 |
 |
 |
 |
 |
|
 |
 |
|
1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 |
8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 |
15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 |
22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 |
29 | 30 | |
|
|
|
|
 |
16 เมษายน 2550 |
|
 |
 |
|
 |
|
|
|
 |
 |
 |
 |
|
 |
 |
 |
 |
|
"คนที่ตั้งตนไว้ผิด ภายหลังตั้งตนไว้ถูกอย่างเช่นเศรษฐีขี้เหนียวคนนี้ก็ได้รับผลดีได้"
จาก ข่าว น.ส.พ.ข่าวสด วันจันทร์ ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 16 ฉบับที่ 5982
การตั้งตนไว้ชอบ(จบ) พราหมณ์ขี้เหนียว
คอลัมน์ ธรรมะใต้ธรรมาสน์
โดย ไต้ ตามทาง

ในเมืองแห่งหนึ่ง มีพราหมณ์อภิมหามัจฉริยะ (จอมมหาขี้เหนียว) อยู่อย่างปอนๆ ใส่เสื้อผ้าราคาถูก กินอาหารพื้นๆ ราคาถูก ไม่มีเสียละที่จะขึ้นเหลา สั่งหูฉลาม ซุปเยื่อไผ่แพงๆ รสชาติอร่อยๆ มากิน ไม่ใช่ไม่อยาก แต่อยาก เห็นคนอื่นกินแล้วน้ำลายไหล แต่สามารถควบคุมความอยากของตนเอาไว้ได้
วันหนึ่งเดินทางกลับจากเฝ้าพระมหากษัตริย์ แวะเยี่ยมบ้านเศรษฐีน้อย (คือ มีหุ้นน้อยกว่าตัวเอง ซึ่งมีมากเสียจนจำไม่ได้ว่าเท่าไหร่) เห็นเศรษฐีน้อยบริโภคข้าวมธุปายาสอย่างดี ส่งกลิ่นหอมโชยมาต้องจมูกจนน้ำลายสอ อนุเศรษฐีจึงร้องเชิญว่า "ท่านเศรษฐี เชิญทานข้าวด้วยกัน ข้าวปายาสกำลังร้อนเชียวเชิญครับๆ"
เศรษฐีกลืนน้ำลายเอื๊อก อยากกิน แต่นึกถึงวันข้างหน้าว่า ถ้าเรากินของเขาในวันนี้ วันหน้าเราก็จะต้องเลี้ยงเขาตอบ ทรัพย์เราก็จะร่อยหรอไปเปล่าๆ ว่าแล้วก็สั่นศีรษะดิกๆ ไม่ยอมกิน ทั้งๆ ที่ใจอยากกินแทบจะขาด
จึงรีบลงจากเรือนของเศรษฐีน้อยๆ ถึงบ้านก็ไม่กินอะไรนอนห่มผ้าคลุมโปง ครางหงิงๆ
ภรรยาทราบเรื่องสามีป่วยเพราะอยากกินข้าวมธุปายาสจึงร้องด้วยความสงสารว่า โถ พ่อ เรื่องแค่นี้ก็ทุกข์ร้อนด้วย เราไปซื้อข้าวมาหุงมธุปายาสกินเองก็ได้ จะเอาแค่ไหน เลี้ยงคนทั้งซอยก็ย่อมได้ สามีตาเหลือก ร้องว่า อย่าเชียวนะ เปลือง "ถ้าเช่นนั้นเลี้ยงเฉพาะเราสองคนก็ได้" สามีกล่าวต่อว่า เธอเกี่ยวอะไรด้วย เปลืองเปล่าๆ ให้ฉันกินคนเดียว
"ถ้างั้นพี่จัดการเอง ขี้เหนียวแม้กับเมีย ไม่ยุ่งด้วยแล้ว"
สามีจึงหาเครื่องปรุงข้าวมธุปายาส ออกไปหาทำเลหุงข้าวมธุปายาสใกล้พุ่มไม้แห่งหนึ่ง ในป่าละเมาะนอกเมือง คิดว่าคงไม่มีใครมาเห็นและขอส่วนแบ่ง
ท้าวสักกะเทวราช ผู้เคยเป็นพ่อของตาพราหมณ์ขี้เหนียวจึงจำแลงกายเป็นพราหมณ์เฒ่าหูหนวกเดินมาใกล้ๆ ร้องถามว่า ใครทำอะไรอยู่ เห็นควันไฟ สงสัยว่ากำลังหุงข้าวเลี้ยงพราหมณ์ใช่ไหม ฉันขอรับเศษข้าวของพวกพราหมณ์ด้วยจะได้ไหม
พราหมณ์ขี้เหนียวร้องลั่น ไม่ใช่ๆ อย่าเข้ามา ไม่มีการเลี้ยงพราหมณ์ดอก "ว่าไงนะ จะหุงกินเองหรือ ถ้างั้นขอกินด้วยคน ไม่กินมากดอก"
พราหมณ์ขี้เหนียวร้องลั่น "ไม่ใช่โว้ย ไอ้แก่หูหนวก ไปที่อื่น"
ร้องอย่างไรพราหมณ์เฒ่าก็ทำท่าไม่ได้ยิน เดินเข้ามาจนได้แล้วกล่าวโศลกว่า...
"มีน้อยควรให้น้อย มีปานกลางควรให้ปานกลาง มีมากแล้วค่อยให้มาก จงให้ทานด้วย กินเองด้วย กินคนเดียวย่อมไม่ได้ความสุข"
พราหมณ์ขี้เหนียวกล่าวว่า ท่านพูดเข้าที ถ้าเช่นนั้นเราจะแบ่งให้นิดหน่อย จากนั้นปัญจสิขเทพบุตรก็มากล่าวโศลกว่า
ผู้ใดเมื่อแขกนั่งแล้วกินอาหารคนเดียว ผู้นั้นนับว่ากลืนกินเบ็ด หย่อนลงด้วยสายยาวๆ ท่านโกสิยะ เราขอเตือนสติท่านจงให้ทานด้วย จงกินด้วย ผู้ใดเมื่อแขกนั่งแล้วกินคนเดียว ผู้นั้นย่อมไม่ได้ความสุข"
พราหมณ์กล่าวว่า "ท่านก็กล่าวเข้าที นั่งลง เราจะให้หน่อยหนึ่ง"
จากนั้นมาตุลีเทพบุตรก็มากล่าวโศลกว่า...
ใครรำลึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งปวง ทำการเซ่นสรวงแก่เทพทั้งหลาย ที่ท่าพหุกา ท่าคยา ท่าโทณะ หรือท่าใดก็ตาม ย่อมจะได้อานิสงส์บ้าง ท่านโกสิยะ เราขอเตือนสติท่าน จงให้ทานด้วย จงกินเองด้วย ผู้ใดเมื่อแขกนั่งแล้วกินอาหารคนเดียว ผู้นั้นย่อมไม่ได้ความสุข
เศรษฐีขี้เหนียวกล่าวว่า ท่านก็พูดเข้าที นั่งลง ท่านจะได้หน่อยหนึ่ง
เศรษฐีขี้เหนียว กำลังเผชิญกับอาคันตุกะผู้เหนียวกว่าไม่ยอมไปไหน นั่งรอส่วนแบ่งอยู่ด้วยกัน 5 คน คือ พระอินทร์จำแลงเป็นพราหมณ์เฒ่า สุริยเทพบุตร จันทเทพบุตร มาตุลีเทพบุตร และปัญจสิขเทพบุตร ต่างก็จำแลงกายเป็นหนุ่มหล่อมาขอส่วนแบ่ง
เศรษฐียกหม้อมธุปายาสลงจากเตา กล่าวว่า พวกท่านจงเอาใบตองมา คิดให้คนละกระทงใบตองก็พอวะ จะได้ไม่เปลือง อาคันตุกะทั้ง 5 ยื่นมือเปล่าออกไป ใบตองตึงขนาดใหญ่มาอยู่ที่มือทันที เศรษฐีว่าใบไม้นั้นใหญ่ไป เอาใบตะเคียนก็พอ อาคันตุกะขอเอาใบตะเคียนมา แต่กลายเป็นใบตะเคียนยักษ์โตขนาดโล่ทหาร
เศรษฐีจำใจเอาทัพพีตักให้คนละเล็กละน้อย ตักไปๆ ข้าวมธุปายาสพร่องลง เหลือติดหม้อนิดหน่อย เล่นเอาเจ้าภาพใจแป้วดูจะกินอิ่มหรือเปล่านี่ อะไรทำนองนี้
ขณะนั้น ปัญจสิขเทพบุตรจำแลงกายเป็นสุนัขตัวใหญ่เดินเข้ามาจะถ่ายปัสสาวะใส่ข้าวมธุปายาส อาคันตุกะทั้งหลายก็เอามือปิดกระทงของตนไว้ เศรษฐีก็รีบปิด แต่สุนัขก็ถ่ายรดมือแกจนได้
แกโกรธถือท่อนไม้ไล่ตีสุนัข มันวิ่งเร็วจนตามไม่ทัน วกมาปัสสาวะในหม้อข้าวมธุปายาสจนได้ คราวนี้สุนัขกลับเป็นผู้ไล่กัดเศรษฐี เศรษฐีหนีสุนัขแล้วมาขอให้อาคันตุกะทั้งหลายช่วยไล่สุนัขไป
อาคันตุกะทั้งหมดก็ลอยขึ้นในอากาศ สำแดงตนให้ปรากฏ แกตกใจ ถามว่าพวกท่านเป็นใคร พระอินทร์กล่าวว่า นี้คือสุริยะเทพบุตร นี้คือจันทะเทพบุตร นี้มาตุลีเทพบุตร ส่วนสุนัขที่เยี่ยวใส่หม้อข้าวท่านคือปัญจสิขเทพบุตร ส่วนเราคือสักกะเทวราช
พวกเราเห็นว่าท่านขี้เหนียวนัก มีทรัพย์สินเงินทองก็ไม่ใช้สอยเอง ไม่เลี้ยงดูบุตรภรรยา และคนที่ควรเลี้ยงอย่างดี ที่เหลือก็ไม่จุนเจือสังคม บุญทานก็ไม่เคยทำ ท่านตายไปจะตกนรกหมกไหม้ เราจึงมาเตือนท่าน ท่านยกท่านขึ้นจากนรก
ว่าแล้วก็หายวับไป เศรษฐีนึกสลดใจที่ตนไม่ทำประโยชน์อะไรให้แก่ตน คนอื่น และสังคม เพราะความขี้เหนียว รีบกลับบ้านประกาศให้ขนข้าวของจากคลังให้ทานแก่ยากจนวณิพกทั้งหลาย สร้างโรงทานสี่มุมเมืองเป็นการใหญ่ กลายเป็นคนละคนไปเลย
จากนั้นไม่นาน เศรษฐีสร้างศาลาริมป่าหิมพานต์ ออกบวชเป็นนักพรต บำเพ็ญศีลภาวนาอย่างเคร่งครัด ตายไปไปเกิดเป็นเทพบริวารของท้าวสักกะเทวราช ท้าวสักกะเห็นหน้าก็จำได้ กล่าวอนุโมทนาในการกระทำของอดีตเศรษฐี ประทานนางเทพกัญญา นามว่า หิริเทวี ให้ปรนนิบัติ
จุติจากสวรรค์แล้วมาเกิดเป็นกุลบุตรชาวเมืองสาวัตถี ในสมัยพุทธกาลนี้ ด้วยอุปนิสัยที่มีมาแต่ปางก่อน เขาเกิดศรัทธาในพระพุทธศาสนา ออกบวชเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า บวชมาแล้วเป็นพระที่ยินดีในการบริจาคทาน บิณฑบาตได้มาแล้ว ถ้าปฏิคาหก (ผู้รับทาน) มีอยู่ใกล้ ก็ไม่ยอมฉันภัตตาหารที่ได้มานอกจากจะให้แก่ปฏิคาหก
พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญภิกษุรูปนั้นว่า เป็นผู้มีจิตใจเอื้ออารี เปี่ยมด้วยสาราณียธรรม แล้วตรัสเล่าสุธาโภชนชกดกให้ภิกษุทั้งหลายฟัง
เรื่องก็จบลงเพียงเท่านี้ ท่านพระอรรถกถาจารย์นำนิทานเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังเพื่อแสดงว่า คนที่ตั้งตนไว้ผิด ภายหลังตั้งตนไว้ถูกอย่างเช่นเศรษฐีขี้เหนียวคนนี้ ภายหลังละทิ้งนิสัย "ตังเม" กลายเป็นคนใจบุญสุนทาน ก็ได้รับอานิสงส์มากมายดังกล่าวมา
 
Create Date : 16 เมษายน 2550 |
Last Update : 16 เมษายน 2550 14:24:47 น. |
|
0 comments
|
Counter : 689 Pageviews. |
 |
|
|
| |
|
|
 |
 |
 |
 |
|
|