Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2550
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
16 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 
ตอนที่ 2 วันแรกในญี่ปุ่น

ก่อนถึงนาริตะ ต้องกรอกเอกสารแผ่นยาวๆ สำหรับเข้าประเทศญี่ปุ่น อืมมมม...มมมม เค้าใช้ศัพท์ภาษาอังกฤษที่แปลกมั่กๆ อาจจะเป็นเพราะ Put มีศัพท์อยู่ในสมองน้อยไปหน่อยแหงเลย -_-" โชคดีที่คนนั่งข้างๆ ก็เป็นคนไทยที่แต่งงานกับคนญี่ปุ่นเลย ถามๆเค้าเอา ก็พอกรอกได้

ถึงนาริตะแต่เช้า นัดเพื่อน B ไว้ 9 โมงเช้าที่สถานีโตเกียว นึกในใจ ‘ทันแน่นอน’อากาศเย็นๆ งัดเสื้อหนาวตัวหนาตัวเดียวที่เอามา ออกมาใส่ พร้อมกับคิดว่า รู้งี้เอาเสื้อหนาวบางกว่านี้มาดีกว่า

ผ่านด่านคนตรวจเข้าเมืองได้ไม่ยุ่งยาก พนักงานที่ตรวจ Passport ของ Put เป็นชายหนุ่มหน้าตาดี และ กันคิ้วซะด้วย -_-a

เค้าถามแค่นิดหน่อย ว่าพักที่ไหน ... แต่กว่า Put จะตอบได้ตรงคำถาม พี่เค้าก็ถามประมาณ 3 รอบ

เดินๆๆๆๆ ขึ้นบันไดเลื่อน ลงบันไดเลื่อนซักพัก เน้นเดินตามป้าย ป้ายชี้ไปไหน เราก็ไปตามนั้น ป้ายส่วนใหญ่มีทั้งภาษาญี่ปุ่น แล้วก็ภาษาอังกฤษ ญี่ปุ่นตัวใหญ่ๆ อังกฤษอยู่ข้างใต้ตัวเล็กๆ แล้วเราก็ถึงบริเวณที่คิดว่าน่าจะแลกตั๋ว JR Pass ได้ เพราะมีป้ายสีเขียวตัวเบ้อเริ่ม เข้าไปต่อแถว พอถึงคิว อ้าวกรรม หญิงญี่ปุ่นน่ารักพนักงาน JR พูดเป็นอังกฤษสำเนียงญี่ปุ่นว่า “ไม่ใช่นะคะ ต้องไปตรงโน้น” พร้อมทั้งชี้มือไปทางด้านหลัง

‘แล้วตูเดินเลยมันมาได้ไงฟะ’ เราสองคนพาเดินย้อนกลับกันไป ไปต่อแถว รอคิวประมาณ 4 คน ก็ถึงเรา แล้วพนักงานหนุ่มญี่ปุ่นก็แจ้งว่า

“ต้องไปกรอกเอกสารทางโน้นก่อนนะครับ” พร้อมชี้มือไปยังโต๊ะที่มีเอกสารให้กรอก เราก็ต้องออกจากแถวไปกรอกเอกสารก่อน

กรอกเอกสารไม่กี่ช่องเสร็จก็มาต่อแถวอีกรอบ เหลือบมองนาฬิกา แย่แล้ว...เกือบ 9 โมงแล้ว เพื่อน B บ่นแหงๆ ในที่สุดเราก็ได้ JR pass มาครอบครอง นึกว่าจะอันเล็ก ปรากฏว่าอันเท่า Passport ข้างในปั๊มวันหมดอายุไว้ เวลาใช้ก็แค่เปิดให้นายสถานีที่เฝ้าประตูเห็นวันหมดอายุ เค้าก็ให้ผ่าน ให้ความรู้สึกแบบในหนังที่เคยดู ที่นายตำรวจเปิดตราตำรวจให้ดูแล้วสามารถผ่านเข้า – ออก สถานที่ต่างๆได้ ^ ^

เราสองคนไม่ลืมขอ แผนที่สายรถไฟ และตารางเวลารถไฟชินกังเซ็นที่เป็น “ภาษาอังกฤษ”

คุยกับเพื่อนร่วมทีม ว่าจะจองตั๋วสำหรับไปเกียวโตเลยแล้วกัน แล้วก็เริ่มต้นสื่อสาร Put ส่งเพื่อน P ไปเป็นด่านหน้าเพราะเธอเชี่ยวอังกฤษสุดยอด ซึ่งการันตีด้วยแฟนสัญชาติอเมริกา ส่วน Put ภาษาอังกฤษงูๆปลาๆ แล้ว เราก็ได้ตั๋วมา 4 ใบ

2 ใบแรก เป็นตั๋วจองที่นั่งของรถไฟ Express สำหรับไปสถานีโตเกียว อีก 2 ใบ เป็นตั๋วจองที่นั่งของรถไฟชินกังเซ็นสำหรับไปเกียวโต (แต่ตั๋วที่ไปเกียวโตนั้น ด้วยความที่สื่อสารกันอย่างมืออาชีพ เราเลยได้ตั๋วมาผิดวัน อืมมมม...แต่ไม่เป็นไร ค่อยมาจองใหม่วันหลังแล้วกัน) แล้วเราก็เดินตามป้ายอีกเช่นเดิม เพื่อไปขึ้นรถไฟ ลงไปถึง

‘อ้าว กรรม มันต้องขึ้นขบวนไหนล่ะเนี่ย ใช่เจ้าขบวนสีแดงที่กำลังจอดอยู่นี่มั้ยฟะ’

คิดแล้วก็เดินไปดูแผนที่รถไฟ แผนที่บอกว่าเป็นสายสีฟ้า สาย 2 ก็นึกเอาเองว่าต้องเป็นรถขบวนสีฟ้าซิ แต่ก็ไม่แน่ใจ เลยเดินเข้าไปถามนายสถานีที่เดินอยู่แถวนั้น

ลุงแกดูตั๋วแกก็ให้ไปเปลี่ยนตั๋วใหม่ เพราะขบวนที่เราได้ตั๋วมามันออกไปแล้ว ไม่ใช่ความผิดของคนออกตั๋วของ JR แต่อย่างใด แต่เพราะเรามัวแต่เดินไป เดินมา หลงไป หลงมา เลยมาถึงชานชลาช้าไปหน่อย

ด้วยความขี้เกียจเดินกลับไปเปลี่ยนตัว เพราะอ่านเจอมาว่าขึ้นได้ไม่ต้องจองที่นั่งก่อนก็ได้ คุณลุงแกก็เดินไปเดินมา เพื่อมาบอกอีกประมาณ 3 รอบว่าให้ไปเปลี่ยนตั๋วซะ จนเรารู้สึกว่า ถ้าไม่เปลี่ยนตั๋วแกไม่ยอมแน่ๆ เลยต้องเดินไปเปลี่ยนตั๋ว

เปลี่ยนตั๋วเสร็จก็เดินลงมานั่งรอรถไฟสบายใจ ลุงคนเดิมเดินมาดูอีกแล้ว ว่าเจ้าเด็กดื้อ 2 คนนี้ ตัวนี่เปลี่ยนตั๋วรึยัง เราชูตั๋วให้ดูอย่างมั่นใจ พลางคิดในใจว่า ‘หนูไปเปลี่ยนมาแล้วล่ะน่า’

พอคุณลุงแกดูเสร็จแกก็พยักหน้า พร้อมกับทำสีหน้าว่า ‘ดีมาก เจ้าเด็กดื้อทั้งสอง’ แล้วแกก็ชี้ไปที่รถไฟขบวนสีแดงที่จอดอยู่

เราตาหูเหลือกรีบวิ่งไปขึ้น พร้อมกับนึกขอบคุณความเอาใจใส่ของคุณลุง เพราะถ้าแกไม่สนใจเข้ามาถามบ่อยๆ เราคงต้องตกรถอีกเป็นขบวนแหงๆ เพราะเข้าใจว่า ต้องเป็นขบวนสีฟ้า

กว่าจะถึงสถานีโตเกียวก็เกือบ 10 โมง เพื่อน B แสนดี บอกที่นัดก็คือ “ที่ขายตั๋ว JR นะเพื่อน” ตอนอยู่เมืองไทย Put ก็อือๆออๆ ไปตามเรื่อง แต่มาถึงที่จริง

“โอ๊วววววววววว...วววว....วววว........แล้วมันขายตั๋วกันตรง Exit ไหนล่ะเนี่ย”

สถานีมีมากมายหลาย Exit ชื่อแต่ละ Exit ก็ไม่ได้สื่อว่า ถ้าออกไปแล้วมันจะไปโผล่ไหนเลย สำหรับเราสองคนที่เพิ่งเคยมาญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก

เลยต้องโทรไปหาเพื่อน B แทน มันก็เดินมารับด้วยความร่าเริง เพราะ Put แบกเสบียงจากไทยไปให้มันด้วย

จากแผนที่ว่าจะออกไปเดินเที่ยวพระราชวังโตเกียวก่อน ก็เป็นอันเลื่อนไป เพราะทุกคนลงความเห็นว่า เอาของไปเก็บก่อนดีกว่า แล้วนัดเจอกันที่ Subway อาซาคุซะ เลย

เพื่อน B : “ตกลงแกจะไปชั้นที่ อาซาคุซะ เลยเหรอวะ ไปถูกแน่นะ”

Put : “เออ...ถูกดิ ก็ดูตามสีของสายรถไฟใช่มั้ยล่ะ ว่าแต่แกจะให้ชั้นไปเจอที่ไหน” ในมือกางแผนที่รถไฟใต้ดินที่เพื่อน B ให้มา

เพื่อน B : “เอาเป็น เจอกันที่ Exit ที่มันออกไปแล้วเจอ วัดอาซาคุซะเลยแล้วกัน”

Put : “แล้วมัน Exit ไหนละวะ”

เพื่อน B : “ตูก็จำไม่ได้ว่ะ เคยไปแค่ครั้งเดียว”

Put : “อ้าว เวร....เออ....ช่างมันเฮอะ เดี๋ยวชั้นไปเดินหาเองก็ได้”

ยังไม่ทันที่เราจะได้ออกไปไหน เราก็โดนตำรวจญี่ปุ่น เรียกตรวจ Passport ตอนแรกก็งง ว่าเค้าจะมาเปิดตราตำรวจให้ดูทำไม ตอนหลังก็ ‘อ๋อ เค้าจะตรวจ Passport’

แล้ว Put กับคุณ P ก็เดินทางไปหาที่พักด้วยแผนที่ที่ Put วาดเองกับมือ

บนรถไฟบางขบวนก็มีจอตรงประตูบอกสถานีถัดไป คือ สถานีอะไร สะดวกง่ายดาย แต่รถไฟบางขบวน ก็มีเสียงประกาศอย่างเดียว ลำบากนิดนึงคือต้องฟังให้ดี แต่ก็ไม่ลำบากขนาดลงสถานีผิด

ออกจากสถานีเล็กๆ ที่ชื่อ มินามิเซ็นจู แล้วก็ถามนายสถานีว่า ถ. ที่ชื่อ Yoshino Dori มันคือทางไหน เค้าก็กางแผนที่ที่พกในกระเป๋า แล้วชี้ไป พอเรา 2 คนขอแผนที่ที่เค้าดูเมื่อกี้เค้าก็ไม่ให้

ได้แต่นึกในใจ ‘โธ่ คนอะไรใจร้ายใจดำกับลิงตาดำๆสองตัวเนี่ย’

เราเดินกันไปด้วยความไม่มั่นใจ แต่ก็นึกในใจว่า เดินๆ กันไปก่อนเฮอะ แล้วในที่สุดเราก็ถึงที่พัก

ตอนเราเดินผ่านหน้าปากซอย พอเห็นป้ายแพลมออกมาจากเท่านั้น Put ดีใจมาก ‘เราไม่หลงแล้วเฟ้ย’

เราเลือกอยู่คนละห้อง แม้ว่าอยู่ห้องเดียวกันจะประหยัดกว่า แต่ว่า...ห้อง 1 คน กับห้อง 2 คน ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย แค่เพิ่มหมอนให้อีกใบ ขนาดที่นอนก็เท่าเดิม บังเอิญ Put กับคุณ P ไม่ได้รักกันขนาดจะนอน กอดกัน เบียดกัน ได้ทั้งคืน

แล้วพอเปิดห้อง...อืม....ขนาดห้อง ก็เหมาะกับการนอนคนเดียวจริงๆด้วย ....

พอเก็บของเรียบร้อยแล้ว Put กับคุณ P ก็แยกกันที่สถานี อุเอโนะ Put นัดเจอกับเพื่อน B ส่วนคุณ P ก็แยกไปเจอญาติที่พลัดพรากจากกันมานานที่ ไซตามะ จังหวัดที่ชินจังอยู่

Put ซื้อตั๋ว Subway แบบ 1 วัน แบบเฉพาะขึ้นได้เฉพาะ Metro Line ราคา 730 เยน

จากการที่ดูๆ สถานี ทำให้ Put สรุปเองเองว่า Subway สำหรับเที่ยวในเมือง .... JR สำหรับเที่ยว ต่างจังหวัด

แล้ว Put ก็ขึ้น Subway จากสถานี Ueno ไปลง อาซาคุซะ

เอาล่ะซิ ... แล้ว Exit ไหนล่ะที่ไปโผล่หน้า วัดอาซาคุซะพอดี ... Put เลือก Exit ที่มีคำว่า อาซาคุซะ ปนอยู่ด้วย แต่มันก็มีตั้ง 2 Exit เลือก Exit ที่ 1 เดินขึ้นมาไม่เจอวัด

.... เอ...ทำยังไงดีหว่าเรา ... เดินลงไปใหม่ ลองไปดู Exit 2 ปรากฏว่า เจอเพื่อน B ที่กำลังคิดว่า Put หลงไป Exit 1 กำลังตามหา Put อยู่พอดี สรุปคือ Exit ที่มันโผล่หน้าวัดพอดี ต้องเป็นอีก Exit แต่จริงๆแล้ว Exit ทั้ง 2 มันก็แค่ อยู่คนละฝั่งถนนกันแค่นั้นเอง ทำเอาหลงซะได้ -_-“

แล้วเพื่อนสุดที่รักของ Put ก็บอกว่า

เพื่อน B : “เราหิวว่ะ ไปหาอะไรกินก่อนได้มะ” มันทำหน้าทุกข์ทรมานประกอบ

Put : “เอาดิ ชั้นก็หิวเหมือนกัน”

เพื่อน B : “แล้วแกอยากกินอะไรอ่ะ”

Put : “อยากกินอาหารญี่ปุ่นว่ะ ร้านไหนอร่อยแนะนำหน่อยดิ” แต่เดินผ่านร้านแถวนั้นดูราคาแล้วก็เกรงใจเงินเยนในกระเป๋า ราคาเท่าที่จำได้อยู่ประมาณ 1500 เยน

เพื่อน B : “แถวนี้ไม่รู้ว่ะ รู้แต่แถวมหาลัย ลองกินสปาเกตตี้มั้ยแก” กรรมจริงเพื่อน Put มาถึงญี่ปุ่นชวนกินอาหารอิตาลี ตอนนั้นเราเดินผ่านหน้าร้านสปาเกตตี้พอดี Put เล็งแล้วว่าราคาไม่ถึง 1000 เยน ซึ่งก็พอจะ ok

Put : “เออก็ได้เอาดิ”

แล้วเราก็สั่งสปาเกตตี้กัน .... เป็นสปาเกตตี้ที่ ... ไม่มีอะไรเลย นอกจากเส้น น้ำมันมะกอก(ล่ะมั้ง) แล้วก็ผงแดงๆ กับผงเขียวๆ นิดหน่อย แต่จานใหญ่มาก Put กินไม่หมดเลยแบ่งเพื่อน B ไป เพราะเสียดาย มื้อนั้นราคา 700 เยน

หลังจากจัดการรวบรวมเส้นสปาเกตตี้ลงท้องไปแล้ว .... Put ก็นึกว่า เพื่อน B จะเดินเที่ยว อาซาคุซะกับ Put

เพื่อน B : “เฮ้ยแก...อีกประมาณ 1 ชม. ชั้นต้องไปมหาลัยแล้วว่ะ” เพื่อน B พูดพร้อมทั้งทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดนิดหน่อย

Put : “ อะไรวะ จะไปแล้ว แล้วไหนแกบอกว่าจะพาชั้นไปร้านการ์ตูนด้วยง่ะ” Put เริ่มโวยวาย

เพื่อน B : “เออ...แกจะเอายังไงล่ะ ชั้นพาแกไปร้านการ์ตูนก่อนก็ได้” B ยกนาฬิกาขึ้นมาดู

Put : “งั้นแกพาชั้นไปร้านการ์ตูนก่อนแล้วกัน ส่วนอาซาคุซะเดี๋ยวชั้นค่อยมาเดินเอง”

เรา 2 คนก็เลยมุ่งหน้าไปชิบุย่า เพื่อไปซื้อการ์ตูนที่ร้าน “มันดาราเกะ” พอออกมาจากสถานีรถไฟ เราก็ได้เดินผ่าน อนุสาวรีย์หมาที่โด่งดัง “ฮาจิ”

แล้วเพื่อน B ก็พา Put ข้าม 5 แยกสุด hot เดินเลี้ยวไป เลี้ยวมา เดินขึ้นเนิน ลงเนิน ... ก็ถึงตึก Shibuya BEAM เดินลงไปชั้นใต้ดินน่าจะซัก 2 ชั้นได้ ก็ถึงร้าน “มันดาราเกะ”

การ์ตูนถูกแบ่งเป็นหมวดหมู่ ชื่อหมวดบอกเป็นภาษาอังกฤษ หาได้ง่าย แถมมีชื่อนักเขียนเป็นภาษาอังกฤษบอกไว้เป็นล็อคๆด้วย หาง่ายเชียว

เพื่อน B ส่ง Put ที่ร้านการ์ตูนเรียบร้อย มันก็จากไป ทิ้ง Put ไว้ในร้าน

Put เลือกไป เลือกมา วนไป วนมา หยิบไป หยิบมา ก็ได้มา 9 เล่ม แต่ก็ยังไม่ครบตามที่ตั้งใจจะซื้อ

ส่วนใหญ่จะราคาเล่มละประมาณ 300 เยน ทั้งๆหน้าปกเขียนไว้ 500 เยน Put ไม่แน่ใจว่าเป็นการ์ตูนมือ 2 รึเปล่า แต่คิดว่าไม่ เพราะห่อพลาสติกเรียบร้อยงดงาม กระดาษคาดปกก็ยังอยู่ครบ

เดินออกจากร้านด้วยอารมณ์ร่าเริง ‘อย่างน้อยตูก็ไม่ได้กลับไปมือเปล่าแล้วเฟ้ย สำเร็จสมหมายไป 1 ภารกิจ’

Put เดินย้อนกลับทางเก่า ตามร้านเท่าที่จำได้ว่า ต้องผ่าน Tower record , ร้านขายของที่ระลึกของ Disney

ก่อนจะมาขึ้นรถไฟกลับไปวัดอาซาคุซะ เราก็ชักภาพเป็นที่ระลึกซักหน่อย...(หลังป้าย Smoking Area เนี่ยค่ะ เป็นรูปปั้นน้อง "ฮาจิ")



มาถึงหน้าวัดไม่มีหลง เพราะเรามาแล้วครั้งนึงเมื่อกี้นี้ ถ่ายรูปโคมไฟสีแดงที่เป็นสัญลักษณ์ ก่อนจะเดินเข้าไปข้างใน



สองข้างทางเป็นร้านรวงมากมาย ร้านมาก คนก็เลยมากตามไปด้วย เดินดูของ อืมมม...แต่ละอย่างน่ารักทั้งนั้น แต่ราคาไม่ค่อยจะน่ารักเลย พวงกุญแจคิตตี้ 500 เยน -_-“

แล้วก็มีขนมญี่ปุ่นเยอะเชียว จริงๆเค้าก็ให้ชิม แต่ Put พูดอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าจะเข้าไปขอชิมยังไง



เดินสุดทางก็ไปถึงวัด ทำบุญ



ไหว้พระ



ทำบุญ ไหว้พระเรียบร้อย ก็เดินออกมา

Put อธิษฐานขอให้ " trip นี่ Put กับเพื่อนหลงน้อยๆ ด้วยเท้อออ..ออ"

ขาเดินออกมา สายตาไปพบกับร้านขนม หน้าร้านมีเด็กตัวน้อยกำลังเลือกอยู่แล้วคุณแม่ก็จ่ายเงิน ก่อนจะเดินออกไป

Put มองราคา 150 เยน อืมมม...พอได้ พอได้ .... เดินเข้าไปดู .... เป็นขนมที่ทำกันสดๆ ต่อหน้าลูกค้าเลย ส่วนประกอบของขนมคือ

1. ไม้ 1 แท่ง
2. ผลไม้สดรสเปรี้ยว เช่น สตรอเบอร์รี่ ลูกท้อ
3. น้ำตาลเคี่ยวจนใสเหนียว
4. น้ำแข็ง

ขั้นตอนการทำก็ง่ายๆ ... เอาไม้เสียบผลไม้ แล้วก็เอาไปพันกับน้ำตาลเหนียวๆ ให้รอบลูก แล้วก็เอาไปแปะน้ำแข็ง ให้น้ำตาลเหนียวๆ มันแข็ง .... เพียงแค่นี้เราก็ได้ขนมอร่อยๆ ^ ^

Put เลือกสตรอเบอร์รี่ ลูกโต... พอกัดน้ำตาลมันจะยืดๆ ถ้ากินโดนแต่น้ำตาลจะไม่อร่อย แต่ถ้ากัดโดนสตรอเบอร์รี่ด้วยมันจะอร่อยมั่กๆ




ขณะที่ Put กำลังจัดการกับน้ำตาลยืดๆ ที่มันเหนียวติดรอบปาก

Put ก็เห็นร้านขนมที่มีคนมุงกันเต็มไปหมด เขียนป้ายว่า 100 เยน

น่าสนแฮะ ขนมไม้ละ 100 เยน ก็กินได้ประมาณ 2 คำ ถ้าแทะๆ เอาก็ได้ 4 คำ ....

มีขนมให้เลือกหลายอย่าง มีสีขาวราดน้ำสีน้ำตาล แล้วก็สีเขียว

Put เลือกแบบที่คนซื้อกันเยอะ .. คือ ลูกสีเขียว 2 ลูกเสียบไม้ แล้วคลุกผงสีน้ำตาลๆ Put ว่าต้องอร่อยแน่นอน แล้วไอ้เจ้าผงสีน้ำตาลน่าจะเป็นน้ำตาล อืม....น่าอร่อย น่าอร่อย

Put เอามั่ง ชี้ พลางคิดในใจ ‘ป้าคะสีเขียวไม้นึง’ แล้วก็จ่ายเงินเค้าไป

จังหวะที่กัดลงไป ก็...เอ่อผงอะไรฟะ ไม่เห็นมีรสมีชาติเลย รสชาติเหมือนแป้ง ไม่อร่อย ปะแล่ม..ปะแล่ม เฝื่อนๆ พิกล Put พยายามสะบัดไอ้ผงที่เหลืออยู่ให้มันหลุดออกไปมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ก่อนจะจัดการลูกที่เหลือให้หมด

แป้ง กับไส้ถั่วข้างในอร่อยดี ไม่นับเจ้าผงสีน้ำตาลนั่น >.<

หลังจากปากเลอะน้ำตาลยืดๆ หนืดๆ กับผงสีน้ำตาลเป็นที่เรียบร้อยดีแล้ว Put ก็มุ่งหน้าลงไปใต้ดินอีกครั้ง เพื่อไป Ueno ก่อนจะเปลี่ยนไปขึ้น JR เพื่อไป ฮาราจูกุ เพราะนัดเพื่อน PA ไว้ที่ McDonald

เพื่อน PA ที่นอกจากจะน่ารักแล้ว แสนจะใจดีอีกด้วย กลัว Put หลง ส่งแผนที่ฮาราจูกุมาให้ Put พร้อมอธิบายเสร็จสรรพ ว่าให้ออก Exit Takeshita นะ จะเจอ Mc เลย อย่าไปตรงอื่นเดี๋ยวหลง



ขณะที่อยู่บนรถไฟที่มุ่งหน้าไป ฮาราจูกุ Put ก็ได้เจอกับ “เจ้าหญิงชุดขาว” กับ “ชายในชุดนอน”

เจ้าหญิงชุดขาว ... เธอมาใน concept เจ้าหญิง เสื้อลูกไม้ แขนฟูพอง กระโปรงสุ่ม ถุงมือ ถุงน่อง ทุกอย่างประดับด้วยลูกไม้ ผ้าคลุมไหล่เป็นขนๆ ฟูๆ สีขาว น่าตื่นใจ

ชายในชุดนอน ... ผมทรงสุดเท่ พร้อมทำสี รองเท้าบูทมันปร๊าบบบบบบ ... แต่เสื้อ กางเกง โดยเฉพาะเสื้อกันหนาวยาวๆที่คลุมมานั่น หยั่งกับเสื้อคลุมอาบน้ำเลย

ถึงฮาราจูกุ Put ก็ตรงไปยัง McDonald ตามที่เพื่อนบอก หลังจากเจอกัน ทักทายกัน ก็ถามสารทุกข์สุกดิบกันซักหน่อย

แล้วเพื่อน PA ก็พา Put ไปซื้อของที่ท่านแม่ฝาก คือ เครื่องสำอางๆๆๆๆ แล้วก็เดินไปจนสุดถนน เลี้ยวขวา ก็ถึงร้าน “Book Off”

Book Off เป็นร้านหนังสือมือ 2 ขนาดใหญ่ มีสาขาอยู่ทั่วไปหมด เป็นร้านที่น่าเข้าไป shop หนังสือมากๆ แต่การจัดร้านของ Book Off ไม่เอื้ออำนวยให้คนต่างชาติที่อ่านญี่ปุ่นไม่ออกซักกะตัว อย่าง Put หาหนังสือได้เลย

Put ไปหาซื้อเรื่องที่ยังหาไม่ซื้อไม่ได้จาก มันดาราเกะ สุดท้ายเพื่อน PA ของ Put ก็ต้องเข้าช่วยเหลือ ส่งภาษากับสาวหน้าตาน่ารักพนักงานร้านหนังสือแต่ท่าทางจะเป็นโอตาคุมากๆคนนึง

ไม่รู้เพื่อน PA พูดอะไร เธอคนนั้นหันหน้ามาหา Put .... Put ก็เลยส่งภาษาญี่ปุ่นที่ Put รู้จักออกไป

“Yaoi” เค้าทำหน้างงๆ ก่อนจะเดินไปที่ counter ที่ counter นั่น มีหนังสืออยู่เล่มนึงที่ทำให้ Put ทึ่ง ...

เป็นหนังสือเหมือนสมุดหน้าเหลืองที่รวมรายชื่อการ์ตูนทั้งหมดที่พิมพ์ออกมา แยกหมวดตามตัวอักษร ฮิรางานะ เค้าเปิดหมวดตัว “ยา” เพื่อหาเรื่อง Yaoi ให้ Put

แต่ก่อนที่ความเข้าใจไปคนละเรื่องจะทำให้เค้าลำบากไปกว่านี้ พนักงานผู้ชายท่าทางเป็นมิตรก็บอกว่า “ถ้าหา yaoi ล่ะก็อยู่ชั้น 2 ด้านขวาครับ”

ในที่สุด Put ก็หาส่วนที่เป็นหนังสือในหมวด “yaoi” พบ แล้วเพื่อน PA ก็ Put ก็รู้ว่า ที่แท้มันคืออะไร ถึงกับบ่นเบาๆว่า

เพื่อน PA : “เดี๋ยวนี้ Put อ่านแบบนี้ด้วยเหรอ O_O" ”

Put ก็ไปสาละวนหา อากาศในร้าน ต่างจากอากาศข้างนอกมาก ข้างนอกหนาว ลมแรง แต่ข้างในร้อนจนเหงื่อแตกเลย ได้หนังสือมา 1 เล่ม

แต่ก็ได้มาไม่ครบอยู่ดี ไม่ได้ คงเป็นเพราะยังไม่มีใครเอามาขายเป็นหนังสือมือ 2 เสียดายชะมัด T_T

หลายคนอาจจะบอกว่า อ้าว...อ่านญี่ปุ่นไม่ออกแล้วซื้อหนังสือญี่ปุ่นไปทำไม .... Put ซื้อมาเป็นแรงบันดาลใจค่ะ ... ว่าซักวันนึงนะ .... เราจะอ่านมันให้ออกแต่คงอีกนานมั่กๆ ^ ^"

หลังจาก ออกจากร้าน ก็ได้เวลาข้าวเย็น เพื่อน PA ถาม Put ว่าอยากกินอะไร Put อยากกินอาหารชุดญี่ปุ่น อยากรู้ว่า ต่างกับ ฟูจิ ที่บ้านเรามั้ย

เพื่อน PA ก็พา Put เดินรอบๆ ฮาราจูกุ เพื่อหาร้าน “โอโตยะ” ในที่สุดเราก็เจอ ป้ายสีน้ำเงิน ตัวหนังสือสีขาวบอกตำแหน่งของร้าน

ร้าน “โอตายะ” ไม่ได้อยู่บนถนนเมนของฮาราจูกุ แต่อยู่บนถนนแยกทำให้หายากหน่อย แต่ก็ไม่ได้ยากมากนัก

เพื่อน PA พา Put ไปดูเมนู .... ต้องเลือกเมนูก่อนที่จะเข้าร้านเพราะต้องสั่งและจ่ายเงินที่ counter ให้เรียบร้อยก่อนเลย

มื้อนี้ Put ได้มีโอกาสเลี้ยงเพื่อน PA ที่อุตส่าห์สละเวลาอันมีค่า มาเดินไร้สาระกับ Put

Put เลือก Set ปลาทอดราคาประมาณ 700 เยน ปลาท้างงงงงงงงงงงงงตัวเลย ตัวใหญ่ใช้ได้ สำหรับ Put แล้วกินแค่ปลาเปล่าๆไม่ต้องกินข้าวก็อิ่มแล้วอ่ะ

ตอนแรก Put ก็ไม่ได้สนใจอะไร ซักพัก Put กับ เพื่อน PA ก็สังเกตเห็น ... เอ่อ ... จากการคาดเดาของ Put กับ เพือ่น PA คิดว่า ... เค้าน่าจะเป็นผู้ชายแต่งหญิง .... หลายคนอาจจะบอกว่า ไปยุ่งอะไรกับเค้าเล่า...ก็แหมมมมมม... Put ก็ไม่ได้ยุ่งอะไรอ่ะ ... เพียงแต่ว่า เค้า..เอ๊ย...เธอ แต่งตัวเหมือนการ์ตูน y เรื่องนึงที่ Put อ่านเลยอ่ะจิ ทำให้ Put นึกถึงเรื่องราวในการ์ตูนเรื่องนั้น ...

ชายหนุ่มที่มากับเธอก็น่ารัก โอ๋กันดีจัง ลูบหัว โอบไหล่ให้กำลังใจกันตลอด ( Put เดาเอานะคะ ว่าเค้าให้กำลังใจกัน)

ออกจากร้าน โอโตยะ เพื่อน PA ก็พา Put แวะร้าน 100 เยน เป็นร้านใหญ่ มีหลายชั้น

Put เดินเข้าไปหวังว่าจะได้ของฝากติดไม้ติดมือ ไปฝากคนที่เมืองไทยกันมั่ง แต่ของส่วนใหญ่ ก็เป็นของใช้ในบ้านมากกว่า เช่น ตะเกียบ แก้ว จานรองแก้ว ผ้ารองแก้ว ถุงมือจับของร้อน อุปกรณ์ทำสวน หวี ไม้แขวนเสื้อ สมุด ฯลฯ

หลังจากเดินๆ วนไป วนมา ตามชั้นต่างๆ Put ก็ได้ของกลับบ้านเป็นน้ำเปล่า 1 ขวด เพราะถูกกว่าซื้อที่มินิมาร์ทนิดนึง

น้ำเปล่าขนาด 500 cc ราคาประมาณ 110 เยน -_-"

แล้วเพื่อน PA พา Put ไปจองตั๋วรถไฟชินกังเซ็น ไปเกียวโตที่ Ueno ก่อนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน

ตกกลางคืน ก็ได้เวลาของการปรึกษาหารือ ว่าพรุ่งนี้เราจะไปไหนกันดีล่ะเนี่ย เพราะมันไม่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ซะแล้ว

หลังจากปรึกษาหารือกัน เราก็ตัดสินใจว่าไป “นิกโก” ดีกว่า เพราะ ถ้าไป “ฮาโกเน่” ต้องเสียเงินเพิ่มอีกประมาณ 5000 เยน เพื่อซื้อตั๋ววันสำหรับการเที่ยวฮาโกเน่


Create Date : 16 พฤษภาคม 2550
Last Update : 17 พฤษภาคม 2550 12:09:48 น. 2 comments
Counter : 4089 Pageviews.

 
อยากไปอีกอ่ะ


ปล.อย่าลืมไปเยื่ยม Blog ผมบ้างน่ะ มีเรื่องเล่าที่ญี่ปุ่นเหมือนกัน


โดย: Pixar วันที่: 16 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:45:51 น.  

 
แวะมาอ่านค่ะ เล่าเรื่องสนุกจัง

เสียดายตอนที่ไปอาซาคุสะนั้นยังเช้าอยู่เลยค่ะ ร้านรวงยังเปิดไม่มาก เลยอดชิมขนมเลย ท่าทางสตรอเบอรี่จะอร่อย


โดย: เสี่ยวป้างจื่อ วันที่: 11 มกราคม 2551 เวลา:10:29:59 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แค่ก้อนหินที่อยากบินได้
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอมี Blog กับเค้าด้วยคนนะคะ ^ ^

Friends' blogs
[Add แค่ก้อนหินที่อยากบินได้'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.