ธรรมดาคือธรรมดาที่แสนจะธรรมดา ธรรมดาคือธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา ธรรมชาติคือธรรมดา ที่แสนจะธรรมดาและยิ่งกว่าธรรมดา
Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
9 มกราคม 2552
 
All Blogs
 

เป็นบ้า กับ เป็นสมาธิ

เป็นบ้า
มีใครบ้างมั๊ยเกิดมาพร้อมกับความบ้า?
เกิดมาก็ตาขวาง น้ำลายฟูมปาก เที่ยวไล่ทำร้ายคนอื่นไปทั่ว
ตั้งแต่ผู้เขียนเกิดมาจนป่านนี้ยังไม่เคยพบเลยสักที
หรือใครพบก็ช่วยอนุเคราะห์
บอกผู้เขียนเอาบุญหน่อยก็แล้วกันนะ




“บ้าเกิดขึ้นได้อย่างไร?”
บ้าเกิดขึ้นจากสภาวะการกดดันภายในจิตใจ
ซึ่งเกิดได้กับทุกคน
ถ้าคนผู้นั้นไม่สามารถใช้สติควบคุมจิตตนเองได้
จิตก็จะเกิดการหลง
เกิดวิกลจริต
เพี้ยนไปจากคนปกติ
ซึ่งผู้เขียนขอใช้คำว่า
“สติแตก”




สภาวะกดดันที่ว่ามีหลายกรณี
ซึ่งล้วนเกิดจากการถูกกระทำทั้งสิ้น
ไม่ว่าจะถูกกระทำจากการมองตนเองผิดๆ
เกิดจากคนรอบข้าง ทั้งที่เป็นญาติ คนรู้จัก คนไม่รู้จัก
เกิดจากสิ่งแวดล้อมที่ไม่ดี ไม่เอื้ออำนวยต่อความดีงาม
สภาวะที่ศีลธรรมบกพร่อง
สภาวะทางเศรษฐกิจที่ บีบรัด
หลากหลายสภาวะที่ทำให้เกิดการตึงเครียดของจิตใจ




สติเราก็เหมือนเชือก
สภาวะที่ถาโถมเข้ามาเหมือนคมมีด
หากเชือกที่ถูกขึงจนตึง
แล้วมีมีดมาเฉือน
เฉือนแล้วเฉือนอีก
วันแล้ววันเล่า
ต่อให้เชือกเหนียวแค่ไหนทนแค่ไหน
เมื่อถูกกรีดซ้ำย้ำอยู่ตลอด
เชือกย่อมขาดผึงได้สักวัน
และเมื่อวันนั้นมาถึงคนจะเป็นบ้า




ระยะหลังๆ มานี่จะเห็นว่า
สภาพจิตใจผู้คนแปลกๆ ออกไปกว่าเดิมมาก
ทำผิดศีลกันทุกข้อ
ขึ้นหน้าหนึ่งไม่เว้นแต่ละวัน
การควบคุมอารมณ์ ควบคุมสติ ทำได้น้อยมาก
มองโลกในแง่ร้ายกันเยอะขึ้น
ได้หรือไม่ได้ อะไรนิดอะไรหน่อย
ก็ทำร้าย ทำลายข้าวของ
ทำลายชีวิตกัน
ทั้งชีวิตตนเอง
และชีวิตผู้อื่น
ความยับยั้งชั่งใจหาได้น้อย
ขาดหิริโอตตัปปะ
ความละอายและความเกรงกลัวต่อบาปไม่มีปรากฏในกมลสันดาน
จนความคลุ้มคลั่งแทรกซึมอยู่ทุกหัวระแหง
ภาพปรากฏชัดเจนในรูปแบบอาชญากรรมทุกประเภท
ตามหน้าหนังสือพิมพ์
และจากสื่อที่เผยแพร่ออกมาจนกลายเป็นเรื่องปกติของชีวิต
แต่มันคือสิ่งผิดปกติที่เกิดกับสังคมมนุษย์โลก




การเสียสติ
วิกลจริต
ฟั่นเฟือน
ความลุ่มหลงมัวเมาที่มีการหยิบยื่นให้กัน
ทั้งที่ตั้งใจ และไม่ตั้งใจ
เพราะขาดการไตร่ตรอง
ขาดศีลธรรม
ได้ทำลายวิถีชีวิตชาวพุทธลงอย่างสิ้นเชิง
ศีลธรรมกลายเป็นสิ่งที่เชย ล้าสมัย
และอ่อนแรงลงทุกที




เมื่อศีลธรรมเลื่อมลง
ในขณะที่วิทยาศาสตร์เจริญรุ่งเรือง
พวกมิจฉาศาสตร์ก็ส่งยิ้มที่เย็นยะเยือกออกมา
ต้อนรับ
เสนอ
และพร้อมเชิญชวน
ให้จิตที่อ่อนแอที่ไร้ที่พึ่ง
เข้ามารับสิ่งที่สวยงามเลิศหรู
ซึ่งล้วนแต่เป็นการดึงให้จิตนั้นหลงเข้าสู่อเวจี
สภาวะสติแตกจึงมีให้เห็นกันมากขึ้นทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
เมื่อผู้คนขาดที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
ก็จะไขว่คว้าหาสิ่งยึดเหนี่ยว
ซึ่งหลายคนหลงติดไปกับการเคารพนับถือ
จิตวิญญาณ ภูติ ผี ปีศาจ
ซึ่งคิดว่าจะนำสิ่งดีต่างๆ มาสู่ตนเอง
ซึ่งในสภาวะที่สภาพจิตใจอ่อนแอนี้เอง
ที่ทำให้จิตเปิดเข้าสู่อบายภูมิต่างๆ ได้โดยง่าย
ไสยศาสตร์ มนต์ดำ การเล่นของ
ถูกรื้อฟื้นให้กลับมา




จะเห็นได้ว่าเพราะศีลธรรมเสื่อมลง
คนเลยเป็นบ้ากันมากขึ้น
“อ้าว...แล้วที่ไปถือศีล ฝึกสมาธิกันโครมๆ
แล้วเป็นบ้าล่ะมันเกิดขึ้นได้อย่างไร?”

เราคงเคยจะได้ข่าวกันอยู่บ้างว่า
มีบางคนเหมือนกัน
ที่นั่งสมาธิแล้วเกิดอาการเพี้ยนไป
ผิดปกติไป
บางคนคลุ้มคลั่ง
ถึงขนาดวิกลจริต
เป็นบ้า
นั่นเพราะทำสมาธิผิดวิธี
“ผิดวิธีอย่างไร?”
“แล้วทำอย่างไรจึงจะถูกวิธีล่ะ?”

ตรงนี้ขอยกให้อาจารย์คณานันท์ตอบเลยก็แล้วกัน




ผมเข้าไปตอบในกระทู้ที่มีผู้ที่ถามว่า
ทำไมฝึกสมาธิแล้วถึงเป็นบ้าครับ
เลยเอามาฝาก
เพื่อเป็นความรู้กับเพื่อนๆครับ
เหตุที่ทำให้นั่งสมาธิแล้วทำให้เป็นบ้าเพราะ
๑.วางอารมณ์ใจผิด
หนักเกินไป
เครียดเกินไป
วิธีป้องกันคือจงเรียนเรื่องอารมณ์ใจที่ถูกต้องก่อน
ให้รู้จักและจำอารมณ์นั้นได้
และถ้าเมื่อไรที่อารมณ์เครียดไป
หนักไป
ก็จงเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง
คลายอารมณ์บ้าง
พักบ้าง
จิตก็จะสบายขึ้นครับ




๒.หลงในนิมิตว่าเป็นจริง
โดยไม่พิจารณานิมิตด้วยอารมณ์ที่เป็นอุเบกขา
เช่นเมื่อได้ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
ก็ให้พิจารณาว่าเป็นอดีตไปแล้ว
เป็นเรื่องเหมือนเรื่องของผู้อื่น
อย่าไปยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา
ทุกสิ่งจบแล้ว
สลายตัวไปแล้ว
เราระลึกชาติเพื่อให้เห็นทุกข์ที่ซ้ำซาก
วนเวียนอยู่ไม่สิ้นสุด
ให้เบื่อหน่ายในสังสารวัฏ
ไม่อยากเกิดอีก
และเพื่อเป็นข้อพิสูจน์เรื่องกรรมว่า
เหตุในอดีตนี้เป็นผลในปัจจุบันอย่างนี้ครับ
วิธีป้องกันคือใช้ปัญญากำกับ
ให้ฉลาดในนิมิต
ฉลาดในญาณที่ปรากฏขึ้นครับ
และมองให้เห็นว่าอยู่ในกฎไตรลักษณ์




๓.เกิดจากวิปัสนูปกิเลสทำให้หลงผิด
คิดว่าตนเองบรรลุธรรมขั้นนั้นขั้นนี้
สภาวะนี้เหมือนจริงมาก
วิธีแก้และการป้องกันคือ
หมั่นพิจารณาว่า
เรายังมีความเลวอะไรบ้าง
ยังมีธรรมมะที่ยิ่งๆขึ้นไป
และอย่าไปสนใจว่าเราจะบรรลุธรรมขั้นใด
แต่ให้ระลึกว่าตราบใดเรายังมีร่างกายขันธ์ห้าอยู่
เรายังไม่สมบูรณ์ในความดี
เราจะถึงซึ่งความดีอย่างแท้จริง
ก็ต่อเมื่อเราละจากโลกนี้แล้ว
ถึงซึ่งพระนิพพานครับ
การเกิดวิปัสนูปกิเลสนี้
ที่ว่าเหมือนจริงมากก็เพราะ
บางครั้งเราจะเห็นพระพุทธเจ้าหรือเทวดาท่านมาโปรด
ในนิมิตแบบจะๆ ชัดเจนเลยครับ
แล้วท่านจะมาบอกว่าเรา
บรรลุขั้นนั้นแล้วขั้นนี้แล้ว
ถ้าเราหลงดีใจ
และเชื่อว่าจริง
จิตจะเริ่มหลงลึกลงไปเรื่อยๆครับ
แต่ถ้ามีสติและไม่หลง
ถือว่าผ่านบททดสอบครับ
จะทำให้ก้าวหน้าในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไป




๔.เจ้ากรรมนายเวรมาเล่นงาน
โดยมาปรากฏภาพน่ากลัวในสมาธิ
จนทำให้ตกใจสุดขีดจนสติแตก
หรือที่เรียกว่ากรรมฐานแตกครับ
วิธีป้องกันคือ
การอธิษฐานขอบารมีพุทธคุณมาคุ้มครอง
และการอธิฐานแผ่เมตตาไปยังเจ้ากรรมนายเวรครับ

๕.ถูกของหรือคุณไสยครับ
วิธีป้องกันเหมือนข้อสี่ครับ
ไม่มีสิ่งใดมีพลังเหนือกว่าพุทธคุณครับ




บุพกรรม ที่ทำให้การปฏิบัติและนั่งสมาธิแล้วเสียสติ

๑.การละเมิดศีลข้อห้า ดื่มสุราเป็นนิตย์
๒.ปรามาส ว่าร้ายนินทาท่านผู้ที่ตั้งใจ ปฏิบัติธรรม ปฏิบัติกรรมฐาน
๓.แกล้งแหย่ แกล้งทำผีหลอกให้พระ เณร ตกใจกลัว
๔.ขัดขวางกลั่นแกล้ง
ใช้คุณไสยทำร้ายท่านผู้มีศีลหรือปฏิบัติธรรม
ส่วนพวกเราที่ตั้งใจปฏิบัติทำความดี
ฝึกสมาธิอยู่ไม่ต้องตกใจหรือกลัวไปก่อนครับ
เพราะในวิชาที่พระท่านถ่ายทอดมานี้
ท่านวางการป้องกันแก้ไขกำกับไว้แล้วครับ




๑.เริ่มมาตั้งแต่
ที่ผู้เรียนและรับการสืบทอดต้องเป็นสัมมาทิฐิ
๒.ต้องรู้จักการวางอารมณ์ใจที่ถูกต้อง ลมสบาย ใจสบาย
๓.ต้องมีจิตที่จะใช้วิชานี้ในทางโลกุตระ
เพื่อความหลุดพ้น
หรือเพื่อการบำเพ็ญบารมีในฐานะพระโพธิสัตว์
๔.มีจิตที่เต็มไปด้วยเมตตา
และคุณธรรมเต็มล้นในหัวใจ
๕.มีใจที่ปรารถนาในการทำความดีเป็นปกติ
๖.และที่สำคัญคือ
มีความเคารพศรัทธาเชื่อมั่นในคุณของพระรัตนไตย
ว่ามีจริง
ศักดิ์สิทธ์จริง
คุ้มครองได้จริง
อย่างไม่ลังเลสงสัยแม้แต่น้อย




จะเห็นว่าจากที่พวกเราเรียนรู้และปฏิบัติกันไปแล้วนั้น
มีข้อป้องกันคุ้มครองตัวเราและจิตของเราไว้
อย่างครอบคลุมทุกด้านแล้ว
โดยเฉพาะการอธิษฐานขอขมาลาโทษ
ต่อพระรัตนไตย
และท่านเจ้ากรรมนายเวรนั้น
เป็นการลด บรรเทา ชะลอแรงกรรม
แรงอาฆาตของเจ้ากรรมนายเวร
ให้บรรเทาเบาบางลงไปก่อนที่เขาจะทำ
หรือคิดจะทำเราไว้ก่อนแล้วครับ
ดังนั้น ขอให้ตั้งใจปฏิบัติ
ด้วยความสบายใจและความมั่นใจในพุทธคุณนะครับ




อาจารย์คณานันท์อธิบายได้ชัดแจ้งดีจริงๆ
การถือศีล
การทำสมาธิ
ไม่ได้ทำให้คนเป็นบ้า
การถือศีลการทำสมาธิทำให้คนมีสติ
มีการควบคุมอารมณ์เบื้องต่ำ
ควบคุมกิเลส
ตัณหา
ราคะ
ซึ่งมีกันอยู่ในทุกคน
ไม่ให้มันมีอำนาจเหนือจิตใจเรา
ไม่ให้มันมาควบคุมเราได้
ทำให้เราสงบขึ้น
ระงับขึ้น
ใจเราก็สบายขึ้น




เป็นสมาธิ
เมื่อเรารู้ว่าเป็นบ้าเกิดขึ้นได้อย่างไรแล้ว
เรามารู้เรื่องเป็นสมาธิกันบ้างดีกว่า
เพื่อจะได้หลีกหนีจากการเป็นบ้า




สมาธิคือการตั้งใจตั้งมั่นในอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งอย่างต่อเนื่อง
มีใจจดต่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งไม่ฟุ้งซ่าน
“ถ้าหากมีความจดจ่อตั้งใจมั่นกับการเล่นหวยล่ะ
ถือว่าเป็นสมาธิด้วยหรือเปล่า?”
“ถ้าไปชอบใครก็ตั้งใจตั้งมั่นตามเขาไปทุกที่นี่ใช่สมาธิมั๊ย?”
“เวลาดูหนังโป๊นี้ก็ใช่สิเพราะมีสมาธิมากเลย?”

นั่นสินะแบบนี้ก็เป็นสมาธิเหมือนกัน
งั้นเรามาฟังคำอธิบายจากพระไตรปิฎก
กันให้กระจ่างแจ้งเลยดีกว่า
เอ...ถ้ายกมาตามที่มีอธิบายไว้ในพระไตรปิฎก
หลายคนอาจจะนั่งหาวซะก่อน
แล้วก็ส่ายหัวพร้อมกับบ่นพึมพำว่า

“ไม่รู้เรื่องเลย”
ผู้เขียนเลยขออนุญาตบอกกล่าวกันง่ายๆ
ตามที่ผู้เขียนเข้าใจก็แล้วกันนะ




สมาธิตามพระไตรปิฎกมี ๒ แบบ
คือสัมมาสมาธิ และมิจฉาสมาธิ


สัมมาสมาธิ
คือสภาวะที่จิตสงัด
สงบ
ระงับ
ละวาง
จากกาม
จากอกุศลกรรมทั้งหลาย
จิตไม่ซัดส่าย ฟุ้งซ่าน
จิตมีความตั้งมั่น ในอารมณ์นั้น
สัมมาสมาธิสามารถช่วยขจัดกิเลส
ให้บรรเทาเบาบาง
จนหมดไปได้
ซึ่งเป็นทางที่จะนำพาเราสู่พระนิพพานได้




มิจฉาสมาธิ
คือสภาวะที่ตรงกันข้ามกับสัมมาสมาธิ
คือสภาวะที่จิตตั้งมั่นในทางที่ผิด
ในทางที่ไม่เป็นจริง
เป็นสภาพจิตที่คลุกเคล้าปะปนไปด้วย
กิเลส ตัณหา กามคุณ
ทำให้จิตไม่สงบ
เกิดความฟุ้งซ่าน
ยิ่งทำให้เกิดการปรุงแต่ง
ไม่สามารถบรรเทาตัวกิเลส
โลภะ โทสะ โมหะ ให้น้อยลงได้
จิตยิ่งเกิดการติด
เกิดการเกาะเกี่ยวกับรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
ซึ่งไม่ใช่ทางหลุดพ้น




ฉะนั้นการฝึกสมาธิที่ถูกต้อง
เราต้องยึดหลักสัมมาสมาธิเท่านั้น
โดยไม่ส่งจิตไปยึดติดเกาะเกี่ยวกับกามคุณ
ไม่ปล่อยใจให้ล่องลอยเพลิดเพลินกับ
สิ่งที่มาสัมผัสอายตะนะทั้ง๕
พร้อมจะละวางกิเลส
หมั่นพิจารณาความเป็นจริงของไตรลักษณ์ที่
เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป อยู่เนืองๆ
ซึ่งจะนำเราไปสู่เป้าหมายคือพระนิพพานได้ในที่สุด




“เคยลองฝึกสมาธิแล้วแต่ทำยากจัง รู้สึกเครียด”

ทุกวันนี้ยังมีหลายคนเข้าใจคำว่า “สมาธิ” กันผิดๆ
เข้าใจว่าต้องเพ่ง
ต้องเกร็ง
ต้องตีสีหน้าขรึม
เหมือนนักบวชที่คร่ำเคร่งในการปฏิบัติธรรม
ซึ่งเป็นการตีความหมายกันผิดๆ
พระพุทธองค์ทรงสอนให้เดินสายกลาง
การฝึกสมาธิไม่ใช่การเคร่งเครียด
แต่เป็นการพินิจดู
ตามดูสภาวะจิต
ดูสิ่งเกิดขึ้น
ตั้งอยู่
และดับไป
ให้เข้าใจถึงความเป็นจริงที่เกิดขึ้น
ด้วยการวางอารมณ์ใจให้เบาๆ สบายๆ
คลายจากอารมณ์หนักอึ้ง
พิจารณาไปเรื่อยๆ
ค่อยๆ ตัด
ค่อยๆ ละ
ค่อยๆ วาง
แล้วเราจะพบว่าอารมณ์ใจเราจะสงบ
ระงับมากขึ้น
นั่นแหละ เราก้าวเข้าสู่สมาธิแล้ว




สมาธิที่เกิดขึ้นนี้ทางพระพุทธศาสนาแบ่งออกได้เป็น ๓ ระดับ
๑.การจดจ่อ ระลึกถึงสิ่งๆนั้นได้นานชั่วขณะหนึ่ง
เช่นการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน
การทำงาน
การเล่นกีฬา
การฟังเพลง
เรียกว่าขณิกะสมาธิ

๒.การจดจ่อ ระลึกถึงสิ่งๆนั้นได้นานขึ้นมากขึ้นอีกระดับ
เกือบจะแน่วแน่ แต่ยังไม่ถึงฌาน
เรียกว่าอุปจาระสมาธิ

๓.การจดจ่อ ระลึกถึงสิ่งๆนั้น ได้นาน มั่นคง แน่วแน่
จนถึงเข้าฌาน
เรียกว่าอัปปนาสมาธิ




ไหนๆ ก็ว่ากันเรื่องสมาธิแล้ว
เรามาทิ้งท้ายด้วยการฝึกสมาธิง่ายๆกันหน่อยดีกว่า
ถ้ามีพระพุทธรูปอยู่ตรงหน้าก็ก้มลงกราบพระ ๓ ครั้งก่อน
ถ้าไม่มีพระพุทธรูป ก็กำหนดจิต
กำหนดความคิดให้เห็นตัวเรานั่งอยู่หน้าพระพุทธรูป
และตัวเราก้มลงกราบพระ ๓ ครั้ง




แล้วตั้งจิตอธิษฐานง่ายว่า
“ข้าพเจ้าขอขมาต่อพระรัตนตรัย
สิ่งศักดิ์สิทธิ์
พ่อแม่
ครูบาอาจารย์
เจ้ากรรมนายเวร
และสรรพสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง
ที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงละเมิดต่อท่านทั้งหลาย
ไม่ว่าจะด้วยกายวาจาใจ
ในอดีต ในปัจจุบัน
จะโดยเจตนา ไม่เจตนา
ระลึกได้ ระลึกไม่ได้ก็ดี
ขอให้ท่านทั้งหลายได้โปรดอโหสิกรรม
งดโทษที่พึงจะเกิดแก่ข้าพเจ้าตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเถิด”




“บุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา
นับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และที่จะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต
ข้าพเจ้าขอน้อมถวาย
เป็นพุทธบูชา มหาเตชะวันโต
ธรรมบูชา มหาปัญโญ
สังฆบูชา มหาโภคะวะโห
ถวายแด่พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์
และข้าพเจ้าขออุทิศบุญกุศลทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้
ให้ท่านทั้งหลายได้อนุโมทนา
และมีส่วนร่วมในบุญกุศล
เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าพึงจะได้รับทุกประการด้วยเถิด”




“ขอบารมีสมเด็จองค์ปฐม
พระพุทธเจ้า
พระปัจเจกพุทธเจ้า
พระมหาโพธิสัตว์
พระโพธิสัตว์
พระอริยสงฆ์
ครูอุปัชฌาย์อาจารย์
ทุกๆพระองค์ ทุกๆท่าน
ได้โปรดเมตตาน้อมนำจิตข้าพเจ้า
ให้เข้าสู่สัมมาสมาธิได้โดยง่ายด้วยเถิด”




เอาล่ะ...จัดท่านั่งให้สบายๆ
ไม่ต้องเกร็ง
ไม่ต้องเคร่งเครียดนะ
“ได้ท่านั่งสบายๆ กันหรือยัง?”
ถ้าสบายแล้วเราไปเริ่มกันเลย




เริ่มต้นด้วยการล้างลมหยาบนะ
การล้างลมหยาบคือการหายใจเข้าลึกๆ
แล้วกักไว้ ให้ได้นานที่สุด
อาจจะท่อง “พุทโธ ธัมโม สังโฆ” ในใจไปด้วยก็ได้
ระหว่างนี้ยังกักลมไว้นะ
กักเอาไว้ให้นานที่สุดเท่าที่เราพอจะทำได้
แต่ไม่ต้องถึงขนาดหน้าเขียวหน้าเหลืองนะ
เอาแค่พอทำได้
แล้วค่อยหายใจออก
จากนั้นก็หายใจเข้า
กักลมไว้ทำแบบเดิมอีก
ทำสัก ๑๐-๑๕ ครั้งขึ้นไป




อ้อ...จะทำสมาธิแบบหลับตาหรือลืมตาก็ได้นะ
หรือจะหลับตาบ้าง
ลืมตาบ้าง
สลับกันไปก็ไม่เป็นไร
เอาตามความถนัดของแต่ละบุคคลเลย
เอาแบบสบายๆ




จากนั้นเรามาจับลม ๑ ฐานกัน
“ทุกคนมีจมูกใช่มั๊ย?”
หายใจเข้า...ผ่านจมูก
หายใจออก...ก็ผ่านจมูก
“เรารู้สึกได้มั๊ย?”
“รู้สึกได้หรือยัง?”
ลองทำดูนะ
ช้าๆ สังเกตลมเข้า...ลมออก...ผ่านจมูก
แค่นั้นพอ
จับลมเข้าออกไปสักครู่นะ




พอทำได้แล้วเรามาจับลม ๓ ฐานกันต่อเลย
ให้เรากำหนดรู้
รู้ว่า...หายใจเข้าผ่านจมูก
ผ่านหน้าอก
ผ่านท้อง
แล้วหายใจออก
ผ่านท้อง
ผ่านหน้าอก
ผ่านจมูกออกไป
ทำช้าๆ นะ
ตามลมหายใจดู
ตามดูสักพัก
ตามไปเรื่อยๆ




ทำได้แล้วใช่มั๊ย?
เรามาต่อกันที่ลมตลอดสาย
ให้นึกเห็นสายลมพลิ้วเป็นแพรวไหม
พอเราหายใจเข้า ลมก็พลิ้วเข้ามาทางจมูก
เราตามลมหายใจไป
ลมเข้าไปถึงไหนเราก็ตามไปเรื่อยๆ
พอลมจะออกตอนไหนเราก็ตามไปอีก
ตามไปตลอดสายของลม
คราวนี้ให้เราตามลมหายใจไปเรื่อยๆ
จะหายใจออก จะหายใจเข้า
จะหายใจสั้น จะหายใจยาว
ก็ไม่ต้องกังวล
แค่ตามลมไปเรื่อยๆ
ลมหายใจของเราจะสั้นเข้าเรื่อยๆ
จนเหลือเพียงแค่นิดเดียว เท่าเม็ดถั่วเขียว
หรือบางคนลมหายใจอาจจะหายไปเลยก็ได้
แต่ไม่ต้องกลัวนะ รับรองไม่ขาดใจตายแน่
ขอให้ตามดูไปเรื่อยๆ ทำไปเรื่อยๆ
ใจเราจะนิ่งขึ้น จะสงบขึ้น
ใจเราจะเบาขึ้น ใจจะสบายขึ้น
สิ่งที่เราได้นี้เรียกว่า “ลมสบาย”
และเมื่อเราทำได้แล้วให้เราอธิษฐานวสี
คือการปักหมุด ปักหลักย้ำว่า
“ขอให้ข้าพเจ้าเข้าถึงลมสบายได้ทุกครั้ง ทุกที่ ทุกเวลา ที่ข้าพเจ้าต้องการ”
อธิษฐานย้ำ ๓ ครั้งนะ
แล้วเราก็จับลมสบายต่อ ทำไปเรื่อยๆสักพัก




พอเราคิดว่าพอแล้ว
อยากจะออกจากสมาธิแล้ว
ตรงนี้ต้องขอบอกไว้ก่อนว่า
ห้ามออกแบบพรวดพราดเพราะจะทำให้กายในสะเทือน
ให้หายใจเข้าลึกๆช้าๆ ท่องในใจ “พุทโธ” แล้วหายใจออก
หายใจเข้าลึกๆ อีกครั้งท่อง “ธัมโม”
พอหายใจเข้าครั้งที่สามท่อง “สังโฆ”
แล้วค่อยๆ ถอนจิตออกจากสมาธิ




ทำสมาธิไม่ยากใช่มั๊ย
และถ้าเราสามารถจับลมสบายได้แล้ว
เวลาทำสมาธิเราสามารถเริ่มที่จับลมสบายได้เลย
เห็นมั๊ยล่ะ ทำสมาธิมีประโยชน์มาก
ทำให้ใจเราสบาย
อย่าลืมทำสมาธิกันให้บ่อยๆนะ
อ้อ...จริงๆ มีสมาธิที่ลึกซึ้งกว่านี้อีก
ทำเบื้องต้นให้คล่องๆนะ
แล้วเราอาจจะได้ฝึกสมาธิขั้นต่อไปเร็วๆ นี้





 

Create Date : 09 มกราคม 2552
4 comments
Last Update : 31 มกราคม 2552 15:19:39 น.
Counter : 1353 Pageviews.

 

ถูกต้อง

คนบ้าดั่งน้ำขุ่นหมุนเวียนพร้อมตะกอนมองไม่ชัด

คนมีสติดั่งน้ำใสน้ำหยุดนิ่งพร้อมตะก่อนนอนก้นมองเห็นชัด

เสียงเค้าว่ากันพรรณนั้น จ๊ะ

 

โดย: บ้าได้ถ้วย 9 มกราคม 2552 15:31:32 น.  

 

ดีมากเลยค่ะ แต่ไม่กล้าทำ กลัวตนเองจะเป็นบ้า เพราะรู้สึกว่าตนเองเป็นคนบาป เคยฆ่าตะขาบหลายตัว ฆ่ามด แมลงสาบ ทานเนื้อสัตว์ พูดโกหก เคยทำให้แม่เสียใจบ่อยๆ และทุกวันนี้แค่อยู่เฉยๆบางครั้งก็ตกใจง่ายแล้ว อยู่ดีๆก็รู้สึกหวิวๆยังไงไม่รู้ รึว่าเป็นเพราะอายุย่างเข้ายี่สิบห้าคะ

 

โดย: คนไม่มีบ๊ลอค IP: 124.157.229.21 6 กันยายน 2552 2:21:08 น.  

 

ขอแสดงความยินดีด้วย ที่รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนบาป
แสดงว่ายังเป็นคนดีอยู่นะ ยังมีสำนึกดีอยู่
ค่อยๆ เริ่มทำความดีกันค่ะ ดีกว่าไม่เริ่มเลย
ถ้าเราอยู่เฉยๆ ไม่ก้าวเท้า เราก็อยู่กับที่
แต่ถ้าเราเริ่มก้าว แม้ขาจะแข็งเพราะหยุดยืนมานาน
ก็นวดเฟ้นสักหน่อย แล้วค่อยๆ ก้าว ล้มบ้างก็ไม่เป็นไร
ลุกขึ้นมาใหม่ ทำไปเรื่อยๆ ค่ะ ล้มๆ ลุกๆ เดี๋ยวก็ถึง
เชื่อว่าสำนึกในส่วนที่ดีของคุณ "คนไม่มีบล๊อก" จะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แน่นอน :)
ถ้าใครสนใจจะรับ CD สอนสมาธิก็แจ้งได้นะคะ

 

โดย: ไอฟ้า 29 ตุลาคม 2552 12:33:57 น.  

 

ตัวเองก็เคยทำให้แม่เสียใจเหมือนกัน พูดกับแม่ไม่ค่อยรู้เรื่อง พูดกันที่ไรก็ทะเลาะกันทุกที ชอบนินทาแม่บ่อย ๆ
เพราะรู้สึกว่าแม่ทำไม่ถูก ส่งผลทำให้ชีวิตลุ่ม ๆ ดอน ๆ มาตลอด ไม่เคยประสบความสำเร็จเลย ตอนนี้อายุ 43 แล้วคะ หลังจากเลิกคิดไม่ดีกับแม่ และขออโหสิกรรมกับสิ่งที่เราทำไป ตอนนี้ชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ

 

โดย: คุณเปิ้ล IP: 125.27.44.240 20 สิงหาคม 2553 13:28:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ไอฟ้า
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ธรรมชาติคือความสวยงาม
ธรรมชาติคือความเรียบง่าย
ธรรมชาติคือความสุข
ธรรมชาติคือความรัก
...แค่เราเปิดใจให้ธรรมชาติ
เราก็จะรับรู้และซึมซับ
ความสวยงามที่เรียบง่าย
ที่ส่งมอบความรักให้เราตลอดไป
...ธรรมชาติ
Friends' blogs
[Add ไอฟ้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.