ตอนที่ 8 วันที่ 6 เที่ยววัดในเกียวโตต่ออีกวัน
วันนี้เราตื่นแต่เช้า เป้าหมายของเราวันนี้คือ พระราชวังเกียวโต , วัด Ginkakuji และวัด Sanjusangendo ซึ่ง Put ไม่เคยรู้จักวัดนี้จากหนังสือนำเที่ยวเล่มไหนที่ Put มี เลย แต่ Put บังเอิญไปเห็นโปสการ์ดแผ่นนึง ที่ร้านขายของที่ระลึกอยู่แถวปราสาท Honmaru พอเห็นเท่านั้นเอง Put ก็ตัดสินใจว่าต้องไปให้ได้ .... ส่วนโปรแกรมที่เหลือ ยังไม่ได้คิดค่ะ ... เดี๋ยวคงเกิดไอเดียใหม่ๆมาเอง ^ ^” เป้าหมายแรกของเราคือ พระราชวังเกียวโต ... เรานั่งรถเมล์ไปตามเส้นทาง.... เพราะเป็นพระราชวัง ก็เลยกว้างมหาศาล แต่ก็มีพื้นที่โล่ง....กว้าง...น้อยกว่า พระราชวังโตเกียว เราย่ำกันไปตามพื้นหินกรวดที่เค้าโรยไว้คนทั่ว...เดินย่ำกรอบแกรบ..กลุกกลัก...ก็ถึงด้านหน้าที่มีตำรวจในเครื่องแบบเฝ้าอยู่ ... ไม่ยักกะมีที่ขายบัตรเหมือนที่อื่นๆ ส่งคุณ P เข้าไปถาม ปรากฏว่า ถ้าจะเยี่ยมชมต้องขออนุญาตมาล่วงหน้าทาง website ก่อน ถ้าเค้าอนุญาตก็จะนัดเวลาให้เข้าเยี่ยมชมได้ ... เราสองคนเลยอดด้วยประการละฉะนี้ ... แต่ก็ไม่แย่เกินไปเพราะสวนรอบๆ ก็สวยใช่ย่อย... เพราะมีดอกซากะรุ ที่ตูมบ้าง บานบ้าง เต็มไปหมด ...แถมมีหลายสีซะด้วย...สีชมพูอ่อน ... สีชมพูเข้ม เข้าไปชื่นชมใกล้ๆ .... หลังจากชื่นชมดอกไม้ จนเต็มอิ่มแล้ว ... เราก็เดินออกทางด้านหลังเลย ... เพราะขี้เกียจเดินย้อนกลับไป ... ปรากฏว่า ... ทางด้านหลัง เดินไกลหนักกว่าเก่า เพราะไม่มีรถเมล์ผ่านเลย -_-“แต่ก็ดี...เพราะเราไปเดินผ่านวัดอะไรก็ไม่รู้ค่ะ ที่มีแต่หมูป่าทั้งวัดเลยอ่ะ เราสองคนเห็นว่าแปลกดี ก็เลยแวะเข้าไปชักภาพกันซักหน่อย.... ที่ล้างมือ ก็หมูป่า ... บรรยากาศรอบๆวัด....ป้ายที่ประดับในตู้กระจก ... ก็หมูป่านี่ก็หมูป่า.... แต่ปักกระดาษเขียนๆ กันจนท่วมหมูป่าเลยค่ะ ^ ^ หลังสำรวจได้ซักพัก จนเป็นที่พอใจแล้ว เราก็เดินต่อจนเจอป้ายรถเมล์ ... โดยถามคุณลุงคนญี่ปุ่น 1 คนค่ะ สำเนียงดีมากเลย พูดชัด ฟังเข้าใจ เรารอรถเมล์เพื่อที่จะไปวัด Ginkakuji หรือ วัดเงิน แล้วเราก็ถึงทางเข้าวัดเดินเข้าไปหน่อย ก็เจอกับกำแพงต้นไม้สูงสวย ตัดตกแต่งอย่างดี ยาวตลอดแนว นึกถึงเรื่อง Harry potter ฉากเขาวงกตที่มีต้นไม้สูงๆ อ่ะค่ะอ่านในหนังสือเค้าบอกว่า .. วัดนี้เน้นสวน .. เดินเข้าไปก็เจอต้นไม้ กับสวนหินคล้ายๆกับที่วัด Ryoanji ที่เป็นหินสีขาวๆ เรียงเป็นแนวๆ เหมือนๆกัน ... สวนหิน ...Put ก็ไม่รู้ว่า เค้าจะมีความหมายล้ำลึก อะไรอีกมั้ย สำหรับสวนหินอันนี้ -_-aแต่นอกจากจะมีต้นไม้และหินแล้ว ก็ยังมีอาคาร เก่ามั่ง ใหม่(นิดหน่อย)มั่ง ไม่กี่หลังแทรกตัวอยู่ตามสวน เราเดินไปตามเส้นทางที่ทางวัดเค้าจัดไว้ให้ ซึ่งมองไกลออกไปก็คิดว่า “วัดนี้ก็เขาทั้งลูกอีกแล้ว” -_-"เราเดิมชมต้นไม้ ต้นสน สระ ปลาคาร์พ และมอส พร้อมสูดอากาศเย็นสดชื่นมอสที่นี่ แม้จะไม่ได้หนาแน่น และดูสดชื่น เหมือนที่นิกโก แต่ก็มีให้ชื่นชมไม่น้อย Put ว่าที่วัดเค้าก็พยายามอนุรักษ์มอสทีเดียว ถึงกับ แยกให้นักท่องเที่ยวว่า มอสแบบไหนที่ เป็นพระเอก VIP มอสแบบไหนเป็นมอสตัวโกงแต่..แต๊...แน๊...นี่ มอสพระเอก VIP ของเราค่ะ ส่วนนี่ก็ VIP ที่พบในวัด Ginkakuji ค่ะ (ที่ทราบเพราะป้ายหลุดๆ ที่เค้าแปะไว้น่ะค่ะ) ^ ^นี่ก็หน้าตามอสตัวโกงค่ะเดินออกจากกระบะมอส ... เดินผ่านอาคารที่อยู่ท่ามกลางสวน คุณ P พูดกับ Put ว่า “ถ้าได้จิบชามองสวนสวยๆ อากาศสดชื่นอย่างนี้ทุกวัน จะมีความสุขซักขนาดไหนน้า” ซึ่ง Put ว่ามันต้องสุขมากๆ เลยล่ะค่ะ ^ ^เราก็เดินดูวิวรอบๆต่อ เริ่มดูต้นไม้ที่อยู่บนเขา .... อืมมม...ส่วนใหญ่ก็เป็นสีเขียว แต่ก็มีสีแดงของลูกกลมๆ เล็กๆ ดอกสีขาวๆคล้ายๆกระดิ่งเล็กๆ ห้อยเป็นพวงตามต้นน่ารักดีค่ะ แล้วก็มีดอกสีชมพูๆ ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมา Put ก็ไม่รู้ว่า มันคือต้นอะไรมั่ง ^ ^aลูกกลมแดงๆ เล็กๆ แบบนี้ค่ะ ^ ^กระดิ่งขาวๆ เล็กๆ พวงๆ ก็หน้าตาแบบนี้ค่ะ ^ ^ดอกไม้สีชมพู ตอนเดินอยู่ข้างบน...คุณ P ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปอาคารหลักของวัด Ginkakujiเราเดินลงเขามาตามทาง ก่อนจะแวะชมอาคารหลักระยะใกล้ชิด ...ถ้าวัด Kinkakuji โดดเด่นเรื่องความทองอร่าม ... ที่วัด Ginkakuji ก็คงโดดเด่นที่ความเรียบง่าย ความขรึมของสีไม้ สวยมากๆ ไปอีกแบบ (มีรูปที่เห็นตัวอาคารชัดกว่านี้ แต่ดันติด Put กับ คุณ P อีกแล้ว ว้า) ก่อนที่เราจะออกจากวัด Ginkakuji กัน เราสองคนงัดแผนที่ออกมา แล้วก็คุยกันว่า ... เราจะไปวัด Sanjusangendo กันเลยก็เร็วไป จากแผนที่ (ในความเห็นที่ 11)เราก็เห็นว่า วัด Eikando เป็นทางผ่าน ป้ายรถเมล์ก็ใหญ่โต ท่าทางจะเป็นวัดสำคัญ และอยู่ไม่ไกลจากวัด Ginkakuji นัก เราน่าจะไปวัดนี้กัน ว่าแล้วเราสองคนก็ออกเดินทางโดยไม่รอช้าเรานั่งรถเมล์มาลงที่ป้าย Nanzenji , Eikando-michi ยืนหันรี หันขวาง ไม่เห็นจะเจอวัด หรือ ทางเข้าวัด เจอแต่บ้านคน ... เจอคุณป้า 1 คน ขี่จักรยานผ่านมา เราสองคนดักหน้าจักรยาน Put ชี้เป้าหมายในแผนที่ให้คุณป้าดู แต่ปรากฏว่าคุณป้าไม่ได้ใส่แว่นตา มองไม่เห็นค่ะ ... -_-"เราเลยพูดคำว่า Nanzenji ซ้ำซัก 2 รอบ คุณป้าก็เข้าใจ ... ชี้ทางให้เรา แล้วก็พูดเป็นภาษาญี่ปุ่นอีกมากมาย ซึ่ง Put กับคุณ P ฟังไม่เข้าใจเหมือนเดิมอ่ะค่ะ แค่นิ้วคุณป้าที่ชี้ๆ ก็พอแล้ว ^ ^เราเดินไปตามทางที่คุณป้าชี้ทางขึ้นเขาอีกแล้ว ระหว่างทางมีรถลากแบบโบราณให้บริการด้วย หนุ่มๆที่ลากรถก็หน้าตา ok เชียวค่ะ ^ ^ แต่ดูขนาดตัวเราสองคนแล้ว สงสารคนลาก(ทำให้คนหล่อลำบาก บาปกรรม ^ ^) เลยเดินเอาเองดีกว่าเราเดินไปตามถนนชันแบบขึ้นเขาแคบๆ แค่รถสวนกันได้ 2 คัน ถนนเงียบสงบ แทบไม่มีคน แล้วเราก็ไปถึงหน้าวัด ... ซึ่งก็ไม่มีคนอีก -_-"รอซักพัก หลวงพี่ก็เดินมาขายตั๋วให้ค่ะ ^ ^" ทำพระลำบากเลยนอกจากตั๋วแล้ว เราก็ได้รับโบรชัวร์ที่บอกเล่าประวัติความเป็นมาของวัดด้วยค่ะ แต่... Put ไม่แน่ใจเรื่องการแปลค่ะ เลยเอามาให้ดูเลยสำหรับผู้ที่สนใจเพิ่มเติมนะคะ เข้าได้ที่ web นี้เลยค่ะ //www.eikando.or.jp ได้เลยค่ะ จะมีประวัติและรูปสวยๆที่เค้าห้ามถ่ายด้วยค่ะ ^ ^ ยอมรับเลยว่า Put ไม่ได้รู้จักวัดนี้ซักกะติ๊ดเดียว ... ไม่รู้ว่า วัดนี้มีต้นโมจิเยอะ สวยตอนใบไม้เปลี่ยนสี แต่ Put ไปตอนใบมันโกร๋นต้นเลย ... แต่ Put ก็ยังตื่นตา ตื่นใจกับสิ่งปลูกสร้าง และ พระพุทธรูปพระพุทธรูปที่นี่...แปลกมากค่ะ ... เป็นพระพุทธรูปที่หันศีรษะไปด้านข้างค่ะ สามารถดูจาก web ข้างบนได้เลยนะคะ ชื่อพระ The Looking – back Amida แล้วเราก็เดินไปตามทางเดินไม้ เพื่อสำรวจตามจุดต่างๆ ... เราเจอบ่อน้ำ ที่เค้าบอกว่า ถ้าค่อยๆเทน้ำลงไป จะได้ยินเสียงเหมือนคนเล่นพิณค่ะ ... เราสองคนก็ลองเทกันดู เสียงน้ำสะท้อนในบ่อ กังวานหวาน เพราะมากๆ Put หันซ้าย หันขวา...เห็นไม่มีใคร...Put ก็ลองเทน้ำพรวดลงไปบ้าง ... ปรากฏว่า...เสียงก้องๆเหมือนเดิมแต่ไม่เพราะเลยอ่ะค่ะ >.< นึกว่า ค่อยๆเทเป็นเสียงพิณ ถ้าเทแรงๆ จะได้ยินเสียงดนตรี Rock ซะอีกง่ะ หลังจากเราเทน้ำ เล่นสนุกกันอย่างพอใจแล้ว เราก็เดินต่อไปตามทางไม้ เพื่อขึ้นบันไดไปชมวิวด้านบน (วัดนี้ ก็เขาอีก 1 ลูก) คุณ P กลัวความสูงค่ะ เราเลยอดได้รูปสวยๆกันหลังจากนั้นเราก็เดินลงมา ถ่ายรูปรอบๆ บริเวณ... เดินหน้า เก็บภาพกันต่อไป ... ... เก็บอีกซักหนึ่ง ...ก่อนเราจะกลับ เราก็ ... ถ่ายภาพประทับใจอีกซัก 1 ภาพ เป็นเจดีย์ที่เป็นสัญลักษณ์ของวัดนี้ ที่เราขึ้นไปดูวิวกันเมื่อกี้นี้อ่ะค่ะออกจากวัด Eikando คุณ P เริ่มบ่นหิว ซึ่งเราสองคนไม่ได้กินอะไรกันตั้งแต่เช้า ( Put กินนมไป 1 กล่อง) แต่ Put บอกกับคุณ P ว่า วัด Nanzenji อยู่แถวๆนี้เอง เดินไปก็ถึง ระหว่างทางถ้าเจอร้านอะไรเดี๋ยวเราก็แวะกินกัน ซึ่งคุณ P ก็ ok ค่ะเราเดินไปตามทางที่ถามนักบวชตรงช่องขายตั๋วมา ว่า Nanzenji ไปทางไหน ท่านก็ชี้ทางให้ ... เราก็เดิน เดิน เดิน ไปตามถนน ที่มี 2 เลน แคบๆ เหมือนเดิมค่ะ ผ่านโรงเรียน ... ผ่านบ้านคน ... ผ่านอาคารที่เหมือนสถานีตำรวจ ... ผ่านป้ายที่เป็นแผนที่บอกทางแถวนั้น แต่ไม่ผ่านร้านอาหารเลยค่ะ -_-" แล้วในที่สุดเราก็ถึง วัด Nanzenji อย่างแรกที่เห็นก็คือ .... ประตู Sanmon เป็นหนึ่งใน 3 ประตูที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น Put ก็ไม่เข้าใจว่า ... คำว่าประตู (gate) ของญี่ปุ่น ทำไมข้างบนต้องมีประตูหน้าต่าง ระเบียง ด้วยไม่รู้ ... เอาไว้เผื่อดูข้าศึกตอนรบรึเปล่าก็ไม่รู้อ่ะค่ะประวัติโดยย่อของ Sanmon นะคะ ... คุณ P ที่ปวดขา และ กลัวความสูง เลยส่ง Put ขึ้นไปบน Sanmon คนเดียวค่ะ ข้างในเป็นบันไดไม้ชันขัดมัน ลื่นปร๊าบบบบบบบ ชวนให้ลื่นหัวแตกจริงๆ ^ ^"โผล่ออกมาจากบันได้แล้ว... เดินอ้อมมาด้านข้าง... เดินอ้อมมาด้านหลัง ... เก็บรูปครบทุกมุมแล้ว ... Put ก็ปีนบันไดลงมาชันๆลงมา ^ ^"เราสองคนเดินต่อเข้าไปข้างใน ก็พบว่า วัดนี้ ก็เขาทั้งลูกอีกแล้ว เดินเข้าไปได้ซักพักก็เจอสิ่งปลูกสร้างแปลกๆ ไม่เห็นจะเข้ากับวัดเลย เข้าไปดูใกล้ๆ อีกหน่อย เอ๋...มันคืออะไร ... เราสองคน ขึ้นบันไดไปด้านบน เพื่อไปดูว่า มันคืออะไรน้า....สรุปแล้ว มันคือ รางน้ำค่ะ ... แหม... สร้างซะสวยเราเดินลงมา แล้วไปแวะดูสวนสวยๆ ซักหน่อย ... สวน Nanzen-inประวัติย่อๆของสวน นะคะ.... Put scan มาจากข้างหลังตั๋วอ่ะค่ะ ^ ^" ให้ Put แปลเองเดี๋ยวผิดไปไกล ใครสนใจแปลเองตามสะดวกเลยดีกว่าค่ะบรรยากาศสวนภายใน ... ในสวน มีน้ำตกเล็กๆด้วย ^ ^ นึกถึงน้ำตกใหญ่ๆ ที่บ้านเรา ที่หมู่คณะลงไปว่ายเล่นได้จัง เดินซักพักก็ทั่ว ... เราก็เดินออกเราเดินออกมาด้านไหนซักกะด้าน (ตอนนี้งงแล้วล่ะค่ะ ข้าวก็ไม่ได้กิน วัดก็กว๊างงงงงงง.....กว้าง) แล้วก็เดินดูบรรยากาศรอบๆ ต่อแถวนี้สิ่งปลูกสร้างเยอะแฮะ...เดินผ่านป้ายหิน แผ่นเบ้อเริ่ม เขียนว่าอะไรไม่รู้ ... แต่ดูแล้วขลังดีค่ะแล้วเราก็เดินต่อไป ... จนไปเจออีก 1 ที่.... Ten juanภาพ Ten juan จากด้านบน ถ่ายจากบน Sanmonหลังจากที่เราซื้อบัตรผ่านประตู เรียบร้อยแล้ว .. เราก็เดินผ่านประตูเข้าไป ภายในส่วนใหญ่เป็นสวนหิน สีขาวตัดกับสีเขียวๆ ของหญ้ากับอาคารที่มีระเบียงไม้ยาวๆ น่านั่งพักผ่อน (อยากลงไปนอนกลิ้งเกลือกเหลือเกิน) ^ ^เดินชื่นชมวิวโดยรอบที่เค้าทำเส้นทางไว้ให้ น้ำในสระใสแจ๋ว ... เลี้ยงปลาคาร์พตัวเบ้อเริ่มไว้ด้วย ^ ^ หลังจากเรารื่นเริง อยู่ที่วัด Nanzenji อยู่นาน เวลาก็ล่วงเลยไปเยอะ เกือบจะบ่าย 3 แล้ว ซึ่งโดยทั่วไปสี่โมงครึ่งหรือ 5 โมงวัดก็จะปิดแล้ว ... Put รีบลากคุณ P ออกเดินทางไปวัด Sanjusangendo ทันที กลัวว่าวัดจะปิดก่อน กลายเป็นว่าพลาดเป้าหมายหลัก Put : “คุณ P คะ เดี๋ยวค่อยทานข้าวนะคะ ขออีกวัดเดียว วัดสุดท้ายแล้วค่ะ Put กลัวไม่ทัน”คุณ P : “... ก็ได้ค่ะ” คุณ P ตอบเสียงหวิว ... รู้เลยว่าหมดแรง เรารีบเดินจ้ำลงมาที่ถนนใหญ่เพื่อหารถเมล์ไปวัด Sanjusangendoนั่งรถเมล์ ไปลงป้าย Hakubutsukan Sanjusangendo-mae ท้องฟ้าเริ่มครึ้ม อากาศก็เย็นลง เราสองคนหนาวกันตัวเริ่มเขียว (อาจจะเป็นเพราะไม่ได้กินข้าวด้วยมั้งคะ หมดพลังงาน) วัดไม่ได้ต้องเดินขึ้นเขาอีก(ค่อยยังชั่ว) .... ทางเข้าวัด อยู่ติดกับถนน เดินจากป้ายรถเมล์ไปนิดนึงหลังจากซื้อตั๋วเสร็จ...ก็เข้าไปในอาคารหลักของวัด ... ต้องเปลี่ยนรองเท้าอีกแล้ว ... เย็นชะมัด ... แต่ที่นี่มีเตาผิงตั้งอยู่กลางห้อง ให้ผิงด้วยค่ะ เราสองคนยืนอังเตาผิงจนตัวเริ่มอุ่นก่อนจะเดินเข้าไปดูรูปแกะสลักกันเนื่องจากเค้าห้ามถ่ายรูปอีกแล้ว .. เลยไม่มีรูปมาฝากกัน ... ส่วนข้างนอกเค้าไม่ได้ห้ามถ่าย ... แต่คุณ P หมดแรงไปแล้วค่ะ เลยไม่ได้เก็บรูปมาฝากอีกเช่นเดียวกัน มีแค่รูปนี้รูปเดียว... เป็นรูปจากโปสการ์ดที่ Put ซื้อมา บรรยายกาศภายในอาคาร ... สลัวๆ และหนาว มีแสงเทียน ช่วยให้ความสว่างอีกแรง แต่เทียนไม่ช่วยทำให้อุ่นขึ้นเลยค่ะ .... รูปพระโพธิสัตว์ที่แกะสลักอ่อนช้อย สวยงามมากๆ ผ้ายังดูพลิ้วเลยค่ะ รูปแกะสลักของพระ Kannon ( Juichimen-senjusengen Kanzeon) ที่ยืนอยู่นี่ก็ไม่มากไม่มายค่ะ แค่ 1,000 องค์เท่านั้นเอง ^ ^" เยอะจังการแกะสลักต้องใช้ช่างหลายคนถึงจะเสร็จ 124 องค์ ทำในศตวรรษที่ 12 ส่วนอีก 876 องค์ ทำในศตวรรษที่ 13 ทำให้ถ้าสังเกตดีๆ หน้าของพระ Kannon หน้าตาจะไม่เหมือนกันแป๊ะและพระ Kannon ประทับนั่ง 1 องค์ ที่อยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นองค์ใหญ่สุด รวมแล้วก็มีพระ Kannon ทั้งหมด 1,001 องค์ ( Put scan รูปจากโบรชัวร์มาให้ดูกันนะคะ) ส่วนด้านหน้าพระ Kannon เป็นเทพเจ้า 28 พระองค์ ที่ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งมีต้นกำเนิดมาจากอินเดียโบราณเหมือนกัน องค์นี้คงรู้จักกันเป็นอย่างดี ... ชื่อทางการไม่รู้ว่าอะไร ... Put เรียกว่า เทพเจ้าฟ้าผ่า พอได้มั้ยคะเนี่ย ^ ^"เทพเจ้าลม ... วาโยส่วนองค์นี้..ไม่รู้จักค่ะ แต่เท่องค์นี้ก็ไม่รู้จักอีกแล้วค่ะ ^ ^"เราเดินชื่นชมรูปแกะสลักกันไม่เป็นสุขนัก เพราะในโถงอาคารที่เรียงรูปปั้นนั้นช่างหนาววว...ววว..เย็น เย็นจนจมูกชา ส่วนคุณ P ขาแข็งแทบไม่ขยับแล้ว ... หลังจากดูจะทั่วแล้ว เราก็รีบเดินออกมา เพื่อมายืนผิงเตาผิงที่อยู่ด้านนอน พอร่างกายเริ่มอุ่น เราก็มีกะใจดูสิ่งที่อยู่รอบๆ มีกล่องเล็กๆ อยู่ที่เสา เป็นกล่องเสี่ยงทาย คล้ายๆเซียมซี Put และ คุณ P จ่ายกันคนละ 100 เยน ก่อนจะเอามือล้วงลงไป หยิบกระดาษพับเล็กๆ ขึ้นมาคนละ 1 อันเมื่อแกะห่อกระดาษ ... ก็พบกับคำทำนายที่เขียนบนกระดาษ และ มีตุ๊กตาตัวเล็กๆ เป็นเทพเจ้าประจำคำทำนายนั้นค่ะ ... คำทำนายเป็นภาษาญี่ปุ่น แต่ มีคำแปลเป็นภาษาอังกฤษติดไว้ให้ที่เสา เราสองคนก็ลงมือจดกัน ออกจากวัดตอนท้องฟ้าเริ่มมัวๆ ครึ้มๆ เราสองคนออกเดินทางเพื่อหาร้านข้าว ซึ่งเป็นข้าวเช้าที่กินกันตอน 4 โมงเย็นครึ่ง ... -_-“ แล้ว Put ก็หาเรื่องป่วนอีกPut : “คุณ P คะ Put อยากกินข้าวร้าน ‘โยชิโนยะ’ น่ะค่ะ” Put อยากกินข้าวร้านนี้เพราะเห็นในการ์ตูนบอกว่า ข้าวหน้าเนื้อร้านโยชิโนยะ ขายถูกคุณ P : “เอาซิคะ แล้วร้านอยู่ตรงไหนล่ะคะ” คุณ P ที่แสนดีไม่เคยขัดPut : “อืมมมม...Put เคยเห็นนะ นั่งรถเมล์ผ่านอ่ะค่ะ ร้านอยู่แถวที่มีร้านขายของเยอะๆง่ะค่ะ ร้านสีส้มๆ”คุณ P : “งั้นเราจะไปรถสายอะไรดีอ่ะคะ”Put : “สายอะไรก็ไปก่อนก็ได้มั้งคะ เดี๋ยวมันคงวนๆ ผ่านไปเอง พอเห็นเราก็ลง”คุณ P : “ได้ค่ะ”แล้ว... เราก็ตามหาร้านโยชิโนยะ กันอยู่นาน ... นั่งรถสายโน้น ลงต่อสายนี้ ... โดย Put กับ คุณ P แยกกันหาคนละฝั่ง ... หากันอยู่นาน หิวก็หิว ตาก็ลาย ... แล้วในที่สุด ... คุณ P ก็เจอร้านโยชิโนยะจนได้เราลงป้ายรถเมล์ แล้วก็เดินย้อนข้ามถนนกลับไป ... เราไปเดินหมุนๆ หน้าร้านนิดหน่อย เพราะไม่รู้ว่าร้านเปิดรึยังเนี่ย ... ด้วยความหิว เราก็เปิดประตูเข้าไป ... คุณป้า(อีกแล้ว ทำไมดวงเจอแต่คุณป้านะ ^ ^) ต้อนรับ ทักทาย เราสองคนเลือกที่นั่ง ที่นั่งไม่ได้เป็นโต๊ะแยกเป็นตัวๆ แต่เป็นบาร์ยาว แล้วมีเก้าอี้กลมๆ เรียงไปตามโต๊ะ คุณป้ายืนหมุนๆ อยู่ตรงกลางเรารับเมนูจากคุณป้า ... ราคาไม่แพงเหมือนในการ์ตูนบอก ... Put สั่งอาหารชุดปลาเซลมอน มีซุป และหมูผัดขิงเป็นเครื่องเคียง ... กินอิ่มในราคา 450 เยน ส่วนคุณ P สั่งข้าวหน้าหมูหรือหน้าเนื้อไม่รู้แฮะ...ชามเบ้อเริ่มเลย...ราคาไม่ถึง 300 เยนเลยค่ะ แล้วหมูเค้าสไลด์บางๆ นุ่มๆ อร่อยมากๆ ไม่เหนียวหนืดๆเลยระหว่างที่เรากำลังละเลียดอาหารมื้อเช้า + กลางวัน + เย็น (ที่ใช้คำว่าละเลียด เพราะคนญี่ปุ่นกินโคตรเร็ว ชามเบ้อเริ่ม พุ้ยข้าว พุ้ยๆๆๆๆๆๆๆๆ แป๊ปเดียวหมดแล้ว ^ ^”) Put ก็เห็นหนุ่มสาว 1 คู่ เค้าสั่งข้าวหน้าเนื้อหรือหมูซักอย่าง (ที่ญี่ปุ่นเนื้อกับหมูแยกกันยาก เพราะสีเหมือนกันเลยค่ะ เนื้อวัวสีไม่ได้เข้มจัดต่างกันเนื้อหมูมากเหมือนบ้านเรา) แล้วผู้สาวเค้าก็สั่งไข่ค่ะ ไข่ไก่สดๆนะคะ แล้วก็ตอกลงไปในข้าวเลย คลุกๆ กับข้าว แล้วก็พุ้ยๆๆๆๆๆๆๆ กินอย่างรวดเร็ว ... Put กับ คุณ P อึ้งค่ะ เพราะข้าวมันก็ไม่ได้ร้อนขนาดที่จะทำให้ไข่สุกได้ ^ ^”หลังจากเราอิ่มปลิ้น ปากมัน กันเรียบร้อยแล้ว Put รู้สึกพลังกลับคืนมา พร้อมจะลุยเดินต่อ ตอนนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว ไฟตามร้านค้า ถนนหนทาง เริ่มสว่างไสวPut เริ่มสังเกตว่า แถวๆนั้นมีร้านให้ shopping เพียบ (ตอนหิว เดินหาร้านข้าวอย่างเดียว ไม่ได้สนใจอะไรเลย) Put : “คุณ P คะ เราไปเดินดูของกันต่อมั้ย มีร้านเพียบเลยตรงโน้นน่ะ” Put ชี้มือไปถนนฝั่งตรงข้ามคุณ P : “คุณ Put จะเดินต่อก็เดินเถอะนะคะ P ไม่ไหวแล้ว P จะกลับหอ” Put : “....” โธ่ -_-“ เราสองคนก็เลยเดินทางกลับที่พัก ระหว่างทางก็แวะซื้อเสบียง เสบียงประจำของ Put ก็คือ ... นมกล่อง 500 cc รสชาติจืดๆ เหมือนน้ำ แต่ก็อร่อยดี ^ ^ แล้วพอเข้าห้องปุ๊บ ... Put ก็กระโดดขึ้นเตียงแล้วหลับเป็นตายค่ะ ... ^ ^” ส่วนคุณ P Put เห็นเธอก่อนจะหลับไป เห็นเธอเดินเก็บของ เดินไปเดินมา ^ ^a ซักประมาณ 4 ทุ่ม Put ตื่นมาอาบน้ำ ก็เห็นคุณ P ยังไม่นอนเลยอ่ะ เลยไม่รู้ว่าตกลงใครหมดแรงกันแน่ ^ ^a