ธรรมดาคือธรรมดาที่แสนจะธรรมดา ธรรมดาคือธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา ธรรมชาติคือธรรมดา ที่แสนจะธรรมดาและยิ่งกว่าธรรมดา
Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
24 มกราคม 2552
 
All Blogs
 

มานะทิฐิ

“มานะทิฐิคืออะไร?”
ในทางพระพุทธ ศาสนา มานะทิฐิคือการยึดติด
เอาจิตไปเกาะไปเกี่ยว ไม่ยอมปล่อย
การยึดติดเป็นกาวเหนียวหนึบหนับนี้
หลายคนก็รู้ตัว หลายคนไม่รู้ตัว
บางคนรู้ตัวแต่วางไม่ลง
บางคนคิดว่าวางแล้ว แต่ยังไม่หมด
ซึ่งการเอาจิตไปเกาะยึดกับสิ่งใดๆ นี้
ไม่ใช่แนวทางที่จะนำไปสู่การพ้นทุกข์
หากแต่การยึดเกี่ยวมีแต่ทำให้เกิดทุกข์
พระพุทธองค์ทรงสอนให้ปล่อย ให้ละ ให้วาง
นั่น...ถึงจะเข้าสู่ทางสุขสงบที่แท้จริง




“แล้ววางอะไร ปล่อยอะไรบ้างล่ะ?”
สิ่งที่เป็นกับดัก เป็นกาวเหนียวให้จิตเราเข้าไปยึดติด
ก็คือสิ่งที่เข้ามาสัมผัสกับอายตนะทั้ง๕ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
สิ่งที่ทำให้ใจเราฟู ลอยหลง คือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข
รวมถึงติดดี ติดเก่ง ติดเลิศ ก็เป็นกับดักอย่างดี
เป็นบ่วงที่คอยบีบค่อยรัดให้เราดิ้นไม่หลุด
แต่เราสามารถหลุดจากบ่วงนี้ได้ด้วยการแกะ
นั่นอยู่ที่ว่า...

“เราได้พยายามแกะกาวเหนียวนี้ออกหรือยัง?”
“เราพยายามแค่ไหน?”
“พยายามถึงที่สุดแล้วหรือยัง?”




หลายคนยึดติดกับชาติตระกูล
คิดว่าตนเองเกิดในตระกูลที่สูงส่ง เป็นเจ้าเป็นนายคน
มีหน้ามีตา ถือตัวเองว่าสูงกว่าคนอื่นๆ เลิศลอยยิ่งกว่าใครๆ

หลายคนยึดติดกับฐานะ มั่งคั่งรำรวย
ใช้เงินซื้อทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ต้องฟังเสียงใคร
ไม่ต้องสนใจใคร สนใจแต่พวกมีเงินด้วยกัน

หลายคนยึดติดกับการศึกษา
ระดับการศึกษาสูงๆ ปริญญา ดุษฎีบัณฑิต
ถือว่าตนเองเรียนมากกว่า รู้มากกว่า
พวกไม่มีการศึกษา อย่ามาพูดให้ฟังซะให้ยาก
จะยอมรับเฉพาะพวกที่ศึกษามาในระดับเดียวกันเท่านั้น




หลายคนยึดติดกับอายุ เกิดมาก่อน ต้องรู้มากกว่าคนที่เกิดที่หลัง
คนที่เกิดที่หลังเปรียบเหมือนเด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม
มาพูดมาชี้แนะอะไรก็เชื่อถือไม่ได้

หลายคนยึดติดกับฐานะทางสังคม ยศ ศักดิ์ ตำแหน่ง หน้าที่ การงาน
ถือว่ามีตำแหน่งสูงกว่า หน้าที่การงานดีกว่า
จะสั่งให้ผู้ใต้บังคับบัญชาทำอะไรก็ได้
ให้เกียรติคนที่ตำแหน่งสูงเสมอตนเท่านั้น

ซึ่งสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้
สิ่งที่เข้าไปยึดติดว่าเป็นสิ่งที่ดีงาม ว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นความคิด ที่คิดว่าตนดีกว่า
เก่งกว่า เลิศกว่า สูงกว่าคนอื่นๆ
การกระทำที่แสดงถึงอำนาจ ที่แสดงถึงศักยภาพ
ที่คิดว่าตนเองทำได้ ที่คิดว่าตนมีค่า มีประโยชน์กว่าคนอื่น
โดยมิได้สนใจถึงผลกระทบต่อบุคคลอื่นเลย
แท้จริงมันคือมานะทิฐิ



เจ้าตัวมานะทิฐินี่จะว่าปลดยากก็ยาก จะว่าปลดง่ายก็ง่าย
ขึ้นอยู่ที่จิตของตนเองเท่านั้น
เพราะเวลาเกิดมานะทิฐิขึ้นมา
เราก็มีข้ออ้างสารพัดที่ยกมาหักล้าง
เพื่อให้เหตุผลของตนฟังดูมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ

หลายคนตั้งการ์ดมานะทิฐิ
กางร่มมานะทิฐิ
ใส่เสื้อเกราะมานะทิฐิ
บางคนถึงขนาดหลบเข้าเปลือกเข้ากระดองไปเลยก็มี
ก็ยี่ห้อมานะทิฐิอีกนั่นแหละ
เมื่อหลบเข้ากระดองไปแล้ว
ก็ไม่ค่อยจะยอมโผล่หน้าออกมาง่ายๆ ซะด้วย
ไม่รู้ว่าจะต้องรอให้ไฟลนก้นก่อนหรือเปล่าก็ไม่รู้



ไม่ต้องไปมองที่ไหนหรอก
หันมานี่ มองมาที่ผู้เขียนนี่แหละ คนๆ นี้เลยล่ะ
ผู้เขียนขอยกเอาตัวเองเป็นตัวอย่างให้เห็นกันเลย
ผู้เขียนเป็นคนดื้อมากๆ
ใครพูดก็ไม่ค่อยฟัง
คิดว่าสิ่งที่ตัวเองคิด
สิ่งที่ตัวเองทำเป็นสิ่งที่ถูก
ถ้าพูดแบบเข้าข้างตัวเองก็คงจะใช่
แต่มันก็ไม่ถูกทั้งหมด
เพราะสิ่งที่คิดว่าถูก
ก็เกิดจากการตัดสินใจจากประสบการณ์อันน้อยนิด
ของตัวผู้เขียนเอง



ผู้เขียนเป็นคนตรง
เห็นอะไรผิดเป็นผิดถูกเป็นถูก
แล้วเพื่อนๆผู้หวังดีหลายคนยังบอกว่า
ผู้เขียนเป็นประเภทขวานผ่าซาก
สักวันจะเหมือนปลาหมอ คือ ปลาหมอตายเพราะปาก
พอเพื่อนเตือนมาก็ไม่ฟังหรอก
ผู้เขียนกลับบอกว่า
“ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”
“เราไม่ได้พูดโกหกนี่น่า”
“เราไม่ผิดมันนั่นแหละผิด”




และผู้เขียนก็ยังเป็นประเภทยอมหักแต่ไม่ยอมงอ
ยิ่งกับแม่ของตัวเองนี่หัวแข็งสุดๆ
แม้พื้นฐานจะได้รับการสั่งสอนให้เป็นคนดีมาตั้งแต่เด็ก
และก็คิดว่าตัวเองเป็นคนดี
แต่ด้วยมานะทิฐิที่มีอยู่ในตัวเองค่อนข้างสูง
ก็ทำให้หลุดหลงเข้าไปในสิ่งไม่ดีหลายครั้ง
ทำให้บุพการีต้องเสียใจก็หลายหน
กว่าจะระลึกได้ว่าตัวเองผิดก็ได้รับบทเรียนมากมาย
กว่าจะคิดได้ว่าเราผิดนะ เราเลวมากเลยนะ เราไม่ควรทำแบบนี้เลย
สภาพผู้เขียนก็ย่ำแย่เต็มที โดยเฉพาะสภาพจิตใจ



แถมเกิดการกระทบกระทั่งกับผู้ให้กำเนิดจนแทบไม่มองหน้ากัน
เลยตัดสินใจว่ายังไงก็ต้องไปขอขมาพ่อกับแม่ให้ได้
แต่ก็ได้แค่คิดนั่นแหละ
เพราะใจก็ยังไม่กล้า ศักดิ์ศรีมานะทิฐิยังค้ำคออยู่
(ดูสิขนาดกับบุพการีของตนเองยังอ้างศักดิ์ศรีบ้าๆบอๆ อยู่ได้)

คิดแล้วคิดอีก รอบแล้วรอบเล่า
จิตใจถูกบีบเค้น สับสน วุ่นวาย อึดอัด ทรมาน
หลายครั้งที่คิดว่าวันนี้ล่ะจะต้องทำให้ได้
แต่ก็ถูกยกเลิกไปซะทุกครั้ง
พฤติกรรมกระยึกกระยัก ผัดผ่อนกับตัวเองหลายครั้งหลายครานี่
“เพราะอะไรรู้หรือเปล่า?”
ก็เพราะความกลัว
“กลัวอะไรน่ะเหรอ?”
กลัวเสียหน้า กลัวเสียศักดิ์ศรี



ไอ้ตัวมานะทิฐิตัวเป้งมันยืนจ้องหน้าผู้เขียนอยู่
ราวกับจะกินเลือดกินเนื้อกันซะอย่างนั้น
แถมมันร้องตะโกนบอกผู้เขียนอยู่ตลอดเวลาว่า
“เราไม่ผิด เราไม่ผิด เราไม่ผิด
แต่สิ่งที่เรากำลังคิดจะทำสิเป็นสิ่งที่ผิด
มันจะทำให้เราตกต่ำ ต่ำต้อย ไร้ค่า ไร้เกียรติ
ไร้ความสามารถ เรื่องน่าละอายแบบนี้ ไม่ใช่เรื่องที่เราต้องทำ
มันเป็นเรื่องน่าละอายมาก
ถ้าเราทำเราก็จะไม่มีหน้าไปมองใครได้อีก
มีแต่เอาหัวมุดดินไปซะ”




ดูสิ...เจ้าตัวมานะทิฐิมันกรอกหูอยู่ทุกวันแบบนี้
และมันก็ทำงานของมันก็ประสบความสำเร็จหลายครั้งด้วยสิ
มันยิ่งยื้อสภาพจิตใจผู้เขียนก็ยิ่งย่ำแย่หนัก
รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างผู้เขียนและคนที่ผู้เขียนเคารพรักที่สุด
อาจถึงขั้นแตกหักกันเลยก็ได้

กว่าผู้เขียนจะปลงใจยอมรับได้
กว่าจะฝืนใจตัวเอง
ฝืนมานะทิฐิของตนเอง
ปรับใจตัวเองให้ยอมศิโรราบได้
มันไม่ง่ายเลย
แต่ถ้าจะปล่อยให้มันยื้อกันต่อไปมันก็ไม่มีที่สิ้นสุดไม่มีวันจบ
มีแต่จะเพิ่มรอยร้าวในจิตใจ
ผู้เขียนไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์ที่ย่ำแย่กว่านี้อีกแล้ว



ในที่สุดการยื้อระหว่างมานะทิฐิกับจิตของผู้เขียนก็ถึงวันตัดสิน
วันนั้นผู้เขียนตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
หาพานดอกไม้ธูปเทียนเข้าไปกราบเท้าพ่อกับแม่
ขอขมาลาโทษท่าน
ซึ่งต้องขอบอกเลยว่าการทำตรงนี้ ณ เวลานั้นมันยากมาก
ยากเกินคำบรรยาย
เป็นการฝืนมานะทิฐิของตัวเองอย่างมาก
ราวกับว่าโลกทั้งโลกจะถล่มทลายเลยก็ว่าได้

แต่เมื่อทำแล้ว ได้กราบขอขมาท่าน
ยอมละความเป็นตัวตนของเรา
ละมานะทิฐิของเรา เอาจิตเรา
เอาศีรษะเราลงแนบเท้าผู้มีพระคุณทั้งสองท่าน
เราพังกำแพงแห่งมานะทิฐิลงได้
ผู้เขียนก็รู้สึกเลยว่าโล่งขึ้นมาก
ใจเราสงบลง
มานะทิฐิลดลง
นับแต่นั้นก็ตั้งใจทำแต่สิ่งดีๆ ไม่ทำให้พวกท่านเสียใจอีก



แต่ก็ยังมีติดๆ อยู่บ้าง
คือผู้เขียนยังมีมานะทิฐิในตัวเองอยู่อีกเยอะ
พอไปหาครูบาอาจารย์ท่านก็กระทุ้งมาอีก
ถึงได้รู้ว่ามานะทิฐิของเราแม้จะน้อยลง
แต่ยังมีอีกนะ ต้องลดลงอีกนะ ต้องทำให้หมดไปให้ได้
ตอนนี้ผู้เขียนก็ยังพยายามอยู่
และเชื่อว่าทุกท่านก็ทำได้เช่นกัน
ไม่ใช่เฉพาะกับคนในครอบครัวนะ
กับคนอื่นๆ สิ่งอื่นๆ เราก็สามารถทำได้
ลดลงเถอะนะการถือตัว
ว่าเก่งกว่า เลิศกว่า ดีกว่า รู้มากว่า ว่าเราถูก เขาผิด
เจ้าตัวมานะทิฐิมันไม่ทำให้เราเข้าสู่ทางสุขสงบได้หรอก
มีแต่ทำให้เราจมลง



ผู้เขียนขอยกเอาเรื่องราวของอาจารย์คณานันท์มาให้อ่าน
เพื่อให้ทุกท่านเข้าใจถึงการลดมานะทิฐิ
ซึ่งเป็นเรื่องราวเมื่อครั้งที่อาจารย์ได้เข้าไปฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง
ที่วัดท่าซุง จังหวัดอุทัยธานี


...จนกระทั่งถึงวันที่เป็นการฝึกมโนมยิทธิเต็มกำลัง
สำหรับผมแล้ว วันนั้น เหมือนวันที่เราขึ้นไปรับคำสั่งเรื่องงาน
เรื่องการปฏิบัติ
ที่พระท่านได้เมตตาสั่งลงมาให้เราทำในแต่ละปี
เริ่มต้นก็เป็นการขึ้นไปกราบทุกท่านให้ครบทุกๆ พระองค์
ในปีนี้มีที่พิเศษ อยู่ก็คือ พระท่านสอนให้เข้าใจอารมณ์
ในความหมายของราชาศัพท์คำว่า
"ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม"




ในการใช้ราชาศัพท์นี้ก็มีแต่จะพูดกันไปตามจารีตประเพณี พิธีการ
แต่จะมีผู้ใดเข้าใจในอารมณ์ของราชาศัพท์นี้อย่างแท้จริง
พระท่านสอนว่า

"เรานี้เป็นพุทธภูมิ ก็ย่อมมี มานะทิฐิ มากเป็นธรรมดา
ความถือตัวถือตนนี้เป็นกิเลส เครื่องกั้นในความดีทั้งปวง
เมื่ออวดดีแล้วก็ไม่อาจจะ รับความดีใดๆได้อีก
เพราะคิดว่าตนเองเก่งแล้ว วิเศษแล้ว
การจะสลายมานะทิฐินี้จำเป็นต้องเข้าใจความหมาย
ของราชาศัพท์ประโยคนี้ให้ได้เสียก่อนว่า
ประโยคนี้ มีอาการอย่างไรมีอารมณ์ใจอย่างไร"




จากนั้นท่านก็สอนโดยทำให้เห็น ได้พิจารณาว่า
"คำว่า ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท ปกเกล้าปกกระหม่อมนั้น
คืออารมณ์ใจที่ เรามีความเคารพ ยอมรับ ศรัทธาในความดี
และพระคุณของท่าน พระองค์ท่าน อย่างหมดจิตหมดใจ
มานะทิฐิสลายตัวจากหัวใจของเราไปจนหมดสิ้น
จนเราพร้อมที่จะใช้ศีรษะของเราเป็นที่เช็ดฝุ่นผงธุลี
ที่เลอะเปรอะพระบาทของพระองค์ท่านได้
อย่างรู้สึกเป็นมงคลต่อชีวิตสูงที่สุด"




ท่านก็ถามว่า "ใจเราทำได้หรือไม่"
ผมก็ใช้ศีรษะของผม ต่างผ้าขี้ริ้วเช็ดพระบาท
ของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ องค์หลวงพ่อ
รวมทั้งพระมหากษัตริย์ของไทย ด้วยความยินดี

ความรู้สึกตอนนั้น กลับรู้สึกว่า ใจสบายมีความสุข
เหมือนกับว่าจิตของเราได้ยกระดับขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง

ทุกวันนี้จึงได้กรรมฐานเช็คพระบาทพระพุทธองค์ท่านมาอีกกองหนึ่ง
ที่ทำทุกวันด้วยความยินดี




เรามาอ่านเรื่องราวที่คุณ Chdhorn กรุณานำมาเล่าเผยแพร่ต่อกันเลย

วันนี้ธรมีเรื่องจากประสบการณ์ตรงของตัวเองมาเล่าให้ฟังกันค่ะ
สมัยก่อนที่ธรจะได้ฝึกวิชชามโนมยิทธิ ธรมีนิสัยเสียมากๆ
จะเรียกว่าเลวก็ไม่ผิดค่ะ อยู่ข้อหนึ่ง
จริงๆ ต้องนับเป็นหลายข้อถึงจะถูกค่ะ

คือ ธรจะเป็นคนที่ พอไม่ชอบอะไร
เห็นใครทำอะไรที่ไม่ดีไม่ถูกต้อง (ในความรู้สึกของเราเอง)
เช่น โกงข้อสอบบ้าง
ไม่มีความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัวเองถูกสั่งหรืออาสาที่จะทำบ้าง
โกหกบ้าง

ธรจะบอกคนๆ นั้น (อ้อ! ต้องเป็นคนที่ธรรู้จักนะคะ) ตรงๆ
โดยไม่ได้คิดเลยว่ามันจะเป็นการทำร้ายความรู้สึกพวกเขามากแค่ไหน
หรือไม่สนใจเลยว่าเขาจะมีเหตุผลอะไรของเขาบ้าง
ธรถือว่า ถ้าผิดก็คือผิด



ในความรู้สึกของคนหลายๆ คน
ธรเป็นคนบ้าอำนาจบ้าง
เป็นคนขวานผ่าซากบ้าง
เป็นคนที่ไม่มีวาทศิลป์เอาเสียเลย
แต่ธรก็ไม่สนใจ
เพราะธรถือว่าสิ่งที่พูดไปนั้น คือความจริง
ธรไม่ได้โกหกใคร ไม่ได้สร้างเรื่องขึ้นมาป้ายสีให้ร้ายใคร
ธรแค่ต้องการจะชี้ให้พวกเขาเห็นว่า
สิ่งที่พวกเขากำลังทำอยู่นั้นมันไม่ถูกต้อง ก็เท่านั้น

แต่เมื่อธรได้มีโอกาสมาฝึกวิชชามโนมยิทธิ
มาศึกษาคำสอนของหลวงพ่อฤๅษี
และครูบาอาจารย์อีกหลายๆ ท่าน อย่างจริงจัง
ธรยอมรับกับตัวเองเลยว่า ธรเลวมาก เพราะ



๑.ธรเป็นใครมาจากไหน ที่บังอาจไปตัดสิน
คนนั้น คนนี้ว่าเขาผิดเขาเลว
จริงๆ แล้วคนที่เลวกว่าพวกเขา คือ ตัวธรเอง

๒.ธรไปยุ่งกับจริยาของคนอื่น
ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่คนดีควรกระทำ
เพราะการไปยุ่งกับจริยาคนอื่น (ในลักษณะที่ธรทำนั้น)
เขาเรียกว่า ไปจับผิดคนอื่น
โดยที่ไม่ว่าเราจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่เลวข้อที่ ๒

๓.ถึงแม้ธรจะถือว่าตัวเองเจตนาดี
อยากให้เขาเลิกทำในสิ่งต่างๆ เหล่านั้น
แต่นั่นเท่ากับธรฆ่าเขาทั้งเป็น
(ซึ่งรุนแรงไม่ต่างจากการลงมือเชือดคอพวกเขาเลย)
เพราะคำพูดและการกระทำของเรา
ไปทำให้เขาต้องเกิดความอับอายบ้าง
เจ็บช้ำน้ำใจบ้าง กังวล คิดมาก เป็นทุกข์
สารพัดสิ่งต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นได้
ซึ่งเราไม่รู้เลยว่า
แม้เพียงคำพูดเพียงเล็กน้อยนั้น
อาจทำให้ใครหลายๆ คน ถึงขั้นฆ่าตัวตายได้เลย
(ในกรณีของธร ถือว่าธรยังโชคดีมากๆ
ที่ยังไม่มีใครคิดถึงขั้นนั้น ไม่อย่างงั้นคนที่จะตายทั้งเป็น ก็คือ ธรเอง)



เพียงแค่ ๓ ข้อใหญ่ๆ นี้
(ข้อย่อยอื่นๆ ในความคิดของธร ก็ยังมีอีกบานตะไท)
ก็ทำให้ธรต้องหันมาพิจารณาการกระทำของตัวเองเสียใหม่

ธรพยายามทิ้งนิสัยเลวๆ พวกนั้น
แต่ก็ต้องยอมรับว่า ทำได้ยากมากๆ แต่ก็พยายาม

ยังโชคดีที่เจตนาในการทำของธร ไม่ได้คิดร้ายกับใคร
ธรจึงยังมีบุญพอที่จะเรียนวิชชามโนมยิทธิได้สำเร็จแต่
มโนฯ ก็ไม่ค่อยแจ่มชัดเท่าไหร่ เพราะจิตใจยังคงขุ่นมัวอยู่



ธรเลิกบอกใครๆ ว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ดีอย่างนั้น ไม่ดีอย่างนี้
แต่กลับเอาสิ่งเหล่านั้นมาสุมไว้ในใจตัวเอง
จนเกือบระเบิดก็หลายครั้ง

หลายครั้ง (ขนาดยังไม่ระเบิด) ยังเอามาบ่นให้น้องชายฟัง
จนเขารำคาญแล้วรำคาญอีก
ซึ่งก็น่าสงสารเขาที่ต้องมาทนรับฟังเรื่องไม่เป็นเรื่องอยู่ได้ทุกวี่ทุกวัน

มาจนตอนนี้ เมื่อมาถูกอาจารย์คณานันท์สะกิดในเรื่องคำอธิษฐาน
และสอนวิชชาเพิ่มเติมให้

ธรรู้ด้วยตัวของธรเองว่า สิ่งที่ธรจะต้องทำให้ได้โดยเร็วที่สุดก็คือ
การวางใจเป็นอุเบกขาให้ได้ในทุกเรื่องและธรก็เริ่มทำอย่างจริงๆ จังๆ



จนตอนนี้ มโนฯ ของธรแจ่มใสขึ้น ถูกต้องแม่นยำมากขึ้น
ธรมีความตั้งมั่นในพรหมวิหารสี่มากขึ้นกว่าเดิมมาก
มากขึ้นจนมีหลายๆ ท่านไม่ค่อยจะพอใจนัก

ความสามารถพวกนี้ ธรไม่ได้มีมาตั้งแต่เกิด
ธรก็ต้องลงมือปฏิบัติ ลงมือทำด้วยความทุ่มเท
ด้วยความมานะ พยายามที่จะเอาชนะความเลวของตัวเองให้ได้
ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ธรก็ทำได้แล้วในระดับหนึ่ง



ถ้าคนส่วนใหญ่มัวแต่มานั่งบ่นน้อยเนื้อต่ำใจในกุศล บุญบารมีของตัวเอง
นั่งประชดประชัน กระแทกคนนั้นทีคนนี้ที
นั่งเหน็บคนอื่นๆ ที่ทำอะไรไม่ถูกใจตัวเองไปเรื่อยๆ
แล้วมานั่งบ่นให้คนนั้นฟังทีคนนี้ฟังที
โดยที่ไม่คิดแม้แต่จะเริ่ม หยุด
แล้วหันมามอง มาพิจารณาการกระทำของตัวเอง

แล้วเมื่อไหร่ที่บุญบารมีของทุกคนจะรวมตัวกันได้เสียทีค่ะ
กุศลผลบุญพวกนั้นมาจ่อรออยู่ตั้งนานแล้ว
รอว่าเมื่อไหร่ ทุกคนจะเปิดรับพวกเขาเข้ามาในจิตในใจ
แทนสิ่งที่เคยจับยัดๆ ลงไปก่อนหน้านี้บ้าง



จริงๆ แล้ว ธรเองก็ยังตัดสิ่งเหล่านี้ไม่ขาดเสียทีเดียว
แต่ก็กำลังพยายามอย่างเต็มที่อยู่ค่ะ
พอเกิดปุ๊บ ธรจะพยายามเตือนตัวเองปั๊บ แต่ก็ยังมีที่พลาดอยู่

ตอนนี้ ธรอยากจะชวนทุกคนมาร่วมกันสร้างบารมีให้ตัวท่านเองกับธร
โดยการช่วยกันล้างสิ่งที่ไม่ดีออกไปจากจิตของพวกเรากัน ดีไหมคะ

ธรทราบว่า ครั้งนี้ธรติงทุกคนแรงมาก
แต่ธรไม่อยากให้ทุกๆ คนต้องมาเสียเวลาแบบที่ธรเคยเสียมาแล้วค่ะ
ธรพลาดมานานแล้ว กว่าวิชชาจะรวมตัวได้
(เพิ่งจะเริ่มต้นไม่นานนี้เอง)
ก็เสียเวลาไปเกือบทั้งชีวิตแล้ว

ตอนนี้ ถ้าเรายังไม่เริ่มต้น
เมื่อภัยพิบัติมาเราจะมีเวลาเริ่มหรือคะ
ถ้าตัวเราเองยังเอาดีไม่ได้
แล้วเราจะไปช่วยใครที่ไหนได้คะ




เป็นอย่างไรกันบ้าง ความรู้สึกถึงการปล่อยวางจากมานะทิฐิ
ไหลซึมซาบ แผ่ซ่านเข้าไปสู่กระแสเลือด
เข้าไปสู่จิตใจกันบ้างหรือยัง
เมื่อตัวมานะทิฐิลดน้อยลงไปแล้ว
จิตเราก็จะน้อมยินยอมรับฟัง
โดยไม่มีข้ออ้างใดๆ อีก

ครูบาอาจารย์หลายท่านสอนว่า
ความรู้มีมากมายไม่มีหมด
หากแต่เราต้องเป็นแก้วเปล่าที่สามารถรองรับน้ำได้เสมอ
ยิ่งเราให้ความเคารพนบนอบครูบาอาจารย์มากเท่าไหร่
ยิ่งเราอ่อนน้อมถ่อมตน ถ่อมจิตถ่อมใจเราให้มากเท่าไหร่
ยิ่งเราทำตัวให้ต่ำเตี้ยติดดินได้มากเท่าไหร่
ยิ่งเราทำตัวเราให้เล็กเข้าไว้ เล็กยิ่งว่าธุลีมากเท่าไหร่
เราก็จะได้รับความรู้ได้รับการสั่งสอน
ได้รับความเมตตาจากครูบาอาจารย์มากยิ่งขึ้น



เพราะเมื่อจิตเราน้อม จิตเราแนบกับพระ แนบกับครูบาอาจารย์
ด้วยความรู้สึกจากจิตใจเราจริงๆ
นั่นก็คือจิตเราพร้อมที่จะเปิดรับคำสั่งสอน
ของครูบาอาจารย์ได้อย่างเต็มที่แล้ว
ครูบาอาจารย์ท่านก็จะเข้ามาสอนสั่งวิชาความรู้ต่างๆ
ให้เราได้โดยง่าย
และเราก็จะสามารถเข้าใจ เข้าถึงความรู้ต่างๆ ได้โดยง่ายเช่นกัน

และเมื่อครูบาอาจารย์ท่านให้ความเมตตากับเราแล้ว
เราก็ต้องขยันปฏิบัติหมั่นฝึกฝนเพื่อให้เกิดทักษะความชำนาญ
ในวิชาความรู้นั้นๆ
และเราต้องใช้ความเพียรพยายาม ความกระตือรือร้น
การใฝ่รู้ของตัวเราเองในการฝึกฝนด้วย
จะรอให้อาจารย์มาคอยจี้ คอยไช คอยชี้ คอยแนะ ตลอดเวลา
ก็เป็นไปไม่ได้



เราเปรียบเสมือนแท่งเหล็กที่รอการฝนให้เป็นเข็ม
แต่เป็นแท่งเหล็กชนิดพิเศษที่มีชีวิต
ซึ่งไม่มีใครจะมาฝนมาขัดเราได้
ตัวเราเองนั่นแหละต้องฝนตัวเราเองให้เป็นเข็ม

เมื่อเราเป็นเข็ม
เราก็สามารถนำเข็มนี้ไปเย็บไปถักไปร้อย
ได้ผลงานดีๆ อีกมากมาย
ซึ่งผลงานเหล่านั้นเป็นตัวบงชี้ถึงคุณค่า
ความเพียรพยายามของเรานั่นแหละ





 

Create Date : 24 มกราคม 2552
6 comments
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2552 14:44:14 น.
Counter : 1263 Pageviews.

 

ขอบคุณค่ะ

 

โดย: ลูกศิษย์ IP: 58.8.45.113 12 มิถุนายน 2552 22:24:53 น.  

 

ด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่งจ้า ;)

 

โดย: ไอฟ้า 19 มิถุนายน 2552 15:35:46 น.  

 

ฟังดูเรื่องกลัวเสียหน้า เสียศักดิ์ศรีและพฤติกรรมดื้อด้านแล้วเหมือนเราไม่มีผิดเลยค่ะ ส่วนตัวแล้วคิดว่าคนที่ดื้อมากๆ มีอัตตาสูง เวลามีใครบอกแล้วจะไม่เชื่อ แต่จะมาเชื่อตอนไหนรู้มั้ย? ตอนที่ตัวเองบรรลัยไปแล้ว...หลังจากที่เจออะไรมาอย่างหนักหนาสาหัสสากรรจ์แล้ว เจียนตายนั่นแหละ หรือเสียชื่อเสียงก่อนนั่นแหละ ทีนี้จากบรรลัย มันก็ได้ฤกษ์เปลี่ยนเป็นบรรลุ (คือ พยายาม ลด ละ เลิก อีโก้ของตัวเองซะที)

 

โดย: จ๋า IP: 124.120.190.47 14 มกราคม 2556 17:49:56 น.  

 

ไม่มีใครบอกคนที่มีพฤติกรรมแบบนี้ได้ นอกเวลาต้องปล่อยให้เขาเจอกับตัวเขาเอง เขาถึงจะเปลี่ยนตัวเขาเองได้

 

โดย: ดาวตะวัน IP: 124.120.165.168 14 มกราคม 2556 19:22:07 น.  

 

ตอนนี้กำลังพยายามควบคุมจิตใจตัวเองเคยอ่านเอจคำสอนของหลวงพ่อจรัญว่าคนที่โมโหโกรธหงุดหงิดง่าย แก่ไปจะขี้หลงขี้ลืม มาเจอบล็อกคุณไอฟ้าสาระดีมากเลย ขอบคุณค่ะ

 

โดย: budbud IP: 115.87.21.237 30 พฤษภาคม 2556 10:10:52 น.  

 


“มานะทิฐิคืออะไร?”
" รู้ตัว แต่วางไม่ลง"
ขอบคุณค่ะ

 

โดย: pa IP: 223.205.227.235 23 ธันวาคม 2557 20:48:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ไอฟ้า
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ธรรมชาติคือความสวยงาม
ธรรมชาติคือความเรียบง่าย
ธรรมชาติคือความสุข
ธรรมชาติคือความรัก
...แค่เราเปิดใจให้ธรรมชาติ
เราก็จะรับรู้และซึมซับ
ความสวยงามที่เรียบง่าย
ที่ส่งมอบความรักให้เราตลอดไป
...ธรรมชาติ
Friends' blogs
[Add ไอฟ้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.