Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2550
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
24 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 
ตอนที่ 5 วันที่ 3 คามาคระ...หลงซ้า...แทบร้องไห้

เมื่อคืนเที่ยวดึก วันนี้เลยตื่นสาย .... กว่าจะออกจากที่พักก็ประมาณ 8 โมงกว่าๆ

แต่ก็ดี ได้ประสบการณ์ใหม่ ... ได้ขึ้นรถไฟตอนเช้าของญี่ปุ่น

มันช่างแน่น...แน่นจริงๆ แน่นขนาดที่ว่า เค้าพับเอาเก้าอี้สำหรับนั่งขึ้น แล้วให้คนยืนเบียดๆๆๆๆกัน ต่อให้แน่นแล้ว แต่คนข้างนอกยังต้องการจะไปอีกให้ได้ เค้าก็จะพยายามเบียดเข้ามา แต่เวลาเค้าเบียดกัน ดันกัน ผลักกัน เค้าก็ไม่แสดงโกรธ หรือ หงุดหงิดเลยนะคะ ^ ^

แล้วถ้าเราอยู่ตรงกลาง ขวางประตู ... แม้ว่าเราไม่อยากขึ้น กระแสของผู้คนก็จะพาเราขึ้นไปอยู่บนรถได้ และ ต่อให้เราไม่อยากลง ฝูงชนก็พาเราลงจากรถมาเอง

สำหรับ Put และคุณ P เป็นทั้ง 2 กรณี คือ ทั้งโดนพาขึ้น และ โดนพาลง แต่โชคดีลงสถานีที่เราต้องการลงพอดี

เดินอยู่ในสถานีโตเกียว เพื่อจะต่อรถไปคามาคุระ อ้าว...เพื่อน P หายไปไหนเนี่ย

อ๋อ เธอโดนเรียกตรวจ Passport อีกแล้ว นายตำรวจหนุ่มร่างสูง ไหล่กว้าง 2 คน ขอดู Passport พร้อมถามว่าจะไปไหน เราก็ตอบว่าจะไป คามาคุระ เค้าก็ยิ้มจนตาหยี ... แล้วก็บอกว่า “อ้อๆ ..คามาคุระ”

จากสถานีโตเกียว นั่งรถไฟสาย JR Yokosuka Line ไปลงสถานี คามาคุระ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม.

ด้วยความที่เมื่อวานเราไม่หลงเลย เราสองคนเลยมีความมั่นใจสูงมาก ว่า “เที่ยวเองไม่ยากนี่หว่า...วันนี้ก็คงไม่หลงหรอก ” ^ ^

เราเดินเวียนไป เวียนมาอยู่หน้าสถานี เพื่อหา Information point ที่พึ่งที่จะให้เราขอแผนที่ แล้วเราก็ได้แผนที่ ที่จะใช้มั่วในวันนี้



เราเดินเลี้ยวซ้าย เข้าสู่ถนนหลัก ... เห็นโทริอิ อันใหญ่

‘แน่แล้ว..ถ้าเรามุ่งหน้าต่อไป เจอไม่วัดก็ศาลเจ้าแหงๆ’ เราเลยเดินเรียบถนน Wakamiya Oji ไปเรื่อยๆ

ถนนสายนี้มีเกาะกลางถนน ที่ปลูกซากุระไปอย่างหนาแน่นไปตลอดทาง เราไปถึงคามาคุระ เร็วไปหลายวัน เลยได้เห็นแค่ดอกตูมๆของซากุระเท่านั้น

คุณ P เดินบ่นว่า “ถ้าซากุระบานแล้ว มันต้องสวยมากๆแน่ๆเลย”

เช้าวันนี้ยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง Put นอกจากนม 1 กล่อง เราแวะ supermarket ที่เดินผ่าน หน้าร้านมีกล้วยหอมลูกโต , สตรอเบอร์รี่ , อโวกาโด ฯลฯ ลูกโตๆ ทั้งนั้น วางอยู่ในกระบะให้คนเลือกหยิบ

Put เล็งสตรอเบอร์รี่อยู่นานมาก แพ็คละ 500 เยน ... แต่ก็ไม่ได้ซื้อ เพราะขี้เกียจแบก แค่แบกน้ำอย่างเดียวก็แย่แล้ว (น้ำแพง Put เลยกรอกน้ำจากที่พักใส่ขวดมากินระหว่างทางด้วย)

อาหารเช้าวันนี้ของ Put คล้ายๆ กับวันที่ไปนิกโก แต่ตอนไปนิกโกเป็นแซนวิช วันนี้เป็นขนมปังไส้เนยถั่ว คู่ละ 100 กว่าเยน

ขอเล่าถึงแซนวิชนิดนึงนะคะ ... ^ ^

แซนวิชที่นี่ ราคาประมาณ 200 – 300 เยน แล้วแต่ความหรูของไส้ ...

ถ้าราคา 220 เยน แบบที่ Put กินบ่อยๆ(เพราะถูกสุดที่เห็นบนชั้น) ก็ทั้งชิ้นจะแบ่งเป็น 3 คู่ คู่แรก เป็นไส้ไข่ คู่ 2 เป็นไส้แฮม และคู่ 3 เป็นไส้ผัก

แพคเกจถูกออกแบบมาให้สะดวกต่อการแกะกินมากๆ คิดแล้วก็อยากให้มีที่บ้านเราบ้าง

แฮมสีชมพูๆ ที่อยู่ข้างในนั้น นุ่มมากๆเลยค่ะ ผักก็สด อร่อยจริงๆ ติดนิดเดียว ตรงที่ น้ำสลัดที่ใส่มากับผักรสชาติแปลกๆหน่อย แต่เค้าก็ทามาน้อยจนสามารละเลยได้ ^ ^

ส่วนคุณ P ซื้อขนมปังชอคโกแลต อืมมมม....ชอคโกแลตเค้ารส...เอ่อ...มากๆ คุณ P กินได้ครึ่งอันก็ทิ้งไป

เราเดินไปกินไป ก็ถึง Tsurugaoka hachimangu

เราก็ได้เห็นดอกซากุระที่บานรับแขกอยู่ตรงทางเข้าศาลเจ้าก่อนเลย

เราสองคนถ่ายรูปกับต้นซากุระกันใหญ่ เพราะกลัวว่าต้นนี้จะเป็นต้นเดียวที่บาน ดังนั้นจึงไม่อาจจะเอารูปมาโชว์ได้ เดี๋ยวพี่ๆน้องๆจะตกใจ นึกว่าเป็นวิญญาณที่ต้นซากุระ

Put เลยเอาต้นสน แปลกๆ บริเวณทางเข้ามาให้ชมแทน



เดินต่อเข้าไปข้างใน





ต้นจิงโกะที่โด่งดังของศาลเจ้า แต่ตอนเราไปมันโกร๋นเลยอ่ะค่ะ T_T



เราก็เดินวนๆ เวียนๆ รอบๆ บริเวณ



รอบๆ ....



.... รอบๆ (เดินๆๆ) ...



แล้วเราก็ออกมา เพื่อจะเดินทางต่อไปนมัสการหลวงพ่อโต Daibutsu

เดินย้อนกลับไปตามถนน Wakamiya Oji เส้นเดิม เพื่อมาขึ้นรถไฟ Enoden ที่สถานี JR คามาคุระ

ลมแรงขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวมีแดด เดี๋ยวก็ไม่มีแดด แม้พยากรณ์อากาศจะบอกว่าจะมีฝน แต่เราสองคนคิดกันว่า ‘เราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นมั้ง’

เมื่อซื้อตั๋วไปลงสถานี Hase จากเครื่องหยอดเหรียญเสร็จแล้ว ( อะไรๆ ก็ตู้หยอดเหรียญ ตั้งแต่ซื้อตั๋วรถไฟ ซื้อข้าว ซื้อตั๋วเข้าชมสถานที่ ตู้ขายน้ำ แต่ Put ไม่เจอเหรียญค้าง ตั๋วไม่ออกเลยนะ เค้าทำได้ไง ทำไมบ้านเราทำไม่ค่อยได้นะ หรือตอนนี้บ้านเราทำได้แล้วแต่ Put ไม่รู้ -_-a )

เราก็งง ว่าเราต้องไปขึ้นตรงไหนเนี่ย ปรากฏว่า มันก็อยู่ในสถานีเดียวกันน่ะแหละ แต่มันเยื้องๆ ไปหน่อยนึง เล่นเอางง กว่าจะขึ้นถูกถามนายสถานีไป 3 คน

รถไฟสาย Enoden เป็นรถไฟสายสั้นๆ วิ่งเฉพาะแถวๆนั้น สถานีก็เล็กมาก แถมที่ว่างให้รถไฟแล่นก็แคบเหลือเกิน

รถไฟวิ่งลัดเลาะไปตามหลังบ้านของชาวบ้าน ถ้าเปิดหน้าต่างรถไฟ แล้วเอื้อมมือออกไปหน่อยนึง ก็สามารถแตะต้นไม้ที่อยู่ในบ้านได้แล้ว

ถึงสถานี Hase เราก็ลง แล้วเราก็ถามนายสถานีที่เก็บตัวอยู่ในตู้ อีกแล้วว่า Daibutsu ไปทางไหน เค้าไม่พูดอะไรเลย ชี้ไปตามถนนเส้นนึง เราสองคนก็เป็นเด็กดี เดินไปตามที่เค้าบอก

เราเดินไปตามถนน เราก็ผ่านศาลเจ้าเล็กๆ ป้ายบอกทางไปศาลเจ้าต่างๆ

เราแวะที่วัดเล็กๆ ที่ดูเหมือนบ้านคนมากกว่า... -_-"a



ดอกอะไรไม่รู้ เมื่อกี้นั่งรถไฟผ่านก็เห็น ที่วัดนี้ก็มี ดอกใหญ่ดีเลยเก็บรูปมา เผื่อจะมีใครรู้ว่ามันดอกอะไร -_-a



คามาคุระเป็นเมืองที่มีวัดเยอะมั่กๆ คุณ P บอกว่า “ถ้าจะเที่ยวได้ครบทุกวัด คงจะต้องอยู่ซักเดือนนึง” -_-“ ซึ่ง Put ก็เห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

แล้วเราก็ออกเดินทางต่อ ลมก็แรงขึ้นทุกที เลี้ยวซ้ายตามป้ายที่บอกทางไป วัด Hasedera เดินเข้าซอย (ไม่มีมอไซด์หน้าปากซอยเหมือนบ้านเรา) เดินผ่านร้านอาหาร (ราคาเกรงใจกระเป๋าอีกแล้ว อาหารชุดประมาณ 1500 เยน) เราก็สูดกลิ่นหอมๆ แล้วก็เดินผ่านไป จนถึงวัด ซึ่งอยู่สุดซอยพอดี



จ่ายค่าผ่านประตูเรียบร้อยแล้ว เดินเข้าไปก็จะพบสวนญี่ปุ่น ที่ถูกตกแต่งไว้อย่างสวยงาม ถ้าไปฤดูที่ต้นไม้มันเขียวๆ กว่านี้ คงจะสวยกว่านี้



เมื่อเราขึ้นบันไดไป เราก็จะพบกับ พระพุทธรูปองค์เล็กๆ เรียงรายกันมากมาย ซึ่ง Put มาวัดนี้ก็เพราะตั้งใจจะมาดูตรงนี้แหละค่ะ เพราะว่าในหนังสือที่ Put อ่าน เค้าถ่ายบริเวณนี้ได้น่าตื่นตาตื่นใจมากๆ

Put คิดว่า รูปปั้นพระองค์เล็กๆ น่าจะสูงซักประมาณเอว Put แล้วก็ดูเก่าๆ วางเรียงกันเป็นลาน แต่ไหงพอเรามาเข้าจริงๆ เหลือองค์กระจิ๋วหลิวสูงประมาณฝ่ามืออย่างงี้อ่ะ



หลายท่านอาจจะทราบแล้ว แต่ Put เล่าให้ฟังอีกแล้วกันนะคะ ว่า พระพุทธรูปองค์เล็กๆ เหล่านี้ถูกสร้างเพื่อเป็นการทำบุญให้กับเด็กๆที่เสียชีวิตหรือเสียชีวิตเพราะถูกทำแท้งค่ะ ถึงได้มีผ้ากันแหวะ สีแดงๆ ผูกไว้ด้วย (ถ้าผิดอย่างไร ขอเชิญผู้รู้ชี้แนะด้วยนะคะ)



... เราเดินขึ้นบันได ต่อไปข้างบน ...



ก็พบกับวัดญี่ปุ่นสวยงามอีกแล้ว...เย้..เย้



ข้างในมีพระพุทธรูปประธานที่สลักเสลางดงาม แต่เค้าห้ามถ่ายรูปค่ะ ... เลยซื้อโปสการ์ดที่เค้าขายมา scan ให้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ชมกัน



ที่นี่ก็มีเครื่องรางขายเหมือนๆกับทุกวัด ซึ่งราคาเครื่องรางก็มิใช่ถูก ราคาถูกสุดก็เป็น เครื่องรางถุงๆแบบที่เราเห็นในการ์ตูน ราคาถุงละ 500 เยน ซึ่งเป็นเครื่องรางที่ช่วยให้คลอดลูกปลอดภัยค่ะ -_-a ไม่รู้ว่าจะซื้อมาฝากใครดี เพื่อนๆ Put กับ Put ขึ้นคานกันทั้งนั้นเลยอ่ะ

เดินถัดจากอาคารหลัก ก็เป็นจุดชมวิว ที่มองไปเห็นทะเล ที่ตอนแรก Put กับคุณ P ตั้งใจว่าจะไปลองแตะๆ ทะเลญี่ปุ่นดูว่า สวยเหมือนบ้านเรามั้ยน้า แต่วันนี้ลมแรงมากๆ แล้วก็หนาว เลยคิดว่า แค่มองไกลๆ ก็คงจะพอ



เราเดินลงจากข้างบน เดินผ่านสวนญี่ปุ่นที่เลี้ยงปลาคาร์พตัวโตๆ ไว้หลายตัว Put ลองเรียกปลาคาร์พว่า “เมี๊ยวๆๆๆ” ปลาคาร์พมันก็มาหา Put กันเต็มเลย ดีจริงๆ ^ ^

สระเนี่ยแหละค่ะ ที่ Put ไปเรียกปลาคาร์พ แฮะ..แฮะ..



แล้วก็เดินผ่านอีกหลายๆส่วนของวัด Hasedera

เดินไปอีกด้านของวัด ก็เจอถ้ำ จำไม่ได้ว่าอ่านไปจากไหน ว่าเป็นถ้ำที่บรรดาทหารของโชกุน หรือ โชกุนซักท่านไปคว้านท้องกัน อืมมม...บรรยากาศหน้ากลัวดีค่ะ เราสองคนไปเดินลอดกัน แล้วก็รีบออก ไม่กล้าถ่ายรูป -_-" (ถ้าผิดพลาดประการใด ขอเชิญท่านผู้รู้ชี้แนะด้วยนะคะ)

ออกจากวัด Hasedera เราสองคนตัดสินใจว่าจะตรงไปวัดหลวงพ่อโตเลย เพราะถ้ามัวแต่แวะวัดรายทางอยู่ วันนี้อาจจะต้องค้างที่คามาคุระ -_-"

ตอนที่เราเดินออกจากวัด Hasedera เราพบคณะทัวร์ ซึ่งเราคาดว่าเค้าน่าจะไปไหว้หลวงพ่อโต ... เราก็เลยเดินตามคณะทัวร์คุณลุง คุณป้า ไปติดๆ ประมาณว่า ทำตัวเป็นหลานของคุณป้าในคณะทัวร์เลย ^ ^

แล้วคณะทัวร์ (ที่รวม Put กับ คุณ P) ก็มาถึงวัด Daibutsu

เก็บภาพหลวงพ่อโตก่อนอื่น

อ่านมาจากในหนังสือซักเล่ม บอกว่า แต่ก่อนหลวงพ่อโตท่านก็อยู่ในโบสถ์ ไม่ได้ต้องตากแดดตากฝนอย่างทุกวันนี้ แต่เนื่องจากพายุ...ซึนามิ ฯลฯ ทำให้โบสถ์ หรือ ตัวอาคารหายไปแหล่ว...เหลือแต่หลวงพ่อท่านประดิษฐานให้เราเคารพอยู่ทุกวันนี้ (ข้อมูลผิดพลาดประการใด ท่านผู้รู้โปรดชี้แนะด้วยนะคะ)



และเนื่องจากโดนพายุล่ะมั้งคะ บริเวณวัดจึงเป็นที่โล่งๆ ไม่มีวิวให้เราเก็บภาพมากนัก -_-a

เราเลยไปแวะซื้อของฝากจากร้านที่อยู่ภายในบริเวณวัดแทน ของฝากในบริเวณวัดจะราคาถูกกว่าข้างหน้าวัดเล็กน้อย ของฝากมีตั้งแต่ ขนม , พวงกุญแจ , ที่ทับกระดาษ , ที่ห้อยมือถือ , ผ้าเช็ดหน้า ฯลฯ

Put กับคุณ P ได้ที่ทับกระดาษ เป็นแก้วข้างในเป็นรูปหลวงพ่อโต ราคาอันละ 350 เยน

ออกจากวัดหลวงพ่อโตแล้ว Put ก็กางแผนที่ ที่ไปขอเค้ามาเมื่อเช้า



Put วางแผนไว้อย่างดิบดี (เมื่อกี๊นี้เอง) ว่าจะเดินไปตามเส้นทางสีเขียว ที่เขียนว่า “Daibutsu Hiking Course” เพราะศัพท์ในหัวอันน้อยนิดบอกว่า มันแปลว่า “เดินเท้าได้นะ” เพราะมันจะผ่านหลายวัด และไปจบเส้นทางที่ใกล้กับ สถานี Kita Kamakura แล้วจะได้ขึ้นรถไฟกลับกันเลย

หลังจาก Put พูดจาหว่านล้อมโน้มน้าวคุณ P ให้เดินตามทางสีเขียวได้แล้ว เราสองคนก็ออกเดินทาง Put แวะถามพี่ที่เค้ากำลังโบกรถบรรทุกให้ถอยหน้าถอยหลังอยู่

พี่ชายใจดี เค้าชี้มือไปทางอุโมงค์ แล้วบอกว่า

Put : “ขอโทษนะคะพี่ จะไปวัด Sasukeinarijinai ไปยังไง ต้องไปทางไหนเหรอคะ”

พี่ชายใจดี : “จะไปวัด Sasukeinarijinai เหรอ เห็นอุโมงค์นั่นมั้ย อย่าลอดนะ ให้เดินขึ้นบันไดไปตามทาง ขึ้นเขาไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ถึง”

Put + P : “ขอบคุณค่ะ”

เราสองคนเดินตามทางเรียบๆ ถนน 2 เลน แคบๆ ไป จนกระทั่งถึงอุโมงค์ที่พี่ชายใจดีคนนั้นพูดถึง

เป็นอุโมงค์ที่เจาะลอดภูเขาให้รถวิ่งผ่าน ด้านข้างมีบันไดเล็กๆให้เดินขึ้นไป

พอคุณ P เห็นบันได เธอก็ครางอ๋อย แล้วก็ส่ายหัวทันที

คุณ P : “เราเดินลอดไปไม่ดีกว่าเหรอคะ คุณ Put มีทางเท้าเดินเรียบๆ ลอดอุโมงค์ไปได้นะคะ”

Put : “แต่ว่า Put อยากขึ้นไปดูข้างบนอ่ะค่ะ”

แม้ว่า Put จะอยากรู้มากว่า ข้างบนโน้นนนนน...นนนน.....มันมีอะไรอยู่ แต่ว่า Put ก็เห็นใจคุณ P เพราะ Put พาเธอเดินขาลากมาตั้งแต่วันแรก จนถึงวันนี้ ทำให้เธอปวดขามาก เนื่องจากเธอเคยผ่าตัดขา เมื่อตอนเป็นเด็ก ถ้าเป็น Put Put อาจจะไม่อดทนแบบนี้ และเดินไม่ไหวตั้งแต่วันแรกแล้วก็ได้อ่ะค่ะ

เราก็เดินเรียบถนนต่อไป เพราะคิดว่า เดี๋ยวถนนคงจะพาเราไปบรรจบกับทางที่เราต้องการจะไป

เดินผ่านบ้านคนไปเรื่อยๆ ตอนนี้อากาศเริ่มมืดลง ฝนเริ่มลงเม็ดปรอยๆ ตกๆ หยุด

ในใจ Put เริ่มโหวงๆ แล้วล่ะค่ะ (แนวภูเขาข้างหลังในรูปน่ะค่ะ ที่เราจะปีนขึ้นไปตอนแรก)



ระหว่างทางที่เดินไป แทบไม่เจอคนที่จะให้ถามทางเลย เราเดินต่อไปเรื่อยๆ เสี่ยงๆ เดาๆ เอาจากแผนที่ ผ่านเลี้ยว ผ่านถนนแยก ผ่านหลายไฟแดง

Put กับ คุณ P พยายามเดินอยู่บนถนนเส้นหลัก (ซึ่งก็คิดเอาเองอีกล่ะค่ะ ว่าที่เดินอยู่น่ะเป็นถนนหลัก -_-“) จะได้ไม่หลงเข้าป่าไป



ในที่สุดเราก็เจอร้าน Mini Mart 1 ร้าน Put และ คุณ P แวะเข้าไปถามทาง ภาษาอังกฤษของพนักงานในร้านดีทีเดียวค่ะ เค้าชี้ในแผนที่ ที่ทำให้เรารู้ว่า เราต้องเดินอีกไกลเหมือนกัน กว่าจะถึงวัด Sasukeinarijinai ที่อยากจะไป

เราสองคนออกจากร้าน เดินมุ่งหน้าต่อไปตามทางที่พี่เค้าบอก ตอนนี้ใจแป้ว หมดความมั่นใจ

เดินๆไป เจอคุณป้าคนนึง เอารถจอดในบ้าน สงสัยเพิ่งกลับจาก shopping แล้วกำลังขนของลง

Put กับ คุณ P ก็เดินเข้าไปถามเค้าเลยค่ะ แต่คุณป้าพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ ท่านได้แต่ชี้ๆ แต่ก็ทำให้เราสองคนทราบว่า เรามาถูกทาง กับที่พี่ที่ร้าน Mini Mart บอก

เราเดินกันมาได้อีกซักพัก ฝนก็ตกหนัก จนเราสองคนต้องวิ่งหาชายคาหลบฝนกัน แล้วก็ได้ที่หลบฝนกันเป็นหน้าร้านขายบุหรี่ ที่เหมือนในการ์ตูน คือ ออกจะเป็นตู้ มีบานกระจกเลื่อนๆ นาทีนั้นในใจ Put ร้องไห้เลยอ่ะค่ะ T_T

คุณ P ชวน Put นั่งรถเมล์กลับไปตั้งต้นใหม่ที่สถานี JR

(ตอนอยู่ญี่ปุ่น เราเข้าออกสถานี JR กันจนเหมือนไปบ้านญาติสนิทเลยค่ะ เดินเข้า เดินออก วันละหลายรอบ ^ ^)

ใจ Put เหี่ยว เพราะวันนี้เราหลงๆๆๆๆ เดินกันจนเหนื่อย หนาว เปียก ข้าวกลางวันก็ยังไม่ได้กิน แล้วก็แทบไม่ได้เที่ยวไหนเลย เศร้ามาก ส่วนคุณ P ก็คงเศร้าเหมือนกัน เพราะเธอก็ไม่ค่อยเอากล้องขึ้นมาถ่ายรูปแล้ว

ใกล้ๆ ที่เราหลบฝนอยู่ ประมาณ 8 ก้าวยาวๆ มี ป้ายรถเมล์อยู่ เราคอยชะโงกออกไปดู เผื่อรถเมล์มาเราจะได้วิ่งกันทัน รถเมล์มาแล้ว เขียนหน้ารถเมล์ว่า ... JR เราสองคนวิ่งตื๋อไปขึ้นทันใด ^ ^

บนรถอุ่นๆ ทำให้เรามีกำลังใจที่จะมองโลกในแง่ดีกันขึ้น .... ว่าอย่างน้อยที่เราเดินหลงๆ ไป เราก็ได้สัมผัสและซึมซับกับบรรยากาศบ้านเรือนที่คนญี่ปุ่นอยู่จริงๆ กันอย่างเต็มอิ่ม ^ ^

รถเมล์ที่คามาคุระ ก็หลักการขึ้นลง จ่ายเงิน แบบเดียวกับ ที่นิกโก เราสองคนเลยไม่ต้องปล่อยไก่ ^ ^

เรากลับมาหาสถานี JR เพื่อนสนิทรู้ใจอีกครั้ง แล้วก็หาอะไรใส่ท้อง

เนื่องจากฝนยังคงตกหนัก ไปไหนไม่ได้ เราเลยเลือกร้านอาหารที่อยู่ในสถานี เป็นร้านขายราเมงเล็กๆ ข้างหน้าร้านมีตู้ให้หยอดเหรียญ

ระหว่างที่ Put และคุณ P กำลังพยายามเทียบตัวอักษรเพื่อเลือกอาหารกันอยู่นั้น ( ขั้นตอนการเลือกอาหารของ Put คือ ดูรูปก่อนค่ะ ชอบรูปแล้วก็ดูราคา เอาราคามาเทียบกับปุ่มบนตู้ ถ้ามันมีราคาซ้ำกัน เราค่อยเทียบตัวอักษรตัวหน้าค่ะ ถ้าราคาไม่ซ้ำ เราก็กดปุ่มเลย ^ ^ ) ก็มีคุณป้าคนนึงเดินมา กดปุ่มบ้าง แล้วก็หันมาคุยกับเรา

Put ฟังภาษาญี่ปุ่นเหล่านั้นไม่ออกเลย แต่คุณ P ฟังออก 1 คำ ว่าคุณป้าบอกว่า “โออิชิ”

อ๊ะ ในเมื่อมีคุณป้าการันตีขนาดนี้ เราก็ไม่ลังเลที่จะลองชิม

Put เลือกราเมงราคาประมาณ 300 เยน ส่วนคุณ P กินข้าวราดกะหรี่(อีกแล้ว) เราสองคนยื่นคูปองให้คุณลุงเจ้าของร้าน คุณลุงเค้าดูคูปองของ Put แล้วก็ถาม Put เป็นภาษาญี่ปุ่น.... Put ยืนนิ่งเลย เหงื่อตกค่ะ .... ก็มันฟังไม่รู้เรื่องอ่ะ ในใจก็กังวล ว่าเราทำอะไรผิดระเบียบรึเปล่า ทีคุณ P คุณลุงไม่เห็นพูดอะไรเลย

คุณลุงเค้าเลยถามใหม่ด้วยภาษาอังกฤษว่า ... เอาเส้น noodle หรือ เส้นราเมง

โธ่วววววว...เอ้ยยยย.. ถามแค่เนี้ย เล่นเอาตกกะใจหมดเลย ... -_-“

Put ก็เข้าใจตามภาษา Put ว่า ถ้าสั่งเส้นก๋วยเตี๋ยว Put จะได้ก๋วยเตี๋ยวแบบคล้ายๆที่กินที่เมืองไทย Put ก็เลยบอกคุณลุงว่า เอาเส้น noodle ค่ะ ^ ^ .... แล้วมันก็ไม่เหมือน อืมมมมม .... Put ว่ามันเส้นคล้ายๆกับที่ ฮะจิบัง ราเมน

ส่วนเส้นราเมนที่ Put ไม่ได้สั่ง ... มันก็หน้าตาคล้ายๆ กัน แต่ว่า สีเข้มกว่า เท่านั้นเองอ่ะค่ะ

แล้วเราสองคนก็ยิ้มให้คุณป้าที่ทักเราหน้าร้าน

รอไม่นาน...คุณลุงก็ยกราเมงมาให้ Put (ส่วนข้าวราดแกงกะหรี่ ได้ไปก่อนหน้าแล้ว) ชามโต.....ตต....ตตตต...มาก....เลยอ่ะ แค่เห็นก็ตื้นตันใจ อิ่มไปครึ่งท้องแล้ว

ด้วยตาถั่วๆ ของ Put Put เข้าใจว่า ราเมงที่เลือกเป็นราเมง หน้าหมูทอด แต่ปรากฏว่ามันเป็นราเมงหน้าโครอกเกะ -_-"

แต่ก็ดีค่ะ Put จะได้ชิมโครอกเกะ ที่ในการ์ตูนญี่ปุ่นหลายเรื่องพูดถึง อย่างเช่นเรื่อง GTO

อืมมมม....โครอกเกะ ทำจากมัน หรือเผือก คลุกกับเนื้อหมู หรือเนื้อวัว ในอัตราส่วน มัน 90% หมู 9.5% น้ำมันและอื่นๆ 0.5% (อันนี้ Put มั่วมาเองนะคะ เพราะรู้สึกว่ามันมีแต่แป้งอ่ะ T_T)

รสชาติมันอาจจะอร่อยกว่านี้ ถ้ากินตอนกรอบ หรือไม่กินโครอกเกะแบบแช่น้ำซุป เพราะมันจะเปื่อยๆ ละลายเป็นผงๆ

เราสองคนกินไปคุยกันไป เพื่อตกลงกันว่า ... เราจะไปไหนกันต่อดี

เราสองคนตกลงกันว่า นั่งรถไฟไปลง สถานี JR kitakamakura แล้วหาวัดแถวนั้นเที่ยวดีกว่า เพราะเห็นอยู่ใกล้สถานีหลายวัด จะได้ไม่ต้องไปเดินหลงที่ไหนกันอีก

พอฝนซา คุณ P ก็จัดการกับข้าวราดแกงกะหรี่เสร็จ ส่วน Put ก็อิ่มจัด และกินไม่หมดตามที่คาดไว้ .... ตอนเอาชามไปคืน คุณลุงเจ้าของร้านมองจ้องใหญ่เลยค่ะ .... ท่านคงคิดเคืองว่า ทำไมไอ้เด็กนี่มันกินไม่หมด

เรานั่งรถไฟไปลง สถานี Kita Kamakura ตามแผน

พอลงรถไฟปุ๊ป...เราเล็งไว้ก่อนลงรถแล้ว ว่ามีวัดอยู่ข้างๆ สถานีเนี่ยแหละ ... เราก็เดินมุ่งหน้าไปทันที ฝนยังตกๆ หยุดๆ แต่โชคดีตกแค่ปรอยๆ

วัดแห่งต่อไปที่เราเข้าไปสำรวจ คือ....วัด Enkakuji

แค่เดินเข้าประตูไปก็เจอกับอาคารไม้โบราณ ( Put ก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าอะไร รบกวนผู้รู้ช่วยบอกด้วยนะคะ )

Put กับ คุณ P ก็ดีใจกันใหญ่ ประมาณว่า “โอ๊ววววววว...วววว มันต้องอย่างงี้ซิ” ที่เดินหามาท้างงงงงงงงง....งงงง....งงงง วัน TvT

ด้วยความดีใจ เราเลยถ่ายรูปคู่กับอาคารกันใหญ่ ไม่มีรูปอาคารเดี่ยวๆ เลยอ่ะค่ะ -_-"

จะเอารูปมาให้ดู ก็ ... เอ่อ....อาจจะเป็นอันตรายต่อสุขภาพสายตาได้ ถ้าเราสองคนหน้าตาน่ารักอย่างที่ให้โหวตกันตาม web sanook ก็คงจะอยากจะโชว์ แต่นี่ -_-"

ครั้นจะพึ่ง Photoshop ลบรูปเราสองคนออกไป ก็อาจจะต้องหายไปอีกหลายวัน เพื่อไปจัดการ เพราะโง่คอมเหลือประมาณ -_-"

Put เลยไปหารูปใน web มาให้ดูแทนนะคะ สามารถดูรูปได้จาก//www.flickr.com/photos/kokoniwa/317623542/
(ขอบคุณเจ้าของรูปที่เอื้อเฟื้อรูปไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะคะ)

ตอนที่ Put ไป แดดไม่ได้ดีแบบในรูปนะคะ ท้องฟ้าสลัวๆ พื้นดินฉ่ำน้ำทีเดียวค่ะ

ภาพที่เราเห็น เมื่อเราเดินลอดอาคารไม้นั้นไป ...



แล้วเราก็เริ่มออกเดินสำรวจวัด Enkakuji กัน ^ ^ ...



เป็นวัดที่ใหญ่มาก กินอาณาบริเวณไปประมาณครึ่งภูเขา

บางส่วนก็ไม่ให้เข้า ....

แต่บางส่วนต่อให้เข้า เราก็ไม่อยากเข้า เพราะเป็นสุสาน อย่างที่เห็นในการ์ตูน คือ เป็นแผ่นป้ายหินเรียงราย ^ ^"



ไม่ให้เข้า แต่สวย ..... ถ้าไม่มีสายยางรดน้ำจะสวยกว่านี้อีกนะเนี่ย



เราเดินต่อไปด้านใน ก็พบกับ สวนที่ประดับด้วยภาพสลักหินทั้งนูนต่ำ นูนสูง เรียงกันไปตามทางเดิน



.... ร่วมทำบุญด้วยคนนะคะ ... สาธุ ...



มุ่งหน้าสำรวจต่อไป ....



อ้าววว...นี่เรายังสำรวจกันไม่ทั่วอีกเหรอ



เราเดินขึ้นบันไดชันน้อยๆ ไปข้างบนต่อ ที่นี่เป็นที่แรก และเป็นที่เดียวที่ Put และคุณ P ได้จุดธูปไหว้พระกัน

ตอนที่เราไปถึง พี่สาวที่ทำหน้าที่เก็บเงิน และ แจกธูป เค้าเก็บของแล้วล่ะค่ะ เพราะคงคิดว่าฝนตกๆ แบบนี้ไม่มีใครมาอีก แล้วตอนนั้นก็เย็นแล้วเหมือนกัน

พี่เค้าเก็บค่าเข้าคนละกี่เท่าไหร่ Put จำไม่ได้ แต่เราได้ธูปกันคนละอัน

ธูปของญี่ปุ่น ไม่เหมือนธูปบ้านเรา ธูปของเค้าเหมือนจะไม่มีไม้เป็นแกนข้างในเหมือนเรา อันก็สั้นๆ ยาวไม่ถึง 1 คืบ

พอพี่เค้าจุดธูปให้เราเสร็จ เราสองคนก็สวดมนต์ ก่อนจะอธิษฐานขอให้เรา “อย่าหลงเท่าวันนี้อีกเลย” ก่อนจะปักธูปหอมๆลงในกระถางธูป ... ขี้เถ้าที่ทับถมกันอยู่ในกระถามธูปนั้น ละเอียดและเนียนนุ่ม มากๆเลย ^ ^



โอ๊ะ....ตรงนี้ก็เก๋ดี



กว่าเราจะเดินสำรวจกันทั่ววัด ก็เลยเวลาวัดปิดมาแล้ว เราสองคนเลยต้องออกประตูเหล็กเล็กๆด้านข้างของวัดแทน แบบที่ต้องเปิดกลอนเอง ออกไป แล้วก็ต้องปิดให้เค้าเหมือนเดิมด้วย ^ ^"

เราขึ้นรถไฟกลับไปลงสถานี Ueno เพราะนัดเพื่อน B ไว้ที่ ฮิโรโกจิ Exit ใต้ต้นซากุระปลอมอีกแล้ว

เราทั้ง 3 เดินเลือกร้านข้าวเย็น ในซอยตรงข้ามสถานี

Put : “แถวนี้ร้านไหนอร่อยอ่ะแก”

เพื่อน B : “ไม่รู้ดิแก ชั้นก็ไม่ค่อยเคยกินแถวนี้อ่ะ”

Put : “ว้า...แล้วจะกินร้านไหนล่ะเนี่ย”

เพื่อน B : “แกอยากกินอะไรล่ะ เลือกซักร้านดิ มันก็เหมือนๆกันน่ะแหละ”

Put : “....” -_-"

เดินจากปากซอยมาได้หน่อยนึง เราก็เลือกร้านอาหารชุด Put จำชื่อร้านไม่ได้ เพราะตอนนั้นกำลังเล่าถึงความรันทดตอนหลงทาง รู้แต่ว่าเป็นร้านสีส้มๆ

ร้านอุ่นๆ ซุปอุ่นๆ ทำให้กระชุ่มกระชวยขึ้นอีกมาก ^ ^

คืนนี้ เพื่อน B จะพาเราสองคนไป super market ทาเคยะ เป็น super market ที่เพื่อน B บอกว่าของถูก และมีของขายเยอะ

Put กับ คุณ P อยากไปซื้อวาสลีนกระปุกสีเหลืองเอามาทาปากเหลือเกิน เพราะปากแห้งแตกมากๆ

หลายคนอาจจะสงสัยว่า “ทำไมต้องวาสลีนกระปุกเหลือง?” อย่างอื่นทาได้เยอะแยะ

เรื่องมันมีอยู่ว่า ....

คุณ P เธอทนปากแตกไม่ไหว เธอไปแวะ 7 – 11 แถวที่พักมาแล้วค่ะ เพื่อซื้อลิปมัน แต่ด้วยความที่ฉลากมันเป็นภาษาญี่ปุ่น เธอก็ได้ลิปมันสูตรเย็นมาค่ะ อากาศก็เย็นจะแย่แล้ว ยังจะทาลิปมันสูตรเย็นอีกมันก็ไม่ไหว ...

ส่วน Put เองปากก็แตกไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ... แต่ก็อดทน ... กะว่าเอาชัวร์ไม่ต้องเสี่ยง ว่าจะได้ลิปมันสูตรเย็นแบบคุณ P เธอรึเปล่า เลยรอจะซื้อเจ้าวาสลีนกระปุกเหลืองเนี่ยแหละค่ะ

พอเราอิ่ม และ เช็ดซุปเต้าเจี้ยวที่เพื่อน B ทำหกเต็มโต๊ะเรียบร้อยแล้ว เราก็ออกมานอกร้าน .... แล้วก็พบว่า ... ฝนตกหนักมาก ชนิดที่แค่เดินออกไป 2 ก้าว ก็เปียกโชกแล้ว ลมก็แรง

Put เบียดไปในร่มกับเพื่อน B เพื่อไปซื้อร่มที่ร้าน 7-11 กว่าจะถึงร้าน 7 – 11 ที่ห่างกันไม่กี่ร้าน ก็ทำเอา Put เปียกไปครึ่งตัว ... โชคดีมากที่เสื้อหนาวของ Put เป็นแบบกันน้ำเลยไม่เดือดร้อนมากนัก

ร่มราคาไม่ถูกเลย ประมาณ 500 เยน คิดถึงร่มที่ร้าน 100 เยนชะมัด แต่นาทีนี้มันต้องใช้ก็ต้องซื้อ

หลังจากเราได้อาวุธต้านฝนกันคนละ 1 คัน ... เพื่อน B ก็พาเราเดินเท้าไปตามถนน ผ่านร้านค้าที่ทยอยปิด

อาวุธต้านฝน ไม่ทรงประสิทธิภาพมากนัก เพราะลมแรง ... กว่าจะถึงทาเคยะ เราก็เปียกกันเกือบหมดครึ่งล่าง แล้วที่แย่กว่านั้น ก็คือ อีก 10 นาทีร้านจะปิดแล้ว (ร้านปิด 2 ทุ่มครึ่ง)

ชั้นบนปิดหมดแล้ว ... เหลือแต่ชั้นล่างที่ขายพวกอาหารสด อาหารแห้ง เราสามคน เดินวนไปวนมา ไม่ได้อะไรติดมือกลับออกมาเลย T_T

เราเดินย้อนกลับมาทางเดิมอีกครั้ง เพื่อขึ้นรถไฟกลับที่พัก

ตอนลงที่สถานีมินามิเซ็นจู ฝนก็ไม่ได้เบาลงเลย ระหว่างทางที่เดินกลับ เราเห็นซากร่มที่พังเพราะต้านลมไม่ไหวตกอยู่ 2 อัน

ด้วยความงก กลัวร่มที่เพิ่งซื้อมายังไม่ทันครบ 3 ชั่วโมงจะพัง Put ตัดสินใจหุบร่ม แล้วใส่หมวก แล้วเอาฮูดคลุมอีกชั้นแทน แล้วก็รีบจ้ำจนถึงที่พักในสภาพเปียกม่อล่อกม่อแลก

เราสองคนรีบอาบน้ำ ก่อนที่จะถึงเวลาปิดห้องน้ำ แล้วก็จัดข้าวของ พรุ่งนี้ต้องไปเกียวโตแต่เช้า


Create Date : 24 พฤษภาคม 2550
Last Update : 1 มิถุนายน 2550 21:23:02 น. 2 comments
Counter : 2942 Pageviews.

 

ดอกแมกโนเลียค่ะ


โดย: ดีจัง IP: 58.8.21.94 วันที่: 1 เมษายน 2551 เวลา:21:25:57 น.  

 
+++ สวัสดีค่ะ คุณดีจัง

่ขอบคุณนะคะที่แวะมาตอบให้ พุทราจะจำไว้ว่ามันชื่อ ดอกแมกโนเลีย ต้นอะไรทำไมมีแต่ดอก ดอกก็ใหญ่มั่กๆ ^ ^


โดย: แค่ก้อนหินที่อยากบินได้ วันที่: 1 พฤษภาคม 2551 เวลา:21:06:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

แค่ก้อนหินที่อยากบินได้
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ขอมี Blog กับเค้าด้วยคนนะคะ ^ ^

Friends' blogs
[Add แค่ก้อนหินที่อยากบินได้'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.