Group Blog
 
<<
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
26 กันยายน 2551
 
All Blogs
 
ย้อนรอยผ้าไหม มาจาก “คนไท” ไม่ใช่คนจีน

      "ไหม" เป็นเส้นใยโปรตีนธรรมชาติที่ได้มาจากหนอนไหมที่ชักใยออกมาพันรอบตัวขณะเป็น ดักแด้ เส้นใยเหนียวๆ นี้มีความทนทานและมันวาว และเมื่อนำมาทอเป็นผืนก็จะได้ผืนผ้าที่มีความงดงามและใช้งานได้เป็นอย่างดี ประวัติศาสตร์ของผ้าไหมนั้นมีความเป็นมาที่ยาวนาน และมีความน่าสนใจไม่แพ้สิ่งประดิษฐ์อื่นใดในโลก



"จีน" ต้นกำเนิดผ้าไหม

     ในประเทศจีน ซึ่งถือเป็นแหล่งกำเนิดของผ้าไหม มีการค้นพบหลักฐานต่างๆ ที่ยืนยันความเป็นแหล่งกำเนิดอยู่หลายชิ้นด้วยกัน โดยแหล่งโบราณคดีเก่าแก่ที่สุดที่พบหลักฐานวัฒนธรรมการเลี้ยงไหมและทอผ้าใน ประเทศจีนนั้น ก็คือที่เหอหมู่ตู้ อำเภอหยีเหยา มณฑลเจ้อเจียง บริเวณปากแม่น้ำแยงซีเกียง โดยพบหลักฐานงาช้างแกะสลักเป็นตัวดักแด้ไหม รวมทั้งพบเข็มกระดูกและแวดินเผาสำหรับกรอไหม อายุประมาณ 7,000 ปี

     อีกทั้งในเมืองซูโจว ซึ่งถือเป็นเมืองผ้าไหมของจีน ก็ได้พบหลักฐานวัฒนธรรมการทอผ้าที่เก่าแก่จากแหล่งโบราณคดี 3 แห่ง คือ ที่ภูเขาเฉ่าเสซาน ตำบลอุ๋ยถิง เขตหยวนชวี พบซากแผ่นสิ่งทออายุ 6,000 ปี แห่งที่สองที่ แหล่งโบราณคดีเฉียนซานย่าง หมู่บ้านไห่เนี่ยนหมู่ เมืองอู๋ซิง ชานเมืองทางใต้ของเมืองหูโจว เป็นแหล่งกำเนิดผ้าไหมเนื้อบางที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีอายุ 4,800 ปี เป็นผ้าไหมทอลายขัดในตะกร้าไม้ไผ่ ส่วนแห่งที่สาม พบที่เหมยย่าน เมืองอู่เจียง พบเข็มที่ทำจากกระดูกสัตว์ ล้อของเครื่องทอผ้า และเครื่องปั้นดินเผาที่มีลวดลายทำจากเส้นไหม และตัวไหมเป็นจำนวนมาก อายุประมาณ 4,000 ปี

     และในตำนานจีนนั้นก็มีกล่าวถึงผ้าไหมว่า ผู้ที่ค้นพบผ้าไหมนั้นคือมเหสีชีเลงสี เป็นมเหสีของจักรพรรดิเหลือง (หวงตี้) การค้นพบนั้นก็มาจากการที่ตัวดักแด้ไหมได้ตกลงไปในถ้วยน้ำชาในสวนนั่นเอง โดยพระนางเป็นผู้ริเริ่มการเลี้ยงไหม นำใยไหมมาทอเป็นผ้าแพรใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม และมีการย้อมสีผ้าแพรไหมโดยการใช้ดอกไม้มาตำและคั้นเป็นน้ำเพื่อย้อมให้สีสด งดงาม


     ต่อมาอีกหลายพันปีและหลายราชวงศ์ ก็มีการผลิตผ้าไหมตลอดมา โดยชนิดของผ้าไหมนั้นโดยหลักๆแล้วมีสามชนิดด้วยกัน ได้แก่ จวน (ผ้าไหมบาง) ฉี (ผ้าไหมปานกลาง) และ จิ่น (ผ้าไหมชนิดหนาที่มีลาย) การผลิตผ้าไหมแบบจิ่นนั้นต่อมาก็เป็นเหมือนหลักฐานสำคัญในประวัติศาสตร์ผ้า ไหมในจีน เพราะได้นำใยไหมมาผสมผสานกับวิจิตรศิลป์ ทำให้ผ้าไหมไม่เพียงแต่เป็นผ้าตัดชุดเครื่องแต่งกายที่ทรงคุณค่าเท่านั้น แต่ยังถือเป็นงานศิลปะด้วย


     ผ้าไหมจากจีนยังเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกผ่าน "เส้นทางสายไหม" หรือเส้นทางที่ชาวจีนใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับประเทศตะวันตก ผ้าไหมก็ถือเป็นสินค้าหนึ่งที่เป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ โดยผ้าไหมนั้นมีราคาแพงเทียบเท่ากับทองคำเลยทีเดียว ชาติตะวันตกหลายชาติจึงพยายามขโมยความลับเกี่ยวกับการเลี้ยงไหมของจีน จึงมีเรื่องเล่ากันว่า บาทหลวงชาวตะวันตกผู้หนึ่งได้ไปแอบเรียนรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงไหม และได้เรียนรู้ว่าต้นหม่อนปลูกด้วยเมล็ด

     ส่วนตัวไหมนั้นก็เกิดมาจากไข่ เมื่อได้รับความอบอุ่นเพียงพอแล้วก็จะเติบโตขึ้นเป็นหนอนไหมแล้วจึงเป็น ดักแด้ แต่เมื่อบาทหลวงขโมยไข่หนอนไหมและเมล็ดหม่อนแล้วก็เกิดความสับสน กลับนำเมล็ดต้นหม่อนมาเก็บไว้บริเวณหน้าอกเพื่อให้ความอบอุ่น และนำไข่หนอนไหมไปปลูกลงดิน จึงไม่เกิดผลอะไรเลย

*สำหรับคนที่สนใจอยากจะเรียนรู้เรื่องราวประวัติศาสตร์ผ้าไหมของ ประเทศจีน ที่เมืองหางโจว ก็มีพิพิธภัณฑ์ผ้าไหมแห่งประเทศจีน ซึ่งมีเรื่องราวของไหมตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันให้ได้ชมกัน เริ่มตั้งแต่การรู้จักกับตัวไหม และรังไหม และใบหม่อน รู้จักวงเวียนชีวิตของตัวไหม และยังได้ทราบตำนานที่มาของผ้าไหม จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่ขุดพบในประเทศจีน

     ที่น่าสนใจก็คือเส้นใยไหม อายุกว่า 4,800 ปี ที่ยังคงรักษาสภาพของเส้นใยไว้อย่างสมบูรณ์ นอกจากนั้นก็ยังได้รู้เรื่องราวของเส้นทางสายไหม และชมผ้าไหมเก่าแก่งดงามอีกหลายผืนด้วยกัน หรือหากใครอยากเห็นโบราณวัตถุชิ้นสำคัญอีกชิ้นหนึ่งซึ่งก็คือผ้าไหมแบบบาง ขนาด 1x2 ซม. ก็ต้องไปชมที่พิพิธภัณฑ์แห่งมณฑลเจ้อเจียง

"คนไท" รู้จักผ้าไหมเป็นพวกแรก

*แม้หลักฐานประวัติศาสตร์ต่างๆ ที่ค้นพบจะบอกเราว่าผ้าไหมนั้นมีต้นกำเนิดจากประเทศจีน แต่ผู้ที่รู้จักและใช้ประโยชน์จากไหมจริงๆ แล้วนั้นคือคนไท

     อาจารย์อรไท ผลดี ผู้อำนวยการสำนักพิพิธภัณฑ์และวัฒนธรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งเมื่อเร็วๆ นี้เพิ่งได้รับรางวัลเพชรสยาม ด้านส่งเสริมศิลปวัฒนธรรม (อนุรักษ์ผ้าไทย) จากมหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม มอบให้เพื่อประกาศเกียรติคุณบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ และส่งเสริมผลงานด้านศิลปวัฒนธรรมและพัฒนาสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ได้เสนอผลงานวิจัยเรื่อง "จากต้นกำเนิดผ้าไหมไท 7,000 ปี สู่วัฒนธรรมผ้าเผ่าไทในประเพณีแต่งงาน" โดยในเนื้อหานั้นแสดงให้เห็นว่า แท้จริงแล้ว ผู้ที่ค้นพบผ้าไหมเป็นคนแรกนั้น คือคนไทต่างหาก

     ชนเผ่าไทนั้นเป็นชนเผ่าพื้นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สืบเชื้อสายมาจากมนุษย์ตะวันออก อันเป็นมนุษย์ดึกดำบรรพ์ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีอายุราว 2,500,000 ปี พบหลักฐานที่หยวนโหว มณฑลยูนนาน ซึ่งเป็นเขตเก่าแก่ที่สุดที่มีร่องรอยมนุษย์ดึกดำบรรพ์อาศัยอยู่สืบมาจนถึง ยุคหินใหม่ เมื่อประมาณ 7,000 ปีมาแล้ว และพบหลักฐานทางโบราณคดีจำนวนมากในยุคหินใหม่ คือเครื่องปั้นดินเผาแบบลายกด ขวานหินมีบ่า และขวานหินขัด ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมไป่เยว่สมัยโบราณ ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของชนชาติไท

     และแม้ตำนานจีนจะกล่าวถึงผู้ที่ค้นพบผ้าไหมเป็นคนแรกว่าคือมเหสีชีเล งสี เป็นมเหสีของจักรพรรดิเหลือง (หวงตี้) แต่จักรพรรดิเหลืองเป็นจักรพรรดิจีนองค์แรกในยุคปรัมปรานั้น ยังไม่ใช่เชื้อสายพวกฮั่นซึ่งเป็นจีนแท้ โดยตามประวัติระบุว่า พระองค์เป็นบิดาของพระเจ้าเหา ซึ่งเป็นต้นตระกูลของชนเผ่าไท

*และยังมีหลักฐานใหม่ที่สนับสนุนว่า ผ้าไหมเป็นภูมิปัญญาไท โดยปรากฏในนิตยสารภาพจีน ฉบับเดือนมกราคม พ.ศ.2537 ระบุว่า ผ้าไหมมีแหล่งกำเนิดที่แคว้นเสฉวน ซึ่งเป็นแคว้นที่พวกเหล่า (ลาว) อยู่มาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ก่อนที่ชนเผ่าจีนจะเข้ามาครอบครอง ดังนั้นการเลี้ยงไหมทอผ้าจึงเป็นภูมิปัญญาไท ไม่ใช่ของจีน

     อีกทั้งหลักฐานที่สะท้อนภูมิปัญญาของบรรพชนเผ่าไทว่ามีความสามารถใน การทอผ้าด้วยเทคโนโลยีระดับสูงมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ก็คือการพบผ้าไหมอายุ 2,100 ปี ที่สุสานนางพระยาเผ่าไท ที่ตำบลหม่าหวังตุย นครฉางซา มณฑลหูหนาน โดยสิ่งที่พบคือผ้าไหมบาง ผ้าไหมโปร่ง ผ้าไหมยกดอกชนิดซับซ้อน ผ้าใยกัญชา ผ้าพิมพ์ดอก ผ้าไหมปักลวดลาย และผ้าไหมที่วาดลวดลายเป็นเรื่องราว

*ศาสตราจารย์เตอเรียน เดอ ลา คูเปอรี ระบุว่าชนเผ่าไทนั้นมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ในหุบเขาระหว่างแคว้นเสฉวน และแคว้นเชนซี (เซียมไซ) ตอนกลางประเทศจีน ระหว่างแม่น้ำฮวงโห และแม่น้ำแยงซีเกียง

     แต่ต่อมาก็โดนรุกไล่จากอาณาจักรต่างๆ จนต้องถอยร่นลงมาเรื่อยๆ และแบ่งออกเป็นสองสายด้วยกัน คือสายไทใหญ่ อพยพไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ไปทางลุ่มน้ำสาละวิน และต่อมาไทใหญ่ได้แตกเป็นสองพวก พวกหนึ่งไปทางทิศใต้เข้าสู่ดินแดนพม่า ตั้งแคว้นชาน มีเมืองหลวงอยู่ที่เมืองตะโก้ง (หรือท่ากุ้ง) ส่วนไทใหญ่อีกพวกอพยพไปในแคว้นอัสสัม อินเดียตอนเหนือ ได้แก่ พวกไทอาหม ไทคำตี่ ไทพาเก และไทหลวง

*ทางด้านสายไทน้อยก็อพยพไปทางทิศใต้ทางลุ่มแม่น้ำโขงมาอยู่ที่มณฑลยู นนาน ตั้งอาณาจักรอ้ายลาว ชนชาติไทในยูนนานได้สร้างเมืองสำคัญหลายเมือง คือเมืองเชียงรุ้งในสิบสองปันนา เมืองเชียงตุงในพม่า เมืองเชียงแสนตามลำดับ และเมื่ออาณาจักรอ้ายลาวถูกทำลาย ชนชาติไทได้อพยพมาตั้งหลักแคว้นสิบสองจุไท ก่อตั้งอาณาจักรล้านช้าง อาณาจักรล้านนา อาณาจักรสุโขทัย ตามลำดับ

ดังนั้น หากจะกล่าวว่าบรรพบุรุษของเราซึ่งเรียกว่าเป็นชนเผ่าไทนั้น เป็นผู้ที่รู้จักใช้ประโยชน์จากไหมเป็นพวกแรกจึงไม่ผิดจากความจริง อีกทั้งยังเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจในบรรพบุรุษของเราอีกด้วย

ชมผ้าไทในพิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมผ้าเผ่าไท

*การเลี้ยงไหมทอผ้าซึ่งสืบทอดกันมาในชนเผ่าไทนั้น ก่อให้เกิดเป็นวัฒนธรรมของชนเผ่าไทที่ยังคงหลงเหลือให้เห็นมาจนปัจจุบันใน รูปแบบของการแต่งกาย โดยแต่ละเผ่านั้นก็มีการแต่งกายที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละเผ่า ซึ่งหากใครอยากจะเห็นเครื่องแต่งกายของชนเผ่าเหล่านี้ ก็ต้องมาชมที่สำนักพิพิธภัณฑ์และวัฒนธรรมการเกษตร ที่จะมีทั้งเครื่องแต่งกายของชาวไทเหนือ (ไทยวน) ไทพวน ไทโซ่ง (ไททรงดำหรือลาวโซ่ง)ไทครั่ง ไทภาคกลาง ไทลาว (เวียงจันทน์และหลวงพระบาง) ภูไท (ผู้ไทย) ไทอีสาน ไทลื้อ ไทปาเก้ (พาเก) และไทถิ่นใต้ ซึ่งก็มีรายละเอียดและความงดงามแตกต่างกันไป

     อีกทั้งเมื่อเร็วๆ นี้ทางสำนักพิพิธภัณฑ์ฯ ก็เพิ่งเปิด "พิพิธภัณฑ์วัฒนธรรมผ้าเผ่าไทในประเพณีแต่งงาน" ซึ่งเป็นพิพิธภัณฑ์เล็กๆ แต่อลังการไปด้วยชุดแต่งงานอลังการของชนเผ่าไทต่างๆ ที่ได้รับความร่วมมือจากพิพิธภัณฑ์ผ้าที่มีชื่อเสียงนำมาจัดแสดง เช่น พิพิธภัณฑ์ผ้าโบราณสบันงา พิพิธภัณฑ์คำปุน พิพิธภัณฑ์อูบคำ พิพิธภัณฑ์บ้านประนอม พิพิธภัณฑ์ผ้าทองคำ พิพิธภัณฑ์ผ้าไทครั่ง กลุ่มทอผ้าพื้นเมืองไททรงดำ กลุ่มทอผ้าไตลื้อ กลุ่มทอผ้าไทยวน กลุ่มแพรวาผู้ไทย กลุ่มทอผ้าบ้านทัพคล้าย กลุ่มทอผ้านาหมื่นศรี เป็นต้น

     หากใครอยากเห็นเครื่องแต่งกายในวันแต่งงานอันงดงามและทรงคุณค่าเหล่า นี้ ก็ขอเชิญมาชมได้ที่สำนักพิพิธภัณฑ์และวัฒนธรรมการเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

สุวิมล เชื้อชาญวงศ์: รายงาน

ขอขอบคุณ
ที่มา :
ผู้จัดการรายวัน 19 กันยายน 2551

H O M E



Create Date : 26 กันยายน 2551
Last Update : 26 กันยายน 2551 17:10:43 น. 0 comments
Counter : 2870 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.