Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2551
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
30 มิถุนายน 2551
 
All Blogs
 

พระมหามณเฑียร


พระพุทธมณเฑียร พระพุทธรัตนสถานอยู่ซ้ายมือ


     พระมหามณเฑียร หมายถึงที่ประทับของพระมหากษัตริย์ ที่ใช้เป็นที่บรรทมและเสด็จออกว่าราชการ

หมู่พระมหามณเฑียรในพระบรมมหาราชวัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. ๒๓๒๕ เพื่อทรงใช้เป็นพระราชพิธีมณฑลในพระราชพิธีปราบดาภิเษก และประทับอยู่ตลอดรัชกาล และใช้เป็นพระราชพิธีมณฑลสำหรับประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระมหากษัตริย์ สืบเนื่องกันมาทุกรัชกาลในราชวงศ์จักรี

     พระมหามณเฑียรนี้สร้างเป็นพระที่นั่งหมู่ หันหน้าไปทางทิศเหนือ สร้างเป็นแนวตรง และแนวขวางต่อเนื่องกัน โดยมีมุขแล่นถึงกันโดยตลอด ประกอบด้วยหมู่พระวิมานที่บรรทม และท้องพระโรงสำหรับเสด็จออก มีท้องพระโรงหลัง พระปรัศว์ซ้าย พระปรัศว์ขวา หมู่พระมหามณเฑียรนี้สร้างเป็นแบบสถาปัตยกรรมไทย มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงษ์ ตั้งอยู่ต่อเนื่องในเขตพระราชฐานชั้นในและชั้นกลาง ประกอบด้วยพระที่นั่งและหอใหญ่น้อย จำนวน ๗ องค์ คือ


พระพุทธมณเฑียร และพระที่นั่งจักพรรดิพิมาน ถ่ายจากพระที่นั่งภวดลทัศไนย


1. พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เป็นพระที่นั่งองค์ประธานของพระที่นั่งในหมู่พระมหามณเฑียร ก่อสร้างในรูปลักษณะของสถาปัตยกรรมไทยองค์พระที่นั่งก่ออิฐถือปูน สร้างเป็น ๓ องค์แฝด ภายนอกเป็นระเบียงรายล้อมด้วยเสานางจรัลอยู่ทุกด้าน เป็นพระวิมานที่บรรทมของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ทรงเสด็จประทับอยู่เป็นประจำ

2. พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เป็นพระที่นั่งต่อกับท้องพระโรงหน้าพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ทางทิศเหนือ ทรงใช้เป็นที่ประทับทรงพระสำราญหรือให้ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท และใช้เป็นพระราชพิธีมณฑลในการประกอบพิธีบรมราชาภิเษกจนถึงรัชกาลปัจจุบัน พระที่นั่งไพศาลทักษิณเป็นที่ประดิษฐานของปูชนียวัตถุสำคัญ ๓ อย่าง คือ

1) พระสยามเทวาธิราช ประดิษฐานอยู่ในพระวิมานตอนกลางองค์พระที่นั่ง ตรงพระทวารเทวราชมเหศวร

2) พระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ เป็นที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงประทับรับน้ำอภิเษกในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ประดิษฐานอยู่เกือบสุดองค์พระที่นั่ง ด้านทิศตะวันออก

3) พระที่นั่งภัทรบิฐ เป็นที่ประทับรับเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ เครื่องบรมราชูปโภคอันเป็นโบราณมงคล รับพระแสงราชศาสตราวุธ และพระแสงอัษฎาวุธในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ประดิษฐานอยู่ตอนหน้าสุดองค์พระที่นั่ง ด้านทิศตะวันตก

3. พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหยสูรยพิมาน อยู่ติดกับพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ทางทิศเหนือ เป็นท้องพระโรงสำหรับเสด็จออกฝ่ายหน้า เช่น เสด็จออกขุนนาง ออกมหาสมาคม ออกทรงบำเพ็ญพระราชกุลต่าง ๆ พระที่นั่งองค์นี้ใช้เป็นพระราชพิธีมณฑลในวันเฉลิมพระชนม์พรรษา ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มีพระราชบัลลังก์ตั้งอยู่ ๒ องค์ คือ

1) พระที่นั่งบุษบกมาลามหาจักรพรรดิพิมาน

2) พระแท่นมหาเศวตฉัตร



4. พระที่นั่งเทพสถานพิลาส พระปรัศว์ขวา เป็นพระที่นั่งอยู่ทางขวาของพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในเขตพระราชฐานชั้นใน ใช้เป็นที่ประทับของฝ่ายใน

5. พระที่นั่งเทพอาสน์พิไล พระปรัศว์ซ้าย เป็นพระที่นั่งอยู่ทางซ้ายของพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน ในเขตพระราชฐานชั้นใน ใช้เป็นที่ประทับของฝ่ายใน

6. หอพระสุราลัยพิมาน อยู่ทางทิศตะวันออกของพระที่นั่งไพศาลทักษิณ เป็นที่ประดิษฐานปูชนียวัตถุ เช่น พระบรมสารีริกธาตุ พระมหามณีรัตนปฏิมากรแก้วมรกตองค์น้อย พระชัยเนาวโลหะ พระชัยวัฒนประจำรัชกาล และพระพุทธปฏิมากรสำคัญอื่น ๆ

7. หอพระธาตุมณเฑียร อยู่ทางทิศตะวันตกของพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ก่อสร้างและตกแต่งเหมือนกับหอพระสุราลัยพิมานทุกประการ เป็นที่ประดิษฐานพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ , ๒, ๓

     ระหว่างหอพระธาตุมณเฑียรกับองค์พระที่นั่งไพศาลทักษิณ มีมุขกระสันต่อเนื่องกัน ผนังด้านเหนือเจาะเป็นช่องพระบัญชรเปิดออกสู่ลานข้างพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย ด้านทิศตะวันตก เรียกว่า "สีหบัญชร" ใช้เป็นที่พระมหากษัตริย์เสด็จออกให้เข้าเฝ้าเป็นการฉุกเฉินในเวลาวิกาล






     พื้นที่ทางตะวันออกของู่พระมหามณเฑียร อันเป็นที่ตั้งพระที่นั่งบรมพิมานและ พระที่นั่งใหญ่น้อยในสวนศิวาลัยนั้น เคยเป็นสวนสำหรับประพาสสำราญพระอิริยาบถมาแต่ ครั้งรัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 2 เมื่อขยายเขตพระราชวังทางด้านทิศใต้แล้วมีที่ว่าง จึงโปรด เกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งทอง 3 หลัง สร้างตึกแบบยุโรปและเก๋งจีนอีกเป็นจำนวนมาก

สวนดังกล่าวเรียกว่า "สวนขวา" เพราะอยู่ทางขวาของพระมหามณเฑียร ต่อมาในรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ ให้รื้อสิ่งก่อสร้างในสวนไปปลูกสร้างและประดับประดาในพระอารามต่าง ๆ เพื่อ อุทิศพระราชกุศลถวายแด่สมเด็จพระบรมชนกนาถ รวมทั้งพระที่นั่งใหญ่ 3 องค์ ก็ทรงมี พระราชดำริจะรื้อไปสร้างเป็นพระอาราม แต่ไม่ดำเนินการ ครั้นถึงรัชกาลที่ 4 ทรงพระราช ดำริว่าถ้ารื้อพระที่นั่งดังกล่าวไปสร้างวัด

     พระราชมณเฑียรสถานที่สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จะไม่เหลือปรากฏในพระบรมมหาราชวัง จึงโปรดเกล้าฯ ให้ ทำการบูรณะแล้วสถาปนาเป็น "พระพุทธมหามณเฑียร" พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง พระพุทธรัตนสถานขึ้นทางเบื้องหน้าพระพุทธมหามณเฑียรนั้น แล้วก่อกำแพงแก้วกั้นยก เป็นพุทธเจดีย์สถานอารามภายในพระบรมมหาราชวัง ขนานนามว่า "พระพุทธนิเสศน์" และ สถาปนาเก๋งโรงละครทางด้านทิศใต้ของพระพุทธมหามณเฑียร เป็นพระที่นั่งทรงธรรม สำหรับมีเทศน์ในวัง

     ส่วนเนื้อที่ในสวนขวาที่เหลืออยู่นั้น โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราช มณเฑียรขึ้นหมู่หนึ่ง พระรชทานนามว่า "พระอภิเนาวนิเวศน์" ประกอบด้วยพระที่นั่งและ หอต่าง ๆ รวม 10 องค์ด้วยกัน แล้วเสด็จมาประทับ ณ พระอภิเนาวนิเวศน์นี้จนตลอดรัชกาล ครั้นสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระที่นั่งทรงผนวช สำหรับเสด็จประทับในคราว เสด็จออกผนวชทางด้านทิศเหนือของพระพุทธมณเฑียร ต่อมาพระพุทธมณเฑียรและพระ อภิเนาวนิเวศน์ทรุดโทรมมากจนเหลือที่จะรักษาไว้ได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯ ให้รื้อลงแล้วปรับที่บริเวณนั้ทำเป็นสวน ส่วนพระที่นั่งทรงธรรม ก็โปรดเกล้าฯ ให้รื้อไปปลูกไว้ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

ภายในสวนศิวาลัยปัจจุบันนี้ มีพระพุทธรัตนสถานอยู่ตอนกลาง และยังมีพระที่นั่ง น้อยใหญ่อยู่ในบริเวณสวนอีก 3 องค์


     พระที่นั่งบรมพิมาน อยู่ทางด้านเหนือของสวนศิวาลัย เดิมเป็นที่ตั้งคลังสรรพาวุธ เรียกว่าโรงแสง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้รื้อสร้างเป็น พระที่นั่ง 2 ชั้น หลังคารูปโค้งมุงกระเบื้องหินชนวนแบบยุโรป พระราชทานนามว่าพระที่นั่ง ภานุมาศจำรูญ เพื่อให้เป็นที่ประทับของพระบรมโอรสาธิราชสยามมกุฎราชกุมาร เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ซึ่งสวรรคตเสียก่อน

แต่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงดำรง พระยศเป็นสยามมกุฎราชกุมารต่อจากเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ก็ไม่ได้เสด็จประทับ ณ พระที่นั่ง องค์นี้ แต่เมื่อเสด็จขึ้นทรงราชย์แล้ว จึงได้เสด็จมาประทับเป็นครั้งคราว แล้วโปรดเกล้าฯ ให้ เปลี่ยนชื่อเป็นพระที่นั่งบรมพิมานตามชื่อพระวิมานที่ประทับในพระอภิเนาวนิเวศน์ของสมเด็จ พระบรมอัยกาธิราชที่รื้อไปแล้ว

     เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์ได้เสด็จมาประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน ก่อนการพระราชพิธีบรมราชภิเษกพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันท มหิดล เมื่อคราวเสด็จนิวัติพระนครใน พ.ศ. 2489 ก็เสด็จประทับ ณ พระที่นั่งบรมพิมาน พร้อมด้วยสมเด็จพระอนุชาธิราชและสมเด็จพระราชชนนีและเสด็จสวรรคต ณ พระที่นั่งองค์นี้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบันโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะ และต่อมามุขทาง ด้านใต้เพื่อจัดเป็นที่พักรับรองพระราชอาคันตุกะชั้นประมุขและพระราชวงศ์ชั้นสูงของ นานาประเทศ และให้สร้างเรือนรับรองทรงไทยขึ้นทางด้านหลังพระที่นั่งอีก 2 หลัง สำหรับ คณะผู้ติดตาม



     พระที่นั่งมหิศรปราสาท ตั้งอยู่บนกำแพงแก้วกั้นเขตระหว่างพระราชฐานชั้นในและ สวนศิวาลัย เป็นพระที่นั่งขนาดเล็กชั้นเดียวยกพื้นสูง มีมุข 4 ด้าน มุขด้านเหนือด้านใต้เป็น มุขยาว ส่วนด้านตะวันออกและตะวันตกเป็นมุขสั้น ยอดปราสาทเป็นทรงมณฑปซ้อน 7 ชั้น ที่มุมยอดปราสาทมีรูปจำหลักครุฑยุดนาครองรับ หลังคาเป็นชั้นลดสองชั้นมุงกระเบื้อง เคลือบสี มีช่อฟ้า ใบระกาและหางหงส์ซึ่งเป็นแบบนาคเบือน หน้าบันตอนบนจำหลักเป็นรูป ครุฑยุคนาค ตอนล่างเป็นรูปคชสารยืนแท่นอยู่ในพลับพลาตรีมุข มีลายกนกก้านขดล้อมซุ่ม พระทวารและพระบัญชรเป็นซุ้มยอด มีอัฒจันทร์ทางด้านตะวันตกเพียงด้านเดียว

พระที่นั่งมหิศรปราสาทนี้ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบรมชนกนาถ และ อัญเชิญพระบรมอัฐิพระบรมชนกนาถมาประดิษฐานไว้ด้วย แต่ปัจจุบันพระบรมอัฐินั้น ประดิษฐานอยู่ ณ หอพระธาตุมณเฑียรตามเดิม ส่วนพระที่นั่งมหิศรปราสาท เป็นที่ ประดิษฐานพระพุทธรูปต่าง ๆ



     พระที่นั่งศิลาลัยมหาปราสาท ตั้งอยู่ตรงมุมสวนศิวาลัยด้านตะวันออกเฉียงใต้ในเขต พระราชฐานชั้นใน เป็นปราสาท 5 ยอด ยอดตรงกลางเป็นองค์ประธานสร้างอย่างยอดปราสาท ทั่วไป มียอดเล็กตั้งอยู่บนสันหลังคารายล้อมทั้ง 4 ด้าน ยอดปราสาทเหล่านี้เป็นยอดทรง มณฑปซ้อน 7 ชั้น ตรงมุมยอดทั้งสี่มีรูปครุฑจำหลักรองรับ หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสี หลังคามุขหน้าและมุขหลังซึ่งเป็นมุขยาวและมีชานโดยรอบนั้น เป็นหลังคาชั้นลด 4 ชั้น ส่วน หลังคามุขข้างซึ่งเป็นมุขสั้นและมีชานด้านเดียวทางทิศเหนือนั้นเป็นหลังคาลด 2 ชั้น หน้าบัน จำหลักรูปนารายณ์ทรงครุฑ มีลายกนกเทพพนมล้อมปิดทองประดับกระจก องค์พระที่นั่งเป็น อาคารสองชั้น มีอัฒจันทร์ขึ้นลงทางด้านหน้าและด้านหลัง ซุ้มพระทวารและพระบัญชรเป็น ซุ้มบันแถลง



     พระที่นั่งศิลาลัยมหาปราสาทนี้สร้างขึ้นในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว โดยโปรดเกล้าฯ ให้รื้อพระที่นั่งประพาสพิพิธภัณฑ์ ในหมู่พระอภิเนาวนิเวศน์ ซึ่งใน สมัยรัชกาลที่ 4 ใช้เป็นที่จัดแสดงศิลปโบราณวัตถุ และสรรพสิ่งที่นานาประเทศทูลเกล้าฯ ถวายเป็นทางพระราชไมตรี แล้วสร้างพระที่นั่งศิลาลัยมหาปราสาทขึ้นแทนที่เพื่อประดิษฐาน พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 4 รัชกาล ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้หล่อขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. 2414 แต่ยังไม่มีสถานที่ประดิษฐานให้สมพระเกียรติยศ

ส่วนวัตถุที่จัดแสดงอยู่ในพระที่นั่ง องค์เดิม โปรดเกล้าฯ ให้จัดไว้ ณ ศาลาสหทัยสมาคม

     ต่อมาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญ พระบรมรูปดังกล่าวไปประดิษฐาน ณ ปราสาทพระเทพบิดร ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีถวายบังคมพระบรมรูปในวันที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2461 ซึ่งได้ถือเป็นประเพณีปฏิบัติสืบต่อมา พระที่นั่งศิลาลัยมหาปราสาทจึงว่างลงจนถึง ปัจจุบัน

พระที่นั่งสีตลาภิรมย์
ตั้งอยู่ริมสนามด้านเหนือพระพุทธรัตนสถาน เบื้องหลังพระที่นั่งบรมพิมาน เป็น พระที่นั่งโถงขนาดเล็ก สร้างด้วยไม้ หลังคามุงกระเบื้องเคลือบสี มีช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ ลงรักปิดทอง หน้าบันจำหลักลายเป็นพระบรมราชสัญญลักษณ์รัชกาลที่ 6 ล้อมด้วยกนกเปลว เสาที่มุมทั้งสี่เป็นเสากลมมุมละ 3 เสา ตั้งเอียงสอบเข้าข้างใน ระหว่างเสาทั้งสามในแต่ละมุม มีลูกกรงเตี้ย ๆ พื้นพระที่นั่งเป็นไม้ยกสูงจากพื้นดินเล็กน้อย พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า เจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นที่ประทับพักผ่อนพระอิริยบถ และเป็นที่ประทับในโอกาส ต่าง ๆ เช่น ประทับเสวยในโอกาสที่พระราชทานเลี้ยงกลางแจ้ง ปัจจุบันจัดเป็นที่ประทับใน งานพระราชอุทยานสโมสรเนื่องในการเฉลิมพระชนมพรรษา

พระพุทธรัตนสถาน
ตั้งอยู่ในสวนศิวาลัยตอนกลาง เป็นพระอุโบสถสร้างด้วยศิลาสีเทา หลังคาลด 2 ชั้น มุงกระเบื้องสีเขียว มีช่อฟ้าใบระกา หางหงส์ ด้านหน้ามีมุขกระสันชั้นลด รอบอาคารเป็น ระเบียงรายล้อมด้วยเสารายซุ้มพระทวารและพระบัญชร เป็นซุ้มยอดทรงมงกุฏ

     พระพุทธรัตนสถาน สร้างขึ้นในรัชกาลที่ 4 เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธบุษยรัตน์ ซึ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากนครจำปาศักดิ์ และ ใช้เป็นที่ประกอบพระราชกิจในพระศาสนาในบางโอกาส รวมทั้งพระราชพิธีทรงผนวช


ขอขอบคุณ
ที่มา :
wikipedia
The Tropics

H O M E




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2551
2 comments
Last Update : 22 กรกฎาคม 2551 21:06:09 น.
Counter : 4499 Pageviews.

 

เข้ามาอ่าน ครับ ได้ความรู้ ข้อมูลน่าสนใจดีมากๆครับ จะมาอ่านต่อนะครับ

 

โดย: เด็กท้ายวัง 12 กรกฎาคม 2551 2:53:09 น.  

 

มีความสุขจั'

 

โดย: เอมมี่ IP: 183.89.177.234 11 มิถุนายน 2554 21:55:08 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.