Group Blog
 
<<
กันยายน 2554
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
17 กันยายน 2554
 
All Blogs
 
Inu o Kau to Iu Koto ครอบครัวเข้มแข็ง ด้วยแรงแห่งรักและกรุณา



Title : Inu o Kau to Iu Koto
Tagline : Sky to Wagaya no 180 Nichi
Format: Renzoku Genre: Family
Episodes: 9 Viewership rating: 8.47
Broadcast network: TV Asahi 2011-Apr-15 to 2011-Jun-10
Theme song: My Home by Kanjani∞
Screenwriter: Terada Toshio
General Producer: Uchiyama Seiko
Producers: Kiuchi Mayumi , Oe Tatsuki, Ikeda Teiko
Directors: Motoki Katsuhide ,Endo Mitsutaka, Takahashi Nobuyuki


โดยความเห็นส่วนตัว ซีรีย์เรื่องนี้สมควรได้รับรางวัลอะไรบ้าง แต่ใน DramaWiki ก็ไม่มีระบุเรื่องของ Award ไว้นะคะ ไม่มีเลยจริงๆ เหรอเนี่ย ?? น่าเสียดายจริงๆ

ช่างเถอะ สถาบันไหนไม่ให้ สถาบัน prysang.bloggang จะมอบให้เอง "รางวัลละครสร้างสรรค์ครอบครัวดีเด่น" ดูแล้วจรรโลงใจสมควรได้รับโล่ห์

เป็นละครที่ทำให้แปลกใจ เพราะแต่ละสิ่งอย่างมันดูเป็นเรื่องเล็กเรื่องน้อยซะจริง แต่ผลของมันใหญ่ยิ่ง ไม่ใช่อะไรเล็กน้อยอย่างที่เห็นเลย

Smileyครอบครัวฮงโงะ




พ่อ - ฮงโงะ ยูจิ (Nishikido Ryo)

แม่ - ฮงโงะ ซาจิโกะ (Mizukawa Asami)



ลูกชาย - ฮงโงะ มาซารุ (Yamasaki Ryutaro)

ลูกสาว - ฮงโงะ มาโกะ (Kuge Kokoro)

ยูจิ ..เสาหลักของครอบครัวที่คลอนแคลนเพราะเจอพิษของภาวะเศรษฐกิจ บริษัทที่ทำงานอยู่ตกอยู่ในภาวะถดถอยถึงขั้นต้องทยอยลดจำนวนพนักงาน ยูจิต้องทำหน้าที่ดำเนินการให้พนักงานแต่ละคนยินยอมลาออกแต่โดยดี (ที่จริงแล้วมันก็คือการไล่ออกนั่นแหละค่ะ) เขาต้องเผชิญหน้ากับพนักงานเพื่อเกี้ยกล่อม ก้มหัวขอร้อง คุกเข่าก็ทำ เพื่อขอร้องให้พนักงานคนนั้นๆ ยินยอมลาออกจากบริษัท ยูจิต้องทนทำงานนี้ด้วยความรู้สึกผิดและกดดัน เพราะเขาเองก็จำเป็นต้องเอาตัวให้รอดในฐานะสามีและพ่อที่ต้องหาเงินเลี้ยงดูปากท้องของครอบครัว

เจอพระเอกแบบนี้เข้าไปก็พาเครียดแล้ว พาลไม่อยากดูเอาซะเลย ก่อนหน้าก็รีรอมาสักพัก สุดท้ายที่ต้องยอมแพ้เพราะการแอบมีใจให้กับ อาซามิ ผู้รับบท ซาจิ แม่ของลูกๆ เธอเป็นแม่บ้านที่ขยันขันแข็ง ทั้งเลี้ยงลูก ทำงานบ้านและยังทำงานพิเศษช่วยแบ่งเบาภาระสามี ไม่เคยตำหนิ ไม่เคยบ่นว่ากับความอัตคัดขัดสน และทำหน้าที่ของตนอย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง



แต่เรื่องของเงินทองมันย่อมไม่เข้าใครออกใคร พล็อตเรื่องนี้พอคาดเดาเนื้อหาได้ง่าย เพราะมันเกี่ยวข้องกันโดยตรงกับภาวะเศรษฐกิจของครอบครัวที่ค่อนข้างเป็นจุดเปราะบาง ในโลกความเป็นจริง เงินเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่น้อง ญาติสนิทมิตรสหายต้องแตกคอ และทำให้คนในครอบครัวบาดหมางทะเลาะกันมานักต่อนัก ดังนั้น เมื่อเรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวจนๆ ที่ขัดสนเงินทอง ชวนให้คิดไปล่วงหน้าว่ามันต้องตึงเครียด และปวดหัวใจแน่ ถึงหยิบเรื่องนี้มาดูแบบใจไม่ค่อยเต็มร้อยนักในตอนแรก (แต่อยากดูอาซามิและเด็กๆ) ยิ่งได้พบว่าพื้นฐานการสร้างครอบครัวของยูจิกับซาจิไม่ได้ตั้งอยู่บนความถูกต้องเหมาะสมและ 'ความพร้อม' ยิ่งดูไปแบบหวั่นๆ ใจ ในสิ่งที่คิดว่ามันต้องมาถึงแน่นอน

Smileyไม่ได้ตั้งอยู่บนความถูกต้อง ความเหมาะสม และความพร้อม

เพราะความรักของวัยรุ่นหนุ่มสาวทำให้อาซามิตั้งท้องตั้งแต่ตอนอายุเพียง 21 ปี เพื่อที่จะรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ทั้งคู่จึงตัดสินใจลาออกจากมหาวิทยาลัย ยูจิเลิกล้มความใฝ่ฝัน เลิกเล่นดนตรีที่รัก อาซามิก็ทอดทิ้งความฝันที่เคยมุ่งมั่นจะเป็นพยาบาลด้วยเช่นกัน แม้ครอบครัวไม่ยอมรับ แต่ยูจิกับซาจิก็ดึงดันจะใช้ชีวิตร่วมกัน หรือพูดอีกทีคือตัดสินใจ 'หนีตามกัน' ไม่มีความช่วยเหลือ ไม่มีเงิน ไม่มีงานแต่งงาน มีแต่การถ่ายรูปด้วยกันหน้าโบสถ์เป็นพยานของการเริ่มต้นชีวิตคู่

อ๊า ... ท่าทางจะเครียดจัง โดยส่วนตัวรู้สึกว่ามันเป็น รากฐานครอบครัวที่เปราะบางอีกแล้ว หนุ่มสาวที่หันหลังให้กับความฝันของตัวเอง แล้วมาเผชิญหน้ากับความยากลำบากแทน คาดเดาเอาเองไปว่าเมื่อถึงจุดๆ หนึ่ง ปัญหาและความกดดันต่างๆ นานา จะทำให้เกิดเรื่อง 'ล้ำเส้น' ไปแตะต้องจุดเปราะบางที่ว่านี้ ...ซึ่งอาจนำไปสู่ความแตกร้าวของครอบครัว ...หากเกิดมีใครสักคนนึกอยากย้อนเวลากลับไปและตัดสินใจเลือกทางเดินของอนาคตใหม่ด้วยการเลือกทำตามความใฝ่ฝันของตนเอง

ละครยังไปไม่ถึงไหน ดูไปนิดเดียวก็คิดอะไรทะลุทะลวงไปคนเดียวก่อนแล้ว จึงดูไป กังวลไป ใจอยากเร่งให้ช่วงเวลานั้นมาถึงเร็วๆ จะได้ผ่านไปเร็วๆ ไม่อยากเครียดนาน



แต่เอาเข้าจริง ละครเรื่องนี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกอะไรที่ต้องกังวลขนาดนั้นเลย จุดเปราะบางที่ว่านั้นเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ต้องกระทบกระเทือนบ้างแน่อยู่แล้ว แต่ด้วยมันมีอะไรหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้ละครเรื่องนี้ ผิดคาดไปจากที่คิดไว้เยอะเลย และมันไม่ได้หนักหนาเหมือนอย่างที่รู้สึกเครียดไปล่วงหน้าสักนิด

เพราะมีเด็ก นั่นอาจจะเป็นเหตุผลหนึ่ง

ฮงโงะ มาซารุ และ ฮงโงะ มาโกะ มาซารุเป็นพี่ชายที่ไม่ได้ใส่ใจไยดีน้องสาวนัก ออกท่ากระด้างนิดๆ ใจร้ายหน่อยๆ ใส่น้องด้วยซ้ำไป คำพูดจาที่สะท้อนออกมาจากความรู้สึกนึกคิดก็ค่อนไปทางมองโลกในแง่ร้าย นั่นเป็นเพราะมีสิ่งหนึ่งที่ฝังแน่นเป็นบาดแผลเล็กๆ ในใจของเด็กน้อย ที่แม้แต่คนเป็นพ่อแม่อย่างซาจิและยูจิก็ไม่เคยรู้

"กว่าจะถึงวันนั้น ครอบครัวของเราคงล่มสลายไปแล้วล่ะ"

เมื่อพี่กับน้องยืนมองตึกสกายทรีที่สูงตระหง่านอยู่ใจกลางเมืองด้วยกัน มาซารุได้เอ่ยประโยคนั้นออกมา และเป็นคำพูดที่ยากเกินกว่าเด็กหญิงมาโกะจะเข้าใจ แต่โดยสถานการณ์ที่ครอบครัวต้องพบเจอวันนั้น เด็กหญิงได้แต่สงสัยกับตัวเอง

"ที่พี่พูดเรื่องครอบครัวล่มสบาย เป็นเพราะครอบครัวของเราไม่มีเงินหรือเปล่านะ"

ในเดือนธันวาคมที่กำลังจะมาถึงอีกไม่นาน เป็นกำหนดการที่การสร้างตึกสกายทรีจะแล้วเสร็จ ครอบครัวฮงโงะอาจจะล่มสลายไปก่อนจริงๆ ดังคำของมาซารุพูดไว้ หากเด็กหญิงมาโกะจะไม่ได้พบเจอกับสมาชิกใหม่ตัวสำคัญของครอบครัว

ลูกหมาพเนจรพันธุ์ปอมเมเรเนียนที่หลงทาง ขนาดตัวของมันเล็กจ้อยแต่ชื่อที่มาโกะตั้งให้นั้นสุดจะใหญ่โต "สกายทรี"




เจ้าสกายผู้เกิดมาเป็นหมาอาภัพ ขออนุญาตใช้คำว่าหมาเลยนะคะ เพราะไม่รู้สึกว่ามันไม่สุภาพแต่อย่างใด (อิอิ ทำอย่างกะว่าปกติใช้คำพูดสุภาพเรียบร้อยอยู่เลยเนอะ ทั้งที่ความจริงก็ไม่) ตอนแรกจะใช้คำว่าสุนัขให้เรียบร้อยกว่านี้ แต่ลองแล้วมันไม่ได้ฟิลค่ะ คือ เจ้าหมาน้อยตัวนี้มันหลงทางมาจากไหนก็ไม่รู้ มันมาวนเวียนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อที่แม่ของมาโกะทำงานพาร์ทไทม์อยู่ เด็กผู้หญิงเมื่อมาเจอหมาก็ปรากฏว่าถูกชะตาอย่างแรง แต่วันหนึ่งมันก็ถูกสถานคุ้มครองสัตว์จับตัวไป ด้วยจิตใจทีรักสัตว์และมีเมตตา เด็กน้อยมาโกะจึงหาหนทางไปยังสถานที่แห่งนั้น ทั้งที่ก็หวาดหวั่นกับสถานที่ที่ไม่เคยคุ้น กับเจ้าหน้าที่ผู้ใหญ่ที่ท่าทางดุดัน เมือเขาถามว่าเป็นเจ้าของมาตามหามันหรือ มาโกะก็ได้แต่พยักหน้ารับสมอ้าง แต่เด็กน้อยใสซื่อไม่เคยโกหก ถามอะไรก็ไม่พูด ไม่อธิบาย เอาแต่ก้มหน้าก้มตา ผู้ใหญ่ไม่โง่ย่อมรู้ว่าเด็กหญิงโกหก การไปสถานที่แห่งนั้นที่มีสัตว์เลี้ยงถูกขังไว้มากมาย ทำให้มาโกะได้รู้ หากสัตว์เหล่านั้นไม่มีเจ้าของมาติดต่อรับคืน จากนั้นไม่นานมันจะต้องถูกกำจัดโดยการฉีดยาให้ตาย แต่ถึงรู้เด็กน้อยก็ทำได้แค่เดินคอตกออกมาจากสถานคุ้มครองสัตว์ แต่เจ้าปอมเมเรเนียนตัวนี้มันดันหลุดหนีวิ่งออกมา ผู้ใหญ่วิ่งไล่ตาม มาโกะเข้าขวาง มันจึงหนีรอดไปได้

ใครไม่หลงรักเด็กหญิงคนนี้ก็บ้าแล้ว เพราะเธอเล่นได้อย่างสมควรถูกหลงรักมากๆ ดูเป็นธรรมชาติ ไม่ถูกยัดเยียดพฤติกรรมหรือความคิดที่จะทำให้ดูโตเกินวัย ซึ่งก็จะดูเป็นธรรมชาติแบบนี้ไปตลอดทั้งเรื่อง ข้อนี้ต้องชมผู้เขียนบทและบรรดาผู้กำกับและตัวหนูน้อยเองด้วยค่ะ

ปอมเปเรเนียนน้อย มันหนีกลับมาวนเวียนอยู่ ณ ที่แห่งเดิม ที่ที่มาโกะรู้ว่าจะหามันเจอ และเธอก็ตัดสินใจที่จะพามัน 'กลับบ้าน'

ตั้งแต่ที่เจ้าสกายตัวนี้เข้าล่วงสู่ประตูบ้านของครอบครัวฮงโงะ นับจากวันนั้นเรื่องร้ายต่างๆ ก็ประเดประดังเข้าสู่ครอบครัว โดยเกือบทุกเรื่องล้วนเกี่ยวข้องกับ 'เงิน' ซึ่งจะว่าเรื่องของคนหมาไม่เกี่ยวก็ไม่เชิงนัก เพราะหลายเรื่องเจ้าสกายก็เป็นสาเหตุโดยตรง มันเป็นส่วนเพิ่มที่หมายถึงการแบ่งปันอาหาร มันต้องมีเชือก มีปลอกคอ ต้องมีใครสักคนพามันออกไปเดินเล่นให้ผ่อนคลาย พาไปอึฉี่นอกบ้าน แถมมันยังเป็นสิ่งมีชีวิตที่รู้จักเจ็บไข้เป็น ต้องมีหยูกยารักษาต้องพบสัตวแพทย์ มันเป็นหมาก็จริง แต่หมาก็ต้อง 'ใช้เงิน' ทั้งยังเป็นปัญหาสังคม ให้เพื่อนบ้านรังเกียจเดียดฉันท์เพราะกฏของอพาร์ตเมนท์นั้น "ห้ามเลี้ยงสัตว์" และนั่นอาจหมายถึง ความเดือดร้อนครั้งใหญ่ หากครอบครัวฮงโงะถูกอันเชิญให้ย้ายออก



ละครเรื่องนี้จึงน่าซาบซึ้งใจอย่างมากกับเรื่องหมาๆ ที่ถึงมันจะนำพาแต่ความเดือดร้อนมาให้ แต่มันก็เป็นเครื่องเยียวยาและยึดเหนี่ยวครอบครัวอัตคัดขัดสนนี้ไว้ด้วยกัน อย่างน่าสนใจ

พ่อ-ยูจิ ที่จำทนกับงานที่ไม่ต้องการทำแต่ต้องทำ แถมเพื่อนเก่าร่วมวงดนตรี ยังคอยวนเวียนมาเล่นดนตรีแสดงความเป็นอิสระเสรีโดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบผูกติดกับอะไรให้ยูจิเห็นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ความอดทนของคนเรามันมีขีดจำกัด ถึงจะต้องรับผิดชอบต่อปากท้องของครอบครัวอย่างไร ยูจิก็สุดจะทนรับสภาพกดดันต่อไปได้ไหว และตัดสินใจลาออกจากงาน

แม่-ซาจิ หากผู้เขียนเป็นผู้ชาย ผู้หญิงแบบซาจินี่แหละคือนางในฝัน ผู้หญิงที่จะเป็นเมีย เป็นแม่ของลูก เป็นเพื่อนสนิท และเป็นคู่ชีวิตที่ร่วมสุขร่วมทุกข์กันตลอดไป ซาจิที่เข้มแข็งอยู่เสมอ หน้าที่ของแม่บ้านที่ถือเงินใช้จ่ายอยู่ในมือ ทุกบาททุกสตางค์ต้องได้รับการคำนวณและใคร่ครวญเป็นอย่างดี นั่นทำให้เธอต้องใจแข็ง เด็ดขาด และเข้มงวด ซาจิในตอนแรกจึงต่อต้านการเลี้ยงเจ้าสกายเอาไว้ แม้จะรู้มาโกะได้มันมาด้วยความผูกพันอย่างไร และรู้ว่าสามีรักหมาแค่ไหน ตลอดจนคำสัญญาที่ยังไม่มีโอกาสทำได้ พวกเขาจะเลี้ยงหมา เมื่อพวกเขามีบ้านเดี่ยว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่วันนั้นจะมาถึง มาโกะรักมัน ยูจิก็รักมัน ส่วนมาซารุนั้น รักหรือไม่รักไม่สำคัญ สำหรับเขา..ยังไงก็ได้

ลูกชาย- มาซารุ เขาเป็นเด็กที่รับรู้ความจริงตามสภาพที่เห็นและเป็นอยู่ ..เราไม่มีเงินจะเลี้ยงมัน และเขาเป็นเด็กที่เข้าใจโลก เข้าใจแม่ของเขา แม่ที่เข้มแข็งที่สุดในโลก และมาซารุเชื่ออย่างสนิท..แม่จะไม่เปลี่ยนใจ

"พ่อจะโน้มน้าวแม่ให้เปลี่ยนใจหรือฮะ ...ไม่มีทางงงงงง"

มาซารุก็เป็นเหมือนเด็กทั่วไป เขาอยากได้อยากมีของเล๋นดีๆ แพงๆ เหมือนเด็กคนอื่น แต่เขารู้ดีพ่อแม่ไม่มีเงิน ถึงพ่อแม่ไม่เคยพูดคำเหล่านี้ "ยากจน" แต่เด็กชายมาซารุก็เข้าใจได้ตรงประเด็น ที่พ่อแม่ไม่มีเงินซื้อของเล่นดีๆ แพงๆ เพราะ "ครอบครัวของเรายากจน"

ถึงจะยังเด็กมาซารุก็มีทางออกแบบเด็กๆ ของที่พ่อแม่ให้ไม่ได้ มาซารุก็หาเอาเองได้ ด้วยวิธีการใช้กำลังเข้ายึด ..เป็นจิ๊กโก๋น้อยซะงั้น



ลูกสาว-มาโกะ ถ้าเทียบกับเด็กหญิงซาจิใน Shiroi Haru เด็กญิงชิซึกุ ใน Flower shop without roses และเด็กหญิงโคฮารุใน My girl มาโกะดูจะเล็กกว่านะคะ ยังไม่ค่อยจะรู้เรื่องหรือเข้าใจอะไรรอบตัวนัก แต่เธอกลับเป็นตัวแทนเสียงเล่าในละครเรื่องนี้ ..เสียงความคิด ของเด็กหญิงตัวเล็กๆ ที่บอกเล่าสิ่งต่างๆ ในโลกรอบตัว ซึ่งก็ไม่ได้กว้างใหญ่ เพราะโลกของเธอมีอยู่ไม่กี่อย่าง บ้าน ตึกสกายทรีอันใหญ่โตที่มองเห็นจากบ้านและทั่วทุกมุมเมือง โอโต้ซัง โอก้าซัง โอนี่จัง และเจ้าสกาย การถ่ายทอดมุมมองของเด็กหญิงอายุแค่นั้นออกมาให้ซื่อใส โดยไม่เผลอใส่ความคิดแบบผู้ใหญ่ลงไปให้จับต้องได้ ถือว่าทำดีแล้วนะคะ เพราะก็ไม่มีตรงไหนที่ทำให้เห็นชัดเจนจนรู้สึกขัดแย้งได้ว่า มาโกะมีความคิดอ่านที่โตเกินเด็ก



มันเริ่มมาจากความกรุณาในหัวใจของมาโกะ ที่มีต่อเจ้าสกายโดยแท้ ครอบครัวนี้จึงได้เรียนรู้ เข้าใจกันและกัน และร่วมฝ่าฟันคืนวันที่ยากลำบาก พ่อที่เด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งขึ้น แม่ที่อ่อนโยนลง ลูกๆ ที่เติบโตขึ้นในช่วงเวลาไม่กี่เดือนหลังจากมีเจ้าสกายตัวปัญหามาอยู่ร่วมบ้าน มาซารุพี่ชายที่เกือบจะออกแนวเย็นชา กลับค่อยๆ กลายเป็นคนใจดี จากคนที่ส่งเสียงตะคอกใส่น้องกลับเปลี่ยนเป็นเสียงอบอุ่นที่คอยปลอบใจ คนที่วิ่งแซงไปโรงเรียนแบบไม่เหลียวหลัง กลายเป็นคนที่รั้งรอและยื่นมือออกมาให้ จริงๆ เลยนะคะ ครั้งแรกที่มาซารุยื่นมือออกมาให้มาโกะนั้น มันรู้สึกอุ่นเต็มหัวใจเลย และสุดท้ายที่ได้เห็นว่า เด็กเล็กๆ นั้น ถ้าหากอบรมสั่งสอนพวกเขาให้ดี นอกจากพวกเขาจะรู้จักพึ่งพาตัวเองได้ดีแล้ว ในบางครั้งเขายังเป็นที่พึ่งพิงของพ่อแม่ได้ด้วย

'พึ่ง' ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอะไรที่มันใหญ่โต แต่หมายถึงสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อะไรก็ตามที่เด็กๆ จะทำได้ด้วยตนเอง โดยไม่ต้องเป็นภาระของพ่อแม่ ซึ่งจะว่าไปแล้วเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่ว่า หากเรามองในมุมของเด็กมันก็คงเป็นเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่งของเด็กแต่ละคน ปัญหาที่ผู้ใหญ่อาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แต่สำหรับเด็กมันก็เป็นเรื่องร้ายแรงสำหรับพวกเขา ตอนสุดท้ายที่มาซารุได้ทำตัวเป็น 'พี่ชาย' ให้มาซาโกะอุ่นใจ และเป็น 'ลูกชาย' ให้พ่อและแม่พึ่งได้ เมื่อพ่อบอกว่า

"เก่งมาก มาซารุ"
"ลูกเก่งมากจริงๆ"
"อาริงาโตะ
"


สิ้นคำของพ่อ เด็กชายมาซารุคงรู้สึกได้ว่าเขาหมดหน้าที่แล้วตามที่ได้พยายามอย่างดีที่สุด จึงปล่อยโฮกับไหล่ของพ่อ โดยที่มาโกะหันมองพี่ชายร้องไห้แล้วปล่อยฮือตามด้วยอีกคน พ่อกับแม่พากันเหลียวมองลูกสองคนทั้งน้ำตา โห...มันเป็นฉากที่ ...รู้สึกดีมาก ไม่รู้จะบรรยายอย่างไรถูก ละครเรื่องนี้เหมือนเป็นแค่การดำเนินชีวิตของครอบครัวหนึ่ง พ่อ แม่ ลูก 4 คน กับ หมา 1 ตัว ที่จะว่าไปแล้วก็คล้ายกับเป็นเรื่องเรียบง่าย เล็กๆ น้อยๆ แต่อย่างที่บอกมันให้ความรู้สึกที่ใหญ่โตกว่านั้น

เจ้าสกาย หมาน้อยที่อาภัพตัวนี้ ถือได้ว่าเป็นเครื่องรางอันศักดิ์สิทธิ์ของครอบครัวฮงโงะ และมันสมควรได้รับการขึ้นหิ้งบูชาซะจริงๆ

เป็นซีรีย์ที่เด็กดูได้ ผู้ใหญ่ดูดี ในเรื่องเราจะเห็นตัวละครสอนลูก แต่โดยเนื้อหาต้องถือเป็นละครสอนใจพ่อแม่ที่ดีเรื่องหนึ่ง ยามดูละครรักโรแมนติก ผู้เขียนก็รู้สึกอยากมีความรักและแต่งงานมีครอบครัวดีๆ กับเขาบ้าง แต่พอดูละครที่แต่งงานเป็นครอบครัว ก็รู้สึกว่าเป็นโสดนั้นชีวิตมันง่ายกว่ากันเยอะเลย ( 555 )

แม้ชีวิตคู่จะหมายถึงการมีคู่ชีวิตร่วมแบ่งปัน แต่พอแต่งงานกันไปนานๆ มันจะไม่ได้แบ่งปันแค่ความสุขความหวานชื่นอีกต่อไปน่ะสิคะ มันมีความทุกข์ยากลำบากที่ต้องช่วยกันแบกรับด้วย ยิ่งตอนมีลูกก็ดูจะยากยิ่งกว่าเดิม ผู้เขียนเคยเป็นแต่ลูก ไม่เคยเป็นพ่อเป็นแม่ ก็คงไม่เปรื่องเรื่องของการเป็นครอบครัวนัก แต่จากมุมมองส่วนตัวคิดว่าหน้าที่ที่ยากที่สุดของการเป็นพ่อแม่ ก็คือ การสั่งสอนลูกให้เป็นคนดี มันคงไม่ง่าย ไม่มีอะไรตายตัว ไม่มีวิชาไหน ศาตราจารย์คนใดจะสอนแล้วได้ผลเป๊ะตามตำรา แต่พ่อแม่คงต้องเรียนรู้จากลูก รู้จักเขา เข้าใจในสิ่งที่เขาเป็น แล้วสอนเขาด้วยตัวของตัวเอง แล้วจะไม่ให้คิดว่ามันยากได้ยังไงล่ะคะ



เหตุนี้ ซาจิ จึงเป็น สุดยอดคุณแม่ ชอบมากเลยที่เธอก็ไม่ได้ดูโตกว่าลูกเท่าไรนักยามพูดคุยกัน ชอบตรงที่เธอเข้มงวดกวดขัน และไม่ปล่อยให้เรื่องใดๆ ผ่านเลยไปเพียงแค่เห็นว่ามันเป็นเรื่องของเด็ก

บ้านฮงโงะ ... มีกล่องอยู่ใบหนึ่งที่เรียกว่า "กล่องความฝัน" เป็นกล่องเงินเก็บกองกลางของครอบครัว ทุกๆ วันพ่อจะควักเศษเหรียญที่เหลือมาแต่ละวันใส่ไว้ในกล่องนั้น แล้วแม่ก็จะหยิบธนบัตรที่อยู่ในนั้นให้เป็นค่าใช้จ่ายของพ่อในแต่ละวัน เด็กหญิงมาโกะมองกล่องความฝันและรู้แค่ว่ามันเป็นกล่องสำคัญมากที่จะพาทุกคนไปฮาวายได้ในวันหนึ่ง ส่วนเด็กชายมาซารุที่รู้ความและเข้าใจโลกมากกว่าน้องสาวเยอะ ได้แต่มองกล่องนั้นด้วยอารมณ์แค่นนิดๆ สายตาดูแคลนหน่อยๆ เพราะเขาคิดว่าเงินในกล่องนั้นไม่ได้เพิ่มขึ้นสักเท่าไหร่เลย แม้ครอบครัวของเราจะทำอย่างนั้นมานานหลายปีแล้วก็ตาม และอย่างหนึ่งที่เขารู้ แม่ไม่เคยนับเงินว่าจริงๆ แล้วมันมีอยู่เท่าไร

กล่องความฝัน ที่ทุกคนมองมันด้วยสายตาหลากหลายความรู้สึก ทุกคนรู้ว่ามันสำคัญ แม้แต่เด็กหญิงมาโกะก็รู้กับเขาเหมือนกันว่านั่น 'สำคัญมาก' เมื่อคืนวันหนึ่งที่เด็กน้อยตื่นมาพบ.. พ่อกำลังหยิบเงินจากกล่องความฝัน สายตาที่จ้องเขม็งมายังพ่อ ยากที่จะบอกได้ว่าเด็กหญิงคิดอะไร พ่อไม่มีคำอธิบาย นอกจากบอกว่า "อย่าบอกใคร"

ของราคาแพงผิดปกติที่พี่มาซารุมี และไม่มีคำอธิบายมากกว่านั้นนอกจากบอกว่า "อย่ายุ่ง" เด็กน้อยมาโกะคงไม่สามารถปะติดปะต่อเรื่องได้กับการที่เห็นพี่ชายขู่เข็ญรังแกเด็กคนอื่น สายตาจ้องเขม็งไปยังการกระทำนั้น แต่ก็ยากจะบอกได้เด็กหญิงมาโกะคิดอะไร

แล้วแม่ก็จับได้ พี่มาซารุมีของที่พ่อกับแม่ไม่มีทางซื้อให้ และพี่มาซารุสารภาพในที่สุด เขาหยิบเงินจากกล่องความฝันไป แม่บอกว่าเรื่องนี้เป็นหน้าที่ของพ่อ แต่พ่อไม่พูดอะไรนอกจากมองมาที่มาโกะแล้วบอกพี่มาซารุแค่ว่านั่นเป็นสิ่งไม่ดีและ "อย่าทำอีก" ที่พ่อพูดได้แค่นั้น แม่โกรธมากถึงกับร้องไห้

โถ ..หนูน้อยมาโกะไม่เข้าใจ พ่อยูจิจะพูดอะไรได้ละคะ เพราะพ่อก็หยิบเงินจากกล่องความฝันไป และพยานรู้เห็นก็ยืนจ้องตาแป๋วอยู่ตรงนั้น สายตาที่พ่อมองมาสบตามาโกะ (ซึ่งมาโกะคงจะไม่ค่อยเข้าใจ) นั่นก็คือ ความละอายแก่ใจของคนเป็นพ่อนั่นเอง

การหยิบเงินจากกล่องความฝันที่ทุกคนรู้ว่าแม่ไม่ได้นับเงิน ถือว่าเป็นการตั้งใจขโมยโดยเจตนาที่แจ่มแจ้ง มาโกะเข้าใจ พี่มาซารุทำไม่ดี พ่อก็ทำไม่ดี แต่ว่า..วันหนึ่งมาโกะก็มีเรื่องจำเป็นต้องใช้เงินเหมือนกัน และกล่องความฝันก็ตั้งอยู่ตรงนั้น



Smiley แรงบันดาลใจแด่พี่ชายแสนดี

พี่มาซารุบอกว่า ครอบครัวของเรายากจน ที่เราต้องยากจนกันอย่างนี้ เป็นเพราะตัวของพี่เอง พี่บอกว่า เพราะมีพี่เกิดมาพ่อแม่ถึงต้องเลิกเรียนและมาแต่งงานกัน มาโกะที่คงไม่เข้าใจนักว่ายากจนมันแย่ยังไง จึงถามแม่ว่า

"แม่คะ ที่เรายากจนแบบนี้เพราะมีพี่เกิดมาหรือคะ"

ก่อนนั้นมาโกะคงไม่ค่อยเข้าใจที่เพื่อนไม่มาเที่ยวบ้านโดยบอกเหตุผล 'มันเล็กเกินไป' และทำไมการไปปาร์ตี้ของเด็กๆ จึงต้องใส่ชุดสวยๆ ที่ดีที่สุดด้วย

"แต่ว่าหนูไม่มีชุดสวยๆ "

คำพูดซื่อๆ ทำให้แม่น้ำตาคลอ แต่ประโยคต่อมาที่บ่งบอกว่ามาโกะไม่ได้ทุกข์ร้อนอะไรนักกับการไม่มีชุดสวยๆ ก็ทำให้แม่ยิ้มออกมาทั้งน้ำตา


"หนูก็เลยเลือกชุดที่ชอบที่สุด"


เด็กชายมาซารุผู้รู้สึกขาดแคลน และเสาะหาของเล่นแพงๆ ที่อยากได้ด้วยวิธีการใช้กำลังเข้ายึด นั่งมองแม่ที่กำลังเล่าเรื่อง 'ของที่ชอบที่สุด' ให้น้องสาวฟัง ของที่พ่อใช้น้ำพักน้ำแรงแลกเงินซื้อมาให้แม่ด้วยความยากลำบาก ของที่ถึงแม้แม่จะใช้มันจนเก่ากึก แต่แม่ก็ยังภูมิใจและรักมันมากที่สุด มันดูมีค่ามากเมื่อแม่พูดถึงมัน ของที่พ่อซื้อให้และมาซารุเคยเมินอย่างไม่เห็นค่า จึงกลายเป็นของสำคัญขึ้นมาด้วยเหมือนกัน และถึงเวลาที่มาซารุต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อปกป้องมัน

ฉากหนึ่งที่ชอบมาก คือตอนมาซารุเดินตามมาโกะที่อุ้มเจ้าสกายเดินดุ่มๆ ตรงกับบ้าน หลังกลับจากพามันไปหาหมอ มาซารุที่รู้สึกผิดกับการเป็นต้นเหตุและพยายามจะช่วยเหลือ ทั้งที่ไม่ค่อยแสดงความเอื้ออาทรต่อน้องสาวมาก่อน "พี่อุ้มเอง" แต่มาโกะที่สีหน้ามุ่งมั่นตั้งใจกับคำศัพท์ที่เพิ่งเรียนรู้มาใหม่หมาด "แม่ของสกาย" จึงปฏิเสธคำเดียวอย่างไม่เหลียวหลัง "ไม่" ท่าทีเด็ดเดี่ยวของน้องสาวที่ต้องการจะปกป้องเจ้าสกายด้วยตัวเอง คงเป็นภาพที่มาซารุไม่เคยเห็นมาก่อน โอนี่มาซารุจังก็เลยอึ้งมองตามหลังน้องตาปริบๆ

สิ่งที่มาซารุเห็น มาโกะทำสิ่งต่างๆ มากมาย เพื่อปกป้องเจ้าสกาย มาโกะตัวเล็กนิดเดียว แต่มาโกะดูแลมันอย่างดีและบอกว่าเธอคือแม่ของมัน 'มาโกะเป็นแม่ของสกาย' ก็ถ้ามาโกะปกป้องอะไรสักสิ่งหนึ่งได้ มาซารุที่เป็นพี่ชายต้องทำได้ดีกว่าสิ และสิ่งที่เขาต้องดูแลคงไม่เห็นเป็นอะไรอื่นนอกจากมาโกะน้องสาวของเขาเองกับเจ้าสกายหมาน้อยผู้อาภัพนั่นแหละ

การค่อยๆ เปลี่ยนของมาซารุ เป็นจุดที่ชอบมากในละครเรื่องนี้ คงเพราะเขาเป็นเด็กด้วย ปัญหาของเด็ก วิถีของเด็ก และเมื่อเด็กมาถึงจุดเปลี่ยนที่จะสวมวิญญาณหัวใจลูกผู้ชาย ( ตัวน้อยๆ ) เท่มาก และน่ารักมากมาย



Smiley รักวัวให้ผูกรักลูกให้ตี

สุภาษิตนี้ไม่มีวันตาย ผู้เขียนมีความรู้สึกขัดแย้งอย่างุรนแรงในยุคสมัยหนึ่งที่มีการพูดกันเกร่อเรื่องครูกับการ "แขวนไม้เรียว" หรือ "หักไม้เรียวทิ้ง" จะพ่อแม่หรือครู ผู้เขียนเป็นคนหัวเก่าที่เชื่อว่าการลงโทษให้หลาบจำยังเป็นเรื่องสำคัญจำเป็นอยู่ หรือจริงๆ แล้วอาจจะมีวิธีอื่นที่ดีกว่าหรืออย่างน้อยก็ดีเท่ากันโดยไม่ต้องตีเลยแม้แต่สักครั้งเดียว ซึ่งผู้เขียนเองก็ไม่รู้ แต่ที่โตมาและคิดว่าตัวเองเป็นคนใช้ได้พอสมควร เพราะอย่างน้อยก็ไม่เป็นพิษเป็นภัยกับสังคม (จริงๆ นะ) ก็เพราะถูกเลี้ยงมาด้วยการตีบ้างอะไรบ้าง ทั้งจากพ่อแม่และคุณครู ทุกวันนี้เมื่อเล็บยาวเกะกะ ยังมีบ่อยครั้งไปที่ทำให้นึกถึงครู การลงโทษให้จีบมือและตีที่ปลายนิ้วนั่นมันอย่างเจ็บเลย หรือจะเป็นเพราะครูนะทุกวันนี้ก็ไม่สามารถไว้เล็บยาวๆ ทาสีสวยๆ ได้เลย ( 555 โทษครูซะ) เมื่อไหร่ที่นึกถึงการโดดเรียนจะนึกถึงพ่อ เพราะตั้งแต่เกิดมาเป็นครั้งเดียวครั้งนั้นที่จำความได้ว่าถูกพ่อตี และแค่ครั้งเดียวก็สาบานได้ว่าจะไม่ขอโดนพ่อตีอีกเลยในชีวิตนี้ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็ตาม ส่วนแม่นั้น เธอตีผู้เขียนเป็นเรื่องปกติ ดีหน่อยที่ไม่ถึงกับเป็นกิจวัตรประจำวัน ส่วนครูนั้นส่วนใหญ่จะโดนกรณีซ่าส์เป็นหมู่คณะ ซึ่งการลงโทษที่ผู้เขียนเกลียดกลัวที่สุด เจอครั้งเดียวเป็นอันเข็ดหลาบ ก็คือ การปั่นจิ้งหรีด รับไม่ได้จริงๆ การลงโทษแบบนี้ เพราะทำเอาเซซังและมึนไปซะครึ่งวันแม้มันจะหมุนแค่สิบรอบก็ตาม

อ่ะ ขออภัยนอกเรื่องอีกละ ก็จะพูดถึงการตีนี่แหละค่ะ มาซารุโดนเข้าไปถึงสองครั้ง แบบจัดเต็ม ครั้งแรกถูกแม่ตบซะหน้าหัน ตอนนั้นยูจิพูดกับซาจิ

"ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่ควรตบหน้าลูกนะ"

แต่พอถึงคราวตัวเองบ้าง

"พ่อให้ผมเกิดมาทำไม!" คำถามเกรี้ยวกราด ที่ทำให้พ่อร้องอ้าปากร้อง ...ฮ้า...

"ลูกบอกว่า บ้านเรายากจนเพราะมีเขาเกิดมา" คำอธิบายเพิ่มเติมของแม่ทำให้พ่อต้องร้องออกมาอีกครั้ง ....ฮ้า...

"ก็มันจริงนี่ เพราะว่า เพราะมีผม พ่อกับแม่เลยจำใจต้องแต่งงานกันใช่ไหม!"

นั่นแหละ.. มาซารุก็เลยโดนพ่อตบเสียหน้าคว่ำ ก่อนจะกระชากกลับมาเขย่าตัวให้รับฟัง

"อย่าพูดเหลวไหล ไหน พูดอีกครั้งซิ
แก.. คิดอย่างนี้มาตลอดเหรอ
เป็นเด็กเป็นเล็กอย่าพูดจาโอหัง"

"ใคร ... ใครแต่งงานเพื่อแกเหรอ
พ่อแต่งงานกับแม่ เพราะรักแม่มากไม่ได้มีเหตุผลอื่น
ที่แกเกิดมา มันแค่ทำให้เราแต่งงานกันเร็วขึ้น
ครอบครัวเราลำบากยากจน แต่มันก็เป็นแรงผลักดันให้พ่อสู้
มันเป็นปัญหาของพ่อ"


พ่อที่เคยใจดีและคงไม่มีโอกาสที่จะลงมือตีลูกมาก่อนสักครั้ง แต่ที่สุดก็มีจุดที่โมโหจนฟิวส์ขาดเข้าเหมือนกัน มาซารุร้องไห้เต็มเสียง ยูจิกอดลูกปลอบโยนเบาๆ

"อย่าพูดอีก อย่าพูดแบบนี้อีก ห้ามคิดด้วย"

ทั้งที่โดนตบ แต่คำพูดจากปากของมาซารุ แสดงว่าสิ่งที่ฝังอยู่ในใจมานานได้ถูกรื้อถอนและรับการเยียวยา

"ผมขอโทษฮะ"

มาโกะมอง จ้องเป๋งไปยังพ่อและพี่ชาย เช่นเดิม ..ท่าทางคงไม่ค่อยเข้าใจนัก


"พี่มาซารุ ถูกตบหน้าเป็นครั้งที่สอง แต่พี่กอดพ่อไว้แน่นเชียว"




Smiley สิ่งที่เลือกแล้วคือสิ่งที่ดีที่สุด

"คนเราน่ะ เลือกได้นะ ว่าจะทำตามความฝันของตัวเอง
หรือจะโยนมันทิ้งไป พวกเค้าตัดสินใจด้วยตัวเอง
ถึงตอนนี้ นายก็ใช้ชีวิต แบบที่นายเลือกแล้ว ใช่มั้ยยูจิ
ยังไงก็เถอะ นายยังแน่ใจอยู่หรือเปล่าว่าเป็นแบบนั้น"


ฮิเอะ อดีตเพื่อนร่วมวงที่ยังพยายามไล่คว้าความฝัน และถึงไม่พูดออกมาตรงๆ ก็รู้ได้ว่าอยากให้ยูจิร่วมทางไปด้วยกัน ยูจิที่เต็มไปด้วยภาระ กำลังลำบากขัดสนกับชีวิตที่เห็นได้ชัดว่าขาดอิสระ แต่ผู้เขียนคิดว่าที่ฮิเดะพยายามชักจูงยูจิคงเป็นเพราะความล่องลอยไร้อนาคตของเขาเอง ที่ทำให้อยากจะยึดโยงความมั่นคงของยูจิเอาไว้ โดยใช้ความฝันอันเย้ายวนเป็นสิ่งล่อใจ ชวนให้ดูแล้วหวั่นไหว ..แต่การดูซีรีย์ญี่ปุ่น ความที่มันสั้นแค่ 9 ตอนและการดำเนินเรื่องค่อนข้างฉับไวกว่าซีรีย์เกาหลีเยอะ เวลามีอะไรให้เครียดก็ไม่ต้องกังวล เพราะมันไม่เครียดอยู่นาน อีกทั้งยูจิก็ค่อนข้างชัดเจนแต่แรก

"เพราะฉันคิดว่าเธอจะไม่ยอมแต่งงานกับฉัน
เพราะฉันไม่คิดว่าเธอจะเลือกฉัน คนที่ไม่มีอนาคต
ถ้าเพื่อลูกๆ ที่เกิดมาของเรา ฉันไม่แคร์เรื่องกีตาร์หรือดนตรี
จริงๆ นะ ฉันคิดอย่างนี้แหละ
คิดว่านี่ เป็นเรื่องที่ฉันคุยโม้ได้
ฉันมีความสุขกับชีวิตอย่างนี้"


ชัดเจนในคำพูด แต่ลึกๆ แล้ว ในสภาพการณ์อย่างนั้นไม่รู้พูดออกมาเพื่อปลอบใจตัวเองหรือเปล่านะ จุดนี้ ผู้เขียนไม่กล้าฟันธง เช่นเดียวกับไม่กล้าฟันธงการตัดสินใจของตัวละคร เกี่ยวกับเรื่องงาน ที่มันอาจจะเป็นเรื่องน่าชื่นชมสำหรับคนอื่น แต่สำหรับครอบครัวไม่รู้ว่าการลาออกจากงานที่เปรียบเสมือนการตัดสินใจพาครอบครัวไปเสี่ยงอดตายเอาดาบหน้านั้น อย่างไหนควรทำกว่ากัน แต่ในฐานะที่ผู้เขียนดูละครเยอะจัด จึงมักจะให้น้ำหนักกับเรื่องของศักดิ์ศรีเป็นสำคัญ 'กินไม่ได้แต่เท่' เพราะคนบางประเภทก็อยากมีชีวิตอยู่อย่างภาคภูมิใจในตัวเองนะคะ ถึงมีเงินทองมากมายไม่มีวันอดตาย แต่คนประเภทที่ว่านั้นอาจจะตายได้อย่างง่ายๆ ถ้าต้องทนอยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี คนแต่ละคนมีบางเรื่องบางอย่างที่เป็นสิ่ง 'รับไม่ได้' แตกต่างกัน และถ้าวันใดวันหนึ่งตัวเราเองเป็นคนที่ทำสิ่งทีรับไม่ได้ที่ว่านั้น มันค่อนข้างจะเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว หากคนเราต้องสูญเสียความนับถือในตัวเอง แล้วใครจะนับถือเรา เพราะยูจิยังรักษามันไว้ วันหนึ่งมาซารุจึงมีโอกาสเข้าใจ ที่พ่อของเขาตกงาน ครอบครัวลำบากและไม่มีเงิน ไม่ได้หมายความว่าพ่อเป็นพวกขี้แพ้ แต่เพราะพ่อพยายามช่วยคนอื่น และพ่อของเขาคือฮีโร่



Smiley ความสุขของคนเราไม่เท่ากัน

มันไม่เท่ากันจริงๆ เพราะบางคนมีเงินก็ใช่จะมีความสุข มีเงินก็ใช่ว่าจะซื้อความฝันได้ เพราะความฝันมันต้องใช้อะไรมากกว่านั้น ความสามารถ จังหวะของโอกาส (และความฟลุ้คด้วยนิดหน่อย) มีเงินแต่จะมีประโยชน์อะไรเมื่อจุดประสงค์ของการใช้เงินไม่มีอยู่อีกต่อไป เงินซื้อสิ่งต่างๆ ได้มากมาย และทำให้คนมีความสุขได้ แต่ก็ไม่ใช่ทุกอย่าง เงินซื้อชีวิตไม่ได้ และความพึงพอใจบางอย่างก็ซื้อไม่ได้ด้วยเงิน ดูอย่างเด็กหญิงมาโกะ ในท่ามกลางความลำบาก จากที่พ่อไม่ค่อยเวลา เวลาออกจากบ้านพร้อมกับพ่อในตอนเช้า พ่อไม่เคยมีเวลาหยุดฟังเรื่องที่มาโกะอยากพูดคุยได้จบ เพราะความเร่งรีบที่ต้องแยกไปทำงานและกลับถึงบ้านตอนดึกดื่น พ่อตกงานคงเป็นเรื่องไม่ดี แต่อย่างหนึ่งที่มาโกะรู้

"เรื่องดีที่พ่อออกจากงาน พ่อกลับถึงบ้านในเวลาที่ไม่น่าเป็นไปได้"



มาโกะ มีเพื่อนร่วมชั้นอยู่คนหนึ่ง เธอชื่อ ชิสุกะ (Ihara Ryoka) ครอบครัวของเธอมีฐานะรวย และแม่ของเธอก็ชอบเหยียดๆ แม่ของมาโกะที่ทำงานพาร์ทไทม์อยู่ร้านสะดวกซื้อที่เธอไปจับจ่ายซื้อของเป็นประจำ ชิสุกะก็เป็นเด็กหญิงที่มีนิสัยชอบข่มแบบคนขี้อวดนิดๆ ที่คงจะติดมาจากแม่ของเธอ กับเพื่อนร่วมชั้น ฮงโงะ มาโกะ เป็นอะไรที่ไม่ค่อยจะกินเส้นกัน ตรงนี้อธิบายอาการของเด็กลำบาก ต้องลองดูกันเอาเองค่ะ มันเป็นอะไรที่น่ารัก ขำๆ แล้วก็ทำให้อดยิ้มไม่ได้ ประมาณว่า "ไฮโซจ๋า กับยัยปอนๆ" มาโกะน้อยของเราดูเหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจแต่ละเรื่องที่ชิสุกะพูดออกมาจากปาก ซึ่งชิสุกะน้อยก็คงจะจดจำเอามาจากแม่ของเธอที่เป็นสมาชิกขาใหญ่ของสมาคมแม่บ้านชอบนินทานั่นแหละ แต่ถึงจะไม่ค่อยเข้าใจ มาโกะก็คงรับรู้ความเป็นมิตรหรือศัตรูในน้ำเสียงของคนพูดได้ เธอเป็นเด็กที่ไม่พูดไม่เถียง แต่ไม้เด็ดของเธอคือการ "จ้องมอง"

ผู้เขียนล่ะหลงรักสายตาจ้องมองของเธอซะจริง เหมือนกับว่า เวลาที่เธอไม่ค่อยเข้าใจ เธอก็จะจ้องมองเพื่อพยายามทำความเข้าใจ อย่างตอนที่จ้องมองพ่อหยิบเงินจากกล่องความฝัน จ้องเงียบๆ จ้องมองพี่ชายรังแกคนอื่นอยู่เงียบๆ คงเป็นเพราะเธอไม่ค่อยเข้าใจและยังมีเป็นเด็กที่มีจิตใจอ่อนโยน มาโกะจึงไม่ได้ถือสาหรือจดจำความเป็นอริที่รู้สึกได้จากตัวของชิสุกะ (ธรรมชาติของเด็กคงเป็นอย่างนั้นเอง) เมื่อถูกชวนไปบ้านก็ตั้งใจจะไป เมื่อชิสุกะโผล่มาที่บ้านก็ยอมให้เข้ามา แม้จะดูงงๆ ที่ได้รับการเชิญให้เข้าร่วมงานปาร์ตี้จากเจ้าหญิงชิสุกะ และเจ้าหญิงก็มีเสด็จมาเยี่ยมบ้านเล็กๆ ที่เคยปฏิเสธจะมา ( 555 น่ารัก) ทั้งนี้ทั้งนั้น เพราะถึงจะเป็นลูกคนรวย คุณหนูชิสุกะก็ไม่มีบางสิ่งที่มาโกะมี หมาน้อยน่ารัก ที่บ้านของชิสุกะเลี้ยงไม่ได้ และพี่ชาย ที่พ่อกับแม่ไม่มีให้ พี่ชายที่คอยเรียก "มาโกะ ไปกันเถอะ" และจับจูงมือไปด้วยกัน ทำให้ชิสุกะต้องการเรียกร้องในสิ่งที่ขาดแคลน

"แม่คะ ... หนูอยากได้พี่ชาย แม่มีพี่ชายให้หนูได้ไหมคะ"



Smiley ถ้าเธอพร้อมฉันก็พร้อมไปด้วยกัน

ความสัมพันธ์ของสามีภรรยา ยูจิ-ซาจิ ทำให้นึกถึงเพลงนี้ของโบว์ สุนิตาเลยค่ะ

ถ้าเธอพร้อม ฉันก็พร้อมไปด้วยกัน
เดินบนทาง ที่สองเราเลือกไป
ไม่ว่าจะดี จะร้าย จะพร้อมใจ
บทสุดท้ายจบอย่างไร
ก็หาคำตอบไปด้วยกัน


ความรัก....คงไม่ต้องพูดถึงเมื่อสองคนตัดสินใจทิ้งฝันเพื่อจะเผชิญหน้ากับความลำบากด้วยกัน นอกเหนือจากนั้นยังแสดงให้เห็นถึงสิ่งดีๆ หลายอย่างที่สามีภรรยาพึงมีต่อกัน พึ่งพาอาศัย ยอมรับ เข้าใจ และรู้จักตัวตนของกันและกัน ตัวตนที่เป็นความน่านับถือและร้อยรัดความรู้สึกดีๆ ที่มี่ต่อกันไว้ ผูกยึดเป็นความเชื่อใจ และเคารพในการตัดสินใจของกัน ละครคงไม่ต้องใส่พฤติกรรมหรือคำบรรยายใดที่จะบอกว่าทำไมซาจิเลือกผู้ชายคนนี้ มันเข้าใจกันได้จากสิ่งที่ยูจิเป็นอยู่แล้วในภาพรวม คงเพราะเชื่อใจและมั่นใจในกันและกัน จึงสามารถจะวางใจในอีกฝ่าย แล้วตั้งหน้าตั้งตาทำหน้าที่ของตนเองให้ดีที่สุด ยูจิอาจจะไม่กล้าลาออกก็ได้ หากเขาไม่มั่นใจว่าซาจิจะเข้าใจและไม่เกิดเป็นการทะเลาะเบาะแว้ง เธอตกใจกับเรื่องที่รับรู้ เอ่ยปากถึงความกังวลกับปัญหาที่จะเกิดขึ้น แต่ก็แค่นั้น ไม่บ่นไม่ว่า ไม่ซักถามเอาสาเหตุเพื่อแสดงความคิดเห็น หรือซ้ำเติม แล้ววันรุ่งขึ้นมันก็เป็นวันปกติที่คอยให้กำลังใจสามีเหมือนเช่นทุกๆ วัน นางในฝัน ศรีภรรยาในอุดมคติจริงๆ ค่ะ

ชอบตอนที่ยูจิ-ซาจิ พูดกันเรื่องเงินห้าแสนเยน และยูจิพูดให้ซาจิหวนคิดถึงอดีตที่เคยลำบากมาด้วยกัน ยูจิที่เข้าใจดีว่าซาจิเป็นแม่ที่ต้องเข้มแข็งแค่ไหน ในทุกๆ ครั้งที่ต้องปฏิเสธความต้องการเล็กๆ น้อยๆ ของลูก ด้วยเหตุผลที่ว่า 'ไม่มีเงิน' เงินห้าแสนเยนจึงเป็นเรื่องที่ชวนยิ้มขันเมือยูจิมองมาที่ภรรยา

"ข้อดีที่สุดของเธออย่างนึง ก็คือการโกหกไม่เก่งนี่แหละ"

ผู้เขียนชอบอาซามิในบทของซาจิจริงๆ ทุกครั้งที่เธอโมโห ทุกครั้งที่เธอร้องไห้ เป็นคุณแม่ที่น่ารักจริงๆ ส่วนเรียว เล่นเรื่องนี้ได้โอเคแล้ว แต่บางเวลาก็มีแอบนอกใจ อยากให้เอตะเล่นเป็นคุณพ่อและสามีของอาซามิในบทนี้แทน (แต่ก็แค่นิดเดียวเองนะ ก็ชอบเอตะกับอาซามิน่ะ เลยเผลอนอกใจไปบ้าง)



Smileyครอบครัวพันผูก พ่อแม่ลูกผูกพัน

ชอบมากค่ะ ครอบครัวนี้ ชอบทุกคนเลย ซาจิที่บางครั้งก็ดูเหมือนเป็นพี่สาวคนโตมากกว่าเป็นแม่ เวลาเธอวุ่นวายกับงานบ้านและรบรากับลูกๆ จะดูน่ารักมากจริงๆ ละครแนวครอบครัวเรื่องอื่นๆ เรามักจะเห็นพ่อแม่ที่เป็นผู้ใหญ่กว่านี้และมีลูกเป็นหนุ่มเป็นสาว หรือเป็นวัยรุ่นที่มีปัญหาและต้องการความรักความเข้าใจรวมถึงการเป็น 'ที่พึ่ง' จากพ่อแม่ แต่เรื่องนี้มาโกะและมาซารุยังเล็กเกินกว่าจะต้องการที่พึ่งอะไรแบบนั้น เขาแค่ควรจะเข้าใจสิ่งต่างๆ รอบตัวในทางที่ถูกต้องและมีความสุขกับมัน พ่อแม่ที่ก็ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว และอยู่กันตามลำพังไม่มีผู้ใหญ่ที่เป็นปู่ย่าตายายของเด็กๆ ให้คอยพึ่งพิงเป็นที่ปรึกษา มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเป็นพ่อแม่ที่ดี จะสอนลูกเล็กๆ อย่างนั้นให้เข้าใจได้อย่างไร ว่าอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง สิ่งที่ไม่ควรทำ และต้องไม่ทำ จะสอนอย่างไรให้เข้าใจกฏของการอยู่ร่วมกัน เข้าใจความสูญเสีย ความโศกเศร้า และสิ่งสำคัญคือสอนให้มีความสุขความพอใจในตนเอง แม้ครอบครัวจะขัดสน ไม่มีกินมีใช้ร่ำรวยเหมือนครอบครัวคนอื่นๆ ... นั่นมันน่าจะยากจริงๆ นะคะ แต่ที่ดูในละครเรื่องนี้เหมือนมันไม่ยาก ก็แค่พ่อแม่ไม่รู้สึกว่านั่นเป็นภาระเป็นความยากลำบากของชีวิต ลูกก็คงเข้าใจได้เองว่ามันไม่ใช่ปัญหาที่พวกเขาต้องกังวลหรือรู้สึกด้อยค่ากว่าคนอื่น ดูเด็กหญิงมาโกะสิ เธอแค่ถามแม่เพื่อทำความเข้าใจเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาทั่วไปแค่เรื่องหนึ่ง

"เอ๋ ... ครอบครัวของเราไม่เคยมีเงินเลยสินะคะ"

มีหลายฉากหลายตอนที่ชอบมากมาย อย่างเช่นที่ยูจิโดดงาน มาโกะโดดเรียน สามคนพ่อแม่ลูก นั่งคุกเข่ากันคนละมุม พ่อกับลูกสาวนั่งก้มหน้าเตรียมตัวรับการสอบสวนจากแม่ที่นั่งคุกเข่ารอฟังอยู่อีกฟากและกำลังรอการสารภาพผิด ชอบที่ยูจิคุกเข่าลงต่อหน้าลูกๆ และภรรยาเพื่อสารภาพว่าเขาหยิบเงินจากล่องความฝันไป แล้วสามแม่ลูกร้องพร้อมกัน ... "เอ๋......" ชอบที่มาโกะโกรธพี่ชาย จ้องเขม็งแล้วอุ้มหมา สะบัดหน้าหนี รูดม่านปิดพรึ่บ (น่ารัก) ชอบทุกครั้งที่ซาจิระเบิดอารมณ์ เหมือนทำให้ผ่อนคลายตามไปด้วย ซึ่งมันก็แค่นั้นจริงๆ เพราะไม่ว่ายังไงเธอก็พร้อมจะเข้าใจยูจิ ก็ต้องมีโกรธกันบ้าง และเธอก็หันไประบายลงในข้าวกล่องที่ทำให้สามี ชอบทุกครั้งที่ซาจิและยูจิหันหน้าเข้าปรึกษากัน เรื่องนั้นเรื่องนี้ เรื่องของลูกบางเรื่องแม้อยากจะจัดการเองใจแทบขาด แต่ซาจิก็เห็นว่าควรเป็นเรื่องของพ่อที่ต้องจัดการ


"ยูจิเป็นพ่อ เรื่องนี้ต้องพูดกับมาซารุให้รู้เรื่องนะ จะปล่อยไปแบบนี้ไม่ได้ อย่าหนีอีกเลย"
.......

"งั้นถ้ามันเกี่ยวกับมาซารุหรือมาโกะ ยูจิก็จะไม่ทำอะไรเลย เพราะผลมันอาจจะแย่งั้นเหรอ"

.......

"นี่ ยูจิ เรื่องมาซารุน่ะ .. ฉันรู้สึกว่า เพราะเราเลี้ยงเขามาไม่ดีพอหรือเปล่า"

.......

"เธอรู้สึกไหม ตั้งแต่มีเจ้าสกายมาอยู่ด้วย ลูกๆ ของเราโตขึ้น"



Smiley ขอบคุณสำหรับการค้นพบ


ตัวละครมีไม่มาก บรรดาตัวประกอบก็เหมาะเจาะพอดีมีเรื่องราวพอควรเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันออกมาเป็นละครเรื่องหนึ่งที่น่าจดจำเรื่องนี้

ฮิเดะ (Takeda Kohei) เพื่อนรักนักดนตรีของยูจิที่ดูจะพยายามแย่งสามีของซาจิไปทำวงด้วยกัน คนที่วางยาพิษไว้ในใจของซาจิด้วยคำถามที่ว่า

" นี่ ..ซัจจัง ยูจิน่ะ ไม่สามารถเป็นอิสระได้อีกแล้วใช่ไหม"

ฮอตตะ ( Taguchi Junnosuke ) เพื่อนสมัยมัธยมของซาจิ เป็นคุณหมอหนุ่มรูปหล่อ ฐานดีมีพร้อมที่จะหยิบยื่นความช่วยเหลือ แต่ความช่วยเหลือจากเพื่อนชายที่คุณสมบัติเริ่ดเช่นนี้ เทียบกับสามีที่ตกงาน และดิ้นรนทำงานทุกอย่างไม่เลือก ขอใช้คำนี้อีกแล้วการแก้ปัญหาเศรษฐกิจครอบครัวที่ ..'เปราะบาง'.ความช่วยเหลือจากคนที่เหนือกว่า มันคงจะไม่ใช่ทางออกที่ดีสักเท่าไร



คุโบตะซัง (Izumiya Shigeru) หนึ่งในคนที่ยูจิขอร้องให้ลาออก กับเงินชดเชยที่ต้องการเพื่อใช้รักษาภรรยาที่ป่วยเป็นโรคมะเร็ง คุโบโตะซังคนนี้มีส่วนสำคัญต่อความเป็นไปของยูจิและครอบครัวไม่น้อยเลยทีเดียว

สัตวแพทย์นาราฮาชิ ( Sugimoto Tetta) ที่ค่อยๆ กลายเป็นมิตรแท้ต่อครอบครัวฮงโงะ แล้วยังมาสเตอร์บาร์เหล้าเจ้าประจำที่ดูจะรับรู้เรื่องราวและเข้าใจยูจิดีเป็นที่สองรองจากศรีภรรยา



ทุกคนมีสิ่งละอันพันละน้อยมารวมกันเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราว Inu o Kau to Iu Koto ที่ให้ความรู้สึกออกมาใหญ่โตแบบนี้ได้ ก็เพราะเค้าตัวนี้ตัวเดียว 'ตัว' ที่ตั้งใจจะไม่พูดถึง ณ ที่นี้ แต่อยากละไว้ให้คุณไปทำความรู้จักกับคุณงามความดีที่ตัวเค้าได้ทำให้กับครอบครัวฮงโงะด้วยตนเอง (ซึ่งเจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่ามันได้ทำ) เป็นตัวละครสำคัญที่เป็นเป็นศูนย์กลางของเรื่องเลยล่ะค่ะ



"สกาย" หมาน้อยหลงทาง กับโชคชะตาสุดอาภัพที่ใครๆ บอกว่ามันโชคดีจริงๆ ที่ได้พบกับครอบครัวดีๆ อย่างครอบครัวฮงโงะ แต่สำหรับครอบครัวฮงโงะแล้ว นั่นไม่ใช่ความจริงสักนิดเดียว เป็นพวกเขาต่างหากที่โชคดี โชคดีจริงๆ ที่มันมาอยู่กับครอบครัวอัตคัดขัดสนนี้ ครอบครัวฮงโงะต่างหากที่โชคดีถูกมันพบเข้า

อาริงาโตะ  .... ขอบคุณ 'สกาย' สำหรับการค้นพบที่มีค่าเหล่านั้น




***













ภาพและข้อมูล :

Dramawiki และอื่นๆ ในอินเตอร์เน็ต



Create Date : 17 กันยายน 2554
Last Update : 22 กุมภาพันธ์ 2558 8:53:49 น. 8 comments
Counter : 2694 Pageviews.

 
555 ชอบใจสถาบัน prysang.bloggang ณ.พันทิปซะจริงๆ
คุณprysang รีวิวได้ยาวจุใจเหมือนเดิม แถมมีบิ้วท์อารมณ์ด้วย
มะนาวอ่านไปอ่านมาต้องไปหยิบทิชชู่มาไว้ใกล้ๆตัว
เพราะมีน้ำตาซึมเป็นระยะๆตั้งแต่บอกว่ามาซารุยื่นมืออกมาให้มาโกะจับ
แล้วมาซ้ำหนักตอนที่บอกว่ามาซารุปล่อยโฮกับไหล่ของพ่อ
คุณprysang ปูพื้น จนเข้าใจเลยค่ะว่ามาซารุคงปล่อยออกมาหมดแม็ก
แล้วยังให้หนูมาโกะดราม่าอีกว่า "หนูไม่มีชุดสวยๆ หนูเลยเลือกชุดที่ชอบที่สุด"
กระแทกใจเลยค่ะ โถเด็กน้อย แล้วยังบิ้วท์ต่อด้วยประโยคความคิดของมาโกะ
"พี่มาซารุถูกตบหน้าเป็นครั้งที่สอง แต่พี่กอดพ่อไว้แน่นเชียว"ฮือๆเห็นภาพเลยค่ะ
ครอบครัวฮงโงะแตกต่างจากครอบครัวในเรื่องลัดดาแลนด์นะคะ
แม้การต้องออกมาสร้างครอบครัวจะคล้ายๆกันก็ตาม
แถมงานอาชีพของยูจิ ยังเป็นแบบเดียวกับงานของพระเอก
ในเรื่องUp in the Air ที่ George Clooneyแสดงด้วยล่ะค่ะ
เข้าใจความรู้สึกของยูจิเลยว่าคงกดดันและเครียดมากแค่ไหน
แต่ก็ต้องทำเพื่อความอยู่รอดของครอบครัว น่าสงสารจริงๆค่ะ
ส่วนเจ้าสกายนะคะถ้าอยู่บ้านเราสงสัยได้เดินทางไปประเทศเพื่อนบ้านแล้วนะคะ
พอคุณprysangพูดถึงหมาน้อยสกาย ที่ว่าเป็นตัวละครสำคัญ
มะนาวนึกถึงเจ้า"เคนจัง"จากKekon Dekinai Otokoเลยค่ะ
อย่างนั้นสถาบัน prysang.bloggang
ต้องไม่ลืมให้รางวัลพิเศษเจ้าสกายด้วยนะคะ อิอิ
ส่วนเรื่องการทำโทษเด็กโดยการตบหน้ามะนาวไม่ค่อยเห็นด้วยเลยค่ะ
แล้วมะนาวสังเกตดูเห็นมีละครหลายเรื่องเลยค่ะที่ลงโทษเด็กโดยการตบหน้า
มะนาวว่าการลงโทษแบบนั้นมันไม่เหมือนกับการลงโทษให้เด็กสำนึกผิดน่ะค่ะ
แต่มันเป็นการลงโทษเพราะลุแก่อารมณ์ของผู้ทำโทษซะมากกว่าค่ะ
ซึ่งมะนาวว่ามันก่อให้เกิดบาดแผลในใจเด็กได้มากกว่าการโดนตีก้นอ่ะค่ะ
แล้วจะบอกว่าคุณprysang มีเพื่อนนะคะ เพราะมะนาวก็โดนตีเหมือนกันค่ะ
เพราะที่บ้านมะนาวใช้สุภาษิต"รักวัวให้ผูก รักลูกให้ตี"ค่ะ อิอิ
แต่มะนาวโดนไม่บ่อยหรอกนะคะ เพราะค่อนข้างจะเป็นเด็กดีค่ะ
แล้วไม่เคยโดดเรียนด้วยนะคะ (เห็นไหมคะว่าเป็นเด็กดีจริงๆ อิอิ)
เลยแพ้มาโกะเลย เพราะมาโกะมีโดดเรียนด้วย แค่วัยอนุบาลนะนี่
แล้วแอบเห็นด้วยค่ะที่คุณprysangบอกว่าอยากให้เอตะแสดงบทยูจิคุณพ่อลูกสอง
เพราะมีความรู้สึกว่าเรียว รูปร่างหน้าตายังเหมือนเด็กมัธยมอยู่อ่ะค่ะ
พอบอกว่าต้องแสดงเป็นพ่อของเด็กสองคน เลยรู้สึกแปลกๆค่ะ


โดย: มะนาวเพคะ IP: 125.24.82.95 วันที่: 17 กันยายน 2554 เวลา:23:19:27 น.  

 
ต้องไปหามาดูบ้างซะแล้ว
เล่าจะจนน้ำตาจะไหลออกมา
ชอบนางเอกคนนี้เหมือนกันค่ะ
รู้สึกไหมว่าซีรี่ส์ญี่ปุ่นที่มีเด็กเข้ามาเกี่ยวข้่อง
เค้าทำได้ดีมาก และบางครั้งบทเด็กเด่นกว่าบทตัวเอกอีก


โดย: an-o IP: 223.205.159.212 วันที่: 20 กันยายน 2554 เวลา:19:46:32 น.  

 
ตั้งข้อสังเกตไว้เหมือนกันว่า
ซีรีย์ของทีวีค่ายอาซาฮี
ดูจะไม่เข้ากรอบของคกก.และคะแนนโหวต
ของ สถาบัน TDAA ของญี่ปุ่นเอานะครับ
(อันนี้อุปทานเอาเอง)
ก่อนหน้านี้ ร่ายฮิมิซึไว้ว่าอย่างไรก็ต้องมาแน่
แต่ทว่า ไม่โผล่มาสักรางวัล
อาซามิเล่นเป็นแม่นี้ยังเข้าใจ เพราะเธอมักจะโผล่มาเป็นแม่เร็๋วกว่ากำหนดวัย
แต่เจ้าเรียวเริ่มเป็นพ่อนี้ สิ
อืม....เวลามันหมุนเร็วเหมือนกันนะครับ
ยังเห็นเป็นอาตี๋ใน one litre on tear
อยู่เลย
เชือ่ว่าซีรีย์ครอบครัวของค่ายอาซาฮี
แต่ถึงกับอบอุ่นมาก แต่ก็มีกรอบให้รู้สึกว่า
การมีครอบครัว เป็นความสุขอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง


โดย: Mr.Chanpanakrit วันที่: 21 กันยายน 2554 เวลา:18:18:44 น.  

 
เพิ่งดูจบไปค่ะ ดีอย่างไม่น่าเชื่อ แนะนำให้หามาดูกันให้ได้ค่ะ

ละครเรื่องนี้ฉายช่วงห้าทุ่ม ส่วนใหญ่ละครที่ฉายช่วงนี้ไม่ค่อยได้รางวัลเท่าไหร่ แถมยังมีละครแนว น้องหมา เหมือนกันในซีซั่นนั้น (มารูโมะ) ที่ขนาดฉายชนกับหมอจินสองก็ยังเรตติ้งสูงถล่มทลายได้ทุกตอน (เสียดายมีซับไทยออกมาแค่สองตอน เราก็ได้ดูแค่สองตอน สนุกเหมือนกัน)

ข้อเสียของเรื่องนี้น่าจะอยู่ที่ดารานำ (ที่ไม่ค่อยดึงดูดคนดูเท่าไหร่) ดูเหมือนว่ายังไม่ใช่ แล้วตัวนักแสดงเองก็แสดงยังไม่ค่อยดีด้วย เด็กผู้หญิงที่มีบทเด่นก็ยังแสดงแข็งอยู่ (เทียบกับเด็กผู้หญิงเรื่องมารูโมะไม่ได้เลย) และตัวใบปิดโปสเตอร์ดูแล้วไม่ชวนให้ดูเลย (เกือบจะพลาดละครดี ๆ ไปซะแล้ว)

ข้อดีก็คือเนื้อหา การดำเนินเรื่อง และที่สำคัญน้องหมาเรื่องนี้แสดงได้ดีไม่แพ้น้องหมาในมารูโมะเลย (น้องหมาเล่นดีกว่าคน )


โดย: alisalovetatming วันที่: 29 กันยายน 2554 เวลา:20:03:04 น.  

 
แค่อ่านรีวิว ก็น้ำตาจะร่วงแล้ว นี่ถ้าดูน้ำตาคงไหลเป็นสายน้ำ แงงงง

พี่มาซารุบอกว่า ครอบครัวของเรายากจน ที่เราต้องยากจนกันอย่างนี้ เป็นเพราะตัวของพี่เอง พี่บอกว่า เพราะมีพี่เกิดมาพ่อแม่ถึงต้องเลิกเรียนและมาแต่งงานกัน มาโกะที่คงไม่เข้าใจนักว่ายากจนมันแย่ยังไง จึงถามแม่ว่า

"แม่คะ ที่เรายากจนแบบนี้เพราะมีพี่เกิดมาหรือคะ"

ประโยคนี้มันโดนนน...

เด็กชายตัวน้อย คิดได้ถึงขนาดนี้เชียวรึ? บาดจริงๆ คำนี้แค่อ่านก็ยังเจ็บแป๊บที่หัวใจ

ถ้าเป็นเราของตอบแบบบุคคลที่สามว่า เปล่าหรอก... คนที่แย่ที่สุดในประเด็นนี้ทั้งหมดมาแต่ต้นคือพ่อและแม่เอง ที่ลูกไม่มีเงิน ไม่มีเสื้อผ้าดีๆ ใส่ เพราะความรักสนุกของพ่อและแม่

แต่ลูกเกิดมา เพราะความรับผิดชอบ รู้ผิดรู้ชอบของพ่อและแม่ที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้กัน นั่นพอจะลบล้าง และเป็นพลังครอบครัวที่ทำให้เรากล้าเผชิญหน้ากับทุกๆ สิ่งได้ในอนาคตอย่างแน่นอน ^ ^


โดย: อาตี้ IP: 110.169.215.173 วันที่: 29 กันยายน 2554 เวลา:22:19:35 น.  

 
แอบมาหาอะไรดูครับ ^^


โดย: BoonsermLover วันที่: 20 ตุลาคม 2554 เวลา:6:47:13 น.  

 
ดูจบเสร็จแล้วครับ เอาชื่อละครมา Search ดู.. เจอ Blog นี้แล้วโดนใจครับ บรรยายทุกอย่างเหมือนที่ผมสัมผัสมาเลย ต้องยอมรับว่าคุณเจ้าของบล๊อกเก่งๆจริงๆ ขอบคุณรีวิวดีๆครับ จะติดตามเรื่อยๆ ครับ


โดย: MasterPong IP: 14.207.226.14 วันที่: 5 ธันวาคม 2554 เวลา:2:51:51 น.  

 
Khun MasterPong : ขอบคุณค่ะ


โดย: prysang วันที่: 7 ธันวาคม 2554 เวลา:19:52:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prysang
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 98 คน [?]




จำนวนผู้ชม คน : Users Online
New Comments
Friends' blogs
[Add prysang's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.