เขาคนนั้นคือ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน "จิตแพทย์"
ข่าวจาก น.ส.พ.มติชน วันเสาร์ ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10542บีบ"ความทุกข์"แล้ว"ความสุข"จะมากขึ้น คอลัมน์ ลายแทงความสุขโดย สุพรรณี สมนึก"ครอบครัว" หน่วยเล็กๆ แต่สำคัญที่สุดในสังคม เพราะเป็นที่บ่มเพาะชีวิตน้อยๆ ให้เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่ดีในอนาคต ดังนั้นหากในวัยเด็กได้รับ "ความสุข" จากครอบครัว เมื่อเติบโตขึ้น "ความสุข" ที่เคยได้รับจึงแผ่ขยายออกไปสู่สังคม จนกลายเป็น "สังคมแห่งความสุข"จากเด็กชายเมืองย่าโม (จ.นครราชสีมา) ที่มีพ่อพิการเนื่องจากประสบอุบัติเหตุจนเสียขาทั้งสองข้าง มีแม่ที่เป็นโรคหัวใจ และเสียชีวิตไปก่อนที่จะเห็นลูกๆ เติบใหญ่จนได้รับการยอมรับในสังคม แต่ด้วยพลังแห่ง "ความรัก" ในครอบครัว ทำให้เด็กชายคนนี้เติบโตมาเป็นบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพ มากล้นความสามารถ และได้รับการยอมรับจากสังคมอยู่ในขณะนี้เขาคนนั้นคือ นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน "จิตแพทย์" และ "พิธีกรรายการสุขภาพ" ชื่อดัง ล่าสุดเขายังมีตำแหน่งทางราชการเป็นถึง "โฆษกกระทรวงสาธารณสุข" กว่าที่ นพ.ทวีศิลป์จะผ่านมาถึงจุดนี้...ไม่ใช่เรื่องง่าย เขาต้อง "ฝ่าฟัน" กับความยากลำบากนานัปปการมาอย่างหนัก เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่เขาปรารถนา นพ.ทวีศิลป์จึงมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตที่ได้มา ไม่ใช่เพียงเพราะว่า "โชคช่วย" แต่ได้มาจากการ "ต่อสู้" "มานะ" และ "พยายาม" นพ.ทวีศิลป์เล่าความทรงจำในวัยเด็กที่หล่อหลอมตัวเขาให้เติบโตมาได้จนถึงทุกวันนี้ "ช่วงชีวิตวัยเด็กมีความสุขปนทุกข์อยู่ตลอดเวลา และคงไม่มีช่วงชีวิตตอนไหนจะแย่ไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะต้องตื่นแต่เช้ามาเลี้ยงหมู พับถุงขาย และทำทุกอย่างที่สุจริต เพื่อให้ได้เงินมาซื้อข้าวกินและเรียนหนังสือ บางวันจนถึงขนาดที่ว่า...พรุ่งนี้ยังไม่รู้จะเอาอะไรมากิน แต่ทุกคนในครอบครัวช่วยกันถีบตัวผ่านจุดนั้นมาได้ "ความทุกข์" ช่วงนั้นมันช่างมหาศาล เพราะครอบครัวเรา พ่อ แม่ และพี่น้อง รวมทั้งหมด 7 คน บางวันไม่มีแม้เงินจะซื้อข้าวสารมากรอกหม้อ ข้าวของเครื่องใช้ในบ้านไม่มีอะไรเลย แต่ก็ยังมีโจรมาปล้นบ้านได้ ผมยังจำได้ถึงวันที่มีขโมยปล้นบ้าน เขาจับพ่อผมมัดไว้ แถมยังขู่จะฆ่าอีก ทั้งที่ได้ทรัพย์สินไปไม่กี่ชิ้น และเงินที่ได้ไปก็แค่ไม่กี่บาท คงไม่มีอะไรจะเลวร้ายไปกว่านี้อีกแล้ว" นพ.ทวีศิลป์ย้อนอดีตอันแสนเจ็บปวด แต่ใช่ว่า "ความจน" หรือ "เหตุการณ์" ในวัยเด็กจะทำให้คนอย่าง นพ.ทวีศิลป์รู้สึกว่าต้องทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส "ความจนไม่ได้ทำให้ผมเป็นทุกข์ เพราะผมมีครอบครัวที่อบอุ่น แต่ผมกลับคิดได้ว่า "ประสบการณ์" จาก "ความจน" ในอดีต ที่ทำให้ผมมีโอกาสได้ "คัดแยก" กองขยะ ที่บรรดาญาติๆ ซึ่งทำโรงงานเฟอร์นิเจอร์ขนเอามาให้เป็นเชื้อเพลิงต้มข้าวให้หมูกิน ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ "ละเอียดอ่อน" "ใจเย็น" และ "ประหยัด" การที่ผมต้องช่วยคนในครอบครัวรื้อกองขยะ เพื่อเอาไม้แผ่นใหญ่มาทำเป็นพื้นกระดานและฝาบ้าน เอาไม้แผ่นเล็กไปทำบ้านนกกระจอก เอาเศษไม้และขี้เลื่อยไปทำฟืน ส่วนตะปูที่ปนมาก็คัดแยกเอาไว้ใช้"การ "คุ้ยเขี่ย" ทำให้ นพ.ทวีศิลป์รู้จักคำว่า "คุณค่า" ไม่ว่าสิ่งนั้นๆ จะเป็นอะไรก็ตาม "ผมโชคดีที่เคยเกิดมาเป็นคนจน ความ "ไม่มี" ในครั้งนั้น จึงสอนให้ผมมองว่า ทุกข์-สุข ที่มีอยู่ทุกวันนี้ เป็นเพียงเศษเสี้ยวนิดเดียว...เพราะที่พ่อแม่ของเราเคยเจอ มันหนักหนาสาหัสกว่ามาก พ่อแม่ของผมต้องปากกัดตีนถีบ เพื่อส่งลูก 5 คนเรียนจนจบขั้นต่ำปริญญาโททุกคน พี่ชายคนโตของผมจบปริญญาโทด้านการบริหาร ส่วนน้องคนสุดท้องจบปริญญาโทด้านสถิติ อีก 3 คนที่เหลือก็เป็นหมอ ซึ่งทั้งหมดเกิดจากที่เราทุกคนมองเห็น "คุณค่า" ที่พ่อสอนไว้ ทำให้เราไม่กล้าเกเร แต่ต้องใฝ่ดี เพื่อไม่ให้พ่อแม่ผิดหวัง"ความสุขในวัยเด็กของ นพ.ทวีศิลป์ไม่ได้อยู่ที่ "เงินทอง" แต่อยู่ที่ "ครอบครัว" พ่อแม่พี่น้องล้อมวงกินข้าว ทำกิจกรรมร่วมกัน จึงทำให้วันนี้ นพ.ทวีศิลป์ให้ความสำคัญกับ "ครอบครัวและลูก" เป็นอันดับแรก "ผมลงทุนปิดคลีนิคย่านวงเวียนใหญ่ เพื่อทุ่มเทเวลาหลังเลิกงานให้กับลูกทั้ง 2 คน "พลังของครอบครัว" ไม่มีอะไรที่จะสามารถทดแทนได้ ผมเคยคิดน้อยใจว่า...ทำไมพ่อเราไม่เป็นข้าราชการ ไม่ใช่เสนาบดี ไม่ใช่เศรษฐี ไม่มีฐานะเหมือนเพื่อนๆ ที่มีคนขับรถมาส่งที่โรงเรียน แต่มันก็เป็นความรู้สึกของเด็กๆ ที่แวบๆ เข้ามาเท่านั้น มาถึงวันนี้...ผมดีใจที่ครอบครัวเป็นอย่างนี้ เพราะมันทำให้พี่น้องเรารักกัน ทำให้เรารักพ่อรักแม่ และเป็นพลังที่เปลี่ยนชีวิตของเราได้"เมื่อเข้าสู่วัยทำงาน นพ.ทวีศิลป์ยึดคติ"ทำงานให้สนุกไปกับงาน จะทำอะไร ใจ สมอง ต้องอยู่กับงานที่ทำ" ด้วยแนวคิดดังกล่าว ทำให้ นพ.ทวีศิลป์สามารถแบ่งสมดุลในชีวิตการทำงานและครอบครัวได้เป็นอย่างดี ยิ่งเมื่อทำแล้วเห็นผลงานที่ทำ ความสุขจึงไม่ได้อยู่ที่มองว่า "ตัวเอง" ได้ประโยชน์อะไร แต่อยู่ที่ได้ทราบว่า "ผู้อื่น" ได้ประโยชน์มากน้อยแค่ไหนจากงานที่เราทำ นอกจากนี้ การเป็น "จิตแพทย์" ทำให้ นพ.ทวีศิลป์ได้รับรู้ทุกข์ของผู้อื่น และเอาประสบการณ์ของผู้ที่มาปรึกษาเป็น "ครู" เอาชีวิตของผู้ป่วยและผู้ที่มาปรึกษาปัญหาความทุกข์ อึดอัดคับข้องใจ มาเป็น "บทเรียน" และ "แก้ไข" ตนเอง"ผมเอาคนไข้มาเป็นครูสอนใจเรา บางคนที่มาปรึกษารวยเป็นพันล้านบาท แต่เงินก็ไม่สามารถซื้อความสุขได้ จะมีเงินเป็นร้อยล้านพันล้าน ก็ไม่ใช่หลักประกันว่าจะมีความสุข แต่ความสุขอยู่ที่การอยู่กับครอบครัว ซึ่งทำให้ผมไม่เคยรู้สึกว่าเป็นทุกข์เลยที่เกิดมาจน"ด้วยประสบการณ์ ทำให้ นพ.ทวีศิลป์เข้าใจว่า ความทุกข์เป็นเรื่องธรรมดา หากไม่ทุกข์ก็ถือว่าเป็นความสุข และชีวิตที่มีทุกข์น้อย แต่มีความสุขเยอะ นั่นคือความสุข "คนที่มีความทุกข์หลายคนมองแต่ข้อเสียของความทุกข์ แล้วขยายความทุกข์ออกไปจนคับหัว ทำให้มองความสุขจากความทุกข์ไม่เห็น ถ้าเรามีความทุกข์ ก็อย่าไปมองแค่ความทุกข์เลย แต่ให้บีบความทุกข์ให้เล็กลงๆ เรื่อยๆ แล้วความสุขจะมากขึ้นเอง"จะ "สุข" จะ "ทุกข์" อยู่ที่ "ใจ" และ "มุมมอง" ของเรา! แล้วท่านล่ะจะเลือกอย่างไหน?
ขอบคุณนะคะที่นำมาให้อ่านคะ