คำฉันท์
.
รูปแบบร้อยกรองที่ไทยเรานำมาจากอินเดีย .. ไม่เหมือนโคลงที่มาจากทางล้านนา(ภาคเหนือ) ล้านช้าง(ลาว)
คำฉันท์ .. ได้ยินคำนี้ ไทยรุ่นใหม่หลายคนขี้หด ตดหาย 555
พูดแบบง่ายๆ คือ ทุกคำที่ใช้ในร้อยกรองไม่ว่าจะกลอน กาพย์ โคลง ฉันท์ เราสามารถหาความหมายที่ถูกต้องในพจนานุกรมออนไลน์ได้เหมือนๆกัน จึงไม่ใช่เรื่องที่ควร "เกรง" !
ข้อจำกัดหนึ่งของคำฉันท์ยุคใหม่คือเรื่อง ลหุ ที่มักเข้าใจกันไม่แจ่มแจ้งนัก .. ส่วนเรื่องครุ นั้นไม่ค่อยมีปัญหา
หากจะเขียนฉันท์ด้วยคำไทยล้วนๆ น่าจะเป็นเรื่องยาก เพราะการหา ลหุ มาใช้นี่แหละ โดยเฉพาะโคตรฉันท์อย่าง สัทธราฉันท์ ๒๑ ที่มีลหุติดกันถึง 6 ตัว .. คำบาลี สันสกฤต จึงต้องเอามาใช้เพราะเหตุว่า แยกคำออกเป็นเสียงลหุได้ ขณะที่คำไทยแท้ทำไม่ได้
เช่น ..
สุขุม .. พอตกตำแหน่งลหุ เราสามารถอ่านเป็น สุ-ขุ-มะ ได้ ทำให้ได้ลหุมาใช้ทีเดียว 3 ตัวโดยไม่เปลืองแรง ..
อุสุม .. อุ-สุ-มะ วิเชียร .. ว-ชิ-ระ เธียร .. ธิ-ระ มณเฑียร .. มณ-ฑิ-ระ สาวก .. สา-วะ-กะ ไตรปิฎก .. ไตร-ปิ-ฎะ-กะ ถวัลย์ .. ถะ-วัล-ละ-ยะ นฤมิต .. นะ-ฤ-มิ-ตะ จันทร์ .. จัน-ทะ-ระ หทัย .. หะทะยะ กมล .. กะมะละ นิรันดร .. นิรันดะระ มรรค .. มะคะ ตรรกะ .. ตระกะ วรรณ .. วะนะ (ร หัน ทั้งหมดแทนไม้หันอากาศ หรือ สระอะ นั่นเอง) . . ขณะที่คำไทย มันหาได้ยากมาก เช่น กะเทาะเสาะแกน พิเคราะห์ .. พิเคราะหะ ไพเราะ .. พิเราะ เสนาะ เถอะนะ . . . ทีนี้คำไทยที่แยกอ่านไม่ได้ เช่น ตลบ .. อ่าน ตะละบะ ไม่ได้ สงบ .. อ่าน สะงะบะ ไม่ได้
ทีนี้เราจะรู้ได้อย่างไรว่าคำไหนเป็นบาลี สันสกฤต ที่แยกอ่านได้ หรือคำไทยที่แยกอ่านไม่ได้ .. พื้นฐานที่สุดคือดู ศ ษ .. อันนี้รู้มาแต่เรียนประถม คำไทยแท้มักไม่มีอักษรสองตัวนี้
พจนานุกรมออนไลน์ .. //dictionary.sanook.com/search/dict-th-th-pleang/%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%B8%E0%B8%A1
หน้ารวม
แถบบนใต้คำว่า DICTIONARY มีคำว่า "ค้นหาคำศัพท์" .. ให้พิมพ์คำที่ต้องการหาตรงนี้ .. เช่น สุขุม
ที่ช่องความหมายด้านล่างจะมีคำแปลให้ว่า สุขุม(มค. สุขุม - สก. สูกฺษม) ว. ละเอียด, เล็ก, ประณีต เฉียบแหลม.
ในวงเล็บคือที่มาของคำ .. มค.คือ มคธ คือภาษาของชาวมคธ หรือ ภาษาบาลี พุทธเถรวาทใช้ภาษานี้ถ่ายทอดพุทธธรรม สก.คือ สันสกฤต คือภาษาของชนชาติอารยันที่วางรูปแบบไว้อย่างสมบูรณ์แบบ พุทธมหายานใช้ภาษานี้เผยแผ่ไปทางเอเชียเหนือ-ตะวันออก
รหัส(มค. รหสฺส - สก. รหสฺย) น. เหตุลับ, ความลับ, ความลึกลับ ระบบสัญลักษณ์ที่ใช้เครื่องมือเครื่องใช้เช่นตู้นิรภัย.
พินทุ[พิน-ทุ] (มค. พินฺทุ - สก. พินฺทุ, วฺฤนฺท, วินฺทุ) น. หยาดน้ำ, จุด, จุดที่ใส่ไว้ใต้ตัวอักษร ลายแต้มสีที่หน้าผากระหว่างคิ้ว รูปวงเล็กๆ รูปสระดังนี้ ชื่อสังขยาจำนวนสูงเท่ากับโกฏิกำลัง ๗ หรือ ๑ มีศูนย์ตามหลัง ๔๙ ตัว.
บงกช[บงกด] น. บัว. (ป. ส. ปงฺกช).[บงกด] น. บัว. (ป. ส. ปงฺกช).ดู บงก- บงก์.
บางครั้งในวงเล็บที่บอกถึงที่มาของคำ อาจเจอ ป. กับ ส. แทนบ้าง ก็อย่าทำมึน ป. คือ ประโยค คือ บาลี ส. คือ สันสกฤต . . มาว่าลงลึกถึงรากศัพท์สักสองสามตัวพอหอมปากหอมคอ ..
จากคำ บงกช ล่าสุดนั่นแหละ บงก์ .. บงกะ แปลว่า โคลนตม ช .. ชะ ตัวเดียวนี้แปลว่า ผู้เกิด บงกะ+ชะ .. บงกช แปลว่า ผู้เกิดในโคลนตม คือ ต้นบัว
อนุ .. แปลว่า ทีหลัง ตามมา อนุ+ชะ .. อนุช อนุชา แปลว่า ผู้เกิดทีหลัง ผู้เกิดตามมา คือ น้องนั่นเอง
สระ .. แปลว่า ที่มีน้ำขัง บึง สระ+ชะ .. สโรช สโรชินี .. แปลว่า ผู้เกิดในที่มีน้ำ คือ บัวอีกนั่นแหละ
ค่อนข้างเป็นเรื่องของภาษาไทยมากไปนิด .. ทำให้เคยประเมินว่า พระ หรือ ผู้เคยเรียนนักธรรมน่าจะเขียนฉันท์ได้ดี เพราะรู้การสมาส สนธิ คำ รวมทั้งครูอาจารย์ที่จบเอกภาษาไทยมา .. อาจมีส่วนได้เปรียบอยู่บ้าง แต่ก็ไม่เสมอไป
สมาส สนธิคำ
เป็นอย่างไร ?
คำสมาสเป็นการรวมคำ แต่ไม่มีการเปลี่ยนรูป และการแปลความหมาย จะแปลจากหลังไปหน้า ส่วนคำสนธิจะมีการเปลี่ยนรูป
อัตตะ + อนุมัติ .. อัตโนมัติ อรุณ + อุทัย .. อรุโณทัย คุณ + อุปการ .. คุณูปการ สาธารณะ + อุปโภค .. สาธารณูปโภค
ลักษณะนี้ ผู้เขียนเองก็ไม่สามารถ เพราะไม่เคยเรียนมา .. แต่กวีในอดีตใช้กันเป็นเรื่องปกติ เพราะยุคโบราณนั้น ชายไทยเรียนหนังสือกับพระ บาลี สันสกฤต เข้าใจกันได้ทุกคนที่มีโอกาสเรียน
ขอยกข้อเขียนของ "ครูไหวใจร้าย" ที่ได้สงเคราะห์ความรู้ด้านภาษาไทยให้กับผู้เขียนตลอดมา .. มาวางไว้ในที่นี้เพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย .. . . การสนธิคำ คือ ประสมกันแบบเชื่อมคำตั้งแต่ 2 คำ เข้าด้วยกัน มีหลายลักษณะ คือ
1. สระสนธิ คือ การเชื่อมคำหน้า กับ คำหลังด้วย สระ + สระ เช่น - อะ, อา + อะ, อา = อา ตัวอย่าง ชีวะ + อาตม์ = ชีวาตม์ - อิ, อี + อิ = อิ ตัวอย่าง กรี + อินทร์ = กรินทร์ - อะ, อา, + อุ, อู = อิ, อี, อู, เอ ตัวอย่าง นร + อินทร์ = นรินทร์, นเรนทร์ / ปรม + อณู = ปรมณู - อุ, อู + อุ อู = อุ, อู ตัวอย่าง ครุ + อุปกรณ์ = ครุปกรณ์ - อะ, อา + เอ, ไอ, โอ, เอา = เอ, ไอ, โอ, เอา ตัวอย่าง โภค + ไอศวรรย์ = โภไคสวรรย์ - อะ, + อุ = โอ ตัวอย่าง พุทธ + โอวาท = พุทโธวาท - แปลงสระ อิ หรือ อี เป็น ย เช่น สามัคคี + อาจารย์ = สามัคยาจารย์ - แปลงสระ อุ หรือ อู เป็น ว เช่น ธนู + อาคม = ธันวาคม - เปลี่ยนสระ อิ หรือ อี และ อุ เป็น โอ เช่น คณ + อิศวร = คเณศวร
2. พยัญชนะสนธิ เป็นการประสมระหว่างสระกับพยัญชนะ มี 3 ลักษณะ คือ
2.1 แปลง ปฏิ เป็น ปัจจ เช่น ปฏิ + อุปปนฺน = ปจฺจุปนฺน (ปัจจุบัน) ปฏิ + เอกบุคคล = ปจฺเจกบุคคล (ปัจเจกบุคคล) ปฏิ + เอกภาว = ปจฺเจกภาว (ปัจเจกภาพ)
2.2 แปลง อธิ เป็น อัชฌ เช่น อธิ + อาสย = อัชฌาสัย
2.3 เพิ่มพยัญชนะ โดยวิธี อาคม พยัญชนะที่เพิ่มมี 8 ตัว คือ ย ร ฬ ว ม ท น ต เอต + อคฺค = เอตทคฺค (เอตทัคคะ) ปริ + โอสาน = ปริโยสาน (ปริโยสาน)
3. นิคหิตสนธิ คือการเชื่อมนฤคหิตด้วยสระ หรือพยัญชนะ ตัวอย่างเช่น
3.1 สระอยู่หลังนิคหิต แปลง นิคหิตเป็น ม สํ + อาคม = สมาคม สํ + อุทัย = สมุทัย สํ + ธิ = สนฺธิ (สนธิ) สํ + เทส = สนเทส (สนเทส) สํ + โพธิ = สมฺโพธิ (สมโพธิ) สํ + พนฺธ = สมฺพนฺธ (สัมพันธ์) สํ + คม = สงฺคม (สังคม) สํ + ผสฺส = สมฺผสฺ (สัมผัส)
3.2 แปลงนิคหิตเป็นพยัญชนะแถวที่ 5 ของวรรค สํ + ขาน = สงฺขาร (สังขาร) สํ + ฐาน = สณฺฐาน (สัณฐาน) สํ + ภาร = สมฺภาร (สมภาร)
. .
ที่มา .. https://sites.google.com/site/raksamueng/sara-thi-5-reuxng-kha-snthi . . . สำหรับผู้สนใจศึกษาเรื่องคำสมาส-สนธิ ที่นี่มีคำอธิบายเป็น PDF file สามารถ download เก็บไว้ศึกษาอ้างอิงได้เลย ละเอียดมาก
//www.vcharkarn.com/uploads/80/80274.pdf . . . . อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑
ฉันทลักษณ์ 00100 - - 110102 00102 - - 110103 - บทที่ 1
00100 - - 110103 00103 - - 110104 - บทที่ 2
เมื่อ 1 คือ ลหุ นอกนั้นเป็นครุ เลขเดียวกันสัมผัสสระ
O พิศภาคะหลากพรรณ - - - อภินันทะรำบาย พันลอกและดอกลาย - - - กละร่ายระรัวรอ O กลีบช่อลออชู - - - รสะภู่ ฤ รู้พอ กลีบโง้งและโก่งงอ - - - ดุจะล่อจะให้หลง
O กลิ่นหวนและล้วนหอม - - - ขณะล้อม ฤ ล้างลง กรุ่นดินและกลิ่นดง - - - รสะสงเคราะห์ยามสาย O แดดทอดตลอดถิ่น - - - ภุมรินะร่อนราย ส่องเช้าสุรีย์ฉาย - - - มรรคะปลายจะปลอดปรุง
O แว่วสรรพสุโนกซ้อง - - - พิเราะร้องจะอำรุง เมียงหมายกระจายมุง - - - นิระมุ่งจะเป็นภัย O หวีดหวิวละลิ่ววน - - - วตะบนสะบัดใบ กิ่งแกว่งเพราะแรงไกว - - - วตะไล้แตะแล้วลา
O มาลย์ลิ่วและปลิวล่วง - - - ดุจะบวงพระบาทา ลาดสู่พระผู้สา- - - - มัญะฝ่ากิเลศฝืน O บาทเธียระเพียรธรรม - - - ระยะกรรมจะกลบกลืน ล่วงคล้อยเพราะคอยขืน - - - บทะตื่น ณ ในตน
O รอบาทะลาดใบ - - - ขณะไท้ บ่ รอทน ทุกข์ผ่านจะลาญผล - - - อัตะวนจะป่นวาย O ลมวู่พบูวี - - - ปฐพีก็พร่างพราย- ด้วยรัศมีฉาย - - - รพิป้าย ณ หนหาว
O เงาภาพกระหนาบพื้น - - - บทะยื่นน่ะยืดยาว ทุกข์ฤทธิพิษร้าว - - - จะละน้าว บ จำนน O เมื่อร้อนนะผ่อนแรง - - - ทิฐิแปร่งก็ผ่อนปรน จิตไท้ก็ไม่ทน - - - อัตะตนก็ปลดวาง
เสียงท้ายวรรคของฉันท์
คมทวน คันธนู คือกวีซีไรต์คนเดียวที่ "เป็น" เรื่องฉันท์ในระดับลงลึก และผู้เขียนเดินตาม ฉันท์ 4 วรรคต่อบท เสียงท้ายวรรคเหมือนกาพย์ยานี 11 เสียงท้ายวรรค 1 เต้น เสียงท้ายวรรค 2 สามัญ เสียงท้ายวรรค 3 จัตวา หากเป็นเสียงสามัญ ท้ายวรรค 4 ควรเป็นเสียงจัตวา เสียงท้ายวรรค 4 จัตวา หรือ สามัญ
ทั้งหมดมาจากการอ่านทำนองเสนาะเช่นกัน
ทำนองเสนาะอินทรวิเชียนฉันท์ 11
วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
ฉันทลักษณ์ 00101110 - - 110102 00101112 - - 110103 - บทที่ 1
00101110 - - 110103 00101113 - - 110104 - บทที่ 2
เมื่อ 1 คือ ลหุ นอกนั้นเป็นครุ เลขเดียวกันสัมผัสสระ
O ศัพท์แสงแสดง-ทิ-ฐิ-วิ-กฤต ระ-บุ-มิจฉะมากมาย ลูบคลำพระธรร-มะ-อ-ภิ-ปราย- ระ-บุ-คล้ายจะเคยเห็น
O กาลามะสู-ต-ระ-ประ-การ พระ-ประ-ทานเสมอเป็น - หลัดยึดประพฤติ-ท-ศะ-ประ-เด็น ฤ-จะ-เร้นจะเลือนสูญ
O เขาว่า..เพาะสา-ว-กะ-ส-ภาพ ประ-ลุ-คาบทวีคูณ เหนี่ยวรั้งพลัง-ฐิ-ติ-วิ-ทูร ก-ละ-กูณฑะมอดเชื้อ
O เกรงว่าจะหา-ย-นะ-พระ-ศาสน์ เพราะ-ประ-ภาษะคลุมเครือ ลุ่มหลงพะวง-ภ-พะ-อะ-เคื้อ อรร-ถะ-เพรื่อสิพร่ำเผย
O ไพศาลประการ-อ-ริ-ยะ-วาท จะ-ป-ลาตะล่วงเลย เกรงเขลาคละเคล้า-บ-ทะ-เฉลย น-ยะ-เปรยจะปลอมปน
O ยากเย็นประเด็น-อ-ริ-ยะ-สัจจ์ ภ-วะ-วัฏฏะเวียนวน เสกสรรคะคัน-ถะ-อ-นุ-สน- ธิ-วิ-กลวิการเขียน
O กำจายสยายอุ-บั-ติ-จิต ระ-บุ-ทิศะดุจเธียร รอบกรรมะนำ-ภ-วะ-เสถียร นิ-ระ-เปลี่ยนกระทั่งปลาย
O เห็นไกลกระไร-นั-ย-นะ-ทิพย์ กระ-แดะ-หยิบมุบรรยาย เกรงว่าจะพา-ข-ยะ-ข-จาย มรร-คะ-ปลายจะเปล่าเปลือง
O เหตุต้น .. เพาะผล-กรร-มะ-กระ-ทบ ด-ละ-ภพะรองเรือง สัมผัสกระหวัด-ร-สะ-เมลือง ทะ-นุ-เนื่องเขษมสันต์
O การณ์เหตุและเจ-ต-นะ-ผ-จง อุ-ป-สงคะร่วมกัน ก่อกรรมะนำ-ทุ-ก-ระ-ทัณ- ฑะ-ผ-ชันเผชิญชนม์
O กรรมเหตุและเด-ชะ-จะ-ส-ลาย ก็-เพราะ-คลายระดับ..ตน.. รู้วัตรขจัด-อ-ดุ-ระ-ผล ละ-ก-มละพ้นหมอง
O เพียงคุมผชุม-จิ-ตะ-ส-มา- ธิ-ส-ภาวะตามตรอง ใคร่ครวญชนวน-มุ-หะ-ละ-ออง เฉพาะต้องจะตัดเตียน
O ติดหล่มเพราะสม-มุ-ติ-พิ-การ วิ-ญ-ญาณะจำเนียร สิ้นร่าง บ่ ร้าง-ภ-วะ-เสถียร จะ-ผละ-เปลี่ยนและเวียนไป
O ดวงเดียวจะเหนี่ยว-อ-ม-ระ-ภาค กระ-แหนะ-พากย์เพราะอำไพ ลอยลิบกระพริบ-บ-ทะ-ไสว ภ-พะ-ใหม่ตะบึงมอง
O แห่ตามเพราะพราห-ม-ณะ-ประ-สิทธิ์ นิ-ร-มิตะรับรอง อวลอรรถเพาะปรั-ช-ญะ-ส-นอง ผั-สะ-ต้องก็ติดตาย
O กาลล่วงก็ห่วง-ทิ-ฐิ-พิ-สุทธิ์ ธรร-มะ-พุทธจะเปล่าดาย แผกผันเพาะคัน-ถะ-อ-ภิ-ปราย อ-ธิ-บายะเบี่ยงเบน
O หลงมุขะยุค-อุ-ป-นิ-ษัท พิ-เคราะห์-อรรถะโอนเอน หลงรสประพจน์-อุ-ต-ริ-เถร ด-ละ-เวระแฝงไว้
O แยบคายอุบาย-มุ-สะ-ประ-โยค ระ-บุ-โลกะครรไล พรางปมเพาะสม-มุ-ติ-พิ-สัย ระ-บุ-ให้พิกลเห็น
O แปลกตอนสะท้อน-ร-หั-สะ-วา- ก-ยะ-พาหะแผกเพ็ญ ข้ามภพ บ่ จบ-ประ-ทุ-ษะ-เข็ญ ต-ละ-"เป็น"เพราะกรรมปรุง
O เหตุนำเพราะคัม-ภิ-ระ-ก-ถา อรร-ถะ-ราชะอำรุง ภาษปวงพระร่วง-ลิ-ขิ-ตะ-ฟุ้ง ก-ละ-รุ้งจรัสเหลือ
O ต้นเงื่อนเสมือน
.วิ-สุ-ทธิ์-มรรค เพราะ-ประ-จักษะจุนเจือ- คลี่คลายสยาย-ภ-พะ-อะ-เคื้อ ต-ละ-เหยื่อก็พร้อมยิน
O เหตุร้อน ณ ก่อน-ม-ร-ณะ-กาล ฤ-จะ-ผ่านทลายภินท์ ย้อนสางมล้าง-ภ-วะ-อ-จิน- ต-ยะ-สิ้นจะได้หรือ ?
O เมื่อเหตุเภท-ด-ละ-ประ-ภพ ฤ-จะ-กลบซะด้วยมือ รูปนาม ฤ ข้าม-ภ-พะ-กระ-พือ ประ-ลุ-รื้ออดีตกรรม
O การณ์ใดกระไร-ด-ละ-เพราะเหตุ บ-ริ-เฉทะเนื่องนำ- ส่งผลทุรน-อ-ดุ-ระ-ล้ำ ฤ-จะ-ห้ำประหัตหาย
O ความดับระงับ-ฤ-จะ-ประ-สบ ผิ-วะ-ภพะวอดวาย หนทางจะล้าง-ทุ-ขะ-ส-ลาย ฤ-จะ-หมายจะมองไหน ?
O เหตุ-ผล ณ บน-ระ-ยะ-ระ-หว่าง- ภ-พะ-ต่างจะอย่างไร ? หรือเพียงจะเบี่ยง-ทิ-ฐิ-พิ-สัย ระ-บุ-ไว้เพราะสับสน
O มืดมัวสลัว-รั-ฐะ-ไผท ม-ติ-ไหนก็จำนน แซ่ศัพท์สดับ-จิ-ตะ-ฉ-งน เสนาะพ้นวิหคไพร !
O แม้นห้วงอรรณพนั้น - - - ไพศาล ใช่กักทุกข์ทรมาน - - - หมดสิ้น แต่อบายจดพรหมสถาน - - - ถ้วนหมู่ นับเนื่องเพียงกระผีกริ้น - - - รอด, พร้อม-นฤพาน !
แถมโคลงสี่สุภาพให้บทนึง 555
ทำนองเสนาะวสันตดิลกฉันท์ ๑๔
สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
ฉันทลักษณ์ 000110101112 00102 - - - 13 - บทที่ 1
000110101113 00103 - - - 14 - บทที่ 2
1=ลหุ นอกนั้นครุ เลขเดียวกัน = สัมผัสสระ
เอาบท "คืนแห่งจันทร์" ในบล็อกฉันท์มาลงให้ดูเป็นตัวอย่าง เรื่องสัมผัสบังคับให้ดูในผังฉันทลักษณ์ เขาบังคับแค่นั้น .. ส่วนสัมผัสในอะไรต่างๆ ไม่มีบทบังคับอะไร ว่ากันได้ตามใจชอบ
O โอ้..ราตรีขณะจันทร์ถวัลยะนภา งันเงียบยะเยียบพา - - - สะพรึง
O โอ้..ราตรีสรรพะสิ่งนะนิ่งกละจะพึง- คอยผัสสะรัดรึง - - - ระรัว
O รูปพักตร์งามก็สะอาง ณ กลางนิละสลัว แนบขวัญและพันพัว - - - ฤทัย
O เนตรต่อเนตรขณะสบก็ครบทิฐิวิสัย แจ้งเภทและเลศนัย - - - ะนั้น
O ริมฝั่งชลทุขะปวงละช่วงนิระประจัน- จิตผู้เสาะรู้, บรร - - - ลุนัย
O แขเพ็ญดวงขณะชาติพินาศ, ภพะประลัย ยึดมั่นก็สั่นไหว - - - บ เวียน
O น้ำค้างหยาดตั-ณ-หาละลาหทัยะเธียร เวทน์ผัสสะตัดเตียน - - - เพราะตรอง
O กลางเงียบงันเฉพาะภาวะอายตนะผอง หยุดเป็นและเว้นปอง - - - บ ปรน
O ปลิดปลงรูปะและนาม ณ ยามทิฐิพิมล ห้าวหาญะลาญกล - - - ณ กาล
O ท่ามกลางจันทระภาสพิลาสะวิ-ญ-ญาณ- หยุดยั้ง-เพราะสังขาร - - - ละคลาย
O จันทร์จางรูปและอวิชชะฤทธิก็สลาย ตัวตนก็ป่นวาย - - - บ วน
O จบสิ้นอาสวะเหตุและเภททุระผจญ หักสิ้นก็สิ้นมน - - - ตระมาร
การอ่านทำนองเสนาะ สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
ขอปิดท้ายกระทู้คำฉันท์ด้วย การร้อยเรียงเรื่องยาว ด้วยคำฉันท์หลากหลายประเภท
O .. คืนแห่งจันทร์ .. O
บุรุษที่หนึ่งริมน้ำ ณ โคนพฤกษ์ อีทิสังฉันท์ ๒๐ 010101012 - - - 10101012 103 1 = ลหุ 0,2,3 = ครุ
O ย้อนอดีตะกาละผ่านผจญ- ผจัญกะเยาวะเขลานุสน- ธิ-เมามาย
O จินตนาภวังคะยังสยาย ประนังประเล่หะเพทุบาย จะกลายกล
O แผ่วพระพายพะพลิ้วระริ้วสุคน- ธะกลิ่นพะยอมก็ล้อมก็ลน กระวนมา
O เงียบสงบสงัดพนัส, สภา- วะธรรมะย่อมประนอมสถา- ปนานัย
O หนึ่งดนูสมาธิพาฤทัย กระวนพิจารณาพิจัย พิสัยนั้น
O งามสงบสง่าสภาวะบรร- ลุฌานประภาพ ณ คาบผจัญ ผจญมาร
บุรุษที่สอง ริมใจ ณ ในกาย สัทธราฉันท์ ๒๑ 0000102 - - - 1111112 0102 - - - 103
O หนึ่งตั้งหยั่งลง ณ สงสาร อุบัติพิริยะญาณ เพลินเจริญนาน ตระการกล
O แตกดอกออกช่อพะนอผล สมรรถะภวะกมล มุ่งจะปรุงปรน สกลกาย
O แผ่หวานผ่านชื่นระรื่นปลาย ศักยะพละสยาย งามละลามสาย ขจายตอน
O ดำรงคงอยู่บ่รู้มรณ์ สถิตะรตินิวรณ์ เมาหะเว้าวอน บ่ผ่อนผลาญ
O จำรัสจำเริญเผชิญกาล รัถยะมละตระการ นำชอ่ำมาร ผสานมนต์
O แล่นเลื่อนเคลื่อนชาติพิฆาตชนม์ สถิตะทุระทุรน รัดกระหวัดลน กมลหมอง
อาคันตุกะราตรี สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙ 000110101112 - - - 00102 - - - 13
O ใครหนอนั่น-บ-ริ-บทเพราะยศ-ด-ละ-ผยอง ตัวตนสิหล่นนอง - - - ไฉน
O คอนฐานัน-ด-ระ-ศักดิหนัก-ระ-ดะ-ไผท คล้อยเคลื่อนจะเลื่อนไหล - - - ทะลาย
O หยัดตนเยี่ยง-ท-ระ-นงจะคง-ภ-วะ-บ่-กลาย ภพชาติคาดหมาย - - - บ มรณ์
O ภาคหนึ่งนั่น-คุ-รุ-ศัพทะจับ-บ-ละ-บ-ถอน ภาษสรรพกระชับคอน - - - สิขรม
O เสียงยอศี-ละ-ประ-นังสิดัง-ก-ละ-ระดม- เรี่ยวแรงจะแข่งพรหม - - - ะดาล
O ใครหนอนั่น-นิ-ระ-หวั่นผจัญ-กะ-วิ-ญ-ญาณ เย้ยหยันจะบั่นมาร - - - เผชิญ
โฉมสะคราญสุดแดนดิน วสันตดิลกฉันท์ ๑๔ 00101110 - - - 110102 00101112 - - - 110103
O กลางน้ำทิฆัมพระสะท้อน- ศศิธร-ก็พิศเพลิน พร้อมลมระห่ม, นัยน์สะเทิ้น- ฤ จะเขินเพราะแววตา ?
O จันทร์ภาสพิลาส ณ คคนานต์ สิริปานจะปันปรา- กฎมอบ ณ ขอบทิพะปุรา กระจะฟ้าขจ่างฝัน
O ลมล้อชลาลัยะกระเพื่อม บทะเหลื่อมรุจีจันทร์ พลัน..!.โฉมประโลมอุระถวัล- ยะประชันจะรอชม
O ล้ำสรรพะอัปสระสวรรค์ จิตะนั้นก็จ่อมจม ด้วยลักษณ์ฉลักรติภิรม- ยะ ฤ ข่ม ฤ ขับหาย
O โดยเลศและเนตระสมร ดุจะอ้อนจะเอียงอาย ช้อยร่างระหว่างนัยนะชาย ดุจะฉายประทับโฉม
O แนบอยู่ก็ภูษิตะพะพลิ้ว ระดะริ้วพระพายโลม ยิ้มเยื้อนและเคลื่อนรมยะโหม- ภวะโสมนัสสนอง
O เนตรฉายสยายรหัสะเลศ ประจุเจตะจับจอง แผ่อิทธิฤทธิ์รชะตระกอง ตละจ้องก็จับใจ
เงาดำจากบาดาล อินทรวิเชียรฉันท์ ๑๑ 00100 - - - 110102 00102 - - - 110103
O ครืนครั่นสนั่นสรวง ชุติช่วงก็ชอนไช ส่ายเส้นและเต้นไหว กละใกล้จะถึงกาล-
O เปลวไฟประลัยล้อม ชิวะหลอมปลาตลาญ โศกศัลยะบรรสาร- ทรมานและมืดมน
O เงาภาพะรูปพิมพ์ แสยะยิ้มก็เมื่อยล แววเนตรและเลศฉล ดละกลประกอบการณ์
O ราวเรื่อง ณ เบื้องหลัง ตละครั้งก็คืบคลาน- สร้างภาพะโวหาร พิสดาระลวกลน
O ยึดโลกะรายรอบ ดละกรอบประกันตน ถ้วนพิศะติดกล อัตะดละเหนี่ยวดึง
O เมาโมหะโลภหลง กุธะองคะอื้ออึง น้อมนำ ณ คำนึง เฉพาะซึ่งมโนสรรค์
O ครบถ้วนกระบวนถ้อย ก็ประดอยประดิษฐ์พัน- ผูกล้อมและย้อมขวัญ ระบุชั้นกะเชื้อชน
ดับกล .. อนธการ ภุชงค์ปยาตฉันท์ ๑๒ 100100 - - - 100102 100102 - - - 100103
O ประหนึ่งหมอกระลอกมัว จะล้าตัวละลายตน เพราะเรื้องแสงและแรงสน- ธิอำพนกมลพร้อม
O ระบิลบทะงดงาม พยายามและยินยอม- พิจัยเรื่องและหล่อหลอม- กมลน้อมประนังนัย
O นิวรณ์ล้อมตะล่อมร่าง ก็รู้วางและรู้ไว สะคราญรูปะวูบไหว ก็รู้ใจ บ รู้จน
O อุฬารอัตตะขัดออก จะหลุดลอก บ ลวกลน อหังการะแกร่งกล ขจัดผละเผาผลาญ
O ประคองธรรมะนำทิศ กระบวนพิศะพ้องพาน, กระบวนทัศน์ปทัสถาน เหมาะควรการณ์และควรกรรม
O พิจัยความ บ ฟุ้งเฟื่อง และรูปเรื่องก็ควรนำ- ประกอบถ้อยและคอยทำ- นุ หนุนค้ำและย้ำคิด
O ประดาสรรพะจับจ้อง จะครอบครองและปองสิทธิ์ เพราะไตร่ตรองและมองพิศ ก็แจ้งจิตเพราะปัญญา
สยบนงคราญ เหมันตดิเรกฉันท์ ๑๕ 00101110 - - - 1101012 00101112 - - - 1101013
O บัดดลพิมลศศินะแสง กระจะแจ้งประโลมนภา บัดนั้นก็พลันวุฒิสถา- ปนะภาวะโลมฤทัย
O เผยงาม ณ ยามระยะเหยาะย่าง สรพางคะงามประไพ วงพักตร์ประจักษ์เฉพาะจะไหว- หฤทัยถวิละหวัง
O งามพิศก็จิตพิริยะพร้อม- จะถนอมประนอมประนัง ช้อยรูปะลูบบทะภวัง- คะประดัง ณ ห้วงฤดี
O โหยหาเพราะอาลัยะกระหวัด ปฏิพัทธะพร้อมจะพลี- ชาติภพะจบสุภะสรี- ระสตรีทุรนทุราย
O ใคร่ครวญะล้วนสมระรูป จิตะวูบ บ เว้น บ วาย วรรณาเพราะกาละจะสลาย สิริกลายสภาพะการณ์
O ร่วงโรยจะโบยสรรพะสรีร์ นิระที่จะทนจะทาน เหี่ยวย่นจะวนสมะสมาน- วรรณะคราญระคนระคาย
O วันชื่น ฤ ฝืนยุคะสมัย ก็เพราะขัยจะกร่อนจะกลาย น้ำนวลจะหวนบทะ ฤ หมาย ? พิศะชายจะเฉื่อยจะช้า
เอกะยุทธกระบวน สัททุลวิกกีฬิตฉันท์ ๑๙
O โอ้..ราตรีขณะจันทร์ถวัลยะนภา งันเงียบยะเยียบพา - - - สะพรึง
O โอ้..ราตรีสรรพะสิ่งนะนิ่งกละจะพึง- คอยผัสสะรัดรึง - - - ระรัว
O รูปพักตร์งามก็สะอาง ณ กลางนิละสลัว แนบขวัญและพันพัว - - - ฤทัย
O เนตรต่อเนตรขณะสบก็ครบทิฐิวิสัย แจ้งเภทและเลศนัย - - - ะนั้น
O ริมฝั่งชลทุขะปวงละช่วงนิระประจัน- จิตผู้เสาะรู้, บรร - - - ลุนัย
O แขเพ็ญดวงขณะชาติพินาศ, ภพะประลัย ยึดมั่นก็สั่นไหว - - - บ เวียน
O น้ำค้างหยาดตั-ณ-หาละลาหทัยะเธียร เวทน์ผัสสะตัดเตียน - - - เพราะตรอง
O กลางเงียบงันเฉพาะภาวะอายตนะผอง หยุดเป็นและเว้นปอง - - - บ ปรน
O ปลิดปลงรูปะและนาม ณ ยามทิฐิพิมล ห้าวหาญะลาญกล - - - ณ กาล
O ท่ามกลางจันทระภาสพิลาสะวิ-ญ-ญาณ- หยุดยั้ง-เพราะสังขาร - - - ละคลาย
O จันทร์จางรูปและอวิชชะฤทธิก็สลาย ตัวตนก็ป่นวาย - - - บ วน
O จบสิ้นอาสวะเหตุและเภททุระผจญ หักสิ้นก็สิ้นมน - - - ตระมาร
จอมคนบนปฐพี วสันตดิลกฉันท์ ๑๔
O จันทร์พร่างระหว่างภพะประลัย นิระใดจะบันดาล- ปรุงแต่ง-เพราะแรงทิฐิพิชาน อุปการะบทกรรม
O แจ้งการณ์เพราะลาญมุหะ ณ ใน- หฤทัยะด้วยธรรม ดับฤทธิ์อวิชช์บทะกลัม- พ-ระตำหนิในตน
O แจ้งใดจะดั่งอริยะญาณ ประจุมาน-ละมืดมน แจ้งนั้นเพราะสัทะและกมล อนุสนธิกลางศศิน
Create Date : 28 กันยายน 2558 |
|
7 comments |
Last Update : 12 มิถุนายน 2560 13:48:32 น. |
Counter : 6225 Pageviews. |
|
|
|
เอื่อนเอ่ยมธุรสา..... วจนา ผนึกเคียง
คล้องคำวณประทีป... กละรีบ จะโรยเรียง
สรรสายระบายเคียง... ตลบพื้น สุธาดล
จันทร์งามณยามนี้.... ศศิศรี มณีกมล
ผ่องพรรณถวัลย์วน....บริมาศ สะอาดภางค์
กายจิตวจีจับ....... ปลุสรรพ มนัสวาง
ดิ่งธรรมรรินทร์ทาง.....สุสว่าง สวรรค์วอน
จันทร์เลื่อนระโรยไกล...ฤดีไห้ ระโหยอ่อน
ดังรักจะตัดรอน.......บ่มิแคล้ว คะนึงครวญ