Group Blog
 
<<
มีนาคม 2554
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
15 มีนาคม 2554
 
All Blogs
 
ชาร์ลี 2 ตอน 15 ความสามัคคีที่เริ่มต้น


คุยกันก่อนอัพ


ฝนตกหนักมาค่ะเช้าวันนี้
นัดเพื่อนไว้มีอันต้องโทรยกเลิกด่วนๆแบบโกลาหล ช่างฤกษ์ชุ่มฉ่ำเสียนี่กระไร -"-

แต่พักนี้ฟ้ามัวๆทุกวันเลยนะคะ ปกติถ้าฟ้าแบบนี้ที่เชียงใหม่มักเป็นเพระาหมอกควันคลุมเมืองค่ะ
ช่วงไหนหมอกควันมาก็มีคนเตรียมป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจกันเป็นแถบๆ
บางรายเป็นเยอะทั้งที่เจอหมอกควันแทบทุกปี...เห็นต้องไปหาหมอแล้วน่าสงสารมาก
พลอยค่อนข้างทนต่อมลพิษค่ะ (ฮา) ก็เลยไม่ค่อยเป็นอะไรกับเรื่องหมอกควันนี่

แต่เรื่องเดียวขอยกธงขาวเห็นจะเป็นเรื่องอากาศที่เปลี่ยนแปลง พลอยปรับตัวอย่างกะทันหันไม่ค่อยได้
ถ้าร้อน หรือหนาวคงที่สักระยะหนึ่งถึงจะค่อยยังชั่วขึ้น

ปัญหาสุขภาพเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับหลายๆคน
แถมโรงพยาบาบเอกชนเห็นราคาแล้วแอบสยองอยู่นะคะ...พยายามดูแลตัวเองอย่าให้ป่วยกันดีกว่าค่ะ

เป็นห่วงค่า...

Ploy666.



**************

ชาร์ลี 2 [ภาค : มิตรสหายและศัตรู]
ตอนที่ 15 ความสามัคคีที่เริ่มต้น

ผู้แต่ง RED (สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย)



จะเอายังไงต่อไป...

ถึงไม่มีใครกล้าถามออกมาตรงๆชาร์ลีก็ตีความจากสายตาของทุกคนที่เขาเดินผ่านเข้าไปในเรือนพยาบาลได้แบบนั้น แสงไฟสีน้ำเงินจากลูลูบิอาร์ดินีย์ที่กักตุนไว้ถูกนำมาจุดในคบไฟนั้น สว่างเรืองกระจายไปทั่วบริเวณในยามค่ำคืนเช่นนี้ มันขับไล่ความมืดมิดออกไปได้แต่กลับยิ่งเสริมให้บรรยากาศเศร้าซึมและเสียงร้องไห้แว่วๆจากผู้ที่สูญเสียชัดเจนจนชาร์ลีสะท้อนใจ

ศพที่ถูกฝังไปนั้นมีเท่าไหร่เขายังไม่ทราบแน่ชัด แต่เชื่อว่าอีกไม่นานจะได้รับรายงานยอดที่แม่นยำถูกต้องจากเคลันแน่นอน...

เพจกำลังสาละวนทำความสะอาดบาดแผลคนเจ็บรายหนึ่ง โดยมีเจ้าหญิงมีนาร์ลากเก้าอี้มานั่งอีกฝั่งเตียงนอนและจับมือคนเจ็บไว้อย่างให้กำลังใจ เด็กหญิงเงยมองชาร์ลีเล็กน้อยเมื่อร่างของเขาไปหยุดยืนใกล้ๆ

“เขาเป็นยังไงบ้าง”

“โทสจะดีขึ้นในไม่ช้า” เพจใช้หลังมือปาดเหงื่อพลางยิ้มนิดๆ “เมื่อครู่นี้เขารู้สึกตัวขึ้นมาแล้วแต่เราให้ยานอนหลับเพิ่มไปอีกเลยเป็นอย่างที่เห็น ฮิวไม่เป็นอะไรมากกลับไปพักรวมกับเพื่อนที่บ้านหลังอื่นแล้ว เคลันกำลังสำรวจดูว่าบ้านไหนไม่เสียหายจากแรงระเบิด พอจะแบ่งคนไปอาศัยชั่วคราวได้บ้างน่ะ”

อัสลันเดินตามเข้ามาในขณะที่แมนเฟย์แยกตัวหายไปตั้งแต่เรือถึงฝั่งแล้ว

“ชาร์ลี...ตกลงจะเอายังไงเรื่องซีนาย”

“ข้ากำลังหาทางออก”

คนฟังขมวดคิ้ว “แต่เจ้าบอกพวกนั้นว่าจะเอามาธาเกียร์ไปให้”

เคลันที่เพิ่งมาสมทบก็หยุดฟังอย่างกังขา

“เราซื้อเวลาได้แล้วนั่นเป็นเรื่องดี ตอนนี้ที่เราควรทำคือผลิตลูลูบิอาร์ดินีย์เพื่อขจัดปัญหาของคนส่วนใหญ่ ไม่ใช่เรื่องที่เกี่ยวกับโจรสลัด”

สมองที่จำแนกแจกแจงอย่างว่องไวนั้นยังทรงประสิทธิภาพดีเยี่ยม ชาร์ลีรู้สึกเหมือนกับเขากำลังดึงเอาตัวตนของตนเองเมื่อครั้งเก่าๆกลับคืนมาได้อีกครั้งหลังจากมันห่างหายไปนาน

ร่างสูงเพรียวของเด็กชายดูแปลกตาในแสงสีน้ำเงินที่ส่องทาบมา

ชาร์ลีลดเสียงลงขณะบอกว่า “อย่าให้เรื่องนี้แพร่ออกไป เอาไว้ข้าจะบอกทุกอย่างเอง ขอแค่ให้การเพาะปลูกลูลูบิอาร์ดินีย์และการแปรรูปเป็นไปด้วยดีก็พอ”

“จะยื้อเอาไว้ได้นานเท่าไหร่กัน” เพจถามไถ่ด้วยความกังวล

“น่าจะสักสองสามสัปดาห์” เด็กชายให้ข้อสรุปก่อนเหลือบมองใบหน้าทุกคนในที่นั้นด้วยสายตาที่จางแสงลงกึ่งปลอบโยน “ปล่อยให้ข้าคิดก็พอแล้ว พวกเจ้าเอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่สำคัญกว่าเถอะนะ ซีนายและโจรสลัดวีซานด์อาจจะอันตรายต่อเราก็จริงแต่ไม่ใช่ในเวลานี้...ข้ารับรองได้”

ใครบางคนทอดถอนใจอย่างกลัดกลุ้มแทนแต่ก็ไม่อาจเอ่ยปากใดๆออกมาได้

เมื่อหันมองไปยังรอบกายก็พบเพียงความว่างเปล่าที่ไร้เงาแห่งความหวัง และบัดนี้เมื่อชาร์ลีก้าวเข้ามารับประกันความมั่นคงมีหรือที่พวกเขาจะไม่ไขว่คว้ายึดเหนี่ยวแม้รู้ว่านั่นเท่ากับเป็นการผลักภาระไปยังคนแปลกหน้าคนหนึ่งซ้ำยังเป็นเด็กวัยสิบสี่

แต่จะมีทางเลือกอะไรเหลืออีกในเมื่อนับตั้งแต่มาธาเกียร์จนกระทั่งตัวแทนโจรสลัดวีซานด์ก็ยังร้องเรียกหาแต่เพียงชาร์ลี...

เคลันแปลกใจจนกลายเป็นความพิศวงแกมทึ่งไปแล้ว

บางอย่างในท่าทีของเด็กชายเปลี่ยนไป ชาร์ลีสงบนิ่งและไตร่ตรองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างเยือกเย็นผิดจากตอนแรกๆที่มาถึงลิบลับ ราวกับว่ายิ่งเดินเข้าไปสู่เหตุการณ์คับขันมากขึ้นเพียงใด เด็กชายชาวนูฟก็ยิ่งขัดเกลาตัวเองให้กร้าวแกร่งและมุ่งมั่นต่อเป้าหมายไปทุกขณะ

ต่อให้กองเรือรบของวีซานด์มีมากกว่านี้อีกเท่าตัว ลูลูบิอาร์ดินีย์ก็จะถูกส่งไปถึงแผ่นดินใหญ่อย่างแน่นอนด้วยสมองและสองมือของชาร์ลี...

เคลันทวีความศรัทธาอย่างเต็มหัวใจ ณ วินาทีที่แลไปสบกับนัยน์ตาสีเขียวมรกตอันเรืองรองที่เหลียวมาทางเขา

มันเป็นสายตาแห่งผู้ที่ปรารถนาชัยชนะไม่ใช่การศิโรราบยอมจำนนต่ออำนาจใดๆ!



“เราเสียคนไปพอสมควรจากลูกไฟที่ยิงมาเมื่อสองวันก่อน แต่ตอนนี้คนที่บ้านพักถูกทำลายก็กระจายไปอาศัยอยู่ทั้งเกาะเหนือและเกาะใต้แล้ว...นี่เป็นยอดแรงงานที่จะเอามาช่วยเนียญ่าปลูกลูลูบิอาร์ดินีย์ ถ้าอยากเร่งเวลาเราจะเพิ่มกะรอบเย็นอีกช่วงได้” เคลันสรุปก่อนยื่นสมุดบันทึกของเขาให้ชาร์ลีตรวจสอบ

เด็กชายพยักหน้าอย่างพึงพอใจ

“เราต้องเร่งมือเอาเมล็ดพันธุ์ลงปลูกในบึง แต่ข้าอยากให้มีการระวังเกี่ยวกับความปลอดภัยมากกว่านี้”

มิวค่อยๆยกมือขั้นมาอย่างไม่มั่นใจเท่าใดนัก กระทั่งชาร์ลีกล่าวให้พูดนั่นแหละ เธอจึงบอกว่า

“ข้าคุยกับโทสเมื่อวานนี้...คือตอนนี้เขามาพักที่บ้านข้าน่ะ เขาบอกว่าเราน่าจะทำเครื่องทุ่นแรงสำหรับงานที่เสี่ยงอันตราย”

เป็นข้อเสนอที่ทำให้ชาร์ลีแปลกใจ...

นี่เป็นหนแรกที่เขาได้ยินว่ามีการร่วมกันคิดระหว่างเมิร์ฟฟากับเนียญ่าและมันก็เป็นสัญญาณที่ดีทีเดียว

“ว่ามา”

“โทสบอกว่าเราจะทำคานสูงที่คอยปล่อยลูกตุ้มลงมากระแทกเอาเถาวัลย์จมลึกลงน้ำได้ มันจะมีเสาหลักที่ปักข้างบ่อแล้วเราก็ทำคานยื่นล้ำไปมากพอที่จะทำงานนั้น”

โทสรีบเสริมขึ้นว่า “เราอาจทำเป็นรางเลื่อนหลายขั้น เผื่อไปตามระยะห่างจากขอบบ่อหรืออะไรทำนองนั้น แต่ต้องขุดดินให้แน่นหนาเพื่อใช้เสาริมบึงเป็นหลักยึดน่ะ”

“เจ้าคิดเองรึ” ชาร์ลีถามอย่างประหลาดใจ

เคลันเป็นคนอธิบายว่า “โทสช่วยงานเกี่ยวกับเครื่องมือหลายประเภทในโรงงานมานานหลายปีแล้วชาร์ลี”

“ลองวาดรูปให้ข้าดูหน่อยสิ”

ทุกคนกระตือรือร้นและพากันชะโงกมองโทสที่ก้มหน้าก้มตาขีดเขียนลงในสมุดนั้นพักใหญ่

ลักษณะเสาสูงที่ปักลงขอบบึงนั้นดูแน่นหนาเมื่อมองไล่ตามขึ้นไปเป็นคานไม้พาดขวางและมีการทำจุดสำหรับล็อกเชือกโยงเอาไว้เป็นระยะๆ ปลายเชือกนั้นเป็นลูกตุ้มขนาดมหึมา

ทว่าชาร์ลีกลับมุ่นหัวคิ้วมองนิ่งสักพักใหญ่

“ข้าว่ามีบางอย่างยังแปลกๆ...โทส เสาที่เจ้ากะไว้จากวัสดุที่เราพอหาได้จะรับแรงได้มากน้อยแค่ไหนกัน”

คำถามนั้นทำเอาชาวเมิร์ฟฟาอีกหลายคนเริ่มหันไปจับกลุ่มซุบซิบกัน ชาร์ลีจับบางคำและเดาได้ว่าพวกเขากำลังทำการคำนวณอย่างคร่ำเคร่งขณะที่เนียญ่าก็คอยเสริมข้อมูลตามเหมาะสม

“ดูจากน้ำหนักที่จะกดแพเถาวัลย์ลงไปน่าจะเป็นเรื่องหนักแรงทีเดียวล่ะชาร์ลี...เจ้าคิดว่ายังไง”

คนอื่นๆจึงพลอยมองเลยมาทางเด็กชายเพราะประโยคคำถามนั้น

ชาร์ลียื่นมือรับสิ่งที่โทสส่งให้ ก่อนโน้มตัวลงไปแล้วกดมันขีดลงบนกระดาษแผ่นเดียวกันนั้น

“เราน่าจะเฉลี่ยแรงที่ต้องรับน้ำหนัก บางทีเราอาจแทนที่เสาเดียวด้วยการใช้สักสามเสาเอาปลายมันมาไขว้กันกางโคนออกเป็นฐานแล้วทำไม้ยึดไขว้ไปมาให้ได้ระดับแน่นหนา”

เคลันจิ้มนิ้วลงตรงส่วนโคนอย่างนึกขึ้นได้ “ตรงนี้ข้าว่าน่าจะทำรอกผ่อนแรงสำหรับหย่อนลูกตุ้มได้นะ คงต้องให้หลายตัวหน่อยแต่มันไม่เสียเวลาสร้างเท่าไหร่หรอก”

“งั้นก็ดี...แล้วนี่ เราจะไม่ขุดเสาปักลงดินหรอก” ชาร์ลีบอกอย่างยินดีเมื่อความคิดแล่นเร็วรี่เข้ามา “เพราะเราจะตั้งอุปกรณ์ชิ้นนี้ไว้บนฐานแผ่นไม้ที่มีล้อเลื่อนเพื่อเคลื่อนย้ายไปทำงานได้หลายๆที่โดยไม่ต้องเสียเวลาทำใหม่ทุกบ่อ ข้าต้องการใครบางคนที่จะจัดหาวัสดุพวกนี้ได้...แล้วก็มิว เจ้ารู้ใช่ไหมว่าระดับน้ำที่เราจะยังเพาะปลูกสามชั้นรอได้นานแค่ไหน”

คำถามของชาร์ลีทำให้ทุกคนตื่นตัวฉับไว

บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนไปในทันที มิวชูมือสูงโบกไปมาพลางว่า

“ข้าดูเวลาของน้ำทุกวัน เราจะต้องทำเครื่องมือพวกนี้เสร็จทันแน่ถ้าช่วยกัน”

“ส่วนข้าจะไปจัดกะใหม่ เราจะแบ่งเป็นสามกะ ลดเวลาการทำงานแต่ละกะให้น้อยลงแต่จำนวนเวลารวมในการทำงานหนึ่งวันเมื่อสามกะต่อกันจะมากขึ้นเพื่อเร่งกำลังการผลิตให้ทันระดับน้ำ” เคลันบอกอย่างเริงร่าเมื่อพบว่าพอจะมองเห็นทางออก

ชาร์ลีเป่าลมออกจากปากอย่างปลอดโปร่งใจ เขายิ้มเมื่อบอกชัดถ้อยชัดคำว่า

“เรื่องถ่วงเวลาโจรสลัดปล่อยเป็นหน้าที่ข้าก็แล้วกัน!”



เสาสูงตระหง่านของอุปกรณ์ชิ้นใหม่นั้นราวกับเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นวันใหม่ที่ยอดเยี่ยม ชาร์ลีไม่ได้นึกรำคาญใจกับเสียงตะโกนโหวกเหวกของชาวเมิร์ฟเนียอีกต่อไป เมื่อเขาเดินตรวจตราไปตามบ่อบึงทั้งหลายนั้นพร้อมกับให้คำแนะนำในบางจุดและสอบถามเพิ่มเติมบ้างในบางเรื่อง

ไอหมอกเย็นชื้นยังลอบอวลอ้อยอิ่งและค่อนข้างหนาตากว่าทุกวันราวกับจะชดเชยไอร้อนเมื่อหลายวันก่อนหน้านี้

อัสลันไม่ได้อยู่เคียงข้างกายชาร์ลีอีกต่อไป เพราะอัศวินหนุ่มมีภาระหน้าที่สำคัญยิ่งในการระวังป้องกันตามแนวชายฝั่งรอบเกาะอย่างไม่ประมาท ความผิดพลาดหนที่ผ่านมาเป็นบทเรียนที่ดีสำหรับเคลันสำหรับการอำพรางสภาพการณ์ที่แท้จริงไว้พ้นหูพ้นตาชาร์ลีและนั่นทำให้ผู้จัดตารางเวรยังคงพร่ำคำขอโทษในบางเวลาที่มีโอกาสด้วยความสำนึกผิด

เป็นข้อดีอย่างหนึ่งที่ไม่มีการหวนไห้อาลัยถึงผู้ที่เสียชีวิตไปอย่างเป็นพิธีรีตองมากนัก ที่พอฝังได้ก็ฝัง ส่วนที่สะดวกเผาก็ทำกันไปตามอัตภาพ...อย่างน้อยการที่มีความหวังว่าคนตายจะกลับคืนมาใหม่ด้วยเวทมนตร์แห่งมาธาเกียร์ก็ทำให้ความเศร้าโศกเบาบางลง

ชาร์ลีพยายามซึมซับวัฒนธรรมและความเชื่อของผู้คนในปกครองของตนเองอย่างลำบากไม่น้อย เขาเพิ่งเข้าใจว่าทำไมการมีผู้เฒ่าประจำเกาะมาจากต่างเผ่าพันธุ์จึงเป็นเรื่องที่สร้างความปั่นป่วนจนไม่เคยมีที่ไหนแต่งตั้งมาก่อน...

บางทีอาจเป็นภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของคนในอดีตที่ไม่อาจมองข้ามไปได้

ทว่าวันนี้ความจำเป็นทำให้มาธาเกียร์ต้องยกเลิกกติกาทุกชนิดโดยพลัน

เด็กชายเงยหน้ามองเงื่อนปมต่างๆที่ช่วยพยุงไม้เอาไว้ให้เป็นรูปทรงตามต้องการ แต่ที่เหนือไปกว่านั้นคือการใช้สลักทำให้แน่ใจว่ามันจะแข็งแรงได้มากพอกับการใช้งาน

“ล้อเป็นยังไงบ้าง” เขาเอ่ยถามเบาๆขณะใช้มือผลักเสาเหมือนทดสอบกึ่งเล่นกึ่งจริง

โทสยิ้มอย่างภาคภูมิขณะตอบว่า “มันใช้งานได้ดี เราทำจากไม้เนื้อแข็งที่ต้องออกแรงเกลาให้เรียบอยู่ตั้งนาน แกนเพลานั่นฝีมือข้ากับฮิวเชียวนะชาร์ลี”

“ข้าเห็นเพจพาคนมาทุบทางสำหรับเข็นให้ดินแน่นเมื่อบ่ายวานนี้”

“ใช่...ข้าคิดว่านั่นทำให้งานเสร็จไวขึ้นเพราะไม่มีปัญหาเรื่องขนย้ายอุปกรณ์พวกนี้ไปที่บึงอื่นๆ”

ชาร์ลีหันมามอง

“ทำไว้กี่อัน”

“สาม...แต่เรากำลังสร้างเพิ่มอีก” โทสทำท่าพออกพอใจมากมายกับสิ่งประดิษฐ์ของเขา “ถึงมันจะไม่มีเวทมนตร์เหมือนของจากเซไลย์แต่เราก็มีสมองที่พอจะทำอะไรหลายๆอย่างได้ดี”

“ที่เซไลย์มีร้านค้าที่ชื่อวู้ดช็อป บางทีถ้าเจ้ามีของน่าสนใจอื่นๆอีก...พวกสิ่งประดิษฐ์น่ะ ขากลับข้าอาจจะไปเสนอวู้ดช็อปให้ส่งคนมาดูที่นี่ได้ พวกเขาจะเอาของที่ถูกสร้างขึ้นไปเติมเต็มด้วยเวทมนตร์แล้วมันก็จะใช้งานได้อย่างเหลือเชื่อเชียวล่ะ”

ประโยคนั้นเรียกเอาความกระตือรือร้นสนใจจากโทสได้ดี

“ข้ามีของหลายชิ้นในสมุดบันทึกที่น่าสนใจ เจ้าเคยเห็นเครื่องทุ่นแรงในการเดินไหม...สำหรับคนที่ขาไม่สมบูรณ์น่ะ ข้าเคยเจอคนที่เกิดอุบัติเหตุในระหว่างทำงานแล้วเขาก็น่าสงสารมากแต่เขาไม่อยากใส่แขนขาเทียมหรืออะไรที่คล้ายๆแบบนั้น ข้าเลยคิดว่ามันคงจะดีกว่าถ้าเขามีปีกบินไปเลย...ข้าเคยลองทำแบบจำลองไว้ด้วยล่ะ”

“มันน่าสนใจนะโทส บางทีวู้ดช็อปอาจสนใจด้วยก็ได้”

ชาร์ลีคิดว่าเขาไม่ได้พูดเกินจริง หากโทสมีผลงานที่น่าทึ่งหลายชิ้นเขาควรจะให้การสนับสนุนคนแบบนี้แทนที่จะปล่อยให้สิ่งที่โทสคิดค้นสูญเปล่าอย่างไร้ค่าเพียงเพราะว่ามันอยู่ห่างไกลจากการรับรู้ของผู้คน

วู้ดช็อปเหมาะที่จะมาช่วยเสริมตรงจุดนั้นพอดี

“ฮิวเคยบอกข้าว่าอยากไปเซไลย์” โทสเล่าพลางยิ้มกว้าง “ข้าเคยติดเรือขนส่งลูลูบิอาร์ดินีย์ไปที่นั่นหนหนึ่ง มันเป็นเมืองที่น่ามหัศจรรย์มากเลยเมื่อเทียบกับเกาะเล็กของเรา แต่ผู้เฒ่าคนก่อนๆไม่เคยอนุญาตให้เราขึ้นเรือ การต่อรองจะเริ่มที่เรือและจบหน้าที่พวกเราลงแค่นั้น เราก็ได้แต่นั่งมองคนเซไลย์มาขนของขึ้นฝั่งไป คงจะดีมากเลยถ้าข้ากับฮิวได้มีโอกาสไปที่นั่นบ้าง”

“แต่ข้าชอบเกาะนูฟมากกว่านะ คงเพราะข้าคุ้นกับที่นั่น”

หรืออาจเป็นเพราะเขาจากมานานเกินไปแล้วก็เป็นได้...

โทสแยกเขี้ยวใส่กึ่งเล่นกึ่งจริง “เอาไว้ให้ข้าได้ไปอยู่มาเป็นปีแบบเจ้าก่อนสิชาร์ลี!”

อย่างน้อยก็เป็นประโยคที่เริ่มต้นวันได้ดีพอที่ชาร์ลีจะหัวเราะเบาๆออกมาอย่างอดไม่ได้...



“แมนเฟย์...ข้ามีอะไรอยากถามเจ้า”

ชาร์ลีก้าวไวๆมาทางชายชราที่นั่งพักเหนื่อยใต้ร่มไม้ใหญ่หลังจากไปช่วยงานคนอื่นๆที่ริมบึงมาเมื่อครู่นี้ เจ้าหญิงมีนาร์นั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้ๆกระโปรงบานแผ่ออกราวกับกลีบดอกไม้เพียงแต่มันเป็นสีน้ำตาลอ่อนแทนที่จะเป็นสีสันสดใสอื่นใดก็เท่านั้นเอง เธอเงยขึ้นมองชาร์ลีอย่างแปลกใจเล็กน้อยแต่ไม่ปริปากถามอย่างเคย ในตักเด็กหญิงมีดอกไม้ชนิดที่ไม่ค่อยพบเห็นที่เซไลย์กองพะเนิน

เขารับรู้ว่าแมนเฟย์กำลังเป็นเพื่อนเล่นกับเจ้าหญิงมีนาร์ด้วยการใช้ความเงียบและท่าทางมากกว่าจะเจรจากัน...

ส่วนรูดี้นั้นบัดนี้นอนขดตัวกลม ท้องที่ปกคลุมด้วยขนปุยๆนั้นพองขึ้นลงตามจังหวะการหายใจอยู่ชิดรากไม้ที่ยื่นกางออกมา

อย่างน้อยมันก็ไม่ทิ้งเจ้าหญิงมีนาร์แม้เวลาหลับใหล...ช่างมันเถอะ

“ว่าไง” ชายชราเลิกผ้าคลุมศีรษะออกอย่างเนิบๆ

ชาร์ลีทรุดกายลงนั่งใกล้ๆพลางยื่นสมุดพร้อมปากให้

“วาดผังภายในเรือให้หน่อย เอาลำที่ซีนายอยู่นะ...ขอรายละเอียดเท่าที่พอจะจำได้”

“ข้าออกแบบมันเองนี่นา” แมนเฟย์พึมพำพลางรับงานนั้นมาทำหน้าที่อย่างตั้งอกตั้งใจ “บางทีอาจจะมีการต่อเติมซ่อมแซมบ้างแต่ข้าว่ามันคงไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่หรอก”

เจ้าหญิงมีนาร์สมองหน้าคนทั้งสองอย่างไม่เข้าใจนัก ทว่าเด็กหญิงก็ดูจะไม่ปรารถนาเอามาใส่ใจยาวนาน เพราะเธอกลับไปก้มหน้าก้มตาง่วนอยู่กับพินิจรายละเอียดของก้านใบดอกไม้ต่อ

ชาร์ลีเหลือบมองเธอแวบหนึ่งก่อนหันไปสนทนากับแมนเฟย์ขณะรอคอยการทำงานของชายชาวลีนน์

“ซีนายเรียนเวทมนตร์มาจากไหนกัน”

“ข้อนั้นข้าไม่รู้หรอก...แต่ตอนข้าพบเขา เด็กนั่นก็มีบางอย่างไม่เหมือนคนอื่นๆอยู่แล้ว ดูเหมือนตอนหลังที่เราล่องเรือไปเรื่อยเขาจะชอบรื้อค้นเสาะหาตำราเวทมนตร์มาเก็บไว้เยอะแต่ข้าไม่ได้สนใจนัก จะว่าไปซีนายก็มีพรสวรรค์ไม่เลวสำหรับผู้ใช้เวทที่ไม่เคยมีครูสอน” น้ำเสียงนั้นเจือความชื่นชมอันขมแปร่งที่คนพูดก็ไม่อาจจำแนกถูกว่ามันคืออะไร

ความรู้สึกที่มีต่อซีนายน่าจะปะปนไประหว่างความภาคภูมิใจในเด็กชายที่ตัวเองเก็บมาอุปการะใช้งาน คละเคล้าปนเปไปกับความชิงชังในสิ่งที่ซีนายตอบแทนกลับมาอย่างเจ็บแสบ

แต่คนฟังกลับใส่ใจความรู้สึกของพันธมิตรชั่วคราวแบบแมนเฟย์น้อยมากเมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่เขาเคยกระทำไว้ในอดีต

เด็กชายจึงไพล่ไปถามถึงอีกเรื่องหนึ่งที่เขาสนใจใคร่รู้มากกว่า

“ท่านพอจะอธิบายให้ข้าฟังเรื่องผู้ติดตามทั้งสี่ได้หรือเปล่า”

“อ๋อ...” แมนเฟย์ลากเสียงยาวคล้ายจะหยันในลำคอนิดๆ “ก็อย่างที่ซีนายบอกเจ้าตอนไปเจอกันบนเรือเล็กกลางทะเลนั่นแหละ มันเป็นเรื่องของพันธะสัญญาว่าด้วยการปกครอง นี่แน่ะชาร์ลี...เจ้าคงไม่คิดว่าการที่ข้ามีเรือรบใต้บังคับบัญชาเกือบสิบลำนี่หมายถึงข้าจะสร้างมันขึ้นมาทั้งหมดหรอกนะ ข้าเพียงแต่รวบรวมคนหลายกลุ่มซึ่งอยู่กันกระจัดกระจายมาไว้ด้วยกัน”

“มีแต่พวกเหลือขอน่ะสิ!” ชาร์ลีอดประชดอย่างขวางๆไม่ได้

ผู้สูงวัยกว่าเพียงหัวเราะเบาๆ “อาจใช่...แต่สำหรับข้ามันดีกว่าให้พวกเราฆ่ากันตายเอง ข้าก็พอรู้ว่าเรื่องที่ข้าทำมาในอดีตไม่ได้น่าชื่นชมนักหรอก แล้วข้าก็รับปากเจ้าไม่ได้ด้วยในอนาคตข้าจะทำให้ทุกอย่างมันดีขึ้น แต่ตอนนี้เมื่อเราต้องลงเรือลำเดียวกันแล้วข้าแค่จะบอกว่าเจ้าไว้ใจข้าได้จนกว่างานของเราจะจบลง”

“เล่าเรื่องของท่านต่อสิ”

“ก็ไม่มีอะไรมาก กฎกติกาที่รู้กันน่ะ...ใครชนะก็เป็นหัวหน้าไป ข้าอาจจะโชคดีกว่าพวกนั้นละมั้งแต่มันมีเงื่อนไขอยู่ว่าพวกนั้นอาจจะฆ่าข้าแล้วชิงความเป็นเจ้านายเหนือกองโจรสลัดได้ถ้าจำเป็น เจ้าเข้าใจคำว่า ‘จำเป็น’ ของเราไหมชาร์ลี...”

อาการกระพริบตาปริบๆของเด็กชายทำให้รู้ว่าชาร์ลีไม่อาจเดาเรื่องพวกนี้ได้เลย

แมนเฟย์ละมือจากการวาดชั่วขณะพลางนึกหาคำจำกัดความ

“คือเรื่องฉุกเฉินอะไรสักอย่างแล้วเกิดการไม่เห็นพ้องต้องกันน่ะ โชคดีของข้าที่พวกสี่คนนั่นไม่เคยเห็นตรงกันเลย ก็เลยไม่มีใครรวมหัวกันฆ่าข้าได้สำเร็จสักที นอกจากคุมเชิงกันเองไปมาอย่างที่เห็นว่าไม่ยอมให้ข้าคลาดสายตา”

“พวกเขากลัวท่านโดนคนอื่นฆ่างั้นรึ”

“ใช่” เขายอมรับพลางก้มลงขีดๆเขียนๆต่ออย่างขะมักเขม้น “ถ้าสมมุติว่าเจ้าเป็นหนึ่งในสี่นั่นแล้วบังเอิญปล่อยข้าโดนคนอื่นฆ่าตายไปโดยที่คนๆนั้นไม่ใช่ตัวเจ้าเอง ก็หมายความว่าเจ้าจะต้องกลายเป็นลูกน้องใครคนนั้นอย่างเลี่ยงไม่ได้ซึ่งคงแย่กว่าการรอคิดหาทางฆ่าข้าเองกับมือน่ะ...เสร็จแล้วเอาไปสิ”

“แมนเฟย์...”

“อะไร”

มือของชาร์ลีที่เอื้อมมารับสมุดคืนชะงักค้างเมื่อถามโพล่งไปว่า “วันหนึ่งหลังจากเราทำเรื่องนี้สำเร็จแล้ว ข้ากับอัสลันอาจต้องตามล่าท่าน”

ประกายตาของแมนเฟย์ลึกล้ำจนยากหยั่งถึง เมื่อเอ่ยเพียงสั้นๆว่า

“ข้าเข้าใจ...”



แต่เขาไม่เข้าใจอะไรบางอย่างเอาซะเลย...

ชาร์ลีคิดพลางทอดถอนใจอีกเฮือกเมื่อละสายตาจากสมุดบันทึกและปิดมันเก็บลงในช่องพิเศษข้างเข็มขัดอย่างเนือยๆ เขาเดินเลยมาหยุดริมบึงและเพ่งสายตาสำรวจการทำงานของผู้คนที่อยู่ห่างออกไปอย่างครุ่นคิด

อย่างน้อยก็ดูเหมือนว่าความเหนื่อยที่เขาเจอวันนี้แตกต่างจากที่ผ่านๆมาลิบลับ

ก่อนหน้านี้มันเป็นความอ่อนล้าทางสภาพจิตใจจนท้อถอยเสียมากกว่า ทว่าในยามนี้ที่ชาร์ลีรู้สึกก็เพียงเหนื่อยกายและเขารู้ว่าอีกไม่ช้ามันจะค่อยคลายหายไปได้อย่างไม่ยากลำบากนัก

ยิ่งเวลาผ่านไปเด็กชายก็ดูจะรับมือกับความกดดันที่รายรอบได้มากขึ้น

ขอบคุณทุกอย่างที่เคยพบเจอมา มันสอนเขาให้ตระหนักว่าบางครั้งปัญหาก็มีไว้เพื่อให้เรียนรู้ไม่ใช่จมอยู่กับมัน!

เสียงกระพือปีกร่อนพรึ่บพรั่บของนกราไวสีขาวปลอดที่ร่อนโฉบลงมาใกล้ก่อนเลยไปเกาะกิ่งไม้ห่างไปเล็กน้อย ทำให้ชาร์ลีนึกได้ถึงคำสั่งที่เพิ่งไหว้วานมันไปเมื่อไม่นานนี้

“เป็นยังไงบ้างลาเฟล”

“ไม่ค่อยดีเท่าไหร่” สีหน้าของลาเฟลค่อนข้างผิดหวังเล็กน้อย “ข้านึกว่าพวกเมิร์ฟเนียจะทำอะไรผิดแปลกบ้างแต่เท่าที่ดูมาทั้งวันพวกเขาก็เหมือนเดิม เอาแต่ก้มหน้าก้มตาทำงานโดยไม่สนใจอย่างอื่น นายท่าน...คราวหลังหางานที่น่าตื่นเต้นให้ข้าบ้างก็ดีนะครับ บอกตรงๆว่าอยู่นี่ข้าไม่ค่อยเจออะไรท้าทายใหม่ๆบ้างเลย แถมกิจวัตรประจำวันอย่างการไปทะเลาะกับเจ้ารูดี้งี่เง่านั่นก็ทำไม่ได้อีกนั่นแหละ”

“นี่พวกเจ้ายังไม่คืนดีกันอีกเหรอ”

เขาไม่ได้แปลกใจนักกับคำตอบที่ได้รับฟัง

“เรื่องอะไรข้าจะต้องไปคืนดีด้วยครับ...ในเมื่อข้าไม่ผิด!” ลาเฟลทำเสียงขึ้นจมูกอย่างเคืองๆเมื่อคิดถึงข้อกล่าวหาที่ได้รับมาจากโกลบพ่อบ้านประจำปราสาททราย มันใช้จะงอยปากดุนดันขนใต้ปีกเล่นแต่เห็นได้ชัดว่าลาเฟลเองก็ไม่ได้อยู่ในสภาพจิตใจที่ไม่สงบนักเพราะมันทำขนตัวเองยุ่งเหยิงกว่าเดิมเสียอีก

“ข้าหวังว่าเราจะหาสร้อยของรูดี้เจอเร็วๆนี้” ชาร์ลีสรุปอย่างรวดเร็ว

ลาเฟลถามอย่างเกรงใจว่า “นายท่านครับ เมื่อไหร่พวกเราจะได้กลับเซไลย์เสียที”

“ทำไมถึงอยากรู้”

“ข้าแค่กังวลกับพวกโจรสลัดที่ล้อมเกาะไว้น่ะครับ”

นกราไวไม่ได้ซื่อบื้อพอจะมองไม่ออกว่าขณะนี้กำลังเผชิญสิ่งใดอยู่ และนั่นทำให้มันอดกังวลไม่ได้...

“บางทีถ้าให้ข้าบินไปส่งข่าวที่เซไลย์...มันอาจจะดี...” ลาเฟลบอกอ้อมแอ้ม เขยิบเท้ากระเถิบไปมาอย่างสับสนเล็กน้อยกับข้อเสนอนั้น เพราะอันที่จริงชาร์ลีก็น่าจะรู้ว่านี่เป็นทางออกที่ดี แต่การที่เด็กชายไม่ได้สั่งก็แสดงว่ามันต้องมีปัญหาบางประการที่เขาแก้ไขอยู่

ไม่เคยมีใครบอกมันมาก่อนเลยว่าการอยู่ใกล้นูฟจะยุ่งยากกว่าปกติหลายเท่าตัวแฮะ!

แต่ก็นั่นแหละ...อยู่กับชาร์ลีก็ยังดีกว่าแกร่วอยู่เซไลย์ในขณะคนอื่นๆมาผจญภัยที่นี่

ลาเฟลยังจำความมืดและเงียบสงัดยามค่ำคืนที่ไร้แสงไฟได้ดี ถึงปราสาททรายจะสว่างไสวด้วยไฟเวทมนตร์เก่าแก่ที่มีพลังจากเดลค้ำจุนเอาไว้ ก็ไม่ได้รับประกันว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร

ที่นี่...ตรงนี้ ลาเฟลมองเห็นว่าชาร์ลีกำลังพยายามแก้ไขปัญหาของผู้คนในออบิทอย่างเต็มความสามารถในฐานะตัวแทนกษัตริย์คาลอส

และลาเฟลก็ยินดีที่ได้เป็นส่วนเสี้ยวเล็กๆที่ชาร์ลีไว้วางใจ

ชาร์ลีเพียงแต่ยิ้มน้อยๆและบอกว่า

“ไม่เป็นไรลาเฟล ข้าจะใช้เจ้าเมื่อจำเป็นจริงๆเท่านั้น เรายังมีเวลาเหลืออยู่บ้าง”

“ครับ”

“ข้ากำลังจะไปเยี่ยมมาธาเกียร์ เจ้าสนใจร่วมทางไหมล่ะ”

คนชวน ขยับธนูอย่างตรวจสอบมากกว่าจะสนใจคำตอบจริงจัง ทว่าลาเฟลกลับหูผึ่ง

“ข้าไปด้วยได้จริงๆหรือครับ”

“แน่นอนสิ”

“ดีแล้ว...ข้าจะได้เอาไปอวดรูดี้ เอ้ย! ข้าหมายถึงจะเอาไว้เล่าให้ใครๆฟังน่ะครับนายท่าน” มันแก้ตัวจนลิ้นแทบพันกันขณะที่ดวงตาเจ้าเล่ห์พราวบอกถึงเจตนาร้ายตามนิสัยเดิมๆที่อดข่มโกลบร่วมบ้านไม่ได้อยู่ดี

คราวนี้ชาร์ลีถือว่าเป็นรางวัลพิเศษจึงปล่อยมันไปโดยไม่เอ็ด

“แต่ข้าได้ยินมาว่านายท่านข้ามสะพานนั่นคนเดียวไม่ได้”

“ตอนนั้นข้าไม่ค่อยสบายต่างหากล่ะ” เขากล่าวแก้ตัว “แล้วข้าก็ว่าจะหาไม้คานสักอันทำที่เกี่ยวตรงปลายใช้แทนแขนยาวๆแบบพวกเมิร์ฟเนียเพื่อเกาะผ่านไปตามราวละพานสองฝั่งไว้แล้วด้วย ข้าคิดว่ามันปลอดภัยพอแล้วล่ะ”

เมิร์ฟเนียคนอื่นๆอาจไม่ข้ามไปเพียงเพราะรู้ว่าสุดปลายทางเดินที่ต่ำลึกลงไปใต้ภูเขานั้นจะยุติลงหากไม่มีการตอบรับจากมาธาเกียร์จึงไม่มีประโยชน์ที่จะเสียเวลาข้ามสะพานไป แต่สำหรับมนุษย์ต่างเผ่าพันธุ์แล้วช่วงยืดแขนไม่มากมายเท่าเมิร์ฟเนียคือประเด็นสำคัญที่ทำให้การข้ามสะพานระหว่างยอดขาสองลูกนั้นลำบากยากเย็นเกินกว่าจะเอาชีวิตไปเสี่ยง

ชาร์ลีไม่ต้องการพึ่งพิงอาศัยอัสลันไปเป็นเพื่อนทุกหน เขาจึงต้องค้นหาวิธีการเอาเองและพบว่าอุปกรณ์เสริมแบบง่ายๆมันน่าสนใจไม่น้อย

“มาเถอะลาเฟล บินสูงเข้าไว้จนกว่าจะถึงปากถ้ำก็แล้วกัน!” คำสั่งมีเพียงเท่านั้นก่อนชาร์ลีจะออกเดินทาง...










Create Date : 15 มีนาคม 2554
Last Update : 15 มีนาคม 2554 11:26:59 น. 0 comments
Counter : 637 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.