Group Blog
 
<<
มีนาคม 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
6 มีนาคม 2554
 
All Blogs
 

ชาร์ลี 2 ตอน 08 ขั้นตอนแห่งเผ่าพันธุ์


คุยกันก่อนอัพ


ลงต่อกันเลยนะคะกับ ชาร์ลีภาค 2 ตอน 8
ตื่นมาก็จวนมืด กินข้าวไม่เป็นเวลาล่ำเวลาเลยแฮะพักนี้
ขอแว้บไปหาของกินก่อนนะคะ ^o^

ขอบคุณที่แวะเข้ามาเยี่ยมบล็อกกันจ้า...


Ploy666.

ป.ล. ในภาค 2 ตอนช่วงนี้เป็นส่วนที่ชอบมากค่ะ
รู้สึกถึงความผูกพันระหว่างชาร์ลีและอัสลันว่ามีกว่าที่ตาเห็นจริงๆ


**************

ชาร์ลี 2 [ภาค : มิตรสหายและศัตรู]
ตอนที่ 08 ขั้นตอนแห่งเผ่าพันธุ์

ผู้แต่ง RED (สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย)



เขาสูงที่ตั้งตระหง่านเคียงคู่กันอยู่เบื้องหน้าทำให้ชาร์ลีได้แต่เพ่งมองอย่างเป็นกังวล ภูเขาลูกแรกที่ตั้งอยู่ซ้ายมือของเขายังคงอยู่บนพื้นดินของเกาะเหนือแห่งนี้ ทว่าภูเขาอีกลูกทางขวามือกลับปักหลักโผล่มาจากทะเล...

สะพานแขวนที่แหงนคอมองจากตรงนี้เป็นเพียงเส้นเชือกเล็กๆโยนตัวไปมาตามจังหวะสายลม

ชาร์ลีชี้ถามสั้นๆกับคนนำทาง

“บนนั้นใช่ไหมที่พวกท่านบอกว่ามีปากถ้ำอยู่”

เพจพยักหน้า

“เราต้องขึ้นบันไดจากเขาลูกซ้ายมือนี่เท่านั้นเพราะปลอดภัยกว่า บนถ้ำฝั่งซ้ายจะเป็นถ้ำตันเอาไว้ให้คนที่ติดตามมาหยุดพักรอตอนที่ผู้เฒ่าข้ามสะพานแขวนไปถ้ำฝั่งขวาที่ลึกลงไปมากมายเพื่อสนทนากับมาธาเกียร์ สะพานนั่นแข็งแรงดีเราเปลี่ยนใหม่ทุกสองปีเพียงแต่กระแสลมอาจทำให้ลำบากหน่อย”

“งั้นก็ไปกันเถอะ!” ชาร์ลีกระชับคันธนูในมืออย่างแน่วแน่ต่อเป้าหมาย

ไม่ว่ามาธาเกียร์จะเป็นสิ่งใดเขาก็พร้อมแล้วสำหรับการเผชิญหน้า!

เพจออกนำทางตามมาด้วยมิวและคณะของชาร์ลี ก่อนปิดท้ายขบวนอีกสองสามคนด้วยชาวเนียญ่าที่ดูร่างกายแข็งแรงและคล่องตัว

หินภูเขาที่ถูกสกัดเป็นแผ่นเรียบแบนถูกวางทิ้งระยะห่างกันพอเหยียบถึง ชาร์ลีก้าวตามไปอย่างระมัดระวัง บนภูเขาค่อนข้างโล่งแม้จะมีไม้ยืนต้นขึ้นบ้างแต่ก็บางตาจนไม่เป็นอุปสรรคต่อการมองไกลออกไปยังโพ้นทะเล เมฆที่เคลื่อนตัวออกห่างทำให้แดดสามารถส่องลงมาได้เต็มที่มากกว่าพื้นด้านล่างที่มีสายหมอกปกคลุมอยู่เกือบตลอดเวลา

ความเย็นชื้นค่อยๆจางลงเมื่อความร้อนของดวงตะวันเข้ามาแทนที่

อัสลันหยิบภาชนะใส่น้ำดื่มที่ถือติดมาด้วยความรอบคอบนั้นให้แก่เจ้าหญิงมีนาร์ เด็กหญิงกล่าวขอบคุณเบาๆก่อนจะค่อยๆจิบน้ำหายลงไปในลำคออย่างเหน็ดเหนื่อย

ชาร์ลีเพียงแต่หยุดมองเล็กน้อยก่อนจะก้าวต่อไปตามเส้นทางที่เริ่มหักโค้ง

“เราต้องพักก่อน” มิวตอบขณะพยายามหายใจทั้งทางจมูกและทางปาก

“ไม่มีเวลาขนาดนั้นหรอกมิว...เราต้องไปต่อ”

“ทำไมต้องรีบขนาดนั้นชาร์ลี”

เด็กชายชะงักลงเพราะคำถามของเธอ เขาเงยมองโดยรอบก่อนตอบชัดถ้อยชัดคำว่า

“มาธาเกียร์กำลังจะแย่และเธอต้องการพบข้า!”

นั่นเป็นดุจดังประกาศิตที่ตัดความข้องใจทั้งมวลลง ทุกคนยอมรับในทีและพยายามรวบรวมกำลังออกเดินต่อไปอีกครั้ง...

นานจนทุกคนเหนื่อยล้า...เพจก็พามาถึงปากถ้ำเบื้องบนที่เป็นต้นทางแห่งหนึ่งของสะพานแขวน

เว้นแต่อัสลันที่ยังดูท่าทีปกติดี คนอื่นๆนั้นล้วนแต่อ่อนล้าเหงื่อชโลมชุ่มร่างไปตามๆกัน ชาร์ลีใช้แขนเสื้อปาดเอาเหงื่อที่รินไหลลงมาตามข้างแก้มออกอย่างหมดเรี่ยวแรง เจ้าหญิงมีนาร์ทรุดลงนั่งหลบเข้าไปใต้เงาโขดหินสูงละแวกนั้นเพื่อหนีไอแดดแผดจ้าเหนือศีรษะ

“เข้าไปหลบแดดในถ้ำได้...มันลึกเข้าไปนิดเดียวก็ตันแล้วล่ะชาร์ลี” อัสลันเดินไปสำรวจคร่าวๆก่อนกลับมาบอก

“ข้าจะไปดูสะพานสักหน่อยแล้วจะตามเข้าไปทีหลัง” หากชาร์ลีก็ไม่ลืมที่จะสั่งกำชับเล็กน้อย “ดูแลเจ้าหญิงมีนาร์ด้วย”

“ข้ารู้...”

อัสลันหยุดยืนมองด้วยสายตาที่อ่านไม่ออก ริมฝีปากเม้มคล้ายอยากถามบางอย่างแต่ก็คลายออกในที่สุดพร้อมอาการถอนใจเบาๆ

ชาร์ลีจ้องตอบด้วยดวงตาที่ว่างเปล่าก่อนมองเลยไปทางอื่นๆ

เด็กชายชาวนูฟผละจากมาเงียบๆขณะที่ทุกคนพาร่างอันอ่อนโทรมหมดแรงเข้าไปพักในถ้ำอันร่มรื่นกว่าภายนอก ชาร์ลีเดินไกลออกมาตามทางโล่งเตียนเพียงไม่กี่อึดใจภาพสะพานแขวนที่ห้อยแกว่งไปมาก็ปรากฏในคลองจักษุเต็มตา

มือของเขาลูบไปตามเสาแกร่งที่ปักยึดเชิงสะพานเอาไว้เพื่อสอบทานให้มั่นใจว่าปมเชือกเหล่านั้นแข็งแกร่งเพียงพอ...ความกว้างของราวสะพานมีมากเกินกว่าจะยืนกางแขนและใช้อีกมือแตะฝั่งตรงข้ามได้ ใครก็ตามที่ใช้มันเป็นทางสัญจรต้องมีการทรงตัวดีเลิศพอๆกับกำลังใจกล้าแข็ง เพราะทันทีที่เท้าหนึ่งของเขาเหยียบลงไปบนแผ่นไม้ขัดเรียบที่ขึงตึงเรียงกันด้วยเชือกสองฝั่ง สะพานก็ไหวโยนตัวรุนแรงจนน่าตกใจ!

ชาร์ลีสูดหายใจอีกเฮือกก่อนวางเท้าอีกข้างตามลงไปอย่างระมัดระวัง ใต้ช่องว่างระหว่างแผ่นไม้ที่เขายืนเหยียบอยู่นั้นคือผาสูงชันแต่ทันทีที่เด็กชายขยับตัวไปเบื้องหน้าอีกก้าวใต้ฝ่าเท้าของเขาก็เหลือเพียงความเวิ้งว้างว่างเปล่าที่น่าใจหาย

อาการปวดร้าวเสียดแทงตามส่วนต่างๆของร่างกายกลับคืนมาอีกครั้ง ทำให้ภาพที่มองเห็นตรงหน้าซ้อนเลือนรางจนน่าตกใจ

มือที่จับกับเส้นเชือกซึ่งขึงเอาไว้นั้นเย็นเฉียบ...เม็ดเหงื่อเริ่มซึมออกมาเมื่อชาร์ลีตระหนักดีว่าเขาไม่อาจก้าวต่อไปได้โดยสะพานยุดแกว่ง และแรงที่โถมมาฟากเดียวอาจทำให้กระแสลมที่ช่วยหนุนมาเป็นระลอกทำให้สะพานโยนตัวรุนแรงจนพลิกคว่ำลง!

หากอยู่ในสภาพร่างกายอันเป็นปกติกว่านี้ชาร์ลีจะไม่เสียกำลังใจในการมานะพยายามข้ามฝั่งไปเลยแม้แต่น้อย เพราะเขาคงคิดหาหนทางได้สักอย่างแน่นอน

ในเวลานี้สมองที่มึนตื้อตันจนชาร์ลีกลับมองไม่เห็นทางออกใดๆนอกไปเสียจากถอยกลับหรือไม่ก็แขวนชีวิตเอาไว้กับเส้นทางข้างหน้าที่สองตาไม่อาจจับภาพซ้อนทับได้ดีนัก

แรงแกว่งของสะพานทำให้เขารู้สึกมวนท้องและผะอืดผะอมอย่างบอกไม่ถูก...

ความลังเลชั่ววูบนั้นทำให้ใครอีกคนเอื้อมมือมาคว้าจับเชือกอีกฝั่ง

“ไปต่อเถอะชาร์ลี...ข้าจะออกเดินพร้อมเจ้าเพื่อถ่วงน้ำหนักฝั่งนี้เอง” น้ำเสียงมุ่งมั่นคุ้นหูดังเฉียบขาด

ขณะที่อัศวินหนุ่มแห่งไฮแลนด์ก้าวมายืนเคียงคู่กับชาร์ลี

“อัสลัน!” เด็กชายอุทานอย่างตกใจ

“ไม่ว่าเจ้าจะพูดยังไงก็ตามที นี่เป็นหน้าที่ซึ่งกษัตริย์คาลอสมอบหมายมาให้พวกเรา ในฐานะอัศวินข้าจะไม่ยอมให้มันพลาดลงแค่เพราะเจ้ากับมาธาเกียร์อยู่คนละฝั่งของสะพานแขวนบ้าๆนี่หรอกนะ!” วาจาดุดันนั้นมีความโกรธแฝงเร้น

ความโกรธที่อัสลันรู้แน่แก่ใจว่ามันไม่ได้เกิดเพราะใครอื่นนอกจากตัวเขาเอง

เขาน่าจะรู้จักชาร์ลีดีกว่านี้...

ชาร์ลีไม่ยอมเอาใครมาเสี่ยงนอกจากตัวเอง จะเรียกว่าความบ้าระห่ำหรืออะไรก็ตามทีแต่ทั้งหมดที่เด็กชายวัยสิบสี่ทำก็เพียงเพราะอยากนำสันติสุขมาให้แก่แผ่นดิน

เขาเฉลียวใจคิดและเดินตามมาเพราะท่าทางของชาร์ลีแปลกๆไป

คนที่อ่อนอาวุโสกว่านิ่งไป ก่อนเอ่ยถามแผ่วเบาเหมือนลังเล

“เรายังเป็นเพื่อนกันหรือเปล่าอัสลัน...”

ไม่มีคำตอบจากอัสลัน แต่อัศวินหนุ่มเริ่มออกเดินพร้อมจังหวะการแกว่งตัวของสะพานที่เปลี่ยนไป...



คำจำกัดความของมิตรภาพคืออะไรนั้นชาร์ลีคิดว่าเขาไม่รู้หรอก แต่สิ่งที่อัสลันทำมันมีค่าเพราะนั่นคือการมอบความไว้วางใจที่เหนือกว่าคำพูดจาใดๆจะพึงมี…

ความรู้สึกที่เคยไหวเอนอย่างรุนแรงกลับมามั่นคงอีกครั้งหนึ่ง

ชาร์ลีจำได้ว่าทุกครั้งที่ก้าวไปบนสะพานเชือกนั่นมันเรียกเอาตัวตนของเขากลับคืนมาทีละน้อย

ความเชื่อมั่นในตัวเองที่สูญสลาย...ความคลางแคลงใจในเพื่อนสนิท...ความริษยารุ่มร้อนที่สร้างขึ้นในจิตใจ ทุกอย่างนั่นค่อยๆถูกขจัดออกไปพร้อมกับการก้าวผ่านสะพานที่ถูกผูกมัดด้วยชะตากรรม!

แค่เพียงเล็กน้อยที่คนทั้งสองจะไม่ไว้วางใจกัน จังหวะทุกอย่างก็จะสับสนรวนเรและหมายถึงวาระสุดท้ายที่น่าตระหนก

แต่พวกเขาผ่านมันมาแล้ว...

ชาร์ลีนอนแผ่หลาที่หน้าปากถ้ำแห่งมาธาเกียร์อย่างหมดแรง อัสลันเองก็นั่งชันเข่าพักเอาแรงด้วยความเงียบขรึมอันเป็นปกติวิสัยในระยะหลังๆมานี้

กระทั่งชาร์ลีเริ่มหัวเราะจนน้ำตาซึมนั่นแหละ นัยน์ตาสีฟ้าเข้มจึงตวัดมองอย่างขวางจัด

“เจ้าหัวเราะอะไรชาร์ลี เมื่อกี้เพิ่งหวิดตกสะพานตายมาหยกๆ!”

“ข้า...แค่ขำตัวเองน่ะ” เด็กชายบอกกลั้วหัวเราะขณะเช็ดน้ำตาออกทิ้ง “บางทีข้าก็งี่เง่านะที่อิจฉาเจ้าตอนเราอยู่เซไลย์”

“อิจฉาข้าเนี่ยนะ...” คู่สนทนาทำเสียงสูงอย่างประหลาดใจล้นเหลือ

“ก็ใช่น่ะสิ”

อัสลันทำสีหน้าชอบกล “ถ้าอย่างนั้นเจ้าคงต้องบ้าไปแล้วแน่ๆเลยชาร์ลี ในเมื่อใครๆเขาก็พากันอิจฉาเจ้าทั้งนั้นที่กษัตริย์คาลอสไว้วางใจมากขนาดนี้”

เด็กชายพลิกตัวคว่ำลงมองหน้าอัสลัน รอยยิ้มแจ่มใสที่ห่างหายไปนานกลับคืนมาอีกครั้ง

“แต่ข้าอิจฉาเจ้าเพราะเจ้าเก่ง ไม่เคยมีอะไรที่เจ้าจะไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องในเซไลย์...เจ้าเป็นคนที่นั่นส่วนข้ามาจากที่อื่นและไม่รู้อะไรเลย บางครั้งข้าก็หงุดหงิดที่ตัวเองดูโง่ๆมีเรื่องอะไรต้องวิ่งไปถามเจ้าตลอดเวลา เจ้าไม่รู้หรอกว่าข้าอยากเป็นอัศวินขนาดไหนตอนที่เห็นพวกเจ้าซ้อมดาบกัน บางทีมันน่าจะดีกว่าถ้าข้ามีเวทมนตร์...แต่อย่างที่รู้กัน...นูฟไม่เคยมีเวทมนตร์ มันเหมือนกับว่าข้าไม่มีอะไรเลยนอกจากตำแหน่งลอยๆเป็นที่ปรึกษาแห่งราชสำนัก”

“เจ้าช่วยชีวิตกษัตริย์แห่งเซไลย์ที่ปกครองดูแลทะเลออบิท เจ้าก่อตั้งกองเรือรบหลวง ให้ตายสิ! ชาร์ลี...เจ้ายังจะเอาอะไรอีกในเมื่อวีรกรรมทั้งหมดที่เจ้าทำมามันเทียบไม่ได้เลยกับการใช้ดาบหรือใช้เวทมนตร์เป็น เจ้ามีสมองที่น่าทึ่ง...ถึงบางทีข้าจะอดคิดไม่ได้ว่าหลายหนเจ้าชอบทำตัวประหลาดๆน่ะนะ แต่เอาเถอะ...ยังไงทั้งหมดที่เจ้าทำนั่นข้าว่ามันเจ๋งนะเจ้าหนู” ประโยคท้ายอัสลันแกล้งเรียกอย่างเจตนาก่อกวน

“เฮ้ๆ อย่ามาเรียกข้าว่าเจ้าหนูนะ ข้าโตแล้ว”

ชาร์ลีแยกเขี้ยวใส่แต่ไม่จริงจังนัก

“บางทีข้าจะคิดว่าที่เจ้าอารมณ์ปรวนแปรในระยะหลังๆนี่เพราะเจ้าอายุสิบสี่ก็แล้วกัน”

“ขอบใจ” ชาร์ลีแสร้งตอบประชด

อัสลันหัวเราะเต็มเสียง เขารู้สึกเหมือนเมฆหมอกที่กระจายเกลื่อนจิตใจมาพักใหญ่กำลังคลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้น

“มาเถอะอัสลัน...เรามีงานที่ต้องทำต่อและข้าต้องการคนช่วย” ชาร์ลีสปริงตัวลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิอย่างว่องไว เขากอดอกพลางตั้งคำถามว่า “อีกเดี๋ยวเราต้องเข้าไปในถ้ำเพื่อค้นหามาธาเกียร์ แต่ตอนนี้ข้าอยากคุยกับเจ้าเรื่องของโจรสลัดวีซานด์ที่มาลอยเรือซุ่มตามทางผ่านเข้าเกาะนี้ ข้าอยากรู้ว่าพวกนั้นมีเป้าหมายอะไรกันแน่”

“ข้านึกออกอย่างเดียวคือ...สมบัติ!”

นั่นคือสิ่งที่ชาร์ลีกำลังใคร่ครวญอย่างแปลกใจ

“ถ้าพวกเขาอยากได้ทรัพย์สมบัติ ทำไมไม่บุกเกาะแย่งชิงให้มันจบๆไป มันน่าแปลกที่พวกเขาแค่ล้อมเกาะแล้วข่มขู่ให้พวกเมิร์ฟเนียส่งของที่ต้องการไปให้โดยไม่คิดใช้กำลังแย่งชิง การปิดล้อมนี่ทำให้ไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาด้วยซ้ำเพราะเมิร์ฟเนียค้าขายไม่ได้ทรัพย์สินมีค่าก็จะร่อยหรอลงเรื่อยๆ ที่สำคัญทำไมโจรสลัดวีซานด์ถึงต้องการตำราพหูสูตอีกล่ะ”

“เจ้าคงต้องไปถามซีนายละมั้งชาร์ลี” อัสลันไหวไหล่ “เพราะเจ้าเด็กนั่นเป็นคนเอาไปให้เจ้านายของมันเองกับมือ”

“ข้าถามแน่ถ้าเจอเขา”

ชาร์ลีทำหน้ายุ่งเมื่อนึกถึงบางอย่าง

“ไม่ว่าจะยังไงข้าก็ยังไม่รู้สึกว่าซีนายเป็นคนไม่ดีนะอัสลัน”

“สมองเจ้าคงไม่ทำงานไปพักหนึ่ง” เด็กหนุ่มประชดอีกรอบขณะลุกยืนขยับดาบในฝักข้างเอวให้เข้าที่เตรียมพร้อมเดินทางต่อ “เก็บเรื่องของซีนายเอาไว้ก่อนจนกว่าเราจะเจอตัวเขาก็แล้วกันชาร์ลี ตอนนี้ข้าอยากจัดการปัญหาเกี่ยวกับมาธาเกียร์ให้จบๆไปสักเรื่อง...ถ้าเจ้าจะกรุณาช่วยน่ะนะ ข้าไม่แปลกใจอีกแล้วว่าทำไมคนอื่นๆที่เคยส่งมาถึงจัดการปัญหาไม่ได้ คงเพราะมาธาเกียร์เลือกคนที่จะติดต่อด้วยแบบนี้ยังไงล่ะ แล้วแต่ละคนที่สภาสูงส่งมาก่อนหน้านี้ไว้ใจได้แค่ไหนกันเชียว พวกของยาริสก็รู้ๆอยู่”

ผู้ที่มาเพราะเงื่อนไขทางการเมืองบังคับย่อมหวังเล่นเกมมากกว่าจะยื่นมือช่วยเหลือจริงจัง

หากถามว่าคนเหล่านั้นผิดไหม ชาร์ลีไม่อาจตัดสินได้เพียงเพราะบางสิ่งที่พวกเขาทำ คนเราย่อมมีเหตุผลของตนเองเสมอนั่นแหละ...

อัสลันทำท่าจะบ่นยาวหากไม่เพราะชาร์ลีหยิบคบไฟเล็กออกจากกระเป๋าผ้าที่พกติดตัวตลอดเวลามาจุดส่องสว่างไปยังทางแคบๆที่หายลับต่ำลงไปข้างในถ้ำนั้น

“ไปกันเถอะอัสลัน ข้าร้อนใจบอกไม่ถูก เหมือนมาธาเกียร์กำลังเรียกให้ข้าเข้าไปไวๆ” จู่ๆน้ำเสียงของเด็กชายก็เปลี่ยนไปเป็นความลุกลี้ลุกลน

ชาร์ลีออกเดินนำไปอย่างรวดเร็ว เส้นทางที่เริ่มทอดต่ำนั้นดูสลัวรางและคลุมเครืออยู่ในเงามืดที่วูบไหว เขาไม่รู้ว่ามาธาเกียร์ปรารถนาสิ่งใดแต่ชาร์ลีมั่นใจว่ามีบางอย่างในสัญชาตญาณของเขาที่เร่งเร้าให้ก้าวไปหาเธอ!



ทางเดินในถ้ำที่บีบแคบลงทำให้ทั้งสองหายใจอึดอัด แม้อากาศจะมีถ่ายเทมาบ้างแต่ก็เบาบางจนรู้สึกได้

“มันจะพาเราลงไปถึงไหนกัน” อัสลันกางสองแขนออกระไปตามผนังที่เป็นหินแข็ง เขาเริ่มเป็นกังวลถึงระยะเวลาที่ทอดนานออกไปทุกทีโดยไม่มีท่าทางว่าจะสิ้นสุด

คบเพลิงในมือชาร์ลีดับไปแล้ว แต่เสียงฝีเท้าที่ก้าวนำหน้าสม่ำเสมอก็ทำให้รู้การเคลื่อนไหวของกันและกัน

“ระวังเท้านะอัสลัน”

คนกล่าวเตือนรู้สึกได้ถึงพื้นถ้ำอันขรุขระ บางช่วงตอนมีหลุมตื้นๆอันเกิดจากการถูกกัดเซาะมานานปีของสายลมที่พัดผ่านเป็นครั้งคราว ตามผนังมีรอยแตกบางแห่งที่เป็นทางผ่านของลมจากเบื้องนอกที่แทรกเข้ามาช่วยเพิ่มการถ่ายเทอากาศให้ดีขึ้นกว่าเก่า แต่ไม่ช่วยให้ชาร์ลีมองเห็นว่าอะไรรอคอยเขาอยู่เบื้องหน้า

จนกระทั่งเด็กชายมาหยุดที่เวิ้งถ้ำแห่งหนึ่งซึ่งมีกระแสลมค่อนข้างอุ่นโชยอวลรอบกายพร้อมกลิ่นแปลกๆที่ทำให้นึกถึงการเผาถ่านหรือน้ำยาที่ไม่พึงประสงค์บางประเภท แสงคบไฟจึงถูกจุดส่องสว่างขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง

“ข้าเดาว่าทางเดินน่าจะสิ้นสุดลงแล้วนะชาร์ลี”

อัสลันเคลื่อนกายไปยืนหน้าแผ่นหินทรงนูนที่ถูกแกะสลักตรงหน้า สายตาของเขามองไล่ไปยังเบื้องบนก่อนจะผงะเล็กน้อยอย่างตกใจ

ประตู...หรืออะไรสักอย่างเป็นงานสร้างครั้งยิ่งใหญ่ของช่างแกะสลักภูเขาที่เยี่ยมยอด ใบหน้าดุดันเกรี้ยวกราดของปีศาจร้ายถูกจำหลักไว้ด้วยรายละเอียดที่น่าสะพรึงกลัว ชาร์ลีคงจำไปอีกนานถึงดวงตาที่มุ่งร้ายหมายขวัญอาคันตุกะที่มิได้รับเชิญ เขี้ยวยาวคมที่ทอดต่ำลงมานั้นแลผาดๆในความรัวรางของแสงไฟละม้ายคมเขี้ยวที่ไหวระริกราวกับมีชีวิตจริง

เด็กชายถอยห่างออกมาเพื่อมองในภาพรวม

มันคือปีศาจที่กำลังคาบเอาไข่ฟองหนึ่งไว้ภายใน...เปลือกไข่ที่มองแวบแรกไม่ต่างจากผนังนูนๆมีลายสลักแฝงประณีต

ตอนนี้ชาร์ลีตระหนักรู้ว่าบางที่เขาต้องการหาถูกซ่อนเอาไว้เบื้องหลังมัน!

“นี่คงเป็นประตูเปิดเข้าไปหามาธาเกียร์...” ชาร์ลียื่นมือไปสัมผัสอย่างระมัดระวัง

มันสากและค่อนข้างอุ่นผิดจากผิวผนังถ้ำทั่วไปที่เย็นชื้นมาตลอดทาง

อัสลันทรุดกายลงนั่งชันเข่าคลำไปตามรอต่อด้านล่างก่อนทำสีหน้าผิดหวัง

“มันเป็นแค่รูปแกะสลักเท่านั้นชาร์ลี หินพวกนี้ต่อกันสนิทเป็นเนื้อเดียว ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นประตูที่เปิดออกได้หรอก”

“ข้ารู้ว่ามันใช่” อีกฝ่ายกลับยืนยันอย่างหนักแน่น “เราแค่ต้องหา ‘กุญแจ’ หรือวิธีการเปิดมันออกอย่างที่ผู้เฒ่าของเกาะนี้เคยทำมาก่อน”

“ความลับนั่นมันอาจจะตายไปพร้อมตัวเขาแล้วล่ะ”

“มาธาเกียร์เรียกข้ามา...เธอจะชี้นำทางเรา”

อัสลันพยายามเสาะหาหนทางอีกพักใหญ่ก่อนยอมแพ้

เขาหน้ามุ่ยขณะที่บ่นยืดยาว “อะไรบางอย่างที่เจ้าไม่รู้จักเรียกเจ้ามาที่นี่ แล้วเจ้าจะคาดหวังกับมันได้ยังไงว่าจะมีหนทางไปต่อชาร์ลี พอทีเถอะ...เราเห็นอยู่แล้วว่าทางเดินมันสิ้นสุดแค่นี้ มันคือทางตันและเรากำลังจะกลับออกไปเพื่อไม่ให้ทุกคนข้างนอกนั่นเป็นห่วง”

“ขอเวลาอีกเดี๋ยว...ข้าขอแค่นั้น” ชาร์ลียังคงดื้อดึง

อาการเจ็บที่กลางหลังคอยๆเริ่มต้นอีกครั้งเมื่อเด็กชายชาวนูฟก้มๆเงยๆกับการค้นหาทางเข้าพักใหญ่ เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเลยเมื่อมันยังไม่มีทีท่าว่าจะคลายความปวดร้าวไปเหมือนหนก่อนๆ เหงื่อเม็ดเล็กๆเริ่มซึมจากทั่วกายขณะที่เขาได้แต่พร่ำท่องคำว่าอดทนเอาไว้ในใจอย่างไม่ย่อท้อ แต่ดูเหมือนวาระแห่งการเปลี่ยนแปลงกำลังจะเริ่มขึ้นในไม่ช้านี้ ชาร์ลีทรุดลงกับพื้นห่อตัวอย่างเจ็บปวดทารุณพลางร้องออกมา

“ชาร์ลี!”

อัสลันผวาเข้ามาหาอย่างตกใจพลางยกร่างสหายสนิทขึ้นมา เขารับรู้ถึงอาการเกร็งกล้ามเนื้อทุกส่วนที่ชาร์ลีกำลังเผชิญหน้าอยู่ เด็กชายวัยสิบสี่เริ่มกระตุกจนตัวโยน

“เจ้าเป็นอะไรไปน่ะชาร์ลี! บอกข้าสิ!” อัสลีนตะโกนกรอกไปในหูเพื่อเรียกสติสัมปชัญญะอันน้อยนิดของชาร์ลีกลับคืนมาก่อนสถานการณ์จะเลวร้ายลงไปอีก

“เชือก...ในถุงผ้า” ชาร์ลีบอกด้วยน้ำเสียงที่ขาดเป็นห้วงๆราวกับว่าการหายใจเริ่มติดขัด “ที่ให้เจ้าหามา...มัด...มัดข้าไว้แน่นๆ...แขนกับขา...มัดไว้!”

“ข้าจะไม่มัดเจ้า ทำไมต้องทำแบบนั้นด้วย”

มือเล็กของเด็กชายจากแดนไกลคว้าหมับที่คอเสื้อกระตุกเอาใบหน้าอัสลันใกล้ลงมา กำชับซ้ำอย่างเกรี้ยวกราด

“ทำ...เดี๋ยวนี้!”

อัสลันตะลึงตาค้าง เขาไม่เคยเห็นชาร์ลีออกคำสั่งด้วยท่าทางราวกับอยากจะฉีกใครเป็นชิ้นๆแบบนี้มาก่อน แต่แวบหนึ่งที่เขามองเห็นนัยน์ตาสีเขียวมรกตของชาร์ลีซึ่งเคยวาวจ้าเป็นมิตรแปรเปลี่ยนเป็นสีขุ่นคลั่กก่อนจะกลายเป็นสีแดงฉาน อัสลันก็รู้ดีว่าเขาไม่อาจมีทางเลือกอื่นใดนอกจากรีบเร่งควานหาสิ่งที่ชาร์ลีสั่งการให้ตระเตรียมมาก่อนหน้านี้เพื่อพันธนาการทั้งข้อมือและข้อเท้าของคนป่วยเอาไว้

ปมเชือกที่มัดนั้นราวกับโลดเต้นออกจากมือที่สั่นเทาของเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งที่ชาร์ลีเองก็ไม่ได้มีอาการต่อต้านหรือพยายามยับยั้งการกระทำนั้น...อันที่จริงมันเหมือนชาร์ลีที่เขาเคยรู้จักได้หายไปอยู่ในโลกอีกใบที่ไม่รับรู้สิ่งใดแล้ว

“โธ่โว้ย!”

เด็กหนุ่มทุบกำปั้นลงไปที่ผนังอย่างแรงจนเลือดซิบเพื่อยุติความกระวนกระวายใจ

เขาเริ่มต้นมัดปมเชือกใหม่ด้วยความมุ่งมั่นและเป็นตัวของตัวเองมากขึ้น อัสลันต้องยอมรับว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นกับชาร์ลีทำให้เขาใจเสียไม่น้อย

ชาร์ลีเป็นนูฟ...เป็นความต่างที่เขาไม่เคยพบเจอมาก่อน แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือร่างที่ขดงอนอนครวญครางอย่างทุกข์ทรมานตรงหน้านี้คือเพื่อนของเขา...

เพื่อนที่เขาไม่อาจช่วยอะไรได้เลยนอกจากนั่งมองความเจ็บปวดที่ทวีขึ้นทุกขณะ!



ทุกอย่างมันโหดร้ายยิ่งกว่าอยู่ในสมรภูมิรบ...

อัสลันนั่งกอดเข่าเพ่งมองไปยังเปลวไฟจากคบเพลิงที่เขาจุดขึ้นมาใหม่เมื่อครู่นี้ นัยน์ตาสีฟ้าแกมน้ำเงินเข้มลึกเป็นประกายหดหู่สิ้นหวัง อีกฟากของคบไฟที่อาศัยปักเอาไว้ตรงรอยแตกของผนังคือร่างเล็กที่เพิ่งยุติการดิ้นรนจากความเจ็บปวดที่มองไม่เห็นด้วยตามเปล่าลงไปหมาดๆ

มันคงจะดีกว่านี้หากไม่เพราะว่าทุกคราที่ชาร์ลีละม้ายจะจบการต่อสู้กับสภาวะร่างกายของเขาลงไปนั้น ลมหายใจที่สัมผัสได้จะค่อยๆเบาบางแผ่วโหยลงอย่างเห็นได้ชัด

อัสลันซุกหน้าลงกับท่อนแขนเพื่อซ่อนความรู้สึก...

เขาคะเนเวลานับจากเข้ามาที่ถ้ำจนบัดนี้ ภายนอกคงคลี่คลุมด้วยแสงแห่งราตรีกาลอันหม่นมัว

หากการเป็นเพื่อนหมายถึงการต้องนั่งรอคอยดูวาระสุดท้ายของเพื่อนโดยไม่อาจช่วยอะไรได้ เขาก็ไม่ปรารถนาให้ความเป็นมิตรก่อเกิดขึ้นอีกบนโลกใบนี้!

ไม่ว่าสิ่งที่ชาร์ลีกำลังเผชิญอยู่คืออะไรก็ตามที สิ่งเดียวกันนั้นกำลังจะพรากเอาจิตวิญญาณบางส่วนของอัสลันจากไปด้วยอย่างไม่ต้องสงสัยเลย...

ในสงครามเขาสามารถที่จะแกว่งไกวศัสตราวุธเข้าฟาดฟันจู่โจมและป้องกันบุคคลอันเป็นที่รักและผองเพื่อนได้

แต่นี่...

เด็กหนุ่มนั่งนิ่งและปล่อยให้ความเงียบโอบกอดทุกสรรพสิ่งเอาไว้

เสียงเพ้อหาใครบางคนของชาร์ลีทำให้อัสลันขยับลุกอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวเด็กหนุ่มก็ไปนั่งเคียงข้างเงี่ยหูฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ

ความคาดหวังเพียงน้อยนิดมลายไปเมื่อจับใจความเหล่านั้นได้ว่าเป็นเพียงการร่ำร้องหาคนในครอบครัวจากจิตใต้สำนึกของชาร์ลี ไม่ได้มีเงื่อนงำแฝงเร้นที่จะแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในเวลานี้

เปล่าประโยชน์ที่เขาจะมาอยู่ตรงนี้...อัสลันคิดอย่างเจ็บใจตัวเอง สองมือที่วางแตะบนแขนเย็นเฉียบของชาร์ลีรู้ดีว่าไม่อาจทำให้อีกฝ่ายดีขึ้นอย่างใจต้องการ

“มาธาเกียร์! ท่านได้ยินเสียงข้าหรือเปล่า!” อัสลันตะโกนก้องอื้ออึง

เสียงสะท้อนที่ดังกลับมาค่อยๆแผ่วจางจนหายไปตามความวกวนของถ้ำ สายตาที่เขม้นมองไปยังรูปปีศาจแกะสลักที่ชาร์ลีเคยหมายมั่นว่ามันคือประตูไขปริศนาแห่งเกาะนี้ได้นั้น มีวี่แววของความเจ็บแค้นและกดดันทับถมมากมาย

“ไหนพวกเมิร์ฟเนียบอกว่าท่านเป็นมารดาผู้กำเนิดสรรพสิ่งบนเกาะนี้ ทำไมท่านไม่ใช้อำนาจดลบันดาลให้ชาร์ลีหายดี...ท่านต้องการความช่วยเหลือจากเขาไม่ใช่หรือไงมาธาเกียร์!” เด็กหนุ่มคำรามอย่างบ้าคลั่ง “ตอบข้าสิว่าท่านจะทำอะไรให้พวกเราเป็นการชดเชย ท่านเรียกหาแต่ความช่วยเหลือแต่ท่านไม่เคยคิดจะให้ความช่วยเหลือเราตอบแทนงั้นรึ ท่านเป็นใครกัน....ข้ารู้แต่ว่าท่านเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ และถ้าหากชาร์ลีเป็นอะไรไปข้าจะไม่มีวันยกโทษให้ท่านกับชาวเมิร์ฟเนียทั้งเกาะที่ทำให้เราต้องตกอยู่ในสภาพนี้!”

แรงสั่นสะเทือนครืนครั่นจากพื้นดินดังแทรกมาจนกลบเสียงของอัสลัน

ฉับพลันนั้นเองประตูในปากปีศาจก็เลื่อนลั่นเคลื่อนตัวออกเปิดทางกว้างดุจเชื้อเชิญ

เสียงเสนาะใสดังแว่วมาจากที่ใดที่หนึ่งภายใต้ลำแสงสีชมพูอ่อนจางที่อาบไล้ภายในถ้ำกว้างขนาดใหญ่ที่ซ่อนอยู่นั้น

“มาเถิดอัศวินผู้หาญกล้า...แม้ว่าสิ่งที่เจ้ากำลังกล่าวโทษนั้นไม่ใช่ความผิดของข้า เราต่างก็รู้ดีว่าชาร์ลีสำคัญต่อเราสองคนเพียงใด จงนำเขาเข้ามายังพื้นที่อันปลอดภัย และยุติการกล่าวร้ายใดๆถึงเรื่องในอนาคตที่เจ้าจะกระทำต่อชาวเมิร์ฟเนียเสียเถิด...”

อัสลันชั่งใจเพียงครู่เดียวก็จับข้าวของอื่นๆเหวี่ยงนำไปก่อนที่ตัวเขาจะก้มลงหอบชาร์ลีพาดบ่าก้าวตามไปอย่างรวดเร็ว











 

Create Date : 06 มีนาคม 2554
0 comments
Last Update : 6 มีนาคม 2554 18:13:30 น.
Counter : 589 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.