|
| 1 |
2 | 3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 |
9 | 10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 |
16 | 17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 |
23 | 24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 |
30 | |
|
|
|
|
|
|
|
รงค์ วงษ์สวรรค์ พ่อมดแห่งภาษากวีมาดวิไลจากบ้านสวนทูนอิน - (ถนอม ไชยวงษ์แก้ว เขียน )
ภาพจาก //www.tuneingarden.com/
รงค์ วงษ์สวรรค์ เขาเป็นนักเขียน
ใช่ เขาเป็นนักเขียนที่ผมไม่จำเป็นต้องหยุดคิดทบทวนและลังเลใจ ที่จะตอบตัวเองว่า นี่คือนักเขียนคนแรกในวัยหนุ่ม ที่ผมได้อ่านงานเขียนของเขาแล้ว ทำให้ผมเกิดแรงบันดาลใจอยากจะเขียนหนังสืออย่างรุนแรง ใช่-ผมชอบงานเขียนของเขา โดยเฉพาะการใช้ภาษาของอารมณ์และความรู้สึก ที่เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวาอันงดงามเพริศแพร้วราวกับบทกวี สะดุดตาสะดุดใจ และมิอาจมีใครมาดแม้นมาเหมือน
แน่นอน
เขาคือฮีโร่ทางวรรณกรรมคนแรกของผม
และยังคงเป็นอยู่มิเสื่อมคลาย
ตราบจนเท่าทุกวันนี้
ตัวตนของเขา รงค์ วงษ์สวรรค์
เท่าที่ผมได้รู้จักและมองเห็น จากมวลอันมหึมาในงานเขียนและตัวจริงของเขา เขาคือผู้ชายที่มีตัวตนอยู่สองบุคลิก บุคลิกแรกคือบุคลิกของลูกผู้ชายที่เป็นนักเลงชีวิตผู้แกร่งกร้าว ใจถึง และค่อนข้างดุดัน
โอ้-ความหลัง ผมยังจำได้แม่นยำ สมัยที่ผมเริ่มเขียนหนังสือด้วยการเริ่มต้นเขียนบทกวีอย่างจริงจัง และพอจะมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของผู้คน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ผ่านมานานหลายปีแล้ว ผมได้รับเชิญจาก พิบูลศักดิ์ ละครพล เพื่อนนักเขียน อดีตบรรณาธิการนิตยสารบทกวี สู่ฝันที่กำลังรุ่งเรืองอยู่ในขณะนั้น ให้เดินทางไปอ่านบทกวีในงานที่เขาจัดในนามของนิตยสารสู่ฝัน ณ หอประชุมศูนย์สังคีต ธนาคารกรุงเทพ
เมื่อ พิบูลศักดิ์ ละครพล พาผมไปคารวะและทำความรู้จักกับ รงค์ วงษ์สวรรค์ ที่เขาเชิญมาเป็นประธานเปิดงานพิธี ประโยคแรกของครั้งแรกในชีวิต ที่ผมได้รับการทักทายจากตัวจริงของ รงค์ วงษ์สวรรค์ ในชุดกางเกงยีนทะมัดทะแมงกับเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีม่วงอ่อน สวมทับด้วยเสื้อกั๊กสีน้ำตาลเข้ม หลังจากผมยกมือไหว้และกล่าวคำสวัสดีเรียบร้อยแล้ว คือ
เฮ่ย นายกินเหล้าหรือเปล่าว่ะ
ก่อนจะกลับมาสัมผัสตัวจริงของเขา อีกนับครั้งไม่ถ้วน ณ บ้านสวนทูนอินเชียงใหม่ ตราบจนเท่าทุกวันนี้
และอีกบุคลิกหนึ่ง เขาคือศิลปินในความหมายที่เรียกกันว่า ARTIST ที่ละเมียดละไมและปราณีต ช่างพิถีพิถันกับทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต ซับซ้อนกันอยู่ในตัวตนของเขา ผู้ชายเข้มแข็งที่แทบไม่เคยแสดงความอ่อนแอใด ๆ ออกมาให้ใครเห็น แม้ในยามเจ็บป่วยและเจ็บปวดอยู่ในเส้นแบ่งระหว่างชีวิตและความตาย
และอีกคุณสมบัติหนึ่งที่ผมมองเห็น
เป็นจุดเด่นพิเศษในตัวตนของเขา คือความเป็นผู้มีรสนิยมดีเลิศ ในเรื่องความงาม จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเขียนหนังสือออกมา ด้วยภาษาที่งดงามถึงปานนั้น ใช่เพียงแต่งานเขียนเท่านั้น ไม่ว่าเขาจะทำอะไร เขาจะทำออกมาได้งดงามและดูดีไปหมด ไม่ว่าจะเป็นการปลูกดอกไม้ ต้นไม้ใบหญ้า พืชผักสวนครัว นิวาสสถานที่พำนักพักพิง ภูมิทัศน์ และการมีชีวิตคู่อยู่ร่วมกับคุณสุมาลี วงษ์สวรรค์ อันเป็นที่รักของเขาและลูกเต้า
ถ้าคุณอยากมองเห็นภาพรวมทางรสนิยมทั้งหมดนี้ของเขา คุณลองไปค้นหาหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ครายเดือนเล่มหนา ที่ รงค์ วงษ์สวรรค์กับเพื่อนหนุ่มละแวกถนนเฟื่องนครทำกัน ระหว่างปี 2512-2513 จากหอสมุดแห่งชาติมาดู คุณจะมองเห็นหนังสือที่มิใช่เป็นเพียงแค่หนังสือ แต่ยังเป็นงานศิลปะการสื่อสารที่ลงตัวและงดงามปราณีตยุคหนึ่ง ซึ่งยิ่งกาลเวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ ก็ยิ่งดูงดงามคลาสสิก ควรค่าแก่การหวงแหน
เช่นเดียวกับการพบปะผู้คน
ที่ไปเยี่ยมเยียนเขา ณ บ้านสวนทูนอิน
เขาจะพิถีพิถันในการแต่งตัวให้แลดูดีอยู่เสมอ
ทั้งโดยอุปนิสัยส่วนตัวของเขา
และการให้เกียรติแขกผู้มาเยือน
ก่อนจะออกมาพบปะสนทนากับผู้คน
ตามเวลานัดหมายที่ยากจะคลาดเคลื่อน
งานเขียนของ รงค์ วงษ์สวรรค์
ผมชอบงานเขียนของเขาทุกเล่มที่ได้อ่าน แต่เล่มที่ชอบมากเป็นพิเศษ คือนวนิยายขนาดสั้นที่ชื่อว่า หอมดอกประดวน ซึ่งเป็นนวนิยายที่เขาเขียนถึงประสบการณ์ทางกามารมณ์ ความรัก และผู้หญิงของตัวละครที่ชื่อ โฉน ไพรำ ตั้งแต่เป็นเด็กนักเรียนมัธยมอายุสิบหก จนกระทั่งโตเป็นหนุ่มฉกรรจ์เต็มตัว
โดยเฉพาะตัวละคร ที่เป็นผู้หญิงหาเงินชั้นต่ำ ในโรงแรมสกปรกซอมซ่อ ที่เขาเข้าไปเรียนรู้บทเรียนบทแรกของกามารมณ์จากชีวิตจริงกับหล่อน ผู้หญิงสวยบัดซบในห้องเลขที่ 13 ที่ชื่อปอง อายุ รุ่นราวคราวเดียวกับพี่ป้าน้าอา หรือไม่ก็คงประมาณรุ่นแม่ของเขา ที่พูดกับเด็กหนุ่มอายุสิบหกที่ทำท่าจะมาติดพันหลงใหลหล่อน ถึงขั้นโกหกขอเงิน แม่หนีโรงเรียนแอบมานอนกับหล่อนแทบไม่ว่างเว้น และพยายามแสดงความรักกับหล่อน ด้วยการซื้อชุดชั้นในมาฝากหล่อนว่า
นึกหรือว่าถ้ามีเงินแล้วฉันจะต้องแบให้เรา
. หล่อนเริดคิ้วฉงน ที่นี้จะต้องให้ห่าง ๆ กันเอาไว้บ้าง มากนักไม่ดี ฉันจะให้เรามาหาได้ในคืนวันจันทร์กับพฤหัสเท่านั้น
ทำไม
ก็เราต้องไปโรงเรียน
ไม่ไปก็ได้
ไม่ได้ ต้องไปนะโฉน หล่อนมองลูบไล้ปลอบโยนบนใบหน้าและกำยำกายของเขาแช่มช้า หล่อนว่า
คืนอื่นอย่ามานะ ขืนมาฉันไม่รู้จักเรา
.
ผมอ่านเรื่องนี้ถึงตอนนี้แล้ว ผมรู้สึกตื้นตันใจจนแทบน้ำตาร่วง ที่ได้เห็นความดีงามของกะหรี่คนหนึ่ง ที่พยายามผลักไสไม่ให้เด็กมัธยมอายุสิบหกต้องเสียการเรียน เพราะมัวเมากับผู้หญิงอย่างหล่อน ที่สังคมตั้งข้อรังเกียจราวกับเศษขยะมาทุกยุคทุกสมัย ใช่ ผมชอบตัวละครที่เป็นกะหรี่คนนี้ และผู้หญิงคนนี้แหละที่ทำให้หนังสือเล่มนี้ ติดตรึงอยู่ในใจผมจนตราบเท่าทุกวันนี้
โดยส่วนตัวของผมแล้ว ผมมองเห็นงานชิ้นนี้ของเขา งดงามราวกับภาพเขียนเอ็กเพรสชั่นนิสม์ ที่เต็มไปด้วยสีสันอันจัดจ้านร้อนแรง จากฝีแปรงพู่กันอันรวดเร็วและเด็ดขาด ถึงแม้งานชิ้นนี้
จะไม่เป็นที่สบอารมณ์ของคนที่ค่อนข้างเคร่งครัดในศีลธรรม แต่ผมก็ชอบของผม เพราะผมถือว่างานศิลปะ คืองานที่เปิดโปงและแสดงให้เห็นถึงความเป็นจริงของชีวิต ไม่ใช่งานเทศนาสั่งสอนศีลธรรม
กับคำถามที่ว่า
งานเขียนของ รงค์ วงษ์สวรรค์ มีคุณค่าความหมายอะไรกับสังคม ในแง่ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้คน โอ้ ถ้าคุณเคยอ่านงานเขียนของ รงค์ วงษ์สวรรค์ ตั้งแต่ยุคแรกมาจนถึงยุคปัจจุบัน โดยไม่จำเป็นต้องลงไปค้นคว้าศึกษาเอกสารอ้างอิงใด ๆ คุณจะเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่า แก่นแกนในการทำงานเขียนของเขา คือการเขียนถึงความเป็นจริงของชีวิตผู้คน ความเป็นจริงของโลกและสังคม ทั้งในด้านมืดและสว่าง ทั้งในด้านที่ดีงามและอัปลักษณ์ ขอให้เป็นความจริงเท่านั้น ถ้าเขารู้จักมัน เขาจะแสดงมันออกมาในงานเขียน ให้เราเห็นสภาพความเป็นจริงนั้น ๆ
และพร้อมที่จะสบถก่นด่าความเลวร้ายทั้งหลาย
โดยแทบไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหมใด ๆ ทั้งสิ้น
แน่นอน ยิ่งเราอ่านงานของเขา เราย่อมยิ่งเข้าใจโลกและชีวิต นักเขียนคนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนเข้าใจโลกและชีวิต และรู้เท่าทันมัน
กับคำถามที่ว่างานของเขาให้ประโยชน์อะไรกับสังคม ยังเป็นคำถามที่คับแคบและเล็กน้อยเกินไป สำหรับศิลปะวรรณกรรมที่คอยปักป้ายกากบาท และป้ายชี้ทางที่ดีงามและปลอดภัยให้กับมนุษยชาติ
รงค์ วงษ์สวรรค์
ถ้าหากผมจะตั้งฉายาให้เขา จากมุมมองของคนที่ชื่นชอบการใช้ภาษาเขียนอันงดงามของเขา ซึ่งเป็นนักเขียนที่มีคลังภาษารุ่มรวยมั่งคั่ง และเป็นขบถผู้ทรงพลังกับไวยากรณ์ในการใช้ภาษา ถึงขั้นสามารถหยิบฉวยถ้อยคำจากตระกูลไพร่ที่ต่ำต้อยและขุนนางผู้สูงส่ง มาหลอมรวมอยู่ในบริบทเดียวกัน โดยปราศจากการวิวาทบาดหมางระหว่างชุดชั้นของภาษา
พ่อมดแห่งภาษากวีมาดวิไล จากบ้านสวนทูนอิน
คือฉายาที่ไม่ไกลเกินความเป็นจริง ที่ผมขอมอบให้กับ รงค์ วงษ์สวรรค์ และนักเขียนผู้ยิ่งใหญ่ ผู้บรรลุถึงศาสตร์ศิลป์ในงานเขียนวรรณกรรม ดังที่ RUDOLF FLESCH ได้กล่าวสรุปเอาไว้ในหนังสือ A NEW GUIDE TO BETTER WRITING ว่า
การเขียนหนังสือไม่ใช่การสะกดตัว แต่ยิ่งกว่าการสะกดตัว การเขียนหนังสือไม่ใช่ไวยากรณ์ แต่ยิ่งกว่าไวยากรณ์ การเขียนหนังสือคือการไขว่คว้าความคิด การมองเห็นภาพ การผูกคำ ปั้นความคิดให้เป็นรูปร่าง สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเขียนหนังสือ มิใช่การรักษากฎเกณฑ์และระเบียบแบบแผนในการเรียงอักษรลงบนแผ่นกระดาษ สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเขียนหนังสือ คือสมองของผู้เขียนนั่นเอง
ใช่-ความคิดจากสมองของผู้เขียนต่างหากที่สำคัญยิ่งยวด
และ รงค์ วงษ์สวรรค์ ได้ยืนยันเอาไว้อย่างหนักแน่น ในงานเขียนของเขามาตลอดชีวิต
ป.ล. A NEW GUIDE TO BETTER WRITING แปลและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยชื่อ ห้องเรียนเขียนเรื่อง โดยศรีเฉลิม สุขประยูร สำนักพิมพ์บรรณกิจ พฤษภาคม 2518
ภาพจาก//www.tuneingarden.com/ โดย แม่น้องข่าว
(งานชิ้นนี้พิมพ์ในประชาไทดอดคอมแล้วค่ะ นำมาฝากผู้อ่านบล็อกที่สนใจงานเขียน สำหรับผู้อ่านในประชาไทแล้ว ขออภัยนะคะ)
Create Date : 18 กันยายน 2550 |
|
50 comments |
Last Update : 23 กันยายน 2550 8:42:06 น. |
Counter : 2308 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: หมี่เกี๊ยวแห้ง IP: 192.43.227.18 20 กันยายน 2550 17:44:28 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 23 กันยายน 2550 8:04:49 น. |
|
|
|
| |
โดย: ถนอม ไชยวงษ์แก้ว IP: 203.113.50.14 23 กันยายน 2550 8:20:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: เงาศิลป์ IP: 203.146.63.184 23 กันยายน 2550 10:36:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: โดม IP: 124.121.23.132 23 กันยายน 2550 11:18:44 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลายแปรง 24 กันยายน 2550 11:11:11 น. |
|
|
|
| |
โดย: ถนอม ไชยวงษ์แก้ว IP: 203.113.50.14 25 กันยายน 2550 10:29:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: ถนอม ไชยวงษ์แก้ว IP: 203.113.50.14 25 กันยายน 2550 10:33:32 น. |
|
|
|
| |
โดย: ถนอม ไชยวงษ์แก้ว IP: 203.113.50.14 25 กันยายน 2550 10:39:17 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 25 กันยายน 2550 16:45:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: sugarhut 26 กันยายน 2550 11:03:05 น. |
|
|
|
| |
โดย: เสรี ทัศนศิลป์ IP: 58.9.230.227 26 กันยายน 2550 12:23:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: หทัยชนก (Nok_Noah ) 26 กันยายน 2550 22:01:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 27 กันยายน 2550 8:06:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: เสือจุ่น 27 กันยายน 2550 13:10:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ IP: 203.113.50.14 27 กันยายน 2550 20:07:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพร จารุ IP: 203.113.50.14 27 กันยายน 2550 20:11:45 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมี่เกี๊ยวแห้ง IP: 198.142.231.232 28 กันยายน 2550 3:17:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ IP: 203.113.50.140 28 กันยายน 2550 10:33:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: ดวงลดา 28 กันยายน 2550 11:36:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมี่เกี๊ยวแห้ง IP: 198.142.231.22 28 กันยายน 2550 16:23:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: เบญจวรรณ IP: 61.7.231.130 28 กันยายน 2550 18:56:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: สีน้ำฟ้า IP: 61.7.150.131 28 กันยายน 2550 22:48:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 29 กันยายน 2550 0:21:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: ฟ้าดิน 29 กันยายน 2550 2:58:33 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมี่เกี๊ยวแห้ง IP: 198.142.231.199 29 กันยายน 2550 6:22:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปลายแปรง 29 กันยายน 2550 12:08:22 น. |
|
|
|
| |
โดย: สีน้ำฟ้า IP: 61.7.150.131 29 กันยายน 2550 12:50:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: เขาพนม 29 กันยายน 2550 14:27:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: dddfvb IP: 221.206.44.56 29 กันยายน 2550 19:44:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ถนอม ไชยวงษ์แก้ว IP: 203.113.50.14 30 กันยายน 2550 9:58:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: ถนอม ไชยวงษ์แก้ว IP: 203.113.50.14 30 กันยายน 2550 10:01:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: ถนอม ไชยวงษ์แก้ว IP: 203.113.50.14 30 กันยายน 2550 10:20:19 น. |
|
|
|
| |
โดย: ถนอม ไชยวงษ์แก้ว IP: 203.113.50.140 30 กันยายน 2550 11:04:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: ถนอม ไชยวงษ์แก้ว IP: 203.113.50.140 30 กันยายน 2550 11:23:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 30 กันยายน 2550 11:41:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมี่เกี๊ยว IP: 198.142.231.21 30 กันยายน 2550 19:45:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปะหล่อง IP: 58.137.30.254 30 กันยายน 2550 23:04:02 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 1 ตุลาคม 2550 10:50:50 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 1 ตุลาคม 2550 10:55:27 น. |
|
|
|
| |
โดย: แพรจารุ 1 ตุลาคม 2550 16:25:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: ธาร ยุทธชัยบดินทร์ IP: 202.91.19.204 1 กุมภาพันธ์ 2551 2:34:19 น. |
|
|
|
|
|
|
|
ติดใจประโยคนี้ค่ะ "ประโยชน์กับสังคม คืออะไร"
ก็คงจะแล้วแต่ใครจะคิด แล้วแต่ใครจะนิยาม ว่าจะเป็นผู้ใดที่มีอำนาจมากน้อยเพียงใด ตัวแปรหลากหลาย
ปัจจุบันต้องมองว่า ประโยชน์ที่ให้สังคม คือสิ่งที่งานเขียนต้องสามารถให้คนคิดย้อนกลับสะท้อนกลับไปกลับมาได้ เพราะความคิดคือสิ่งที่จะจรรโลงสังคมต่อไป หากไม่สามารถทำให้คนคิดย้อนกลับได้ก็หมดความหมาย ซึ่งตรงนี้ก็คงจะเป็นสิ่งที่อยู่ในใจนักเขียนทุกคน การคิดย้อนกลับและตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็นทุกวัน เป็นลักษณะของนักคิด ปัญญาชน (ที่ไม่ได้หมายถึงจบมหาลัยแต่คิดไม่เป็น ไม่ต้องจบมหาลัยก็เป็นชนที่ใช้ปัญญาได้) ที่จะนำพาสังคมให้รอดปลอดภัยได้
หากคำถามที่ว่างานเขียนให้อะไรกับสังคม แล้วคอยแต่จะมองหาคำตอบที่เป็นความคิดในกรอบ และเป็นความคิดที่ไม่แตกแถวในงานเขียนแล้วล่ะก็ นั่นคือการครอบงำทางความคิดแบบหนึ่ง การคิดสะท้อนย้อนกลับไปนั้นจึ่งถูกมองว่าเป็นสิ่งที่น่ากลัวสำหรับบางกลุ่มก้อน
เข้าใจว่าเป็นสิ่งที่คุณพี่ถนอมน่าจะหมายถึงในประโยคที่ว่า "ยังเป็นคำถามที่คับแคบและเล็กน้อยเกินไป"
ดิฉันเห็นด้วยทุกประการค่ะ
ได้อะไรเยอะเลยค่ะ
ขอบคุณค่ะ