. ไอ้นี่เดินหลับ