Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2555
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
15 กรกฏาคม 2555
 
All Blogs
 
Nankyoku Tairiku เรื่องราวของสุนัขและคนผู้ท้าทายดินแดนแห่งพระเจ้า ..แอนตาร์กติกา



Title (romaji): Nankyoku Tairiku ~Kami no Ryouiki ni Idomunda Otoko to Inu no Monogatari~
Title (English): Antarctica ~The Story of Dogs and Men Who Challenged the Field of God~
Genre: Drama, adventure Episodes: 10
Viewership rating: 17.3 (Kanto)
Broadcast : TBS / 2011-Oct-16 to 2011-Dec-18 Sunday 21:00
Theme song: Arano yori by Nakajima Miyuki


ขอเปิดบล็อกด้วยคำพูดเท่ๆ "ฝันครั้งนี้ มีพลังเพื่อเปลี่ยนแปลงญี่ปุ่น"



"56 ปีก่อน ในยุคหลังสงคราม ผู้คนต่างพากันคุกเข่าลงบนพื้นหิน
ไม่ช้า พวกเขาค่อยๆ ลุกขึ้นทีละคน ทำงานเพื่อนความอยู่รอด
แบ่งอาหารกัน สะสมหินและสร้างเป็นบ้าน ให้กำเนิดเด็ก
และเลี้ยงจนเติบใหญ่ ทำงานเลี้ยงชีพกันต่อไป
แม้เศษหินนั้นหายไปแล้ว แต่ความรู้สึกยังคงอยู่
เราคือผู้แพ้ ญี่ปุ่นเป็นประเทศพ่ายแพ้

ในยุคนั้น มีชายผู้หนึ่งมีฝัน สิ่งที่จำเป็นต่อญี่ปุ่นที่เสียขวัญไป
ไม่ใช่สงครามหรือเศรษฐกิจ แต่เป็นความฝัน เขากล่าวไว้
นี่เป็นเรื่องของชายผู้หนึ่งหลังผ่านยุคสงครามมาสิบปี
เสี่ยงชีวิตสำรวจทวีปแสนทรหด พร้อมเหล่าสุนัขคาซาลินฮัสกี้..ผู้ช่วย
เรื่องราวความรักจึงกำเนิดขึ้น
"


เพียงบทบรรยายเล่าเรื่องด้วยเสียงป้าแก่คนหนึ่ง ก็ก่ออารมณ์ชาตินิยมขึ้นมาเลย (แม้จะไม่ใช่ชาติตัวเอง) เป็นอีกครั้งที่ขอหยิบยืมประโยคนี้มาใช้

"เป็นซีรีย์ที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าญี่ปุ่นสร้างชาติมาหลังสงครามได้แข็งแกร่งอย่างไร"

เป็นคำวิจารย์ที่เคยอ่านเจอในอินเตอร์เน็ตที่เอ่ยถึงซีรีย์ฉลอง Karei Naru Ichizoku เลือดล้างตระกูล ของสถานีโทรทัศน์ TBS เรื่องนี้ก็ TBS เหมือนกัน เป็นซีรีย์ฉลองครบรอบ 60 ปีที่ทุ่มทุนสร้างมากที่สุดในประวัติศาสตร์การผลิตซีรีย์ที่คาดว่าจะสูงเป็นที่สุดตลอดกาลด้วย



แม้เรตติ้ง 17.3 จะไม่หรูเริ่ดถ้าเทียบกับซีรีย์เรื่องอื่นๆ ที่เคยโด่งดังในอดีตของทาคุยะ คิมูระ แต่ถ้าว่ากันด้วยเรื่องโปรดักชั่นมันเริดหรู เพราะเป็นความอลังการงานสร้างที่ยอดเยี่ยมทั้งในแง่ของผลงานและการกล้าลงทุน

Nankyoku Tairiku นำเค้าโครงมาจากเรื่องจริงของคณะวิจัยสำรวจแอนตาร์กติกาแห่งประเทศญี่ปุ่น ในช่วงปี 1958 โดยจะเล่าเรื่องของนักธรณีวิทยา คุโรโมจิ ทาเกชิ หนึ่งในสมาชิกของคณะสำรวจวิจัยที่มีด้วยกัน 11 คน และสุนัขลากเลื่อนพันธุ์ซาคาลิน ฮัสกี้ ( Sakhalin Huskies) อีก 19 ตัว ที่จะบุกตะลุยไปสำรวจแอนตาร์กติกา เผชิญหน้ากับดินแดนที่ท้าทาย เป็นการผจญภัยทำที่ให้เกิดเรื่องราวความรักความผูกพันระหว่างคนกับสุนัขขึ้น




มันเริ่มต้นด้วยคำถาม

"อาจารย์ครับ เมื่อไหร่จะหมดยุคหลังสงครามซักทีล่ะครับ"

อาจารย์ไม่ตอบแต่ได้ยื่นจดหมายจากสมาพันธ์วิทยาศาตร์ส่งให้

ปีแห่งธรณีวิทยาโลกจะครบรอบสองปี ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่ถูกเชิญให้ไปร่วมประชุมเรื่องการสำรวจแอนตาร์กติกา ที่จะจัดขึ้น ณ กรุงบรัสเชลล์ ประเทศเบลเยี่ยม

"แต่ตอนนี้มันมีข้อจำกัดเยอะสำหรับนักธรณีนี่ครับ

"มันเป็นคำเชิญระดับโลก ไม่น่ามีปัญหาหรอก"

"คุณรู้มั้ย ที่แอนตาร์กติกากำความลับโลกไว้เยอะ เช่นมีอีกหลายประเทศที่ยังไม่เป็นประเทศ
แอนตาร์กติกา คือที่ที่ญี่ปุ่นจะยืนหยัดเทียบเท่ากับประเทศอื่นได้
ทำไมเราไม่จบยุคหลังสงครามนี้ ด้วยมือเราเองล่ะ"




ณ การประชุมระดับเวทีโลก ที่ตัวแทนการประชุมจากชาติอื่นออกจะหยาบคาบไปสักหน่อยกับการดูถูกเหยียดหยามญี่ปุ่น และพยายามกีดกันไม่ให้เข้าร่วมเพราะประเทศผู้แพ้สงครามไม่ควรมีสิทธิในความร่วมมือนานาชาติ แต่ญี่ปุ่นก็ได้รับโอกาสให้เข้าร่วมอยู่ดีนั่นแหละ แต่ปัญหาดันมาติดอยู่คือรัฐบาลของญี่ปุ่นเอง

"เราลงทุนเพื่ออะไรที่สิ้นเปลืองอย่างนั้นไม่ได้หรอก"

ก็แหงล่ะ เหตุผลที่ว่า

"การสำรวจครั้งนี้เป็นการลงทุนเพื่ออนาคตญี่ปุ่นเลยนะ
ถ้าทั่วโลกสำรวจกันเราก็ต้องทำด้วย เราจะได้ทัดเทียมประเทศอื่นเค้าซะที"


ยังไงก็ฟังดูเป็นนามธรรมที่ไม่รู้จะคุ้มค่ากับการเสี่ยงลงทุนมหาศาลกว่าห้าร้อยล้านเยนหรือไม่ (ประมาณสองร้อยล้านบาทในปัจจุบัน แต่ไม่รู้เท่าไหร่กันในอดีต) อีกทั้งรัฐบาลกำลังสนใจลงทุนด้านพลังงานนิวเคลียร์ งานนี้จะหวังพึ่งงบรัฐบาลคงยากจะสำเร็จ



มันก็จริงที่ว่าในภาวะหลังแพ้สงครามประเทศญี่ปุ่นยังยากจนข้นแค้น

"คนญี่ปุ่นตอนนี้วุ่นกับการหาอาหารประทังชีวิต ไม่มีใครคิดวิ่งไล่ตามความฝันหรอก"

แต่อาจจะเป็นความยากจนข้นแค้นนี่เอง ที่ทำให้คนญี่ปุ่นมีความใฝ่ฝัน

การตั้งสมาคมรับบริจาค จึงประสบความสำเร็จ เด็กๆ ทั่วประเทศให้ความสนใจ ประชาชนทั่วไปพากันตื่นเต้นตาม เงินบริจาคหลั่งไหลมาจากทั่วประเทศญี่ปุ่น และนั่นเป็นสาเหตุให้รัฐบาลต้องยอมอนุมัติโครงการสำรวจวิจัย

"แอนตาร์กติกา ที่ที่มีหิมะและน้ำแข็ง ที่ที่เป็นที่อยู่ของพระเจ้า มันมีความลับของโลกอยู่บึมเลย"




การสำรวจจะใช้เวลาสองปี ทีมสำรวจที่หนึ่งจะทำหน้าที่เช็คพื้นที่และตั้งฐานวิจัย แอนตาร์กติกาเป็นดินแดนที่มีเงื่อนไข ไม่ใช่ใครจะเหยียบย่างไปเมื่อไหร่ก็ได้ การออกสำรวจจะทำได้แค่ช่วงแผ่นน้ำแข็งแตก ราวเดือนมกราคมและกุมภาพันธ์ ซึ่งต้องกำหนดออกเดินทางราวๆ เดือนพฤศจิกายน หากล่าช้ากว่านั้น อาจทำให้คณะสำรวจต้องติดอยู่กับฤดูหนาวของแอนตาร์กติกา (แม้ว่าโดยปกติจะเป็นดินแดนน้ำแข็งอยู่แล้ว) ซึ่งในฤดูหนาวสภาพอากาศจะแปรปรวนเต็มไปด้วยพายุและอากาศจะหนาวเย็นจนไม่อาจทนทานใช้ชีวิตอยู่ได้ ถึงต้องมีทีมสำรวจที่หนึ่ง และทีมสำรวจที่สอง เมื่อทีมหนึ่งเดินทางกลับมา ก็เตรียมตัวส่งทีมสองออกไปในตอนที่ฤดูหนาวใกล้สิ้นสุด



มีเวลา 1 ปี ที่จะออกเดินทางให้ทันในเดือนพฤศจิกายน เหล่านี้คือสิ่งที่คณะสำรวจต้องเตรียมการ และเหล่านี้ก็เป็นความโดดเด่นของซีรีย์ Nankyoku Tairiku ด้วย

1. หาลูกทีม ไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิทยาศาตร์ ประชาชนทั่วไปก็สามารถสมัครเข้าร่วมได้ และก็ได้มาซึ่งลูกทีมผู้เป็นนักแสดงคุ้นหน้าคุ้นตา และก็คงคัดกันมาแล้วว่าเป็นระดับฝีมือดีที่จะมาร่วมโลดแล่นอยู่ในซีรีย์อันเป็นประวัติศาสตร์ของสถานีโทรทัศน์ TBS



2. หาวิธีตั้งฐานวิจัย ซึ่งก็ได้พบวิธีและได้ชื่อว่าเป็นบ้านประกอบหลังแรกของญี่ปุ่น (ซีรีย์เขาว่างั้นนะ) ฐานวิจัยมันมาพร้อมกับสีแดงอันโดดเด่น ตัดกับพื้นน้ำแข็งสีขาว สีแดงของเรือโซยะ สีแดงของธงชาติญีปุ่นที่ปักลงบนแผ่นน้ำแข็งแอนตาร์กติกา สีแดงของอาคารประกอบที่ตั้งเป็นฐาน สีน้ำเงินของชุดกันหนาว สีขาวของพื้นภูเขาน้ำแข็ง ขาวแดงน้ำเงิน เป็นการเลือกได้ดี ถ้าชุดกันหนาวเป็นสีเหลือง เขียว ส้ม ชมพู มันก็คงไม่ได้ภาพที่ดูเข้มแข็งจริงจังอย่างนี้ เขียวก็จะแปลกๆ ชมพูก็จะหน่อมแน้ม เหลือง ส้มก็จะกลายเป็นหน่วยกู้ภัยไป สีแดงก็ดูอันตรายอีก สีดำก็ชวนหดหู่ สีฟ้าน่าจะสวยดี แต่ความหนักแน่นของสีที่จะช่วยส่งภาพลักษ์ของคน สีน้ำเงินโทนที่เห็นกันอยู่นี้ มันใช่ มันเท่ และมันดีที่สุดแล้ว



3. หาเรือ แม้ว่าสภาพมันจะเก่าคร่ำคร่าอายุกว่า 18 ปี แต่ว่าเรือนั้น มันมีทั้งเรือลำที่โชคดีและโชคไม่ดี ดูอย่างเรือยามาโมโตะแสนยานุภาพยิ่งใหญ่ของกองทัพเรือที่เชื่อกันว่าไม่มีวันจม มันก็มีจุดจบอยู่ใต้ทะเลได้เหมือนกันเพราะโดนตอร์ปิโดบอมบ์ แต่โซยะ (Soya) เรือเก่าๆ ลำนี้ มันเป็นเรือโชคดีที่รอดพ้นสงครามมาจากสงครามตลอด ไม่ว่ามันออกทะเลครั้งใดมันจะรอดกลับมาทุกครั้ง และเมื่อมันออกเดินทางไปยังแอนตาร์กติกา มันจะต้องพาคณะสำรวจเดินทางกลับมาอย่างปลอดภัยได้แน่นอน

แค่ว่ามันเก่า และมันต้องถูกเยียวยาครั้งใหญ่เพื่อความพร้อมสำหรับบุกน้ำตะลุยน้ำแข็งเข้าสู่ดินแดนแอนตาร์กติกา และศักดิ์ศรีด้านโชคชะตาของมันถูกท้าทายเพราะคนที่ถูกขอร้องให้มาออกแบบปรับปรุงโครงสร้างของเรือโซยะครั้งนี้ ก็คือ ชิเงะรุ มะกิโนะ (Shigeru Makino) ผู้ออกแบบเรือประจัญบานยามาโตะอันยิ่งใหญ่แต่โชคร้ายที่ต้องอับปางอยู่ใต้ทะเลลำนั้นเอง



ชอบฉากอู่ซ่อมเรือ และฉากเรือออกจากท่าของซีรีย์เรื่องนี้มาก มันดูอลังการและยิ่งใหญ่สมเป็นโปรเจ็กต์ระดับชาติ อีกฉากที่ไม่ใช่ฉากเรือแต่เกี่ยวกับเรือ คือล้อรถยนต์ที่หมุนคลุ้งฝุ่นมา กับเหล่าบรรดานายช่างทั่วเมืองที่ระดมพลมาช่วยกันซ่อมเรือเพื่อสานฝันของประเทศ ถึงมันจะไม่ใช่ฮอลลีวู้ดประเภทสู้มนุษย์ต่างดาวเพื่อความสงบสุขของชาวโลก แต่อารมณ์ก็ใกล้เคียงกันเลย



4.สุนัขลากเลื่อน แอนตาร์กติกาเป็นพื้นที่เต็มไปด้วยแอ่งและรอยแตกของพื้นน้ำแข็ง มีความเป็นไปได้ว่ารถลุยหิมะอาจไม่สะดวกที่จะใช้ สุนัขลากเลื่อนจึงเป็นทางเลือกที่ดี เป็นหนึ่งในสิ่งที่ต้องเสาะหา รวบรวม และฝึกฝนมันเพื่อพร้อมใช้งาน

ซาคาลินฮัสกี้ สุนัขพันธุ์อึด ตัวใหญ่ และทนหนาว มีถิ่นพันธุ์ของมันอยู่ที่เมืองหนาวฮอกไกโด ทั้งหมดนั่นมันเป็นพันธุ์ซาคาลิน ฮัสกี้ทุกตัวจริงๆ หรือเปล่าไม่รู้หรอกนะ ก็ไม่เห็นมันจะหน้าตามาจากสปีชีส์สายเดียวกันสักเท่าไหร่ อาจจะดูคล้ายกันอยู่หลายตัว แต่เจ้า คุมะ ทาโร่ จิโร่ มันก็หน้าตาคนละแนวกับตัวอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง



นักแสดงพันธุ์โฮ่งเหล่านี้ ถือเป็นที่หนึ่งในใจในด้านความประทับจิต เพราะมันเป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่คน การกำกับการแสดงของคุณโฮ่งเหล่านี้ที่เป็นตัวดำเนินเรื่องอยู่เกือบครึ่งเรื่อง มันต้องไม่ใช่การถ่ายทำที่ง่ายแน่ แต่ผลที่ออกมาขอใช้คำว่ายอดเยี่ยม เพราะดูแต่ละฉากแต่ละตอนแล้ว ไม่ว่าจะในชีวิตจริงหรือทุกละครผ่านสายตาที่มีน้องหมาเป็นตัวประกอบ ไม่เคยรู้สึกว่าเข้าใจหัวอกหมาได้ดีเท่านี้มาก่อน

โดยเฉพาะเจ้าริกิเพื่อนยาก ถ้าเป็นกรรมการออสการ์ เราเทคะแนนให้นายตัวเดียวอย่างไร้คู่แข่งเลยนะ




และทั้งสี่ประการที่กล่าวมานั้น อาจะไม่ได้ดูยอดเยี่ยมในความรู้สึกขนาดนี้ หากไม่มีภาพของดินแดนแอนตาร์กติกาเป็นแบ็คกราวด์ จะเป็นภาพ CG (Computer Graphic) การจำลองฐานโชวะที่ฮอกไกโด หรือการถ่ายทำบางส่วนที่แอนตาร์กติกาจริงๆ ก็ตามเถอะ ภาพดินแดนน้ำแข็งสีขาวยังเป็นมนต์เสน่ห์ที่ชวนหลงใหลในความสวยงามของมันได้เสมอ เมื่อหัวเรือมุ่งไปในทะเลน้ำแข็ง แทรกไปในรอยแยกของแผ่นน้ำแข็งแตก เมื่อจอดเทียบท่าหน้าแผ่นดินน้ำแข็ง แหงนหน้ามองภูเขาหิมะ รองเท้าสีส้มของคนที่ก้าวเดิน กระทั่งฝีเท้าหรือร่างเงาของสุนัขลากเลื่อนที่วิ่งลุยตะกุยฝุ่นน้ำแข็งออกไปในบรรยากาศโล่งเตียนสว่างตาด้วยสีขาวเจิดจ้า หรือแม้กระทั่งท่ามกลางความมืดมิดและพายุที่โหมกระหน่ำ ภาพออกมาแล้วได้หมดทั้งความสวยงาม ความเท่ ความเป็นฮีโร่ของวีรโฮ่งที่ดูจะเกินหน้าเกินตาเป็นขวัญใจมหาชนเหนือตัวละครที่เป็นวีรบุษนักสำรวจแห่งชาติซะอีก



เป็นซีรีย์ขึ้นแท่นที่สุดแห่งปีของตัวเอง ที่ทิ้งห่างคู่แข่งเรื่องอื่นๆ แบบไม่เห็นฝุ่นและเชื่อว่าจากนี้อีกครึ่งปีก็ยากจะหาเรื่องไหนมาเทียบ น่าประหลาดใจมากที่ซีรีย์เรื่องนี้ไม่ได้รางวัลอะไรเลยผิดความคาดหมาย ไม่ว่าจะเป็นผลของเรตติ้งที่ค่อนข้างน่าผิดหวังสำหรับการเป็นซีรีย์ฟอร์มยักษ์ หรือผลรางวัลที่เป็นศูนย์ เชื่อว่า TBS คงเสียขวัญกับการทุ่มทุนไปไม่น้อย และคงจะตรองดูให้จงหนักตอนที่จะทำซีรีย์ฉลองครบรอบ 70 ปีในอนาคต บางทีอาจจะหันไปเอาดีด้วยซีรีย์เรียบง่าย อันเป็นการฉลองอย่างพอเพียง (อิอิ ใครจะรู้)

คณะสำรวจวิจัยแอนตาร์กติกา



หัวหน้าคณะสำรวจแอนตาร์กติกา ชิโรซากิ ซึงุรุ ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยโตเกียว (ชิบาตะ เคียวเฮ) เคยเป็นอาจารย์ของคุราโมจิ (ทาคุยะ) ที่ปัจจุบันเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์ของเขาเอง อ.ชิโรซากิเป็นผู้คิดริเริ่มการสำรวจแอนตาร์กติกา โดยมีคุราโมจิเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเตรียมการและก่อสานโครงการขึ้นด้วยกัน และเมื่อโครงการสำรวจฯ ได้รับอนุมัติจากรัฐบาล อ.ชิโรซากิได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าทีมสำรวจอย่างเป็นทางการ เขาเป็นผู้นำที่มีความรับผิดชอบสูง ใช้เหตุผลอยู่เหนืออารมณ์ และตัดสินใจด้วยความรอบคอบอย่างมาก

หัวหน้าทีมสำรวจวิจัยแอนตาร์กติกาฤดูหนาว โฮชิโนะ เอย์ทาโร่(คางาวะ เทริยูกิ) ศาสตราจารย์ธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยเกียวโต หนึ่งในนักวิจัยไม่กี่คนของญี่ปุ่นที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับแอนตาร์กติกา การโผล่หน้ามาเข้าร่วมทีมสำรวจของ อ.โฮชิโนะ สร้างความยินดีแก่ อ.ชิโรซากิ และคุราโมจิอย่างยิ่ง ต่อมา อ.โฮชิโนะก็ได้ทำหน้าที่เป็น หัวหน้าทีมสำรวจวิจัย 11 คน (รวม อ.โฮชิโนะเองด้วย) ที่จะไม่เดินทางกลับพร้อมเรือ แต่จะอยู่อาศัยในฐานวิจัยที่สร้างขึ้นต่อไปในฤดูหนาวของแอนตาร์กติกา แต่ว่า กว่าจะได้รับอนุมัติจากรัฐบาลให้ทิ้งทีมสำรวจ 11 คนไว้ในฤดูหนาวได้นั้น ก็เป็นอีกอุปสรรคหนึ่งที่ต้องฟันฝ่า เนื่องจากรัฐบาลไม่เห็นควรในเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากมันเป็นฤดูของพายุ และอากาศก็เย็นจัดจึงไม่เคยมีมนุษย์อาศัยอยู่ในแอนตาร์กติกาช่วงฤดูหนาวมาก่อน

แต่ 11 คน ที่ผู้เขียนกำลังนำแนะนำนี่แหละ ก็ขันอาสาที่จะอยู่ตลอดปี เพื่อทำการสำรวจให้รู้และวิจัยให้เป็นประโยชน์ แต่กว่าจะได้รับอนุมัติ ก็ตามนั้นแหละ คือ ต้องสู้เพื่อฝัน และฝ่าฟันเพื่อความตั้งใจ ตามสไตล์ซีรีย์ญี่ปุ่นเขาที่จะไม่ได้อะไรมาง่ายๆ ถ้าไม่สู้ถึงขั้นน้ำตากระเด็นหรือคุกเข่าลงพื้นกันซะก่อน

ข้อดีที่น่าเลื่อมใสของ อ.โฮชิโนะ คือเขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี เขาเป็นคนชอบยิ้ม ยิ้มแย้มอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเขาเป็นแบบอย่างของการคิดในแง่บวกเข้าไว้ (Positive Thinking)

ผู้ช่วยหัวหน้าทีมสำรวจวิจัย คุราโมจิ ทาเคชิ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ด้านธรณีวิทยา มหาวิทยาลัยโตเกียว (ทาคุยะ คิมูระ-พระเอก) เขาคือชายผู้หนึ่งซึ่งมีฝันอันแรงกล้า อยากจะเห็นญี่ปุ่นหลุดพ้นจากสภาพของประเทศผู้แพ้สงคราม และมีสถานะทัดเทียมกับประเทศอื่นในโลก และการที่เขาเป็นนักธรณีวิทยาผู้รักการปีนเขา ดินแดนนำแข็งแห่งขั้วโลกใต้ย่อมเป็นหนึ่งในสถานที่ที่นักธรณีวิทยาทุกคนจะใฝ่ฝันถึง นอกจากนี้ เขายังมีแรงบันดาลใจส่วนตนมากกว่าใครๆ ทั้งในแง่ความขมขื่นจากผลพวงของสงครามที่ทำให้เขาต้องสูญเสียภรรยา และในแง่ของนักสำรวจที่พ่อของเขาเคยเป็นหนึ่งในทหารเรือที่เข้าร่วมทัพสำรวจแอนตาร์กติกาครั้งแรกของญี่ปุ่นในปี 1912 ภายใต้การนำของพลโทโทชิราเสะ ซึ่งครั้งนั้นสภาวะที่ย่ำแย่ทำให้ไม่อาจสำรวจได้เต็มที่

แอนตาร์กติกาที่พ่อของเขาเคยเล่าให้ฟังในยามเด็กและยอดเขาสูงยอดหนึ่งที่พ่อของเขาฝันจะเป็นผู้พิชิต แต่ไม่มีโอกาสทำให้สำเร็จ ฝันนั้นคุราโมจิได้สืบทอดเอาไว้ในใจและหวังอยากจะสานต่อให้ได้

แด่ความฝันอันสูงสุด คุราโมจิทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่เพื่อการงานของทีมสำรวจ แต่ว่าจะซวยอะไรปานนั้น ที่ยังไม่ทันจะออกเดินทาง แค่อยู่ในระหว่างเตรียมกัน คุราโมจิก็โดนเด้งออกจากรายชื่อทีมสำรวจ เหตุเพราะเคยเป็นผู้นำทีมปีนเขา ซึ่งในครั้งนั้นมีเหตุให้สมาชิกร่วมทีมผู้หนึ่งเสียชีวิต แม้จะเป็นอุบัติเหตุแต่มันก็อยู่ภายใต้ความรับผิดชอบ การนำ และการตัดสินใจของคุราโมจิผู้เป็นหัวหน้าทีม ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย (ที่จะว่าสมเหตุสมผลก็ไม่เชิงนัก) คุราโมจิจึงโดนตัดสิทธิ์เข้าร่วมทีม

แต่มันก็แค่อุปสรรคหนึ่ง เมื่อเขาเป็นพระเอก ก็ต้องมีทางไป จนได้แหละ

ผู้ตรวจสอบ (ตรวจสอบทุกสิ่ง และคัดค้านทุกอย่าง) ฮิมุโระ ฮารุฮิโกะ (ซากาอิ มาซาโตะ) เจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง ผู้เป็นทายาทนักการเมืองระดับสูงในสภา เคยเป็นเพื่อนกับคุราโมจิมาก่อน เคยอยู่ชมรมปีนเขาด้วยกัน แต่อุบัติเหตุครั้งนั้นทำให้ความเป็นเพื่อนขาดตอนจนยากจะต่อติด เจอหน้าก็ทำท่าเหมือนไม่อยากจะเจอ แม้คุราโมจิจะพยายามยิ้มให้แต่ฮิมูโระหาได้มีไมตรีตอบ ก็ยังคงทำหน้าหยิ่งๆ เหยียดๆ อันเป็นสีหน้าประจำของเขาอยู่เสมอ แต่ถึงฮิมุโระจะชอบทำตัวเหมือนพวกขัดแข้งขัดขาตลอดเวลา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านั่นคือการไตร่ตรองที่ต้องคอยตอกย้ำให้ตระหนักคิดอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ว่าจะค้านมั่วซั่ว แค่เป็นตัวหลักการเดินได้ แต่ก็อีกนั่นแหละที่สีหน้าแบบนั้น หน้าตาแบบนั้น มันช่างน่าหมั่นไส้เหลือทน อย่างที่ถูกสมาชิกร่วมทีมตั้งฉายาให้ “พ่อกระทรวงใหญ่” “พ่อตัวแทนรัฐ”

ทำตัวเป็นสารแอนตี้ไม่เอาใคร ไม่เห็นด้วยกับอะไรง่ายๆ แต่เขาไปไหนทำอะไรขอทำด้วย ไม่ว่าจะการร่วมทีมสำรวจด้วยตัวเอง หรือขออาสาอยู่ร่วมทีมที่จะอยู่เฝ้าฐานต่อในฤดูหนาว แบบว่า ไม่ได้ชอบนะ แต่อยากมีส่วนร่วม (ความจริงคือชอบ แต่แสดงออกตรงกันข้าม เห็นด้วยง่ายๆ เดี๋ยวเสียฟอร์ม) และด้วยความรู้ความสามารถส่วนตนที่ไม่เกี่ยวอะไรกับการเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลัง และกำลังจะเป็นนักการเมืองสืบต่อจากพ่อในอนาคต ฮิมูโระจึงควบตำแหน่ง ผู้สังเกตการณ์สภาพอากาศด้วย

แม้ว่าบางครั้งเขาจะทำหน้ายู่ เยอะเกินความจำเป็นมากไปหน่อย แต่ฮิมูโระ ก็เป็นตัวละครที่ชอบมากที่สุดในเรื่องเพราะว่ามีนิสัยชอบความแปลกแยกของตัวละคร

ผู้ดูแลสุนัข อินุซึกะ นัตสึโอะ (ยามาโมโตะ ยูสุเกะ) ตำแหน่งผู้ดูแลสุนัขที่ได้มาอย่างฟลุ้คๆ ประชาชนทั่วไปที่มาสมัครร่วมทีมสำรวจ ล้วนแต่มีความรู้ความสามารถในด้านต่างๆ ตัวเองยังเป็นเพียงหนุ่มน้อยนักศึกษาวิชาธรณีฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยเกียวโต ชีวิตที่ไม่ลงรอยกับพ่อ เพราะไม่ยอมสานต่อกิจการสวนส้มของครอบครัว มุ่งเรียนด้านธรณีฯ ก็ไม่ใช่จะมีจุดหมายแน่ชัด ทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ เขาจึงไม่เป็นที่ยอมรับของพ่อ รวมทั้งของตัวเองด้วย บางทีการบุกบั่นสู่ดินแดนทรหดแอนตาร์กติกา อาจมีคำตอบของชีวิต แต่กลัวจะไม่ได้รับเลือก ได้ยินว่าคณะสำรวจมีฝูงสุนัขลากเลื่อน บางทีตำแหน่งนั้นอาจไม่มีใครสนใจต้องการ และโอกาสอาจตกเป็นของเขา เลยโกหกกรรมการคัดเลือกไปว่าเขาเคยเป็นผู้ฝึกสุนัขมาก่อน ซึ่งผลก็ออกมาเข้าทางคนโกหก และด้วยมีความรู้อยู่แล้วที่ร่ำเรียนมาเพียงแต่ไม่มั่นใจจะทำ ประสบการณ์ทุกข์สุขในแอนตาร์กติกา และพี่เลี้ยงที่เคารพคุราโมจิ ก็ได้ผลักดันให้อินุซึกะ มั่นใจในตัวเองพอที่จะตั้งตนเป็นผู้ศึกษาวิจัยอาโรร่า

ถึงซีนความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนร่วมทีมกับสุนัขจะโดนรุ่นพี่ทาคุยะ เล่นไปคนเดียวซะเยอะ แต่ว่ายูสุเกะก็มีบทบาทเยอะในเรื่องไม่น้อยเพราะเป็นบทที่ต้องเดินเคียงหลังพระเอกรุ่นพี่คนดังของวงการอย่างทาคุยะ ก็ถือว่าน่าภูมิใจไม่หยอก ล่าสุดในปี 2012 ยูสุเกะก็มีผลงานแสดงร่วมกับพระเอกรุ่นใหญ่อีกคน ทาเคโนะ อุจิยูทากะ เรื่อง Mou Ichido Kimi ni, Propose ที่ผู้เขียนย่อมไม่พลาดแน่ และอีกเรื่องที่กำลังออกอากาศในเดือน ก.ค. นี้ คือ GTO เข้าใจว่าเธอยังเล่นเป็นนักเรียนได้อยู่นะ




ผู้ดูแลด้านธุรการ ยูซึมิ โนริเอกิ (โอกาตะ นาโอโตะ) รุ่นพี่สมัยเรียนของคุราโมจิ และเคยเป็นเพื่อนในชมรมปีนเขาด้วยกัน เขามีอาชีพเป็นนักข่าว และได้ช่วยเหลือคุราโมจิในการเขียนข่าวประชาสัมพันธ์ทีมสำรวจจนได้รับเงินบริจาคอันเป็นเงินทุนของโครงการฯ เพียงพอที่จะสานฝันที่ได้กลายเป็นฝันของประเทศได้ และยูซึมิก็สมัครเข้าร่วมทีมด้วยโดยทำหน้าที่ด้านธุรการ

ผู้ดูแลด้านเครื่องยนต์ ซาเมจิมะ นาโอฮิโตะ (ทาเรจิมา ซาสุมุ) เขาเป็นนายช่าง ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจอะไรนักกับข่าวเพ้อฝันเรื่องแอนตาร์กติกา แต่ด้วยดวงตาเป็นประกายของลูกชายเมื่อได้เห็นข่าวเกี่ยวกับทีมสำรวจ เมื่อมันเป็นความฝันของเด็กๆ ญี่ปุ่น ซึ่งรวมถึงลูกชายของเขาด้วย สักครั้งหนึ่งในชีวิต คนเป็นพ่อก็อยากจะเป็นฮีโร่ที่เท่สุดๆ สำหรับลูก ทำเรื่องเท่ๆ ให้ลูกเอาไว้เล่าอวดเพื่อนที่โรงเรียนว่า ครั้งหนึ่งพ่อของเขาเคยเป็นสมาชิกทีมสำรวจในดินแดนของแพนกวิ้น แรกๆ ก็มีนิสัยเห็นแก่ตัวแถมเป็นอันธพาล แต่ความยากลำบากของการจะเหยียบย่างลงบนแผ่นดินน้ำแข็งแอนตาร์กติกา ก็สอนให้เขารู้ว่า สงบศึกและสามัคคีเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการมี “ชีวิตรอด”

ผู้ดูแลด้านการแพทย์ ทานิ เคนโนสุเกะ (ชิงะ โคทาโระ) แม้จะอายุมากแต่ก็อยากเป็นส่วนหนึ่งของอนาคตญี่ปุ่น คุณหมอทานิ สูญเสียลูกชายที่เป็นทหารในยามศึกสงครามไปทั้งสองคน ตอนแรกคุณหมอไม่ได้คิดจะอยู่ต่อในฤดูหนาว แต่หากทีมสำรวจได้รับอนุมัติให้อยู่ได้ หมอเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทีม ชีวิตที่ไม่มีคนคอยอยู่เบื้องหลังทำให้หมอทานิยินดีจะอยู่ต่อเพื่อดูแลสุขภาพของสมาชิกทีมสำรวจ ซึ่งนอกจากจะเป็นหมอรักษาคน ยังต้องเป็นสัตวแพทย์จำเป็นในการดูแลรักษาสุนัขด้วย

ผู้ส่งสาร โยโกมิเนะ ชินกิจิ
(โยชิซาวะ ฮิซาชิ) เป็นรุ่นน้องเพื่อนร่วมงานในสำนักข่าวเดียวกันกับ ยูซึมิ มีทักษะในเรื่องเทคนิคอุปกรณ์สื่อสาร เพื่อสำนักข่าวที่เขาสังกัดจะได้รับสิทธิ์ในการเสนอข่าวอย่างเต็มที่เขาจึงอาสามาร่วมโครงการนี้กับรุ่นพี่ยูสึมิ ด้วยสีหน้ากังวลนิดๆ เพราะภรรยาของเขากำลังตั้งท้อง ทีมสำรวจที่จะอยู่ต่อฤดูหนาวต้องการเขาเพื่อทำหน้าที่ในด้านการสื่อสาร แต่โยโกมิเนะ ต้องการจะกลับบ้านพร้อมเรือเพราะเขามีห่วงกังวลถึงภรรยา เนื่องจากการอาสามาร่วมครั้งนี้ เขาไม่ได้คิดว่าจะต้องอยู่ต่อในฤดูหนาวด้วย ซึ่งหมายความว่าภรรยาของเขาจะต้องคลอดและเลี้ยงดูลูกอ่อนตามลำพัง หนึ่งคือหน้าที่อันจำเป็นต่อทีมสำรวจ อีกหนึ่งคือหน้าที่จำเป็นต่อการเป็นสามีและพ่อของลูก คือความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในใจและจำเป็นต้องเลือก

ผู้ดูแลด้านโยธา ฟุนากิ อิคุโซะ (โอคาดะ โยชิโนริ) นายทหารเรือผู้มีความรู้ด้านงานโยธา ทำหน้าที่รับผิดชอบดูแลเรื่องการก่อสร้างฐานโชวะ ร่วมกับ ช่างพลเรือน อาราฮิยามะ ฮาจิเมะ (คาวามุระ โยสุเกะ)

จำหนุ่มโอคาดะได้จากเรื่อง Kisarazu Cat's Eye มันช่างเป็นบทบาทที่แตกต่างกันสุดขั้ว เขาดูซื่อบื้ออย่างมากในเรื่องนั้น แต่เรื่องนี้ได้เป็นทหารเรือมาดเข้มในเครืองแบบ และดูขึงขังในชุดน้ำเงินของทีมสำรวจ ส่วนคาวามุระ โยสุเกะ หลังจากซีรีย์ Rookies สุดโปรด ก็เพิ่งจะเคยเห็นเขาอีกครั้งนี้แหละ เจอกันอีกทีในทรงผมสั้น แม้จะยังติดหนวดเหมือนเดิมแต่หล่อกว่าเรื่อง Rookies เยอะเลย ผู้เขียนมีความรู้สึกดีใจส่วนตนทุกครั้งที่ได้เห็นหน้าหนุ่มๆ Rookies ในซีรีย์เรื่องใดๆ ยามาโมโตะ ยูสุเกะ ก็หนุ่ม Rookies เช่นกัน (SP Rookies ฉบับภาพยนตร์) แล้วยังมี อ.คาวาโต้ จาก Rookies ซาโต้ เรียวตะ รับเชิญมาร่วมเป็นสมาชิกทีมสำรวจที่ 3 ในช่วงท้ายอีกด้วย

ผู้ดูแลด้านอาหาร ยามาซาโตะ มันเปอิ (โดรอนซุ อิชิโมโตะ Doronzu Ishimoto ) เพราะเป็นพ่อครัวจึงมีบทบาทน้อยที่สุดในบรรดาสมาชิกทีมสำรวจ

เธอและเขาผู้อยู่แนวหลัง



4 เธอผู้เป็นที่รัก

น้องภรรยาของคุราโมจิ ทากาโอกะ มิยูกิ (อายาเสะ ฮารุกะ) อายาเสะเรื่องนี้มาในบทหญิงสาวผู้อ่อนโยนแต่จิตใจเข้มแข็ง เธอเป็นคุณครูโรงเรียนประถมศึกษา ที่จะอยู่กับกลุ่มเด็กๆ อันเป็นหนึ่งในแรงผลักดันของทีมสำรวจ เหมือนอย่างที่คุราโมจิได้พูดไว้

"การสำรวจครั้งนี้ แบกหัวใจของเด็กๆ ไว้มาก
แล้วก็ผมอยากให้คนที่ตายในสงครามได้เห็นว่า
ญี่ปุ่นไม่ใช่พวกขี้แพ้ ทุกคนที่ไปสำรวจครั้งนี้ต้องกลับมาอย่างปลอดภัย
ผมอยากให้เด็กๆได้เห็นอนาคต เด็กๆ ทุกคนและลูกหลานของพวกเขา
ให้ได้เห็นว่าในเวลาแบบนี้ เราก็ไปแอนตาร์กติกาได้"


เห็นได้ชัดแต่แรกว่าคุณครูมิยูกิแอบมีใจให้สามีของพี่สาวผู้ล่วงลับ แต่ว่าคุณพี่เขยทำเหมือนไม่รับรู้ซะงั้น แถมยังใจร้ายอีก ทิ้งกันไปไกลถึงขั้วโลกใต้ยังไม่พอ ยังจะมาเอ่ยปากสั่งลาให้เธอเริ่มก้าวไปข้างหน้าด้วยการ "ไปดูตัวซะทีสิ" อย่างกับจะบอกอ้อมๆ ว่าอย่ามาหวังมารอพี่เขยของเธอคนนี้เลย นึกว่าคุณครูจะเคว้งด้วยอาการรักเขาข้างเดียวไปตลอดเรื่องเหมือน Jin หมอทะลุศวรรษ (Season 1) อีกแล้วซะอีก เรือยังไม่ทันจะออกจากท่า คุณพี่เขยก็ออกอาการรักเขาเหมือนกันนี่หว่า ทำมาเป็นฟอร์มบอกให้เขาไปดูตัว แถมยังชะเง้อชะแง้แลหาคนมาส่ง ณ ท่าเรือ พอได้เห็นสายตาก็เต็มตื้นเป็นที่ประจักษ์ เผลอๆ รักน้องเมียมากกว่าที่น้องเมียรักตัวซะอีกนะนั่น

อันว่าเรื่องรักๆ ระหว่างพระเอก-นางเอก ในซีรีย์ญี่ปุ่นนั้นเป็นสิ่งที่ผู้เขียนทำใจมาตลอดว่าน้อยนิด ความหวานโรแมนติกหาได้ยากยิ่ง ดังนั้น เรื่องนี้ถึงไม่มีอะไรมาก แค่เห็นสัญญาณ "รักกัน" ผู้เขียนก็ยินดีแฮปปี้มหาศาล

ภรรยาโยโกมิเนะ โยโกมิเนะ นาโอมิ (ซากุระ)

ภรรยาซาเมจิม่า ซาเมจิม่า จุนโกะ (คาโต้ ทาคาโกะ)

น้องสาวอินุซึกะ อินุซึกะ มิตสุโกะ (โอโนะ อิโตะ) เรื่องนี้เป็นซีรีย์เรื่องแรกของเธอ มีผลงานต่อมาอีกสองเรื่อง ล่าสุดคือเล่นเป็นน้องสาวตัวปัญหาของยามะพีเรื่อง Ending Planner



4 สมาชิกครอบครัวเจ้าของฟาร์มสุนัขที่ฮอกไกโด

ครอบครัวผู้ยินยอมส่งมอบซาคาลิน ฮัสกี้ 10 ตัวให้กับคณะสำรวจแอนตาร์กติกา เพื่อหวังเป็นเกียรติประวัติแก่ชีวิตหมาๆ ของพวกมัน ซึ่งไม่ต่างอะไรกับการเสียสละเหล่าสัตว์เลี้ยงอันเป็นที่รัก เพราะมันมีโอกาสเป็นไปได้ที่จะล้มเจ็บล้มตาย แต่นั่นยังไม่โหดร้ายเท่ากับสิ่งที่พวกมันต้องพบเจอ ไม่ใช่แอนตาร์กติกา แต่เป็นพวกคนใจดำที่ทำให้ชีวิตของพวกมันดูไร้ค่า เป็นชีวิตหมาๆ ที่เหมือนไม่มีความหมายอะไร

ฟุรุตาจิ โทโมฮิโระ (ยามาโมโตะ กาคุ Yamamoto Kaku) ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยฮอกไกโด ผู้ศึกษาค้นคว้าสุนัขพันธุ์คาซาลิน ฮัสกี้ และมีฟาร์มเลี้ยงดูเป็นของตนเอง ซาคาลินฮัสกี้เป็นสุนัขพันธุ์ดีที่ทนหนาว หน้าตาสวยหล่อในแบบสุนัข (แน่นอนว่าต้องไม่ใช่แบบคน) ตัวใหญ่ถึก แข็งแรง บึกบึน เหมาะแก่การลากเลื่อนและเผชิญกับอากาศอันหนาวเย็นของแอนตาร์กติกา เขามีลูกสาวหนึ่งคนคือ ฟุรุตาจิ อายาโกะ (คิมูระ ทาเอะ) เธอเป็นแม่หม้ายสามีตายและมีลูกเล็กหญิงชายอีกสองคน คือ ฟุรุตาจิ เรียว (อิโนอุเอะ มิซึกิ) และฟุรุตาจิ ฮารุกะ (อาชิดะ มานะ)



หนูฮารุกะ เธอช่างน่ารักน่าสงสารโดนใจป้าจริงๆ ความจริงไม่ต้องมีหนูมาตอกย้ำซ้ำความรันทดของมวลหมู่สุนัข ป้าก็ทั้งเศร้าทั้งโกรธแค้นในอกจะแย่อยู่แล้ว ได้อารมณ์โศกสลดของหนูมากดดันป้าอีกคน ป้ายิ่งแค้นแทบกระอักที่พวกผู้ใหญ่ใจดำ ช่างทำกับสุนัขแสนรักในฟาร์มของคุณตาหนูได้ โดยเฉพาะกับริกิ สุนัขตัวโปรดที่หนูรักหนักหนาและมันเหมือนเป็นตัวแทนของพ่อที่หนูเสียไป ริกิที่หนูยอมส่งมอบมันให้เขาไปทั้งน้ำตา ริกิที่หนูอุตส่าห์พับนกกระเรียนอธิษฐานอวยชัยให้มัน ริกิที่เข้มแข็ง รักศักดิ์ศรี มีน้ำใจภักดี เป็นผู้นำ และผู้ช่วยชีวิต (กำลังพูดถึงหมาอยู่นะเนี่ย) แต่พวกคนที่มันอุตส่าห์มีพระคุณให้ก็ยังทำกับมันได้อย่างโหดร้ายที่สุด (ว่าแล้วก็อารมณ์ขึ้น)

ตัวละครจัดเต็มเยอะมากจริงๆ ค่ะ ยังมีช่างซ่อมเรือ กัปตันเรือ ตัวแทนรัฐบาล หัวหน้าทีมสำรวจที่สอง อีกนิดนึงแต่บทไม่มากนัก ตัดๆ ไป จะได้ประหยัดสัมปทานพื้นที่รีวิว



เป็นซีรีย์ที่เกือบจะเพอร์เฟ็คต์อยู่แล้วในความรู้สึกของผู้เขียน ถ้าไม่มีสิ่งขัดใจอยู่บ้างเล็กๆ น้อยๆ นั่นก็คือปัญหา "ทาคุยะแย่งซีน" ถ้าไม่นับเพื่อนหมาถือว่าป๋าแกเล่นบทฮีโร่คนเดียวโดดเด่นไปซะหมดทุกอย่าง เวรี่ฮีโร่ พระเอกจ๋าที่สุด เปิดตัวฮีโร่ด้วยฉากปีนเขาอย่างเท่ แล้วต่อมาก็เป็นภาพของพี่ชายผู้ป๊อบปูล่าอยู่ท่ามกลางๆ เด็กๆ ไม่ว่าเขาจะทำอะไร พูดอะไรก็ดีก็เท่ไปซะหมด และบทของเขาก็ส่งอย่างมากที่จะทำให้ทาคุยะที่อายุก็มากแล้วดูหล่อกว่าเรื่องใดๆ ที่เคยเห็น งานการทีมสำรวจป๋าก็ทำไปซะทุกอย่าง โน้มน้าวผู้ออกแบบเรือยามาโมโตะมาออกแบบปรับโครงสร้างซ่อมเรือโซยะก็งานป๋า สุนัขลากเลือนก็งานป๋าอีก ก็เข้าใจถ้าป๋าโดนเด้งออกจากทีม และถูกส่งไปรวบรวมและฝึกฝนสุนัขเพื่อจะยังมีความเกี่ยวพันกับทีมเผื่อมีโอกาสกลับมาร่วมการสำรวจได้

ทว่างานซ่อมเรือป๋าก็ไปยุ่งกับเขาอีก ไม่ได้ทำอะไรสำคัญนักหนา แค่ไปหาบน้ำแจกคนงาน ป๋าก็แย่งซีนเหล่านายช่างเขาได้หลายอยู่

มาถึงงานนั่งโต๊ะวางแผนเตรียมการที่มีปัญหาถึงขั้นโครงการต้องล้มเลิก ป๋าก็มาทำหน้าทีปลุกใจคนขี้แพ้ที่ยอมแพ้ง่ายๆ ทั้งหลายอีก เป็นการกระทำเท่ๆ ด้วยคำพูดเท่ๆ อยู่ตลอดเรื่อง ซึ่งก็เป็นอะไรทีเข้าใจได้ เพราะนี่คือตำแหน่งแห่งที่ของพระเอกฮีโร่อันเป็นบทบาทประจำของป๋า



แต่ที่ค่อนข้างรู้สึกว่ามันเป็นการจงใจใส่ความเป็นฮีโร่มากเกินไป ก็ฉากสุนทรพจน์ "ปักธงญี่ปุ่น" ตอนออกเรือ ที่ส่วนตัวรู้สึกว่ามันควรจะเป็นบทบาทความเท่ของ อ.ชิโรซากิ ที่เป็นทั้งผู้ริเริ่มและเป็นหัวหน้าคณะสำรวจมากกว่า จะว่าไม่ทำการทำงานก็ใช่ที่ เพราะลุงเค้าเหนื่อยยากสุดๆ ไม่แพ้พระเอกนั่นแหละ เพียงแต่ไม่ได้ออกแนวหน้าผจญภัยเท่านั้นเอง เพราะลุงทำงานระดับเจรจากับรัฐบาล ประสานความร่วมมือ ต้องดูแลคณะสำรวจ ต้องรับผิดชอบต่อความผิดพลาดและแบกเอาความคาดหวังในความสำเร็จของรัฐบาลและคนทั้งประเทศ แต่ทาคุยะก็ถูกเขียนบทให้มาแย่งซีนอยู่กลางภาพผืนธงที่โบกสะบัด

ระหว่างเดินทางอยู่ในเรือ ป๋าก็เป็นฮีโร่ทุกกรณีไม่ว่าจะพูดกับคนหรือคุยกับหมา จะไฟไหม้ น้ำเข้าเรือ ป๋าก็วิ่งพล่านปัดเป่าทุกภัยได้ทุกจุด


เรื่องของสุนัขลากเลื่อน ก็เข้าใจถ้าป๋าไปรวบรวมฝึกฝนพวกมันมา และยังมาเพียรพยายามกับพวกมันต่อที่แอนตาร์กติกา แต่ว่าก็น่าจะแบ่งซีนให้ยูสุเกะ ตัวละครผู้ได้มาร่วมทีมสำรวจในฐานะ "ผู้ดูแลสุนัข" ที่คอยให้ข้าวให้น้ำมันบ้าง นี่เขาดันเขียนบทให้ป๋าทำซึ้งทำผูกพันกับพวกสุนัขทั้งฝูงอยู่คนเดียว ผู้ดูแลยูสุเกะจึงมีฉากกับสุนัขน้อยมาก และเป็นความน้อยฉากที่เขาเพียงแพนกล้องต่อมากจากทาคุยะที่เป็นซีนหลักซะอีก ชอบฉากที่ยูสุเกะช่วยสุนัขไม่ให้จมน้ำตอนเรือรั่ว (รั่วขนาดนั้นแต่ไม่ยักล่ม ไม่รู้ไปวิดกันตอนไหน) เพราะนั่นคงเป็นฉากเดียวจริงๆ ที่ยูสุเกะได้เป็น "ผู้ดูแลสุนัข" อย่างจริงจัง อ้อ..มีอีกฉากตอนที่ล้มลุกคลุกคลานออกมานอกปากถ้ำ (ซากปลาวาฬ) ตอนที่สุนัขนำทางวิ่งกลับมา เกือบจะได้เด่นเต็มๆ อีกซักซีน แต่ยูสุเกะก็ต้องเรียกป๋าออกมาทำซึ้งกอดรับพวกสุนัขแสนดีที่เด่นกว่าซะอีก



เพราะทาคุยะเป็นศูนย์กลางในทุกๆ กรณี ดังนั้นมันส่งผลให้น้ำหนักอารมณ์ของคนอื่นๆ ดูน้อยไป ในเหตุการณ์สำคัญของเรื่อง แม้พวกเขาจะแสดงสีหน้าอารมณ์เสียใจเช่นเดียวกัน แต่พอนึกว่าบางคนแทบไม่ได้จับสุนัขก็มี เลยไม่รู้สึกอินเท่าไหร่นักในฝ่ายคน แต่ก็ดีแล้วเพราะแค่อินในฝ่ายสุนัขอย่างเดียว อิฉันก็รู้สึกโกรธแค้นแทบอยากกรีดร้อง เป็นตอนสำคัญที่คิดว่า อ.ชิโรซากิ ควรจะเป็นความโดดเด่นในการตัดสินใจ ที่มีพลังของความเข้มแข็งเด็ดเดี่ยวออกมาให้เห็นว่านี่คือสิ่งจำเป็นต้องทำ ถึงมันจะโหดร้ายเขาก็ต้องทำ และเขาก็จะเท่ แต่ก็รู้สึกอย่างที่รู้สึกตลอดเรื่อง คือน้ำหนักอารมณ์ไปอยู่ที่ทาคุยะซะส่วนใหญ่ในแง่ของความเสียใจ ข่มแง่มุมการ "ต้องตัดสินใจ" ของ อ.ชิโรซกิ ที่ทำให้ดูเป็นความอ่อนไหวในอารมณ์ มากกว่าจะเป็นความเด็ดเดี่ยวที่น่านิยม และโดยรวมบทบาทของ อ.ชิโรซากิก็ไม่ถึงกับจับใจในฐานะตัวละครสำคัญ(มาก)เท่าที่ควรจะเป็น เหมือนอย่างที่ลุงคิตาโอจิ คินยะ รับบทพ่อในเรื่อง Karei naru Ichizoku ไม่ใช่เพราะลุงเค้าแสดงไม่ดี แต่เพราะทาคุยะ คิมูระนั้นโดดเด่นเกินไป 555 (ความเห็นส่วนตัวน่ะนะ)


สำหรับเหตุการณ์นั้น เอาจริงๆ นะ สำหรับผู้เขียนแล้ว มันไม่มีเหตุผลใดที่จะอ้างได้ว่าจำเป็นต้องทำอย่างนั้น มันมีเหตุผลเดียวที่เกิดเรื่องแบบนั้น เพราะมันเป็นสุนัข แค่นั้นเอง

คิดแค่ว่าหากพวกมันเป็นคน มันคงไม่ถูกกระทำอย่างนั้น

เมื่อคนตัดสินใจเนรคุณหมา

คำพูดที่ว่า

"มันคือเพื่อน เพื่อนที่ดีที่สุด เพื่อนที่เราฝากชีวิตไว้ได้ เพื่อนแอนตาร์กติกา"

จึงไม่มีค่าของความศักดิ์สิทธิ์พอ ก็มันจะศักดิ์สิทธิ์ได้ยังไง คนฝากชีวิตไว้กับหมาได้ แต่คนดันไม่มีปัญญาจะรับฝากชีวิตของหมาไว้ และมันก็ลงเอยด้วยเหตุผลเดียกวัน เพราะมันคือหมา

หากมันเป็นคน คนเหล่านั้นก็จะดิ้นรนหาทางจนได้แหละ
ทีตอนเรือไปต่อไม่ได้ แกยังเทียบท่าเอาเครื่องบินมารับ
ประเด็นไม่มีเชื้อเพลิงเพียงพอไปถึงญี่ปุ่น ก็ไม่ใช่ประเด็นอีกต่อไป
แล้วแค่จะอยู่ต่อช่วยหมาสักวัน มันจะเป็นไรไป



แต่แอนตาร์กติกากำลังหายใจ บางทีดินแดนแห่งนี้อาจมีชีวิต
บางทีมันอาจเป็นดินแดนของพระเจ้าจริงๆ และบางที
พระเจ้าอาจมีปาฏิหารย์แห่งความเมตตา

"ถ้าพวกมันรออยู่ กอดพวกมันแทนเราด้วยนะ"



Award (TDAA ไม่ให้ ..ฉันให้เอง)

* ซีรีย์ยอดเยี่ยม
* นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม - ทาคุยะ คิมูระ
* นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม - ซากาอิ มาโกโตะ
* นักแสดงนำพิเศษยอดเยี่ยม - ริกิ
* นักแสดงสมทบพิเศษยอดเยี่ยม - คุมะ
* เพลงประกอบซีรีย์ยอดเยี่ยม - Arano yori โดย นากาจิม่า มิยูกิ
* ผู้กำกับยอดเยี่ยม - ฟุกุซาวะ คัตสึโอะ



เก็บภาพจาก ep.1 และ 3 มาฝาก ขอย้ำว่า ep.1 และ 3 เท่านั้น
และคุณไม่ควรพลาดมันทั้ง 10 ep.

ปกติจะไม่ชอบใช้คำนี้ตรงๆ แต่ครั้งนี้กับเรื่องนี้ขอบอกออกไป
อย่างไม่มีอ้อมค้อม อย่างหนักแน่น และมั่นใจ

"RECOMMEND!!!"














...








....













..........


















Create Date : 15 กรกฎาคม 2555
Last Update : 24 สิงหาคม 2555 7:45:37 น. 19 comments
Counter : 15121 Pageviews.

 
แวะมาเยี่ยมยามค่ำ...สวัสดีครับ


โดย: **mp5** วันที่: 15 กรกฎาคม 2555 เวลา:19:20:59 น.  

 
ดีใจด้วยนะครับที่ได้ดูแล้ว

เห็นว่าจะรองานภาพชนิดน้องไฮเดบ

ซึ่งเท่าที่ดูจากการแคปก็น่าจะสมประดี

อืม...คงจริงอย่างที่ท่านพรายวิเคราะห์

ความที่เป็นซีรีย์ที่เน้นชาตินิยมแบบดูจริงจัง

ผลตอบรับก็เลยไม่ค่อยดีตามที่หมาย เพราะวิธีการเล่า

แบบนี้ มันดูไม่ค่อยเป็นที่นิยมสำหรับคนพ.ศ.นี้
ส่วนใหญ่เขาก็นิยมเล่าเรื่องอะไรที่มันเล็กๆ

และเข้าถึงได้ง่ายอย่างเรื่องครอบครัว เรื่องฆาตกรรม

โดยอิงประโยชน์จากสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาเข้าถึง

พอมาเล่นงานระดับชาติ มันก็เลย...

อันนี้ดูองค์ประกอบที่มันอัดแน่นแล้ว กลายเป็นว่า

เรตติ้งในฐานะตัวชี้วัดถึงผลหลายๆด้าน

แม้จะไม่ส่งผลต่อการเลือกชมของคนดูเทาไรนัก
แต่สำหรับบ้านเขานี้ซีเรียสขึ้นหิ้งเอาได้เลย

อย่างน้อยๆเคยวิเคราะห์ตอนที่เขียนบล็อกเรื่องนี้
ว่าน่าจะแห้วผลรางวัลโดยอิงกับความนิยมไม่เหมือน
ครั้งของKarai ranai ichizoku ที่เหมารางวัล
แบบแบเบอร์
(เสียดายหมาๆที่เขาน่าจะซูฮกให้เขาก็ไม่เห็นค่า)

และตอนนี้ก็เอามาเทียบกับสถานการณ์คู่แข่ง
ก็ไม่ถึงขั้นน่าจะมีอะไรมาฉุดรั้งให้เสียสูญเรตติ้ง
ก็เข้าใจว่าคนไม่ยอมรับอะไรที่เป็นแบบนี้

งานนี้คงจะเห็นซีรีย์แนวรักชาติ คงต้องโยกไป
ดูผ่านช่องเอ็นเฮชเคแทน

อย่างไรเสีย เสียชื่นชมสำหรับคนไทยนี้
ฮือฮาเป้นอย่างดี ตอบรับกันเป็นทิวแถว

อย่างนอ้ยๆต่ออายุป๋ายะในเมืองไทยได้เป็นอย่างดี


โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 15 กรกฎาคม 2555 เวลา:20:00:35 น.  

 
ว๊าวๆๆๆๆ
มาแล้วๆ กับรีวิว เรื่องนี้ของคุณprysang ที่เรารอคอย ภาพประกอบรีวิวของคุณ prysang ยังจัดเต็ม เหมือนเดิม
โนบูตะขอเม้นท์แบบแฟนซีรีย์ญี่ปุ่นคนหนึ่ง ก็แล้วกันนะคะ^^
อาจจะตีความได้ไม่ค่อยเก่งมากนัก
แต่โดยรวมๆแล้ว "ก็รู้สึก ชอบ หนังเรื่องนี้ค่ะ" ยอมรับว่า หนึ่งคือทาคุยะ และสองคือ ด้วยความเป็นซีรีย์ญี่ปุ่น (เหตุผลมีแค่สองข้อถ้วนค่ะ:) ที่ทำให้เราเลือกดู
เราชอบฉากที่ ทาคุยะกับเพื่อนขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้สำเร็จ แล้วมีคำพูดที่ว่า "มองลงไปจากจุดนี้น่ะ..สุดยอดเลยเนอะ" ประมาณนี้น่ะค่ะ อารมณ์มันแบบ ได้มาก
แล้วก็ชอบพลอตเรื่องที่ยังคงความเป็นชาตินิยมอยู่สูงมาก ซึ่งมันไปโยงเข้ากับหนังเรื่องหนึ่งที่เราประทับใจอยู่คือเรื่อง Always ค่ะ หลักๆเลยก็คือ ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ผ่านความล้มเหลวมาจากสงงคราม ชนิดที่เรียกได้ว่า "ย่อยยับ" ซะจนไม่มีใครนึกออกได้ว่า จะสามารถ "ฟื้นตัว" กลับมายิ่งใหญ่ได้ขนาดนี้น่ะค่ะ ประเด็นนี้ยังเป็นเรื่องหลักๆที่เราปลื้มซีรีย์แนวนี้ของญี่ปุ่นอยู่
ทรัพยากรบุคคลเค้ามีคุณภาพมากเลย


โดย: nobuta wo produce วันที่: 16 กรกฎาคม 2555 เวลา:8:18:32 น.  

 
คนอื่นเค้าดูกันหมดแล้ว มะนาวยังมะได้ดูเลยค่ะ
เป็นเพราะเจ้าลิงปีศาจ กับเดรัจฉานน้อยอาร์ย่านะเอง
ที่มาแย่งเวลาที่จะอี๋อ๋อกับป๋ายะไป^_^
แต่คิวต่อไปต้องเป็นของป๋ายะแน่นอนค่ะ
เรื่องนี้ดูแล้วลงทุนสูงนะคะ ฉากคงอลังการงานสร้างแน่เลยใช่ไหมคะ
ได้เคยประทับใจกับKarei Naru Ichizokuมาแล้วอย่างมากมาย
คิดว่าเรื่องนี้TBS ก็คงไม่น่าจะทำให้ผิดหวังนะคะ
เพราะเป็นถึงซีรีส์ฉลองครบรอบ 60 ปีของสถานีเชียวนี่น๊า
แล้วเรตติ้งที่ออกมามะนาวว่าก็ไม่ขี้เหร่นะคะ 17.3
แม้ว่าจะน้อยกว่าKarei Naru Ichizoku ก็เถอะค่ะ
ได้เห็นหน้าป๋ายะที่แปะให้ดูแล้วนึกถึงท่านนายกเคตะในเรื่องCHANGEเลยอ่ะค่ะ
โอ้ว!แล้วยังมีท่านคุโบจากAtsu Himeมาร่วมเรียกแขกด้วย น่าดูๆจังค่ะ
มะนาวว่า มะนาวไม่อ่านต่อแล้วล่ะค่ะ
มะนาวไปดูก่อนดีกว่านะคะ แล้วเด๋วมะนาวค่อยเข้ามาคุยดีกว่านะคะ
มะนาวอยากดูบรรดาพวกน้องหมาด้วย
ว่าจะเก่งสู้เคนจังในKekkon Dekinai Otokoได้อ๊ะป่าวค่ะ
งั้นมะนาวขอตัวไปดูก่อนนะคะ ฟิ้ววววววว


โดย: มะนาวเพคะ IP: 125.25.121.231 วันที่: 16 กรกฎาคม 2555 เวลา:20:11:37 น.  

 
เรตติ้ง 17.3 มองในแง่ตัวเลขถือว่าสวย
แต่ถ้ามองในแง่ของการเป็นโปรดักชั่นฟอร์มยักษ์ที่ลงทุนสูง prysang คิดว่าเรตติ้งเรื่องนี้น้อยไปค่ะ ยิ่งถ้าเอาต้นทุนกับเรตติ้งไปเทียบกับเรื่องแม่บ้านมิตะที่สร้างปรากฏการณ์น่าทึ่งนั่น เรื่องนี้อาจถือได้ว่าล้มเหลวเลยล่ะค่ะ ไม่มีรางวัลเลยด้วย แต่ถ้าถือว่า เป็นการคืนกำไรให้คนดู ก็น่าพอใจแล้วค่ะ

ส่วนเราคนไทยที่ไม่มีเอี่ยวอะไรกับกับชาตินิยมเขา แต่เราได้ดู แล้วชอบจังเลย ^^


โดย: prysang วันที่: 16 กรกฎาคม 2555 เวลา:22:21:45 น.  

 
ไม่นึกเลยค่ะว่าคุณprysangกับมะนาวจะคิดตรงกันขนาดนี้
มะนาวนะคะ ดูจบนึกได้อยู่อย่างเดียวเลยว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องของคนใจร้าย
ทำกับเพื่อนสี่ขาอย่างนั้นได้หยั่งไง พวกมันช่วยชีวิตคนในทีมไว้นะ
เหมาะสมแล้วที่โดนคนในประเทศประณามว่าเป็นฆาตกร
แม้จะพยายามหาเหตุผลของการใจร้ายมาอธิบายก็เถอะค่ะ
แต่ยังไงก็ใจร้ายอยู่ดีแหละ ทำให้มะนาวนึกถึงเรื่อง
"A tale of Mari and three puppies"คุณprysangเคยดูไหมคะ
นั่นก็เป็นเรื่องของมนุษย์ใจร้ายเหมือนกันค่ะ
ไม่รู้ว่าที่สถานีTBS เลือกเรื่องนี้มาสร้าง
เพื่อแก้ต่างให้พวกมนุษย์ขี้เหม็นหรือเปล่านะคะ
แหะๆ หายหงุดหงิดแล้วก็มาเข้าเรื่องปลื้มกันต่อดีกว่านะคะ
ได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ ก็พอจะบอกได้แล้วว่าญี่ปุ่นสร้างชาติหลังสงครามได้อย่างไร
ไม่เคยให้คนคิดยอมแพ้เลย คำพูดแต่ละคำแต่ละประโยคในเรื่องนี้
ฟังแล้วเหมือนถูกน็อก อึ้ง กระทบใจ ดูอย่างตอนที่เด็กๆเอาเงินบริจาคมาให้
แล้วพระเอกบอกว่า"มันเป็นเศษเงินที่ทำให้ความฝันเดินต่อไป"
โอ้ว!ฟังแล้ว มันให้ความรู้สึกที่ยิ่งใหญ่มาก มันเป็นเศษเงินที่มีคุณค่ามากจริงๆ
หรือที่ศจ.โฮชิโนะพูดว่า"ถ้าเริ่มไปสู่ความสำเร็จ ก็เริ่มไปสู่ความล้มเหลวด้วย"
อืม!ฟังแล้ว ใช่จริงๆด้วย สองอย่างนี้มันเป็นของคู่กันนี่หน่า
แต่ประโยคเด็ดของเรื่องนี้มะนาวยกให้ประโยคนี้เลยค่ะ
"ทำไมเราไม่จบยุคหลังสงครามนี้ ด้วยมือของเราเองล่ะ"
มะนาวนึกถึงคำพูดนี้จี๊ดขึ้นมาเลยค่ะ"ด้วยสองมือแม่นี้ที่สร้างโลก"
เพราะมันฟังดูยิ่งใหญ่ในความรู้สึกจริงๆค่ะ

เรื่องนี้ปูพื้นด้วยความฝันของพวกเด็กๆให้เด็กๆเคลื่อนไหวก่อน
เหมือนจะบอกว่าฟันเฟืองเล็กๆพวกนี้แหละ
ที่เป็นตัวขับเคลื่อนประเทศญี่ปุ่นให้ก้าวไปข้างหน้า
แล้วสิ่งที่แฝงมาก็คือการบอกถึงความก้าวหน้า
ของการประดิษฐ์คิดค้นสิ่งต่างๆ อย่างที่ได้กล่าวถึงไว้คือ
การกำเนิดขึ้นของบ้านประกอบหลังแรกของญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นการบอกถึงความก้าวหน้าทางวิทยาการ การก่อสร้าง ที่ญี่ปุ่นภาคภูมิใจ
ในทีมสำรวจทั้ง11คน มะนาวว่าป๋ายะไม่ได้แย่งซีนไปทั้งหมดหรอกค่ะ
อย่างฉากไหนที่มีอาจารย์โฮชิโนะร่วมด้วย มะนาวจะชอบมากเลยค่ะ
มะนาวชอบดูหน้าตายิ้มแย้มอยู่เป็นนิจของศจ.โฮชิโนะอ่ะค่ะ
คือมะนาวก็เคยดูคุณคางาวะ เทริยูกิ แสดงมาก็หลายเรื่อง
แต่มะนาวชอบบุคลิก หน้าตา และหุๆทรงผมของแกในเรื่องนี้ที่สุดเลยค่ะ
มะนาวว่าเป็นบทที่แกแสดงได้เข้าถึงมากๆเลยค่ะ
กับบทของศจ.โฮชิโนะ ที่ให้เป็นคนคิดบวกน่ะค่ะ
แล้วมะนาวชอบนะคะ ที่อาจารย์โฮชิโนะ ชอบโยนกลองให้คุระโมจิ
เป็นผู้พูดประเด็นสำคัญ โดยออกตัวว่าตัวเองพูดไม่เก่ง
เพราะมีฉากนี้ทีไร มะนาวเป็นต้องอมยิ้มทุกที
แม้จะรู้แล้วว่า ผลสุดท้ายก็ต้องเป็นแบบนี้อีกแหละ
แต่มะนาวว่าศจ.โฮชิโนะเป็นคนแก้สถานการณ์เก่งนะคะ
เห็นวิธีแก้ปัญหาของแกแล้ว เหมือนกับว่าไม่เคยมีปัญหามาก่อนเลยค่ะ
มะนาวชอบตัวละครตัวนี้นะคะ และมะนาวว่า
ป๋ายะก็ไม่สามารถบทบังรัศมีลุงเขาได้หรอกค่ะ
ส่วนอีกคนอาจารย์ชิโรซากิ มะนาวว่าป๋าก็ไม่ถึงกับแย่งซีนไปหมดหรอกค่ะ
เพราะมะนาวก็รับรู้ได้ ถึงสุดยอดของความอึด การไม่ยอมแพ้
การพยายามจนถึงที่สุด เห็นความพยายามของแกแล้ว นับถือจริงๆค่ะ
ไม่ว่าจะต้องให้ไปขอร้องกี่ครั้งก็ยอม จะให้ต้องคุกเข่าก้มหัวยังไงก็ยอม
แต่ฉากหัวใจสลายเพราะต้องทิ้งน้องหมาไว้เบื้องหลัง
ยกให้ป๋าเขาเถอะค่ะ เพราะมะนาวนะคะ
ร้องไห้ตั้งแต่คุระโมจิมองมือตัวเองแล้วค่ะ
มือคู่นี้เอง ที่ได้สังหารเพื่อนหมาคู่ทุกข์คู่ยาก โดยไม่ได้เจตนา
มันเป็นความรู้สึกผิด จนมะนาวกลัวว่าคุระโมจิจะฆ่าตัวตายซะอีกค่ะ
เพราะเห็นแอบไปขอยามาจากคุณหมอทานิ แล้วซ่อนไว้
ส่วนอินุซึกะที่ยามาโมโตะ ยูสุเกะแสดง ให้ป๋าแย่งซีนไปเถอะค่ะ
เป็นตัวละครที่ดูแล้วน่าโมโหจริงๆ ไม่ได้เรื่องแล้วยังก่อเรื่องอีก
(มีแอบโหด)แต่รู้ล่ะค่ะ ว่าซีรีส์ญี่ปุ่นก็ต้องมีบทแบบนี้แหละ
เพื่อให้ทุกคนรู้จักให้โอกาสคน เพื่อให้เขาเติบโตและเรียนรู้ต่อไป
เอ๊ะ!หรือว่ายูสุเกะ ก็แสดงบทคนไม่ได้เรื่องได้ดี จนมะนาวเหม็นขี้หน้า
ส่วนท่านคุโบ มาซาโตะ มะนาวว่าเรื่องนี้ท่านคุโบไม่ผ่านค่ะ
เพราะท่านคุโบชอบทำหน้าตายู่ยี่มากไปหน่อยค่ะ
ทำให้เห็นตีนกายุ่บยั่บมากเกินงามไปค่ะ^_^
แต่ท่านคุโบก็ทำให้มะนาวซึ้งจนน้ำตาไหลได้ด้วยค่ะ
กับฉากที่ฮิมูโระหลงทาง แล้วพอกลับมาถึงแคมป์
แล้วทาจิยาม่าคุณพ่อของเคนตะ ทักทายแบบหมั่นไส้ๆว่า
เป็นไงพ่อกระทรวงใหญ่ แล้วฮิมุโระ ก็เข้าสวมกอดทาจิยาม่า
และพูดว่า"อาริงาโตะ"เรียกว่ามะนาวงี้น้ำตาไหลพรากๆเลยอ่ะค่ะ

ส่วนเด็กน้อยที่ได้ใจมะนาว เป็นของพ่อหนูน้อยฮารุโอะค่ะ
หนูน้อยที่แบกน้องอยู่บนหลัง ที่หน้าตามอมแมม ใสซื่อและยิ้มอยู่ในหน้าเป็นนิจ
ชอบเจ้าหนูคนนี้จริงๆ ยิ่งฉากที่เดินเอาเงินเหรียญเยนมาบริจาคให้คุระโมจิ
เพื่อให้ทีมวิจัยไปแอนตาร์กติกา แล้วกล้องแพนไปที่รองเท้าของหนูน้อย
มะนาวถึงกับอึ้ง แล้วน้ำตาก็ค่อยๆไหลออกมา ซาบซึ้งดีแท้น๊อกับความฝันของเด็กๆ
ส่วนน้องหมา ริกิแสดงได้ดีจริงๆค่ะ โดยเฉพาะฉากหมอบรอจนตัวตาย
มะนาวนะคะ ลุ้นจนแทบไม่หายใจเลยค่ะตอนที่คุระโมจิ มาลูบหน้าลูบตาแล้วเรียกชื่อ
เพื่อให้มันตื่นลืมตาขึ้นมา แต่แล้วก็ทำร้ายจิตใจคนดู ฮือๆไปดีนะริกิ
ส่วนคุมะขาโหด ตัวนี้ขวัญใจมะนาวของแท้ค่ะ เพราะบอกว่าเป็นขาโหด
แต่ลองดูสายตาสิ ออกปรอยๆขี้อ้อนออกค่ะ ดูแล้วนึกถึงเคนจังมากเลยค่ะ
ส่วนชุดนักสำรวจสีน้ำเงินเท่ดีค่ะ แต่ที่โดนใจคือรองเท้านักสำรวจสีส้ม
มันตัดกับหิมะสีขาวดังฉับเลยค่ะ ถูกจายยย
แล้วเรื่องนี้ถึงไม่ชนะใจกรรมการแต่ก็ชนะใจคนดูอย่างมะนาวค่ะ
มะนาวนะคะ ให้ซีรีส์เรื่องนี้เป็นซีรีส์ในดวงใจคู่กับKarei Naru Ichizoku เลยค่ะ
555 แล้วถูกใจที่สุดAward (TDAA ไม่ให้ ..ฉันให้เอง)สุดยอดดดด555
* ซีรีย์ยอดเยี่ยม เห็นด้วยค่ะ
* นักแสดงนำชายยอดเยี่ยม - ทาคุยะ คิมูระ เห็นด้วยค่ะ
* นักแสดงสมทบยอดเยี่ยม -ซากาอิ มาโกโตะ ขอเปลี่ยนเป็นคางาวะ เทริยูกิค่ะ
* นักแสดงนำพิเศษยอดเยี่ยม - ริกิ
* นักแสดงสมทบพิเศษยอดเยี่ยม - คุมะ ที่เป็นขาโหดนะคะ
* เพลงประกอบซีรีย์ยอดเยี่ยม - Arano yori โดย นากาจิม่า มิยูกิ
อันนี้ขอยกสองนิ้วโป้งให้เลยค่ะ
* ผู้กำกับยอดเยี่ยม - ฟุกุซาวะ คัตสึโอะ เห็นด้วยค่ะ


โดย: มะนาวเพคะ IP: 125.25.97.38 วันที่: 22 กรกฎาคม 2555 เวลา:16:34:55 น.  

 
"A tale of Mari and three puppies"
ยังไม่เคยดูเลยค่ะ แต่ลองดูในกูเกิ้ล
โอ้ว หมาน้อยปุกปุยน่ารักจัง

555 คุณมะนาวล่ะก็ ถ้าทาคุยะเอายา
นั่นมาฆ่าตัวตาย prysangจะสาปส่งคนเขียนบท
ถ้าเค้าคิดจะเอาอย่างเทปเป้ เรื่อง Karei Naru Ichizoku อย่างไม่เข้าเรื่อง
ถึงจะอินแค่ไหน คนก็ไม่ควรตายเพื่อหมานะคะ ถ้ารู้สึกผิดก็ต้องมีชีวิตเพื่อ
ชดเชยบาปค่ะ prysang ชอบประเด็น
ของซีรีย์ที่ว่า แล้วถ้าเป็นแบบนั้นจะ
ภาคภูมิใจในตัวเองได้อย่างไร เหมือนมี
รอยด่างในความสำเร็จ แล้วอ.โฮชิโนะ
ก็รู้ได้ถึงจุดนั้น และพยายามคิดบวกโดย
บอกให้ทุกคนภูมิใจในตัวเอง แม้ว่า.....

ซากาอิ มาซาโตะ มีประเด็นหน้ายู่เกิน
แต่ไม่เกี่ยวกะตีนกา เพียงแค่ว่าแสดงเยอะไป
แต่รางวัลฉันจัดเอง เพราะชอบใจแกค่ะ ^^


โดย: prysang วันที่: 25 กรกฎาคม 2555 เวลา:8:21:17 น.  

 
ซีรี่ส์เรื่องนี้ จะยอดเยี่ยมและกวาดรางวัลทุกรางวัลได้ ถ้าไม่เจอม้ามืด อย่างแม่บ้านมิตะ มา

เอาเป็นว่า ผมยังชอบแม่บ้านมิตะ มากกว่าด้วยสิ


โดย: jedijoke IP: 203.153.166.116 วันที่: 22 สิงหาคม 2555 เวลา:17:58:44 น.  

 
แม่บ้านมิตะ ด้วยเรตติ้งทะลุเพดานขนาดนั้นต้องหามาดูด้วยเหมือนกันค่ะ


โดย: prysang วันที่: 22 สิงหาคม 2555 เวลา:20:54:48 น.  

 
ชอบมั่ก มาก เป็นหนังโปรดโดนใจประทับใจที่สุดของปี ต้องแนะนำเพื่อนๆให้ดูแน่นอนค่ะ ดูแล้วหลั่งน้ำตาท่วมจอเลย... ขอบคุณมากนะคะที่มีรายละเอียดของหนังเรื่องนี้มาบอก ชอบนักแสดงทุกคน(ทั้งคน และน้องหมา) แต่เทคะแนนให้น้องหมามากๆๆเล่นดี เล่นเก่งจัง น่าสงสารมาก ..ต้องขอบคุณ tbs ที่ผลิดหนังดีๆมาให้ดูนะคะ..


โดย: sweetty IP: 223.207.194.4 วันที่: 26 พฤศจิกายน 2555 เวลา:20:23:44 น.  

 
ถามคำเดียวได้มั้ยค่ะ.... ในเรื่องนี้ สุนัขทุกตัว เสียชีวิต หรือป่าว หรือว่ามีรอดกลับมาได้บ้าง.....


โดย: kokomi IP: 171.96.34.26 วันที่: 16 มีนาคม 2556 เวลา:9:41:32 น.  

 
จริงๆ อยากให้ดูแล้วรอลุ้นนะ
แต่ถามมาแล้วก็ตอบไป มีรอดค่ะ ^^


โดย: prysang วันที่: 17 มีนาคม 2556 เวลา:11:13:31 น.  

 
ใครที่ไม่เคยรักหรือใส่ใจสัตว์เลย ดูแล้วจะเข้าใจถึงความรักที่สามารถถวายชีวิตและห่วงใยของสัตว์ที่มีต่อมนุษย์ ส่วนคนที่รักสัตว์อยู่แล้ว จะยิ่งรักและสงสารมากกว่าเดิมอีกโดยเฉพาะเจ้าริกิเพื่อนยาก


โดย: คนรักสัตว์ IP: 1.20.1.181 วันที่: 23 มีนาคม 2556 เวลา:13:38:10 น.  

 
ตอน จบน่าสงสาร ถึงกับร้องให้ ริกิ ตาย เพราะไปช้าเพียงนิดเดียว


โดย: 123 IP: 113.53.7.166 วันที่: 23 มีนาคม 2556 เวลา:14:49:56 น.  

 
ตัดมาให้ดูบางฉากได้ดีมาก ใครไม่ได้ดูเรื่องนี้ น่าเสียดาย หนังประเภทสะท้อนจากเรื่องจริงและเกี่ยวกับสุนัขโดยเฉพาะสุนัขลากเลื่อน มันสะท้อนให้เห็นว่า ความรักที่มนุษย์มี มันเทียบไม่ได้กับความรักที่สุนัขมีต่อมนุษย์เลย
อยากดูอีก กำลังหา DVD ใครทราบหาซื้อได้ที่ไหน บอกไหนค่ะ ชอบมิยูกิ นาคาจิม่ามาก


โดย: คุณหนูเล็ก IP: 1.4.161.26 วันที่: 23 มีนาคม 2556 เวลา:15:19:37 น.  

 
ชอบรีวิวมากๆ อ่านแล้วเพลินตอนนี้กำลังจะดูเรืื่องนี้ค่ะ


โดย: โช IP: 202.129.29.18 วันที่: 1 เมษายน 2558 เวลา:13:00:19 น.  

 
เคยดูซีรีย์เมื่อปี2556 สองตอนสุดท้ายสะเทือนใจจนดูต่อไม่ได้ค่ะ


โดย: ทิพย์เกสร จอมมาร IP: 27.55.170.132 วันที่: 26 มิถุนายน 2558 เวลา:18:39:49 น.  

 
เคยดูซีรีย์เมื่อปี2556 สองตอนสุดท้ายสะเทือนใจจนดูต่อไม่ได้ค่ะ


โดย: ทิพย์เกสร จอมมาร IP: 27.55.170.132 วันที่: 26 มิถุนายน 2558 เวลา:18:40:16 น.  

 
เป็นซีรีย์ที่ดูแล้วให้กำลังใจมากครับ


โดย: highway man IP: 180.180.119.39 วันที่: 19 กรกฎาคม 2558 เวลา:22:32:28 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prysang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.