ธรรมดาคือธรรมดาที่แสนจะธรรมดา ธรรมดาคือธรรมดาที่ยิ่งกว่าธรรมดา ธรรมชาติคือธรรมดา ที่แสนจะธรรมดาและยิ่งกว่าธรรมดา
Group Blog
 
<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
31 มกราคม 2552
 
All Blogs
 
มานะทิฐิ ๒

สงสัยกันละสินะว่า
“ทำไมไม่เขียนเรื่องอื่น?”
“เอาเรื่องมานะทิฐิมาเขียนอีกทำไม?”

ก็ขอบอกกันเลยว่า ที่ผู้เขียนเอาเรื่องนี้มาเขียนต่อ
เพราะมีความรู้สึกเกี่ยวกับตัวมานะทิฐินี้
ว่ามันยังมีอะไรลึกๆ ให้เราได้สืบเสาะ ค้นหา ไล่ตามกันอีกมาก

สืบอะไร? ค้นอะไร? ไล่ตามอะไร?
อ้าว! เรากำลังศึกษาและเรียนรู้เรื่องจิตกันอยู่ไม่ใช่เหรอ?
สิ่งที่เรากำลังตามอยู่ก็คือจิตเรานั่นไง
เพื่อให้รู้ทันจิตเรา
ที่มันกำลังวิ่งซุกซนอยู่ มุดตรงนั้น รอดตรงนี้
ลอยไปอยู่ตรงโน้น หล่นไปอยู่ใต้ถุนบ้าง
ตกน้ำป๋อมแป๋มไปบ้าง คลุกขี้โคลนมาบ้าง
แถมอบด้วยมลพิษอีก
สารพัดจะมอมแมมไปด้วยกิเลส
เราต้องตามจับ ตามดักให้ถูกทาง
เพื่อจะได้รู้และเป็นแนวทางให้เราละวางได้จริงๆ



จากภาคที่แล้วได้อธิบายเรื่องมานะทิฐิว่าคือการยึดติด
คราวนี้เราจะมาดู มาล้วงให้ลึกกันไปเลยว่า
ยึดติด ติดหนึบ ติดหนับ ...นี่มันเป็นแบบไหนกันหนอ...?
“พร้อมจะเป็นเจมส์บอน 007 กันหรือยัง?”

เรื่องมานะทิฐินี้มันเกี่ยวเนื่องโยงใยกับอีกหลายๆเรื่อง
มันเข้าไปแอบเร้นโดยที่เราอาจ จะไม่รู้ตัว
มันเข้าไปแอบแฝงในส่วนที่เราอาจจะนึกไม่ถึง
มันเข้าไปอยู่ในความรัก โลภ โกรธ หลง อิจฉา ริษยา น้อยใจ
มันเข้าไปในความทะยานอยาก
มันแทรกซึมอยู่แทบทุกตารางความรู้สึก
เราเข้าไปดูกันดีกว่ามันเข้าไปอยู่ได้อย่างไร?



ถ้ามีใครได้เคยดูการ์ตูนเรื่องอิคคิวซังเณรน้อยเจ้าปัญญา
ก็ต้องรู้จักเจ้าหนู “จำไม...?.”เด็กน้อยเจ้าปัญหา
“จำไม” ก็มาจาก “ทำไม”
เจ้าหนูกำลังหัดพูดหัดคุย วัยกำลังเรียนรู้
เห็นอะไร ได้ยินอะไรมา ได้รู้อะไรมา
ก็เกิดความสงสัย อยากรู้ไปซะทุกเรื่อง
ถามไปซะทุกอย่าง และขยันหาคำถามมาให้อิคคิวซังตอบซะจริง
“จำไมต้องอย่างนั้น?” “จำไม่ต้องอย่างนี้? ” “จำไมต้องอย่างนู้น?” ถามได้ไม่หยุดไม่หย่อน
จนคนเก่งอย่างอิคคิวซังก็ยังต้องหลบ
ที่ยกเรื่องนี้เล่าให้ฟังก็เพราะว่า
ประโยคคำถาม “ทำไม...?”
นี่แหละเป็นตัวการสำคัญในการดูจิตเราเลยล่ะ



“มันเกี่ยวกันยังไงล่ะ?”
คำว่า “ทำไม...?”
ทุกคนคงได้เคยใช้กันบ่อยๆ
“ทำไม...?”
คนที่ถามคำถามนี้ก็ต้องการคำตอบที่มีเหตุผล
แต่คำว่า “ทำไม...?”
เกิดขึ้นจากเห็นผลแล้ว
จึงไปถามหาสาเหตุ ถามหาจุดกำเนิดที่เกิดผลนั้น



“ทำไมกระต่ายจึงตาแดง?”
คำถามแบบนี้เด็กๆ ชอบถาม เพราะความสงสัย และอยากรู้
ผู้ใหญ่ก็มักจะตอบเพื่อให้เด็กเข้าใจง่ายๆ ว่า
“ก็เพราะกระต่ายกินแครอทเยอะน่ะสิ”ทั้งที่มันไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง ซึ่งจริงๆ ผู้ใหญ่ก็อาจจะไม่รู้
ก็เลยตอบแบบขอไปที ให้มันผ่านๆไป
คิดว่าตอบไปเด็กก็ไม่รู้หรอก
ก็แครอทมีสีแดง ตากระต่ายก็เลยมีสีแดง
แหม...อย่าว่าแต่คนอื่นเลยผู้เขียนเองก็ยังไม่รู้เหมือนกัน
คิดว่าคงเป็นกรรมพันธุ์ของมันมั้ง



“แล้วทำไมกระต่ายถึงต้องกินแครอท?”
เอ้า...ผู้ใหญ่จะตอบยังไง
“ก็แครอทมันอร่อยน่ะสิ”
ผู้ใหญ่ได้ที
“เห็นไหมล่ะกระต่ายมันยังกินเลยเพราะอร่อยและมีประโยชน์
หนูก็ต้องกินแครอทด้วยนะ”

เห็นสายตาที่งุนงงของเด็กๆหรือเปล่า?
“...จริงเหรอ...พ่อไม่เห็นกินเลยนี่…”
นี่แหละน๊าเค้าว่า...ก่อนจะสอนคนอื่นก็ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีเสียก่อน
เอ้า!...พานอกเรื่อง



กลับเข้ามาที่ “ทำไม?”
การตั้งคำถามเพื่อใฝ่รู้ เพื่อศึกษา ก็เป็นสิ่งที่สมควรจะกระทำ
แต่ถ้าการตั้งคำถามเป็นไปเพราะ
อยากลองเชิงว่าเขาแน่จริงหรือเปล่า
เพราะคิดว่า ตัวเองแน่กว่า เก่งกว่า ดีกว่าเขาแน่นอน
นี่ก็คงไม่ใช่สิ่งที่สมควร

“แล้วมันเป็นแบบไหนกันล่ะสิ่งที่สมควรหรือไม่สมควร?”



ถ้ามีคนมาเล่าว่าได้ไปขอคำแนะนำจากใครสักคน
แต่ไม่ได้ผลอย่างที่ต้องการ แล้วเกิดปัญหาตามมาอีก
พอเราได้ยิน...
“ทำไมไม่มาถามฉันก่อนล่ะ?”
“ฉันรู้มากกว่าคนนั้นอีก”
“ถ้ามาหาฉันก่อน ก็ไม่ต้องมานั่งกลุ้มอยู่แบบนี้หรอก”
“เห็นไหมล่ะว่าเจ้านั่นมันช่วยอะไรไม่ได้เลย”

นั่นแหละมานะทิฐิตัวเป้งเลย ก็เพราะฉันเก่งกว่านั่นแหละ



แต่ถ้าอารมณ์ตอนนั้นเป็นว่า
“ถ้าถามฉันฉันอาจจะให้แนวทางเลือกอีกทางหนึ่งได้”
อารมณ์คือมีเมตตา อยากช่วยเหลือ
และไม่ยกตนไปเปรียบเทียบใคร
นี่แหละเรียกว่าเรามีเมตตา



“เด็กยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมจะมารู้อะไร”
“ชาวไร่ชาวสวนอย่างแกจะมารู้มากกว่าฉันได้อย่างไร”
“คนบ้านนอกอย่างนายจะมาสะเออะสอนด๊อกเตอร์อย่างฉันเนี่ยนะ”
“ฉันน่ะสถาบันระดับโลกยืนยันในความรู้ความสามารถ
แล้วนายมันระดับไหน มีไหมใบรับรองไหม”

“ฉันไอคิว180 เปิดหนังสือหน้าไหนบรรทัดไหนฉันรู้หมด
แล้วแกล่ะ หัดดูตัวเองซะมั่งสิ”

“แกอย่ามาทำเป็นรู้ดีไปหน่อยเลย
ไม่เห็นหรือไงว่าหนังสือที่ดร.ก. เขียนไว้น่ะ
เขาบอกไว้อย่างนี้ แกมันบ้านนอกคอกนา
ก็อยู่ตามคอกของแกนั่นแหละดีแล้ว”

“แกเป็นคนใช้ ฉันเป็นเจ้านาย ใครจะรู้มากกว่ากัน”



ความรู้วัดกันไม่ได้ในทุกเรื่อง
เพราะแต่ละคนย่อมมีความรู้และประสบการณ์ที่ต่างกันออกไป
ถ้ายังมัวยึดติดว่าฉันระดับนี้ เธอระดับนั้น
มาไล่เรียงความเก่งไม่เก่ง
ยกคนนั้นมาอ้างยกคนนี้อ้าง
เอาชื่อสถาบันโน้นสถาบันนี้เป็นยี่ห้อมาตรฐานรับรอง
ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ไม่พ้นมานะทิฐินั่นแหละ



ความรู้ไม่ได้มีแค่การศึกษาที่ถูกกำหนดขึ้น
ในขอบเขตในกรอบสถาบันเท่านั้น
ความรู้มีอยู่ทุกที่ให้เราได้ศึกษา
แค่เพียงเราเปิดตัวเปิดใจเราให้เป็นแก้วว่าง
และพร้อมจะรองรับน้ำ รองรับความรู้ที่จะถ่ายทอดมาให้อยู่เสมอ
แน่นอนว่าเราจะสามารถเรียนรู้ได้อีกมากมายไม่จำกัด
ประสบการณ์หลากหลาย
และความรู้มากมายจะมีให้เราเรียนรู้ได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด
และเมื่อเราเป็นผู้ฟัง และนักเรียนที่ดี
นั่นคือเรารู้จักการอ่อนน้อมถ่อมตน
และเมื่อเรามีการอ่อนน้อมถ่อมตนเป็นเครื่องประดับกายประดับใจ
เราย่อมเป็นที่รักของคนทั่วไปอีกด้วย



“รู้ไหมว่าฉันลูกใคร?” คำถามคงนี้เคยได้ยินกันมาบ้าง
อารมณ์คนพูดโอ้อวดแสดงศักดาว่าพ่อฉันใหญ่ แม่ฉันรวย
ฉันทำอะไรก็ไม่มีความผิด
คิดแล้วก็น่าสงสารจริงๆเลย
เที่ยววิ่งไปถามคนโน้นคนนี้ว่าพ่อแม่ตัวเองเป็นใคร
ลืมกันได้แม้กระทั้งผู้ให้กำเนิด...



“รู้ไหมว่าฉันเป็นใคร?”
เอ้า! นี่ก็มาอีกรายลืมแม้กระทั่งตัวเอง
ไม่รู้ว่าเป็นอัลไซเมอร์หรือเปล่า
น่าจะรีบไปปรึกษาคุณหมอดูนะ เผื่อมีทางออก
หรือจะลองไปแจ้งความตามหาญาติก็ดูเข้าที
เอ...หรือจะทำประกาศลงในหน้าหนังสือพิมพ์ก็น่าจะดีไม่น้อย
ลองดูก็แล้วกันเผื่อมีใครจะรู้จัก



สองกรณีข้างต้นที่กล่าวมา
ในความรู้สึกของผู้ถาม
จะเห็นว่ายังเกาะติดอยู่ที่ฐานะ วงศ์ตระกูล ยศศักดิ์
กลัวไม่เป็นที่รู้จัก
ไม่ว่าจะไปอยู่มุมไหนก็ประกาศศักดาให้คนเขารู้กันไปทั่ว
คนที่เขารับฟัง เขาก็มองได้ หลายกรณี
บางคนก็มองว่าใหญ่จริงๆ น่านับถือ
ไม่รู้นับถืออะไร นับถือในคุณงามความดี ในศีลในธรรม
นับถือในชื่อเสียงวงศ์ตระกูล หรือนับถือเงินทองก็ไม่รู้
บางคนก็มองอย่างหมั่นไส้โอ้อวดซะจริง
ดีไม่ดีโดนตีกระบาลเข้าอีก
บางคนก็มองอย่างสังเวชในใจ
กับเจ้าอึ่งอ่างที่เบ่งตัวจนปล่อง
พองไปด้วยลมที่อัดเต็มอยู่ในท้อง
หากวันใดลมล้นเกินขีดจำกัด
คงได้เห็นลำไส้และเศษซากเนื้อกระจายเกลื่อนแน่ๆ...



แทนที่เราจะเอาฐานะ วงศ์ตระกูลมานำหน้า
เราส่งยิ้มร่วมด้วยน้ำใจและการช่วยเหลือด้วยความจริงใจ
เข้าไปแทนดีกว่ามั๊ย
รับรองได้ว่า เราต้องได้ความรู้สึกดีๆ ตอบกลับมาแน่นอน
อย่างน้อยก็ความรู้สึกดีๆ ของเรานั่นแหละ
ที่ได้หยิบยื่นแจกจ่ายความจริงใจออกไป



พนักงานบัญชีคนเก่ง เจ้านายไว้ใจให้ดูแลงานแทนตัวเอง
ทำงานมาอยู่ด้วยกันก็ตั้งหลายปี
วันก่อนเจอเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันมานาน
เพื่อนเพิ่งถอยรถป้ายแดงมา
หนุ่มนักบัญชีหนวดกระดิกอยากได้กะเขาบ้าง
“เดี๋ยวมันจะแซงหน้า ตอนเรียนก็ไม่ได้เก่งกว่าเรา
หล่อก็ไม่หล่อ บ้านมันก็จนกว่าเราเยอะ
ดูสิมันยังออกรถป้ายแดงได้เลย
รถเราที่มีอยู่ก็ดูไม่ดีเลย
อยากได้ป้ายแดงเหลือเกิน”

ทำไงละ วันรุ่งขึ้นลูกค้ามารับของจ่ายเป็นเช็คเงินสดมาตั้งหลายแสน
ขนาดให้เครดิตตั้ง 30 วัน ไม่ใช้
“งั้นขอเอาเงินไปหมุนก่อนละกัน เจ้านายไม่รู้หรอก
แค่นี้รถป้ายแดงก็มาอยู่ในมือ”




นั่นไง...เกิดมานะทิฐิ
กลัวเพื่อนจะโก้เกินหน้า
แล้วกลายมาเป็นความโลภ ไม่รู้จักพอ ไม่รู้จักประมาณ
ทำให้เกิดความไม่ซื่อสัตย์ ถึงกับเอาเงินบริษัทไปใช้ก่อน
หากหาเงินไปใช้บริษัทได้ทันก็ดีไป และก็คงจะได้ใจ
แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ต้องวนกลับมาอีกครั้ง
เพราะความโลภมันไม่มีที่สิ้นสุด
ก็เคยทำได้ครั้งหนึ่งแล้วนี่ ครั้งต่อไปคงรอดเหมือนเดิม
แต่ถ้าหาเงินมาใช้ให้ไม่ได้ล่ะ
คราวนี้ไม่แค่เอาเงินบริษัทไปหมุน
อาจจะหาวิธียักยอกเงินบริษัทเลยก็ได้
ถ้าไม่มีใครรู้ก็รอดตัวไป
แต่ถ้าถูกจับได้ล่ะมองเห็นอนาคตมั๊ย ได้กินข้าวฟรีแน่ๆ



“กระเป๋าหนังใบนี้แค่หกหมื่น”
“เสื้อตัวนี้แค่แปดพัน”
“รองเท้าคู่นี้สามหมื่น”
“ลิปสติกสีนี้สวยไหม๊ล่ะ แค่หมื่นกว่าๆ”

แหม...ของสวยๆงามๆ ยี่ห้อดังๆ ต่างประเทศ
เห็นแล้วตาโตอยากมีบ้าง
เด็กสาวๆ หลายคนวัดคุณค่ากันที่ของราคาแพงๆ
ตะเกียกตะกายหาเงินมาเพื่อมาซื้อของแพงๆ
ถือว่าของแพงๆมียี่ห้อดังๆเป็นสิ่งที่ดีที่สุดถูกต้องที่สุด
ด้วยความคิดแบบนี้ทำให้เด็กสาวจำนวนมาก
กระโดดลงสู่เวทีการขายบริการทางเพศ
และนั่นคือสิ่งที่พวกเธอเหล่านั้นคิดว่ามันคือสิ่งที่ถูก



บ่วงรัดคอราคาแพง
มานะทิฐิที่น้อยหน้าคนอื่นไม่ได้
ทำให้หลายคนทำผิดศีลธรรมไม่เว้นแม้กระทั่งผู้หญิงและผู้ชาย
ถ้าเปลี่ยนความคิดสักนิดว่า
มีของใช้แบบพอเพียง
ไม่ทำให้ตนเองและผู้อื่นเดือดร้อน
ยินดีกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่เป็นอยู่
ไม่ต้องเอาไปอวดไปโชว์ไปวัดความร่ำรวยกับใคร
แค่นี้ก็เป็นความดีที่เราทำได้ง่ายๆ
และถ้าเพิ่มการแบ่งปันน้ำใจและสิ่งที่เราพอจะมีให้คนอื่นด้วย
เราก็จะได้ความสุขทางใจเพิ่มขึ้นอีกด้วย



ทุกคนก็รู้ว่างานบุญคืองานที่ดี
มีงานบุญสร้างพระ เราก็เป็นตัวตั้งตัวตี
รับหน้าที่ประธานพร้อมประชาสัมพันธ์บอกเพื่อนๆ
ให้มาร่วมทำบุญบริจาค
แล้วเราก็บริจาคประเดิมไปก่อนเลย หนึ่งแสนบาท
มีคนร่วมบริจาคกันเข้ามาเยอะแยะ มากบ้าง น้อยบ้าง
แต่เราก็ไปสะดุดใจอยู่ที่คนหนึ่ง ร่วมบริจาคมา
หนึ่งแสนห้าหมื่นบาท
“อะไรกัน บริจาคมากกว่าฉันได้ไง?”
“มาบริจาคตัดหน้าฉันได้ไง?”
“มาบริจาคมากกว่าประธานได้ยังไง?”

ประธานต้องหน้าใหญ่ยอมไม่ได้! เรื่องนี้ยอมกันไม่ได้!



แล้วไงล่ะ ก็ต้องเพิ่มเงินบริจาคน่ะสิ
ใส่เข้าไปอีกหกหมื่นบาท รวมแล้วก็หนึ่งแสนหกหมื่นบาท
หน้าใหญ่ หน้าบานเบอะเชียว
แหม...กว่าจะหามาได้ไม่ใช่เล่นๆ
แทนที่จะไม่เป็นหนี้ ก็ต้องไปหยิบยืมเขามาอีก
ไม่ยืมคน ก็ยืมบัตรเครดิตนั่นแหละ...ก็คนมันมีเครดิต
เอ้า! ดูสิ! “เห็นอะไรกันมั่งล่ะ?”
“เห็นไหม?”
ลอยฟุ้ง ตลบอยู่ในอารมณ์นั่นน่ะ
ลมริษยาฟุ้งกระจายออกมานอกหน้าซะขนาดนั้น
ทำบุญเพื่อให้ได้ชื่อว่า “ฉันนี้แหละเป็นคนที่ทำมากที่สุด”
"ใครจะดีเกินหน้าเราไม่ได้!"
นั่น...ติดกับซะแล้วสิ!



ด้วยเพราะแรงริษยา ที่คอยต้องหาหนทางให้เราเด่นให้เราดัง
เห็นใครได้ดีเกินเราเป็นไม่ได้ ตามันร้อนไฟ ใจมันลุกเป็นเพลิง
ร้อนรน กระวนกระวาย เป็นทุกข์
แบบนี้แล้วใจเราจะมีความสุขสงบได้อย่างไร

ถ้าเราเปลี่ยนเป็น ยิ้มรับเงินบริจาคด้วยความยินดี
อนุโมทนาสาธุ กับจิตใจอันประเสริฐที่ของผู้บริจาค
ที่ยอมสละทรัพย์เพื่องานบุญ รู้สึกอิ่มเอมใจ
ที่มีผู้ใจบุญหลั่งไหลร่วมเข้ามาทำบุญ
ไม่ต้องไปแข่งดีแข่งเด่น แค่นี้เราก็ได้บุญแล้ว
แถมได้ความสบายใจอีกต่างหาก



เรากับเพื่อนช่วยกันทำประโยชน์เพื่อส่วนรวม
ไปช่วยเก็บกวาดขยะในวัด
วันนั้นบังเอิญมีผู้ใหญ่เข้ามาไหว้พระที่วัด
เราก็กวาดขยะอยู่หลังวัด
เพื่อนก็รับผิดชอบกวาดหน้าวัด
พอวันรุ่งขึ้น เพื่อนที่กวาดหน้าวัดได้รับคำชมเชยจากผู้ใหญ่
แถมให้รางวัลอีก
“อ้าว! วันนั้นเราไปกวาดขยะด้วยกัน
ทำไมฉันไม่ได้รับคำชมกับรางวัลเหมือนเธอล่ะ?”

ทำไมถึงเกิดคำถามแบบนี้ถามใจเราดูสิ
“เรารู้สึกอิจฉาเพื่อนที่ได้ดีกว่าเราใช่หรือไม่?”
“เราทำดีเพื่ออะไร?”




ถ้าเราเปลี่ยนความคิดเป็น
พอเพื่อนได้รับคำชมได้รางวัล เราก็ยิ้มแฉ่งหน้าบาน
ยินดีไปกับเพื่อนด้วย ความรู้สึกเบิกบานไปด้วย
รู้สึกยินดีจริงๆ กับสิ่งดีๆ ที่เพื่อนทำแล้วมีคนเห็นคนรับรู้
“จิตเราขณะนี้ได้อะไร?”
มุทิตาไงล่ะ เราได้พรหมวิหาร๔ ข้อนี้
มุทิตา ยินดีในความดีของผู้อื่นด้วยความจริงใจ



ถ้าเพื่อนมาเล่าให้ฟังว่า
เพื่อนสนิทซี้ปึกของเราอีกคน ไปทำอะไรไว้สักอย่าง
แต่เราไม่เคยรู้เรื่องเลย เพิ่งมารู้จากปากเจ้าเพื่อนคนนี้นี่แหละ
“ทำไมเราไม่เคยรู้เลยล่ะ”
“ทำไมไม่เคยบอกกันเลย”
“ทั้งที่เราสนิทกว่าอีก...”

นั่นไง!
“เห็นหรือเปล่ามานะทิฐิ?”
“เห็นหรือยัง?”

ยังไม่เห็นอีกเหรอ...มาเร้ว!มาดูกันเลย!



“การน้อยใจไปเกี่ยวอะไรกับมานะทิฐิล่ะ?”
“การน้อยใจเกิดขึ้นเพราะอะไร?”
การน้อยเนื้อต่ำใจเกิดขึ้นเพราะคิดว่าคนอื่นไม่เห็นความสำคัญของตน
เพราะเราไปยึดติดคิดว่าว่าเราเป็นคนสำคัญ
เป็นคนรัก เป็นเพื่อน เป็นคนสนิท เป็นผู้ใหญ่
เป็นญาติ เป็นพี่ เป็นน้อง เป็นพ่อ เป็นแม่
เป็นคนที่ต้องให้ความสำคัญ
เราเชื่อเช่นนั้น เราเชื่อว่า “เราสำคัญจริงๆ”



“ก็มันเป็นเรื่องจริงไม่ใช่เหรอ?”
“หรือว่าไม่ใช่?”
“แล้วจริงๆเป็นอย่างไร?”

ลักษณะเฉพาะของบุคคลต่างๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว
ครูบาอาจารย์ท่านจะบอกเสมอว่ามันคือหัวโขนของทางโลก
ที่เราหยิบยก สมมุติขึ้นมาสวมใส่ไว้

เราใส่หัวโขนไว้ตั้งแต่เราเกิดขึ้นมา
และเราก็ยังใส่ต่อไปเรื่อยๆ
เราแทบจะไม่เคยถอดมันออกเลย
มีแต่ใส่หัวโขนซ้อนกันมากขึ้น
ตามวุฒิภาวะ ความรับผิดชอบ
ยิ่งเวลาผ่านไปเรื่อยๆ หัวเราก็ใหญ่ขึ้นโตขึ้น
แต่เราก็แทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย
เพราะมันเป็นเรื่องปกติของทางโลก
จนเราคิดและเชื่อว่ามันคือความจริง
แต่เมื่อวันใดที่เราสามารถถอดหัวโขนออกจากจิตสำนึกเราได้
เมื่อนั้นแหละ เราจะเข้าถึงการปล่อยวางได้มากยิ่งขึ้น



“แต่การดำรงชีวิตในทางโลกก็ต้องสวมหัวโขนด้วยกันทั้งนั้น
ทุกคนไม่ใช่เหรอ?”

เพราะเราทุกคนยังต้องมีความสัมพันธ์ทางโลก
ทั้งทางครอบครัว ทางองค์กร ทางสังคม
คำตอบก็คือ “ใช่!”
แต่ส่วนใหญ่จะลืมไปแล้วว่ามันคือหัวโขน
และไม่เคยคิดจะถอดออกเลย
เกิดการยึดติด ฝั่งรากลึก จนถอนไม่ขึ้น



“แล้วมันไม่ดีจริงๆเหรอ?”
“คนที่ช่วยเหลือสังคม นั่นเขาก็สวมหัวโขนที่เป็นตัวดีไม่ใช่เหรอ?”

ก็ใช่นะว่า...เขาทำเพื่อส่วนรวมเขาเป็นคนดี
แต่ต้องดูด้วยว่า เมื่อเขาสวมหัวเป็นตัวดีแล้ว
“เขาติดในความดีหรือเปล่า?”
“เขาทำดีเพื่อต้องการให้คนมาชมเชยหรือเปล่า?”
“ทำดีเพื่อให้คนมาสรรเสริญหรือเปล่า?”
“ทำดีเพื่อหวังสิ่งตอบแทนหรือเปล่า?”
“คิดว่าการทำดีแบบมีเงื่อนไขนั้นเป็นสิ่งดีหรือเปล่าล่ะ?”




ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า
ใดๆในโลกล้วนไม่ใช่ของเรา และไม่ใช่เรา
ฉะนั้นถ้าเราไปยึดว่าเป็นเรา เป็นของเรา เราก็เป็นทุกข์
บางเรื่องก็เป็นสุข แต่พอหมดสุข มันก็คือทุกข์นั่นเอง

สุขที่มีคนมารัก แต่พอคนเกลียดก็เป็นทุกข์
สุขที่มีคนมาชมคนสรรเสริญ แต่พอคนนินทาว่าร้ายดาทอก็เป็นทุกข์
สุขที่มียศศักดิ์ชาติตระกูลสูงส่งดุจพญาหงส์เลิศลอย
แต่พอตกต่ำลง ทุกข์ก็เกาะกุม
สุขที่มีทรัพย์สินเงินทองมากมาย มีเพื่อนฝูงเยอะแยะ
มีคนคอยพะเนาพอนอ รับใช้เอาใจ แหม...มันสุขสบายเสียจริงๆ
แต่พอเงินหมดทรัพย์สินหมด เพื่อนฝูงหายหน้า ถูกมองเมิน
ตัวทุกข์มันก็เกิดอีก
“แล้วการยึดติดมีอะไรที่เรียกว่าดีบ้างล่ะ?”



คราวนี้เรามาศึกษาคำสอนของพระอาจารย์มิสซูโอะ
ที่คุณคนมีกำกึดกรุณานำมาบอกเล่ากันดีกว่า

มานะ 9 ของพระอาจารย์มิสซูโอะ
ชีวิตมีทั้งวันวาน วันนี้ และวันพรุ่งนี้
เมื่อปัจจุบันธรรม เป็นสิ่งสำคัญของชีวิต
ชีวิตในวันนี้ จึงเป็นเรื่องที่ควรคำนึงมากกว่ากาลใดๆ
วันนี้มีสำหรับแก้ไข ไม่ใช่แก้ตัว

แก้ตัว คือไม่ยอมรับความจริงในการทำผิดของตน
พยายามผลักความผิดไปให้ผู้อื่น หรือสิ่งแวดล้อม

แก้ไข คือยอมรับความจริง
หากมีอะไรผิดพลาดบกพร่อง ก็ยอมรับผิด
แล้วพยายามแก้ไข ปรับปรุง พัฒนาตนเอง



คนดีชอบหาจุดบกพร่องของตนเอง
มีหิริโอตตัปปะ ละอายแก่ใจ กลัวบาป

คนชั่ว ชอบหาดูจุดบกพร่องของคนอื่น
จับผิดคนอื่นแล้วคิดไปว่า เราดี เขาไม่ดี

เมื่อคิดว่าเขาดีกว่า ก็คิด อิจฉา ริษยา น้อยใจ
ถ้าดีกว่าเขา ก็คิด ถือตัวถือตน ดูถูกดูหมิ่นเขา
เป็นสภาวะที่เกิด อัตตา เกิดตัวตน
อัตตาตัวตน และทุกข์ เป็นบริษัทเดียวกัน
อัตตาตัวตน สร้างขึ้นใช้เวลานานแสนนาน
เป็นเวลาหลายภพหลายชาติ
ด้วยอำนาจอวิชชากิเลส ตัณหา อุปาทาน คิดผิด และสำคัญผิด



สำคัญผิด 9 อย่าง หรือ มานะ 9
๑.เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลิศกว่าเขา ก็ผิด
๒.เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา ก็ผิด
๓.เป็นผู้เลิศกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา ก็ผิด
๔.เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าดีกว่าเขา ก็ผิด
๕.เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา ก็ผิด
๗.เป็นผู้เสมอเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา ก็ผิด
๗.เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าดีกว่าเขา ก็ผิด
๘.เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเสมอเขา ก็ผิด
๙.เป็นผู้เลวกว่าเขา สำคัญตัวว่าเลวกว่าเขา ก็ผิด



เมื่อใจดี จะไม่มีความคิดเป็นเรา เป็นเขา
แต่จะเห็นสัตว์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ให้ "เห็น" เป็นหลัก เป็นกริยา
คนเรานั้นเมื่ออยู่ในสมมติโลก
เราต้องอยู่ด้วยกันหลายคน
มองเห็นเป็นธรรมไม่ให้ตัวตนเข้าไปยึด
ควบคุมจิตเป็นโอปนยิกธรรมน้อมเข้าหาตนเสมอ



เราไปดูตัวอย่างประสบการณ์ที่ คุณ ณ.
ได้นำมาถ่ายทอดกันบ้างดีกว่า

ยิ่งปฏิบัติ ยิ่งนิ่ง
เราจะยิ่งมองเห็นการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น
เห็นจิตคนอื่น จิตสิ่งอื่น รวมถึงเห็นจิตตัวเองแจ่มชัดขึ้น

การเคลื่อนไหวที่แต่ก่อนเราแทบจะมองไม่เห็น
มองไม่ออก มองไม่รู้ เรากลับรู้ กลับเห็น
เหมือนเป็นภาพ Slow motion
มองเห็น Shot ต่อ Shot
มองเห็นรายละเอียดที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะมีมากมายขนาดนั้น
ซึ่งแท้จริงในทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป
ล้วนแล้วแต่มีรายละเอียดมากมาย
ให้เราได้นำมาใช้ในการทำวิปัสสนา
แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ มานะทิฐิ ในจิตของเราเอง

ยิ่งเราเห็นมาก รู้มาก เรายิ่งต้องระวังให้มาก
ต้องละเอียด ต้องประณีตให้มากยิ่งขึ้น
ต้องคอยเตือนตัวเราอยู่เสมอว่าเรายังเลวอยู่มาก ยังไม่ดี
ต้องละ ต้องปล่อย ต้องวาง
ถ้ามัวแต่ไปมองมานะทิฐิของคนอื่น
นั่นแสดงว่าเรานั่นแหละยังเต็มไปด้วยมานะทิฐิ



...วันนี้ก็เจอกับตัวเองแต่เช้า ที่โต๊ะกินข้าวที่บริษัท
มีเก้าอี้เหลือ1 ตัว ก็เอากล่องข้าวไปวาง บนโต๊ะ
แล้วเดินไปหาแก้วน้ำ พอเดินกลับมา
ข้าวบนโต๊ะถูกเลื่อนไป แล้วก็มีคนมานั่งแทน
พอเห็น...ใจเราก็ อ๊ะ!...สะดุด!
แล้วจิตมันก็วิ่งเลย วิ่งปรู๊ดเลยเชียว
เอ้ย! เอ้ย! เอ้ย!...รีบเหยียบเบรกเอี๊ยดเลย
มองลงไปในจิตเราก็รู้ว่า
จิตเรานี่หนายังเต็มไปด้วยมานะทิฐิ
ต้องละเอียดกว่านี้นะ ต้องประณีตกว่านี้นะ
จิตที่วิ่งไปว่าคนอื่นเค้า ไปตำหนิคนอื่นเค้า
นั่นก็เพราะเรามีมานะทิฐินั่นแหละ
วางซะ ปล่อยซะเถอะ
พอคิดได้แค่นี้ ก็เลยยิ้มๆ ไปลากเก้าอี้มานั่งกินข้าว
ซึ่งที่ว่างก็ตรงข้ามกับคนคนนั้นนั่นแหละ
แต่รู้สึกดีขึ้นมากกว่าตอน อ๊ะ!
...แล้วก็ขอขอบคุณเอ้ย!...ที่เตือนสติเราได้




แค่การนั่งกินข้าวก็สามารถชี้ให้เห็นการวางจิตเราได้เป็นอย่างดี
จะเห็นว่าการเอาจิตเราไปคอยจับผิด จับถูก
คอยชี้ว่าสิ่งใดดี สิ่งใดเลว สิ่งใดถูก สิ่งใดผิด
มันก็ยังเป็นการยึดติดอยู่ในความดีความเลว
ฉันต้องดีกว่า ฉันต้องเก่งกว่า ฉันต้องเลิศกว่า
เธอผิด ฉันถูก เธอชั่ว ฉันดี ต่างก็เป็นการยึดติด
การติดที่รูปสวย รสอร่อย กลิ่นหอม เสียงไพเราะ
สัมผัสนิ่มนวล นี่ก็เป็นการยึดติดในกามารมณ์

“โอ้โห!...ฟังๆ ดูแล้วทุกอย่างคือการยึดติดทั้งนั้นเลยนะ”
ถูกต้อง! สิ่งปรุงแต่งในโลกล้วนล่อหลอกให้เรายึดติด
ยิ่งกว่าเป็นตังเม ยิ่งกว่าเป็นกาวตราช้าง
และเป็นยิ่งกว่ายางมะตอยราดพื้นถนน
แต่เราต้องหาทางหลุดจากมายาพวกนี้ให้ได้
“ยากจัง...ไม่ง่ายเลยเนอะ”
“แล้วเราจะถอนรากถอนโคนมานะทิฐิมันออกได้อย่างไร?”

เราเกิดมาเพื่อเรียนรู้
แน่นอนว่าเราต้องผ่านการทดสอบมากมาย
การลดละ ปล่อยวาง จากมานะทิฐิ
จากตัวตนที่เรายึดติดอยู่ก็ถือว่าเป็นการทดสอบอย่างหนึ่ง



ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่าการจะหลุดจากมานะทิฐิได้
เราต้องมองให้มันเป็นเช่นนั้น
คือมองตามสภาพความเป็นจริง ไม่ต้องไปปรุงแต่ง
เห็นกระต่ายก็มองว่ามันเป็นกระต่าย
ไม่ใช่เห็นกระต่ายดันมองเห็นเนื้อกระต่ายอบ
หอมฉุย ควันกรุ่น อยู่ในจานหรูบนภัตตาคาร ชวนน้ำลายส่อซะจริงๆ
เห็นผู้หญิงสวยเดินผ่านมา
จินตนาการก็โลดแล่น แบบยั้งไม่หยุดฉุดไม่อยู่
ความคิดจินตนาการที่ไม่ดี มันก่อให้เกิดกิเลส
และยิ่งทำให้เราลงหลุมลึกลงไปทุกที



หยุดความคิดเราสักนิด ดูจิตเราก่อน
ดูสิว่าตัวมานะทิฐิที่มันแฝงอยู่ในจิตเรา
มันกำลังโงหัวขึ้นมาหรือเปล่า
จัดการมันให้อยู่หมัดซะก่อน
กำหลาบมันให้เชื่องซะ
แต่เจ้ามานะทิฐินี่มันทั้งดื้อ ทั้งรั้น ทั้งหัวแข็ง
หนังเหนียว แถมตายยากอีกต่างหาก
ฉะนั้นเราต้องเฝ้าระวังมันไว้ให้ดี
ไม่ให้มันเสนอหน้าขึ้นมามีอำนาจเหนือจิตใจเราได้
การเฝ้าระวังและจัดการ รวมถึงกำจัดเจ้าตัวมานะทิฐิในจิตเรา
ไม่ใช่งานง่ายๆเลย
เราต้องเฝ้าดูกันอย่ากระพริบตา อย่าให้มันแหย๋มหน้าออกมาได้
เฝ้าดูทุกช่วงทุกเวลา
แค่นี้เราก็ไม่เหลือเวลาไปจับตัวมานะทิฐิของคนอื่นแล้ว
เห็นไหมล่ะ ได้ประโยชน์ทั้งสองทางเลย
เอาละ! เรามาทำตัวเป็นบอดี้การ์ดให้จิตเรากันดีกว่า





Create Date : 31 มกราคม 2552
Last Update : 5 กุมภาพันธ์ 2552 14:42:04 น. 0 comments
Counter : 896 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ไอฟ้า
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ธรรมชาติคือความสวยงาม
ธรรมชาติคือความเรียบง่าย
ธรรมชาติคือความสุข
ธรรมชาติคือความรัก
...แค่เราเปิดใจให้ธรรมชาติ
เราก็จะรับรู้และซึมซับ
ความสวยงามที่เรียบง่าย
ที่ส่งมอบความรักให้เราตลอดไป
...ธรรมชาติ
Friends' blogs
[Add ไอฟ้า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.