Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2548
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
30 มิถุนายน 2548
 
All Blogs
 

เล่ม ๒ บทที่ ๘ โกลเดนบาวม์ดับ (๒)

เทหวัตถุเทียม- ป้อมปราการไกเอสบูร์กถูกปล่อยให้โดดเดี่ยว ท่ามกลางวงล้อมอันหนาแน่น


บรรดาผู้คนล้วนไม่อยากเชื่อสิ่งที่เกิดขึ้น ย้อนหลังไปไม่นานนัก แค่ครึ่งปีก่อน ณ สถานที่แห่งนี้ยังเป็นสถานที่ชุมนุมของเหล่าขุนนางชั้นสูงนับพันคนพร้อมด้วยกองทัพส่วนตัว คึกคักราวกับย้ายเมืองหลวงของจักรวรรดิทางช้างเผือกมาไว้เลยทีเดียว แต่มาถึงตอนนี้พวกเขาได้รับรู้แต่เหตุต่อต้านของราษฎรที่เกิดขึ้น ทหารหนีทัพ และความพ่ายแพ้ในสนามรบเท่านั้น ป้อมปราการนี้กำลังมีสภาพใกล้เคียงโลงศพของบรรดาขุนนางชั้นสูงเข้าไปทุกขณะ


“ทำไมเป็นเช่นนี้ไปได้?”


เหล่าขุนนางชั้นสูง ได้แต่คิดฉงน


“จากนี้ไปจะทำอย่างไรกันดี ท่านประมุขคิดอย่างไรอยู่ ใครทราบบ้าง?”


“ไม่เห็นกล่าวอะไรเลย จะว่าไป ท่านคิดอยู่หรือไม่ก็ไม่ทราบได้?”


ดยุค ฟอน เบราสไวก์ ประมุขพันธมิตรขุนนางสูญเสียทั้งอำนาจ ความน่าเกรงขามและ “ใจ” ของผู้คนอย่างเห็นได้ชัดเจน ข้อเสียของดยุคซึ่งก่อนหน้านั้นไม่เคยมีใครเห็น หรือเห็นแต่ใส่ใจนั้น ถูกขุดคุ้ยขึ้นมาชี้ประจานจนใหญ่โต ไม่ว่าจะเป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดครั้งแล้วครั้งเล่า ความอ่อนด้อยในการพิจารณาเรื่องราวต่าง ๆ และความเป็นผู้นำที่น้อยนิดเหลือเกิน ไม่ว่าเรื่องใด ล้วนเป็นประเด็นในการตำหนิได้ทั้งสิ้น


แต่จะว่าไป ยิ่งกล่าวตำหนิดยุค ฟอน เบราสไวก์มากเท่าไร ก็หมายความว่าเป็นการตำหนิพวกตนเอง- เหล่าขุนนางที่มาเข้าร่วมพันธมิตรและพร้อมใจกันยกให้ดยุคเป็นประมุข- ไปด้วยเท่านั้น ว่ามีตาหามีแววไม่ ดังนั้น สุดท้ายพวกเขาก็เลิกก่นด่า แล้วหันมาสาปแช่งการตัดสินใจอันผิดพลาดของตนเองแทน และพยายามเค้นสมองเลือกหนทางที่ดีที่สุด ที่จะทำให้ตนเองทุกข์ยากน้อยที่สุดนับจากนี้ต่อไป ทางเลือกเหล่านั้นเหลือไม่มากแล้ว


จะเลือกทางใดกันเล่า ระหว่าง สู้ตาย ฆ่าตัวตาย หนี หรือ ยอมจำนน เหลือเพียงสี่ทางนี้เท่านั้น


คนที่เลือกหนทางสองทางแรก ไม่ว่าจะทางใดก็ตาม เป็นผู้ที่ไม่ต้องคิดมากอีกต่อไป พวกเขาพากันเตรียมตัวอย่างขะมักขะเม้นที่จะตายอย่างสมเกียรติแต่ไร้ความหมาย แต่สำหรับบรรดาผู้ที่เลือกหนทางมีชีวิตอยู่ ยังคงต้องกลุ้มใจแล่นเรือน้อยแห่งความคิดตนไปในทะเลเวิ้งว้างกว้างใหญ่ต่อไปอีก


“ต่อให้เลือกยอมจำนน เจ้าเด็กผมทอง เอ๊ย มาร์ควิส ฟอน โรเอนกรัมจะยอมไว้ชีวิตหรือ ที่ผ่านมาทำกับเขาไว้ถึงเพียงนั้น”


“นั่นสิ ถ้าไปมือเปล่าคงจะไม่รอดแน่ แต่ถ้ามีของติดมือไปฝากด้วยแล้วไซร้...”


“ของฝาก?”


“ศีรษะของประมุขไงเล่า”


พวกเขาปรึกษากันมาถึงตอนนี้ล้วนต้องพากันลดเสียงลงราวกับนัด พลางกวาดสายตาหวาดระแวงไปรอบด้าน ความคิดล่าสุดช่างน่ากลัวและชวนให้เสียวสันหลังโดยแท้


เริ่มมีผู้กระทำอัตวินิบาตกรรมแล้ว ได้แก่ ขุนนางชั้นสูงที่แก่ชรา รวมทั้งผู้ที่สูญเสียบุตรชายในสนามรบไปก่อนหน้านี้ พวกเขาบางคนก็หมดสิ้นอาลัยตายอยาก ดื่มยาพิษอย่างเงียบ ๆ แต่บางคนก็ใช้มีดกรีดข้อมือตนเองพลางก่นแช่งไรน์ฮาร์ดด้วยความเกลียดชังผสมกับความพยาบาททั้งมวลในใจตน เลียนแบบพิธีกรรมสาปแช่งของคนโรมันในสมัยโบราณ


ทุกคราที่มีคนกระทำอัตวินิบาตกรรมเพิ่มขึ้นหนึ่งคน คนที่เหลือก็ยิ่งดำดิ่งลึกลงไปในความท้อแท้สิ้นหวัง


ดยุค ฟอน เบราสไวก์หันไปจมดิ่งอยู่กับสุราเมรัย โดยที่ตัวเองก็ไม่มีโอกาสได้ทราบเลยว่า มันช่างซ้ำรอยเดียวกับชะตากรรมในวันสุดท้ายของมาร์ควิส ฟอน ลิตเตนไฮม์เหลือเกิน ต่างกันที่ดยุค ฟอน เบราสไวก์ยังมีความคึกคักมากกว่าอดีตคู่แข่งรัศมีของตน เขาเรียกบรรดาขุนนางหนุ่ม ๆ มารวมกัน แล้วดื่มกินอย่างอึกทึกคึกคัก อาศัยอำนาจของแอลกอฮอล์ปลุกใจให้ฮึกเหิม แล้วพร่ำตะโกนทำนองว่า จะฆ่าเจ้าเด็กผมทองที่ทะเยอทะยานนั้นให้ได้ แล้วนำเอากระโหลกศีรษะของมันมาทำจอกเหล้าเสีย คนอื่นที่ยังพอมีความนึกคิดเหลืออยู่บ้าง ได้แต่มองพฤติกรรมนี้อยู่รอบนอกพลางย่นคิ้ว สังเวชใจในอนาคตของพวกตน


มาถึงบัดนี้ ผู้ที่ยังไม่สูญเสียความคิดที่จะสู้รบไป คงเหลือเพียงบรรดาขุนนางหนุ่มนำโดยบารอน ฟอน เฟรเกล ในบรรดาพวกนี้ บางคนยังคงมองโลกในแง่ดีอยู่ว่า


“ทำศึกอีกครั้งหนึ่ง แล้วบั่นคอเจ้าเด็กผมทองนั่นให้ได้ก็เรียบร้อยแล้ว เพียงเท่านั้นเรื่องทั้งหมดก็จบ ความพ่ายแพ้ในอดีตก็ไม่มีความหมายอีกต่อไป ขอให้เรารบชนะเพียงครั้งสุดท้ายครั้งเดียวก็พอ เท่านั้นเอง”


พวกเขายืนยันความคิดนี้ แล้วเกลี้ยกล่อมดยุค ฟอน เบราสไวก์ในวงสุรา ให้จัดเตรียมกำลังทหารที่เหลืออยู่ทั้งหมดออกไปรบเดิมพันกู้สถานการณ์ขั้นสุดท้าย




เมื่อเห็นจดหมายฉบับแรกในหลายฉบับที่ถูกส่งมายังเรือธง จอมพลหนุ่มแห่งจักรวรรดิอดไม่ได้ต้องยิ้มออกมา


“โอ้ จดหมายจากฟรอยไลน์ มารีนดอร์ฟหรือนี่”


ไรน์ฮาร์ดประหวัดนึกถึงดวงตาที่เปี่ยมปัญญาและมีชีวิตชีวาของหญิงสาวนามฮิลด้า หรือ ฮิลเดกัลด์ ฟอน มารีนดอร์ฟขึ้นมา แน่นอนว่า ด้วยความรู้สึกที่ห่างไกลจากความไม่ชอบกันคนละขั้ว


เมื่อสอดตลับเทปนั้นใส่เครื่องเล่น ภาพสดใสของคุณหนูผู้นั้นก็ปรากฏขึ้นและกล่าวคำกับเขา


สาส์นจากฮิลด้า กว่าครึ่งกล่าวถึงความเคลื่อนไหวที่โอดีนของบรรดาขุนนางชั้นสูงและข้าราชการที่อยู่ฝ่ายไรน์ฮาร์ด จะว่าไป เนื้อหาของจดหมายคล้ายกับรายงานข่าวนั่นเอง สิ่งที่ดึงดูดความสนใจของชายหนุ่มคือ ส่วนที่กล่าวถึงผู้สำเร็จราชการแห่งจักรวรรดิ ดยุค ฟอน ลิชเทนลาเด้


“ท่านผู้สำเร็จราชการแผ่นดินดำเนินการบริหารงานทั้งหมดของแผ่นดินอยู่ ในขณะเดียวกันก็พยายามเคลื่อนไหวอยู่ในกลุ่มขุนนางชั้นสูงในเมืองหลวงอย่างขะมักขะเม้น รู้สึกว่า เขามีแผนการทำอะไรยิ่งใหญ่อยู่นะเจ้าคะ”


ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของฮิลด้ามีทั้งแววแดกดันและความหวั่นไหวอย่างจริงจังอยู่ปนกัน หล่อนพยายามส่งสัญญาณเตือนให้แก่ไรน์ฮาร์ด


“ไอ้สุนัขเฒ่า ดูท่ากำลังเตรียมการลอบแทงข้างหลังเราอยู่สินะ”


ไรน์ฮาร์ดนึกภาพของชายชราวัยเจ็ดสิบหกเจ้าของประกายตาเจ้าเล่ห์ ผมหงอกขาวสีหิมะและจมูกแหลมงุ้มนั้นขึ้นมา แล้วก็แค่นยิ้มเหยียด ที่จริงทางเขาเองก็เตรียมการไว้ตอบโต้เฒ่าจอมวางแผนผู้นั้นไว้ระดับหนึ่ง แต่ดูเหมือนว่าเขาอาจจะต้องรีบเร่งเตรียมการให้พร้อมกว่านี้เสียแล้ว ด้วยฝ่ายเฒ่าเจ้าเล่ห์นั้นเป็นผู้ถือตราแผ่นดินอยู่ในมือ ทั้งยังมีองค์จักรพรรดิอยู่ในดูแลอีก สามารถถอดยศไรน์ฮาร์ดได้อย่างชอบธรรม ด้วยกระดาษเพียงแผ่นเดียวเท่านั้น


ไรน์ฮาร์ดมองข้ามจดหมายฉบับที่สองถึงหกไป แล้วเปิดฉบับที่เจ็ดขึ้น เป็นสาส์นจากพี่สาว- อันเนโรเซ่นั่นเอง


อันเนโรเซกล่าวถามความเป็นอยู่ สุขภาพและเรื่องทั่วไปประสาพี่น้อง รวมทั้งเตือนในเรื่องต่าง ๆ แล้วสุดท้ายเธอก็สรุปว่า


“... พี่อยากจะให้เธอระลึกอยู่เสมอว่า สำหรับเธอแล้ว อะไรที่เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ในบางครั้งสิ่งนั้นอาจจะดูไม่สำคัญอะไร แต่หากเธอสูญเสียมันไปแล้วครั้งหนึ่งจะมาเสียใจภายหลังมันก็จะสายไป ขอให้เธอมองเห็นคุณค่าของสิ่งนั้นให้พบในระหว่างที่มันยังอยู่กับเธอ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตาม ขอให้เธอปรึกษากับซี้กเขาและถามความเห็นของเขาเสมอ แค่นี้ก่อนนะจ๊ะ พี่จะรอวันที่พวกเธอกลับมา เอาฟ์วีเดอร์เซเฮน”


(เอาฟ์วีเดอร์เซเฮน Auf Wiedersehen แปลว่า ลาก่อน จนกว่าจะพบกันใหม่)


ไรน์ฮาร์ดยกนิ้วมือเรียวขึ้นลูบคางของตนพลางตกอยู่ในภวังค์ครุ่นคิดอย่างหนัก จากนั้นดูเทปนั้นซ้ำรอบสอง


เขาคิดไปเองหรือไม่ ที่รู้สึกว่าภายใต้สีหน้าอ่อนโยนแสนโสภาของพี่สาว มีความหม่นหมองแฝงอยู่ แต่ยิ่งกว่านั้น ที่พี่สาวบอกว่าให้ปรึกษาซี้กฟรีด เคียร์ชไอซ์ในทุก ๆ เรื่องนั้น สำหรับไรน์ฮาร์ดในตอนนี้แล้วแทนที่มันจะเป็นคำหวังดี แต่เขากลับรู้สึกว่าไม่พอใจ นี่หมายความว่า ท่านพี่เชื่อมั่นในการตัดสินใจของเคียร์ชไอซ์มากกว่าของฉันอย่างนั้นหรือ- ไรน์ฮาร์ดตระหวัดนึกถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่เวสเตอร์ลันท์ขึ้นมาแวบหนึ่ง แล้วก็ตกตะลึงตัวแข็งค้างไป ใช่ อาจจะเป็นดังที่พี่สาวเชื่อก็ได้ แต่ทางเขาเองก็ใช่ว่าทำเรื่องนั้นไปด้วยความเต็มใจหรือชอบใจนี่นะ เขามีเหตุผลอย่างเต็มเปี่ยมถึงได้ตัดสินใจทำลงไป และเห็นได้ชัดเจนว่า หลังเหตุการณ์เวสเตอร์ลันท์แล้ว ผู้คนล้วนพากันเอาใจออกห่างจากดยุค ฟอน เบราสไวก์อย่างเห็นได้ชัด และตอนนี้ ดูท่าสงครามกลางเมืองก็กำลังจะสิ้นสุดลงอย่างรวดเร็ว เร็วกว่าที่ประมาณการไว้ตอนแรกเสียด้วยซ้ำ หากมองภาพรวมแล้ว ทางเลือกนี้เป็นประโยชน์แก่ประชากรทั้งหมดมากกว่า เคียร์ชไอซ์เองนั่นแหละที่ยึดมั่นกับอุดมคติมากเกินไปจนทำให้ติดยึดกับรูปแบบวิธีการ


แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ไรน์ฮาร์ดติดใจ นั่นคือ พี่สาวไม่ได้เอ่ยคำ “ฝากความคิดถึงซี้กด้วยนะ” แม้แต่คำเดียว นี่หมายความว่า พี่ได้ส่งจดหมายอีกฉบับหนึ่งไปยังเคียร์ชไอซ์ด้วยหรืออย่างไรกัน ถ้าเป็นเช่นนั้น แล้วพี่เขียนถึงเคียร์ชไอซ์ว่าอะไรบ้างล่ะ ไรน์ฮาร์ดรู้สึกอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาแต่ก็ยังไม่สามารถตัดความรู้สึกไม่กล้าสู้หน้ากับเคียร์ชไอซ์ในตอนนี้ทิ้งได้ ทำให้ไม่สามารถเอ่ยปากถามเรื่องนี้ได้


แต่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นระหว่างเขากับเคียร์ชไอซ์ก็ตาม ต่อหน้าโอแบร์สไตน์ ไรน์ฮาร์ดก็ยังคงปกป้องเพื่อนของตนอยู่เช่นเดิม


“ไม่ว่าทั้งอวกาศจะกลายเป็นศัตรูของเราก็ตาม เคียร์ชไอซ์คนเดียวเท่านั้นที่ยังคงเป็นมิตรของเราอยู่ และในความเป็นจริงก็เป็นเช่นนี้ตลอดมา เพราะฉะนั้นเราจึงได้ตอบแทนให้เขาอย่างสมควรอย่างไรเล่า มีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?”


หัวหน้าเสนาธิการเจ้าของตาเทียมกล่าวตอบน้ำเสียงร้อนแรงของไรน์ฮาร์ดด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นของตนว่า


“ใต้เท้า ข้าฯน้อยหาได้พูดว่า ให้ใต้เท้าสำเร็จโทษ หรือ ไล่ผู้การเคียร์ชไอซ์ออกแม้แต่คำเดียวไม่ สิ่งที่ข้าฯน้อยพยายามเสนอให้ใต้เท้าพิจารณาคือ ขอความกรุณาให้ใต้เท้ามองเขาในระดับเดียวกับผู้การท่านอื่น ๆ เช่น รอยเอนธาล มิตเตอร์ไมเยอร์เท่านั้น กล่าวคือเป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาคนหนึ่งที่ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าคนอื่น ในองค์กรหนึ่ง ๆ ไม่จำเป็นต้องมีหมายเลขสอง ซึ่งไม่ว่าหมายเลขสองจะเป็นคนมีความสามารถหรือไร้ความสามารถก็ตาม จะทำให้องค์กรนั้นเสียระบบบังคับบัญชาไปอยู่ดี ความจงรักภักดีที่บรรดาลูกน้องมีต่อหมายเลขหนึ่งขององค์กรต้องเป็นสิ่งสูงสุดหาสิ่งใดมาแทนมิได้จึงจักถูกต้อง”


“เข้าใจแล้ว พอ ไม่ต้องพูดต่ออีก”


ไรน์ฮาร์ดตัดบทเพียงเท่านั้น สำหรับเขาแล้ว สิ่งที่เขารู้สึกไม่พอใจคือ การที่ตัวเองก็ยอมรับว่า สิ่งที่โอแบร์สไตน์เสนอมานั้นถูกต้องตามหลักการ แต่น่าแปลกที่ชายคนนี้ แม้จะพูดสิ่งที่ถูกต้องก็ตาม ทำไมถึงได้ทำให้คนฟังไม่พอใจได้เพียงนี้หนอ




มิตเตอร์ไมเยอร์อยู่ห้องพักของรอยเอนธาล ทั้งสองกำลังเล่นไพ่โปกเกอร์กันอยู่ บนโต๊ะถึงกับมีหม้อกาแฟวางไว้ เตรียมพร้อมสำหรับการเล่นยาว


“ให้ตายเถอะ ได้ยินมาว่าความสัมพันธ์ของมาร์ควิส ฟอน โรเอนกรัมกับเคียร์ชไอซ์มีอะไรผิดไปนะ”


มิตเตอร์ไมเยอร์เปรยขึ้นในตอนหนึ่ง รอยเอนธาลทำตาอันเป็นเฮเทอโรโครเมียของเขาเป็นประกายจ้าขึ้นก่อนรับว่า


“นั่นสิ ได้ยินมาเช่นกัน”


“แต่ก็แค่ข่าวลือนะ ณ ขณะนี้”


“แต่ถึงอย่างนั้นก็เป็นข่าวลือที่อันตรายเชียวนา เรื่องนี้”


“เรื่องใหญ่เทียวแหละ ถ้าไม่เป็นความจริง ก็แปลว่าเป็นแผนการของใครสักคนที่ไม่ประสงค์ดี แต่ถ้ามันจริงละก็แย่ แย่แน่ ๆแต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้ไม่ดีแน่ แต่...”


“แต่ จะเสนอหน้าเข้าไปแก้ปัญหาสุ่มสี่สุ่มห้า ดีไม่ดีอาจจะหัวขาดก่อนเสียเองได้นะสิ”


ทั้งสองคนดูไพ่ของตัวเอง แล้วต่างเปลี่ยนไพ่สามใบทั้งคู่ คราวนี้รอยเอนธาลเป็นฝ่ายเริ่มก่อนว่า


“ข้าพเจ้ารู้สึกมานานแล้วล่ะ ว่าเจ้าหัวหน้าเสนาธิการของเราน่ะ รู้สึกจะกังวลเสียเหลือเกินกับการที่มาร์ควิสฟอนโรเอนกรัมให้ความไว้วางใจแก่เคียร์ชไอซ์อย่างสูงสุดทั้งในงานส่วนตัวและส่วนรวม ก็ไอ้ทฤษฎีหมายเลขสองไม่ใช่สิ่งดีอะไรของเขานั่นแหละ มันก็เป็นทฤษฎีที่ถูกอยู่หรอกนา แต่...”


“โอแบร์สไตน์หรือ...”


น้ำเสียงของมิตเตอร์ไมเยอร์มีแววของความชื่นชมน้อยเหลือเกิน


“เป็นคนที่หัวดีเยี่ยมก็จริง เรื่องนั้นข้าพเจ้ายอมรับ แต่รู้สึกว่า มีนิสัยไปที่ไหนทำให้วงแตกที่นั่นนะนี่ ในเมื่อเรื่องบางเรื่องดำเนินมาได้อย่างราบรื่นจนถึงทุกวันนี้ แล้วทำไมจะต้องไปฝืนแก้ไขมันด้วยเหตุผลว่ามันไม่ถูกต้องตามหลักการที่ตั้งขึ้นทีหลังด้วยเล่า ยิ่งเป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างคนด้วยกันแล้ว...”


เขาเหลือบดูไพ่ของตน แล้วก็คลายกล้ามเนื้อบนแก้มที่ปั้นหน้าตายไว้นานแล้วออก


“ข้าพเจ้าชนะล่ะ โฟร์การ์ดของแจ๊ค พรุ่งนี้ท่านต้องเลี้ยงไวน์ข้าพเจ้าเสียแล้ว”


“ข้าพเจ้าก็โฟร์การ์ดเหมือนกัน”


ชายหนุ่มเฮเทอโรโครเมียหัวเราะอย่างกวนอารมณ์


“ควีนสามใบรวมกับโจ๊กเกอร์ เสียใจด้วยนะ ท่านหมาป่าเจ้าพายุ”


มิตเตอร์ไมเยอร์ทำเสียงจึกปากอย่างไม่สบอารมณ์พลางโยนไพ่ในมือลงกลางโต๊ะ ตอนนั้นเองก็มีเสียงออดสัญญาณดังขึ้น กล่าวคือ มีข้าศึกยกพลออกมาจากป้อมไกเอสบูร์กนั่นเอง




ผู้ที่ทำให้ดยุค ฟอน เบราสไวก์ตัดสินใจยกทัพออกมาอย่างบ้าบิ่นเช่นนี้ คือ บรรดาขุนนางหนุ่มบ้าเลือดของพันธมิตรขุนนาง นำโดยบารอน ฟอน เฟรเกลนั่นเอง


อย่างไรก็ตาม ใช่ว่านี่จะเป็นทัพทั้งหมด (ที่เหลืออยู่) ของพันธมิตรขุนนาง ตัวเมลคัทซ์เองนั้นยอมรับคำสั่งโดยดุษฎี แต่ยังมีผู้การที่มากความสามารถคนหนึ่ง คือ ผู้การฟาเรนไฮต์ที่ปฏิเสธการออกรบในครั้งนี้


“ทั้งที่พวกเราควรจะอาศัยความได้เปรียบจากการตั้งมั่นในป้อมปราการ ค่อย ๆ เปิดแผลข้าศึกให้กว้างขึ้น โดยใช้การทำศึกระยะยาว รอโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ แต่เหตุไฉนพวกท่านจึงเลือกที่จะออกไปรบในตอนนี้ด้วยเล่า มิเป็นการเร่งให้ตนเองพ่ายแพ้เร็วขึ้นดอกหรือ?”


เขาตอกกลับด้วยข้อความข้างต้น พร้อมด้วยแววโกรธและเหยียดหยามอย่างชัดเจนในดวงตาสีฟ้าอ่อนทั้งคู่


ยิ่งกว่านั้น ฟาเรนไฮต์ยังระเบิดความไม่พอใจที่สะสมมาตั้งแต่ต้นแล้วออกมาอีกด้วยว่า


“อย่าลืมว่า ท่านดยุคกับข้าพเจ้านั้นเป็นเพียงผู้ร่วมอุดมการณ์เท่านั้น หาใช่เป็นข้ากับเจ้าแต่อย่างไรไม่ แม้ฐานันดรของเราจะต่างกันก็ตามแต่ก็เป็นข้าราชบริพารแห่งจักรวรรดิทางช้างเผือกเหมือนกัน มีความเห็นตรงกันที่จะต้องล้มล้างมาร์ควิส ฟอน โรเอนกรัมที่กำลังขยายอำนาจเผด็จการของตนเองอยู่ เพื่อปกป้องราชวงศ์โกลเดนบาวม์เอาไว้ เราผูกพันกันด้วยวัตถุประสงค์เดียวกันเท่านั้น ในฐานะที่ข้าพเจ้าเป็นผู้ชำนาญในการรบมากกว่าท่านขอเตือนท่านถึงการกระทำที่จะนำมาซึ่งผลลัพธ์เลวร้ายที่สุดเพียงเท่านี้ หากไม่ฟังข้าพเจ้า จะดึงดันยกพลออกไปให้ได้ก็ตามใจเถิด ท่านอย่าได้เข้าใจเจตนาที่ข้าพเจ้าไม่ทำตามท่านในครั้งนี้ผิดไป”


คำกล่าวของฟาเรนไฮต์ช่างเต็มไปด้วยเนื้อหารุนแรงเสียเหลือเกิน


ดยุค ฟอน เบราสไวก์ถึงกับหน้าซีดขาวด้วยความโกรธสุดขีด หากเป็นที่ผ่านแล้วไซร้ เขาจะไม่มีวันปล่อยให้เจ้าคนปากยโสเช่นนี้ลอยนวลไปได้เด็ดขาด ที่ผ่านมา แค่ไม่พอใจอะไรเล็กน้อยเขาก็ขว้างปาขวดสุราหรือแก้วที่วางบนโต๊ะใส่คนรับใช้ได้ง่าย ๆ แล้ว หรือมองจากการสังหารหมู่ราษฎรบนเวสเตอร์ลันท์ก็เป็นแค่การกระทำที่ขยายวงกว้างออกไปเท่านั้นเอง


อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องยอมรับเมื่อประจักษ์แก่ตนเองว่า ผู้คนฝ่ายตนพากันเอาใจออกห่างไปมากมายเพียงใดแล้ว ยิ่งกว่านั้นเขาเองก็ใช่ว่าจะมั่นใจในการรบครั้งนี้อย่างเต็มที่นัก จึงได้แต่หายใจฟืดฟาดอย่างหัวเสีย บริพาษอีกฝ่ายว่า “ถ้าเช่นนั้นเราก็ไม่มีธุระอะไรกับเจ้าคนขี้ขลาดนี้อีก” เพื่อกลบเกลื่อนความหวั่นไหวของตน แล้วหันไปสั่งทัพออกรบโดยไม่สนใจไยดีฟาเรนไฮต์อีกต่อไป




 

Create Date : 30 มิถุนายน 2548
1 comments
Last Update : 30 มิถุนายน 2548 18:24:26 น.
Counter : 601 Pageviews.

 

อ่านมาหลายรอบแล้ว ขอบคุณมากครับ

 

โดย: ต้น IP: 111.84.228.112 17 กันยายน 2556 22:11:45 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


star_seeker
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add star_seeker's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.