Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2548
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
23 มิถุนายน 2548
 
All Blogs
 

เล่ม ๒ บทที่ ๗ ชุบมือเปิบ (๕)

“ราพณาสูร... สร้อยพระศอของเทพีอาร์เตมิส... ถูกทำลายเรียบ... ไม่เหลือแม้แต่ดวงเดียว... ราพณาสูร”


เจ้าหน้าที่ครางคำว่า “ราพณาสูร” ซ้ำอีกครั้งด้วยอาการใจลอย สมาชิกของกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติล้วนพากันยืนแข็งประดุจกลายร่างเป็นเสาหินกันหมด


ดูเหมือนจะมีคำคำเดียวที่ดังก้องในรูหูทุกคน แต่แล้วเสียงหนัก ๆ ก็เกิดขึ้น เป็นเสียงทิ้งตัวอย่างหมดเรี่ยวแรงของกรีนฮิลล์ลงบนเก้าอี้ แล้วเขาก็กล่าวออกมาเสียงแตกพร่า ท่ามกลางสายตาของทุกผู้ที่จับจ้องมาเป็นจุดเดียว


“ทุกอย่างจบลงแล้ว การปฏิรูปการเมืองโดยทหารล้มเหลวแล้ว พวกเราเป็นฝ่ายแพ้ ยอมรับมันเสียเถิด”


ทิ้งระยะไปหลายวินาที ก่อนที่จะเกิดเสียงร้องคัดค้านขึ้นมา เป็นพันเอกอีเวนส์ที่ส่งเรียกขึ้นและพยายามกระตุ้นขวัญของพรรคพวก


“ยัง เรายังไม่แพ้นี่ พวกเรายังมีตัวประกันอีก ประชากรทั้งหนึ่งพันล้านคนของไฮเนสเซนยังอยู่ในกำมือของพวกเรา”


นายพันเอกทุบกำปั้นลงบนโต๊ะพลางกล่าวต่อว่า


“ยิ่งกว่านั้น ผู้บัญชาการทหารสูงสุดก็ด้วย แล้วยังมีผู้บัญชาการสูงสุดกองยานรบอวกาศอีก ยังถูกพวกเราคุมตัวไว้ ถ้าหาเงื่อนไขต่อรองดี ๆ เรายังเจรจากับพวกเขาได้ ยังเร็วเกินไปที่จะยอมแพ้”


“พอเถอะ การแข็งขืนไปยิ่งกว่านี้ไม่ได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาเลย มีแต่จะทำให้การฟื้นฟูชาติและเยียวยาประชาชนยิ่งลำบากเข้าไปอีก ทุกอย่างมันจบแล้ว อย่างน้อยที่สุด เราควรจะยืดอกรับชะตากรรมในฉากสุดท้ายอย่างหน้าชื่นตาบานจะดีกว่า”


นายพันเอกไหล่ตกไปทันตาเห็น เสียงแผ่วเบาท้อแท้ดังลอดจากริมฝีปากซีดเซียวของเขาว่า


“แล้วพวกเราจะทำอย่างไรต่อไปครับ จะยอมจำนนแล้วถูกพิพากษาโทษอย่างนั้นหรือ”


“ใครอยากทำอย่างนั้นก็ทำ แต่ผมจะเลือกทางอื่น แต่ก่อนอื่นมีเรื่องที่ต้องจัดการก่อน เราต้องกำจัดหลักฐานและพยานที่ระบุว่า แนวคิดของพวกเราที่ลุกขึ้นมาทำรัฐประหารครั้งนี้ สุดท้ายเป็นเพียงแค่ถูกหลอกใช้จากคนมักใหญ่ใฝ่สูงคนหนึ่งในจักรวรรดิทางช้างเผือกเท่านั้นเอง- เสียก่อน”


ตาของกรีนฮิลล์จับจ้องมองรินซ์อย่างรังเกียจ


“พลตรีรินซ์ ที่จริงผมคาดหวังในตัวคุณตั้งแต่ในสมัยก่อนแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เรียนโรงเรียนนายร้อยและคุณเป็นรุ่นน้องผมสองรุ่น เรื่องที่เอลฟาซิลเมื่อเก้าปีก่อนเป็นเรื่องที่น่าเสียดายจริง ๆ เพราะฉะนั้น ผมจึงอุตส่าห์คิดว่าครั้งนี้คุณจะแก้ตัวได้ และให้โอกาสคุณ...”


“แกมันคนมีตาแต่ไม่มีแววต่างหาก”


นายพลตรีกลับแย้งด้วยอาการเยือกเย็นทั้งที่ยังจมดิ่งกับแอลกอฮอล์นั้น สีหน้าของพลเอกกรีนฮิลล์เปลี่ยนไปวูบหนึ่ง ทั้งโกรธ ผิดหวัง ท้อแท้ เกลียดชัง ความรู้สึกทั้งหมดนี้ผสมผสานกันเป็นหนึ่งเดียวและดูเหมือนระเบิดออกมาในร่างของเขา


ลำแสงสองลำสว่างวาบขึ้นในห้อง ลำหนึ่งพุ่งเข้าเจาะกลางหว่างคิ้วของกรีนฮิลล์อย่างแม่นยำ ขณะที่อีกลำหนึ่งพุ่งเฉียดใบหูซ้ายของรินซ์ไป ปาดเอาผิวหนังและเนื้อส่วนหนึ่งขาดลงมา เสียงใครหลายคนตะโกนร้อง ตามด้วยลำแสงจำนวนมากที่พุ่งเข้าใส่ร่างของรินซ์ทั้งจากซ้ายขวาหน้าหลัง ส่งผลให้เกิดรูเล็ก ๆ ที่ร้อนฉ่าเจาะร่างของเขาจนพรุน เขาล้มลงบนพื้นหลังจากกรีนฮิลล์เพียงไม่กี่วินาที


“ไอ้พวกโง่...”


พลตรีรินซ์แค่นหัวเราะครั้งสุดท้ายออกมาทั้งฟองเลือดที่กระอักเต็มปาก พลางกวาดสายตามองบรรดานายทหารที่เป็นผู้ยิงตนเอง


“ข้าช่วยรักษาศักดิ์ศรีให้พลเอกกรีนฮิลล์นะเว้ย คิดดูสิ... ถ้าจะต้องถูกขึ้นศาลละก็ เขาคงยอมตายเสียดีกว่า... ฮะฮะ ศักดิ์ศรีหรือ... บ้าที่สุด”


ม่านตาของเขามืดลงตามลำดับ นอนตายทั้งเลือดที่กบปาก พันเอกอีเวนส์เดินเข้าไปใกล้ร่างนั้นแล้วถ่มน้ำลายลงไปครั้งหนึ่ง ก่อนจะตวาดว่า


“เผาสมุดบันทึกระยำนี้ให้หมด ทำลายศพของรินซ์ด้วยอย่าให้เหลือซาก อะไรก็ตามที่จะทำให้ความชอบธรรมของพวกเราล่มสลายไป ทำลายทิ้งให้หมด”


“กองยานรบของผู้การหยางแปรขบวนเข้ามาบนวงโคจรแล้ว ดูท่าจะเตรียมยกพลลงภาคพื้นดินแล้วครับผม จะทำอย่างไรดีครับ”


เสียงรายงานของเจ้าหน้าที่สื่อสารสั่นระริก อีเวนส์ขมวดคิ้วครั้งหนึ่งก่อนจะพยักหน้าอย่างตัดสินใจได้


“เปิดช่องสื่อสารให้หน่อย ผมจะคุยกับหยางเอง”


ในที่สุด ภาพบนจอก็ปรากฏร่างของผู้การหนุ่มที่สวมหมวกเบเลย์ทหารสีดำเอียง ๆ ไว้บนศีรษะ ด้านหลังของเขาเรียงรายไปด้วยบรรดากองเสนาธิการ ซึ่งมีบุตรีของพลเอกกรีนฮิลล์อยู่ด้วย ทำเอาอีเวนส์แทบไม่กล้าสู้หน้า


“กระผมพันเอกอีเวนส์ ในฐานะตัวแทนของหัวหน้ากองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติขอเจรจากับท่าน พวกท่านไม่จำเป็นต้องโจมตีด้วยอาวุธแต่อย่างไรทั้งสิ้น พวกเรายอมรับความพ่ายแพ้แล้ว และตัดสินใจว่าจะไม่ต่อต้านใด ๆ ต่อไป ทุกอย่างจบแล้ว”


“นั่นก็ดีแล้วครับ แต่...”


แน่นอนว่า หยางรู้สึกสงสัย


“พลเอกกรีนฮิลล์หัวหน้ากองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติหายไปไหน ทำไมไม่เห็นหน้าเขาเลย”


อีเวนส์ตอบหลังจากเว้นระยะไปอึดใจหนึ่ง


“ท่านทำอัตวินิบาตกรรมไปแล้วครับผม เป็นวาระสุดท้ายที่องอาจยิ่งนัก”


ทันทีที่ได้ฟังเช่นนั้น ร้อยเอกเฟรดเดอริกา กรีนฮิลล์ต้องร้องอุทานเสียงต่ำ ๆ ออกมาคำหนึ่ง พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้นปิดปาก ไหล่ทั้งสองสั่นเบา ๆ อย่างเห็นได้ชัด


“ผู้การหยาง จุดมุ่งหมายของพวกเรา คือ กวาดล้างระบบการเมืองแบบประชาธิปไตยให้สะอาด ตลอดจนล้มล้างการเมืองแบบเผด็จการของจักรวรรดิทางช้างเผือกให้หมดสิ้นไป น่าเสียดายที่อุดมการณ์ของเราไม่สำเร็จ ผู้การหยาง สุดท้ายแล้ว คุณก็มีส่วนทำให้ระบบเผด็จการมันยังคงอยู่ต่อไป”


“เผด็จการที่ว่า คืออะไรหรือครับ? ไอ้การที่ผู้ปกครองที่สถาปนาตนเองขึ้นโดยไม่ได้รับเลือกตั้งจากประชาชน ใช้อำนาจและความรุนแรงแย่งชิงเอาเสรีภาพของประชาชนไป และพยายามปกครองครอบงำพวกเขานี่ ไม่ใช่เรียกว่าเผด็จการหรอกหรือคุณ? พูดง่าย ๆ ก็คือ พฤติกรรมทั้งหมดที่พวกคุณทำกับไฮเนสเซนนั่นแหละ”


“...”


“พวกคุณต่างหากที่เป็นเผด็จการ หรือไม่จริง?”


น้ำเสียงของหยางอ่อนเนิบนาบก็จริง แต่เนื้อหาที่พูดไม่มีความปราณีแม้แต่น้อย


“ไม่ใช่!”


“ไม่ใช่ยังไง?”


“สิ่งที่พวกเราต้องการ ไม่ใช่ทำเพื่ออำนาจของตัวเอง ที่ต้องยึดอำนาจก็เพียงชั่วคราวเท่านั้น จะได้สามารถกวาดล้างสิ่งสกปรกในระบอบการเมืองของเราที่เน่าเฟะไปแล้วได้ จากนั้นก็ดำเนินการล้มล้างจักรวรรดิทางช้างเผือก เรายึดอำนาจไว้เพียงชั่วคราวเท่านั้น”


“ชั่วคราวน่ะนะ...”


หยางพึมพำด้วยน้ำเสียงเหยียด ๆ การที่จะเข้าข้างตัวเอง ทำให้ดูเหมือนฝ่ายตนถูกต้องจะใช้คำอ้างอะไรก็อ้างกันได้ แต่ต่อให้เป็นการยึดอำนาจเพียงชั่วคราวจริง พวกเขาไม่รู้เลยหรือว่ามันอยู่บนความเสียหายอะไรบ้าง


“ถ้าอย่างงั้น ผมขอถามหน่อย ที่ผ่านมา พวกเราก็รบกับจักรวรรดิมาถึงร้อยห้าสิบปีแล้วยังล้มล้างพวกเขาไม่สำเร็จ และต่อจากนี้ก็อาจจะต้องสู้กันไปอีกร้อยห้าสิบปี ซึ่งก็ยังไม่แน่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ถึงตอนนั้น พวกคุณยังจะอ้างว่ายึดอำนาจเป็นการชั่วคราวอยู่เรื่อย ๆ เบียดบังสิทธิเสรีภาพของประชาชนไปเรื่อย ๆ เพื่อให้ตัวเองคงในอำนาจอย่างนั้นหรือ”


อีเวนส์พูดอะไรไม่ออก แต่เขาก็ยกประเด็นใหม่ขึ้นมา


“ความเน่าเฟะของการเมืองบ้านเรา ใคร ๆ ก็รู้กันดีอยู่เต็มอก เพื่อที่จะจัดการให้มันถูกต้อง คุณมีวิธีอื่นอย่างนั้นหรือ?”


“ความเน่าเฟะของการเมือง ไม่ได้มีความหมาย ถึงการที่นักการเมืองโกงกินรับสินบนอย่างที่คุณคิด ที่ว่ามามันก็แค่ความเน่าเฟะของคนบางกลุ่มเท่านั้น แต่หากเป็นสภาวะที่นักการเมืองโกงกิน แล้วไม่ว่าใครก็ไม่มีสิทธิมีเสรีภาพที่จะวิพากษ์วิจารณ์ขุดคุ้ยเรื่องนั้นต่างหาก ถึงจะเรียกว่า ระบบการเมืองที่ล้มเหลวไปแล้ว แค่ที่พวกคุณออกคำสั่งจำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นนี่ พวกคุณก็ไม่มีสิทธิที่จะด่าว่าทั้งผู้เผด็จการในจักรวรรดิ รวมทั้งนักการเมืองในบ้านเราปัจจุบันแล้ว หรือไม่จริง?”


“พวกเราทำทุกอย่างโดยเดิมพันด้วยชีวิตและเกียรติ...”


น้ำเสียงของนายพันเอกแข็งกระด้าง


“เราจะไม่ยอมให้ใครมาตำหนิในจุดนั้นเป็นอันขาด ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าพวกเราขาดอุดมการณ์ แต่เป็นแค่พวกเราขาดโชคและมีความสามารถไม่พอไปนิดเดียว นิดเดียวเท่านั้น”


“พันเอกอีเวนส์...”


“การปฏิรูปโดยทหาร จงเจริญ ไชโย!”


จอภาพเปลี่ยนเป็นสีเทาในทันใดนั้นเอง


มุระอิหัวหน้าเสนาธิการถอนหายใจออกมา


“ไม่ยอมรับความผิดพลาดของพวกตัวเองจนเฮือกสุดท้ายสินะ”


“อุดมการณ์ใครก็อุดมการณ์มันแหละ”


หยางตอบเรียบ ๆ แล้วสั่งการให้เชนค็อปเตรียมการยกพลลงภาคพื้นดิน




ด้วยการฉะนี้ กองยานรบหยางจึงยกพลลงพื้นดินได้สำเร็จโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อใด ๆ




หยางนั้น ไม่เคยทำตัวให้สมกับฐานะและตำแหน่งหน้าที่เลยแม้แต่น้อย ชอบเดินไปตรงโน้นตรงนี้เองลำพัง ทำให้บรรดาลูกน้องต้องคอยจัดกำลังอารักขากันจ้าละหวั่น ยิ่งในตอนนี้ ยังไม่อาจจะวางใจได้ว่า พรรคพวกกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติที่เหลืออยู่นั้นแอบซุ่มอยู่ที่ไหนบ้าง


หยางทำหูทวนลมกับมุระอิที่พร่ำเตือนให้ระวังเรื่องความปลอดภัยของตัวเอง เขาเดินดุ่ม ๆ ตรงไปยังตึกของกองบัญชาการกองยานรบอวกาศ แล้วสอบถามถึงที่กักขังตัวผู้การบิวค็อก จากนายทหารระดับล่างที่ยอมจำนน จากนั้นก็รีบไปปล่อยตัวท่านออกมา และจัดแจงส่งไปโรงพยาบาลทันที


ผู้การเฒ่ามีอาการอ่อนเพลียทางกายอย่างเห็นได้ชัด จากการที่ต้องถูกจำกัดบริเวณมาถึงกว่าสี่เดือน แต่ประกายตายังเจิดจ้าอยู่ อีกทั้งการพูดการจาก็ยังฉะฉาน ทำให้หยางสบายใจได้บ้าง


“เสียหน้าจริง ๆ ผมนี่ ช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย ทั้งที่อุตส่าห์รับรู้ข้อมูลล่วงหน้าจากคุณแล้วแท้ ๆ”


“ไม่หรอกครับ ผมต่างหากที่มาช้าเกินไป ทำให้ท่านต้องลำบาก ไม่ทราบว่ามีอะไรต้องการเป็นพิเศษอีกไหมครับ?”


“นั่นสิน้อ จะว่าไป อยากได้วิสกี้สักอึกก่อนนา”


“ผมจะหาให้เดี๋ยวนี้เลยครับ”


“พลเอกกรีนฮิลล์เป็นยังไงบ้างล่ะ?”


“เสียชีวิตแล้วครับ”


“... นั้นหรือ เฮ้อ ทิ้งให้คนแก่รอดชีวิตมาได้อีกแล้วหรือนี่”


หยางรู้สึกขอบคุณที่พลเอกกรีนฮิลล์ยังมีสำนึกที่ดีอยู่บ้าง ไม่ทำการสังหารตัวประกันที่เป็นนายทหารชั้นสูงรวมทั้งพลเรือนไปพร้อมกับตนด้วย แต่ความรู้สึกนั้นก็จางหายไปบ้าง ตอนที่ไปปล่อยตัวรักษาการผู้บัญชาการทหารสูงสุดออกมา


และงานกองพะเนินเกี่ยวกับการจัดการหลังกวาดล้าง ก็รอหยางอยู่


ต้องประกาศความล้มเหลวของรัฐประหารและการฟื้นฟูรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ให้ประชาชนได้รับทราบ แล้วยังต้องสำรวจความเสียหายที่เกิดขึ้น จับกุมสมาชิกที่เหลืออยู่ของกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติ และต้องทำรายงานการตายของคนที่เสียชีวิตเช่น พลเอกกรีนฮิลล์ พันเอกอีเวนส์อีก ยิ่งคิด เรื่องที่ต้องทำก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ทำเอาหยางปวดศีรษะขึ้นมาทันที


ในเวลาอย่างนี้เอง ที่นายทหารผู้ช่วยของเขา- ร้อยเอกเฟรดเดอริกา กรีนฮิลล์ได้โอกาสแสดงความสามารถของหล่อนจนเขาได้แต่อ้าปากค้างเลยทีเดียว ย้อนหลังไปตอนที่ทราบข่าวการเสียชีวิตของบิดา หล่อนเพียงบอกเขาว่า


“ขอเวลาให้ดิฉันหนึ่งชั่วโมง... ไม่สิ ขอสองชั่วโมงได้ไหมคะ ดิฉันเชื่อว่าตัวเองจะทำใจได้แน่นอนค่ะ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ขณะนี้ เพราะฉะนั้น...”


หยางพยักหน้าอนุญาตทันที ตัวเขาเอง ตอนที่ทราบข่าวการตายของเจสสิก้า เอ็ดเวิร์ด เขาก็ต้องการเวลาระยะหนึ่งสำหรับทำใจเช่นกัน


ที่จริงหยางไม่เชื่อว่า บิดาของหญิงสาวจะฆ่าตัวตาย เป็นไปไม่ได้ที่ใครสักคนจะฆ่าตัวตายโดยจ่อยิงแสกหน้าตนเองเช่นนี้ น่าจะถูกคนอื่นยิงมากกว่า แต่เรื่องนี้ คงไม่มีประโยชน์ที่จะพูดออกมา


ขณะที่เฟรดเดอริกาจะกลับออกไปนั้น ผู้การหนุ่มก็พยายามเอ่ยว่า


“เอ่อ... ร้อยเอกกรีนฮิลล์...เอ่อ จะพูดยังไงดีล่ะ... หักห้ามใจบ้างนะครับ”


น่าตลกที่เขาสามารถสั่งการกองทัพขนาดใหญ่ระดับล้านคนหรือสิบล้านคนได้ตามใจคิด แต่ในอีกทางหนึ่ง กับแค่จะสั่งให้ปากของตนพูดให้ได้ดั่งใจ ในบางครั้งกลับทำไม่ได้


หลังจากสองชั่วโมงผ่านไป เฟรดเดอริกาที่ออกมาจากห้องตนเองแล้ว ก็จัดการสะสางงานต่าง ๆ อย่างรวดเร็วประดุจสายน้ำหลาก เอกสารที่ประทับตรา “จัดการเรียบร้อย” ถูกส่งมาถึงมือหยางตลอดเวลาจนกองพะเนินเทินทึก ขณะที่หยางพลิกดูเอกสารเหล่านั้นอย่างสนใจนั่นเอง ปรากฏว่า ในระหว่างนั้นหล่อนถึงกับกำหนดเส้นทางการเดินพาเหรดฉลองชัยชนะเสร็จเรียบร้อย แถมยังกำหนดตารางเวลาให้เสร็จสรรพด้วย ดูเหมือนว่าในตอนนี้ การทำงานหนักจะเป็นสิ่งที่ช่วยหล่อนได้บ้าง


มีการติดต่อเข้ามาจากเชนค็อปที่ออกไปตรวจการณ์บริเวณย่านชุมชน เขารายงานว่า จูเลียนได้พบตัวบุคคลที่ต้องรับผิดชอบสูงสุดในเหตุการณ์ครั้งนี้เข้าให้แล้ว เมื่อหยางถามอย่างสงสัยว่าใครกัน ก็ได้รับคำตอบว่า


“จะใครซะอีก ก็คนที่แม้แต่ชื่อ ท่านก็คงไม่อยากจะได้ยินคนนั้นแหละ หัวหน้าคณะกรรมาธิการสูงสุดไงครับผม”


เป็นชื่อที่ไม่อยากได้ยินเลยจริง ๆ


กล่าวคือ นายทริวนิชท์ซึ่งล่องหนไปอย่างลึกลับตั้งแต่เกิดรัฐประหาร ได้ปรากฏตัวขึ้นแล้วนั่นเอง จูเลียนซึ่งตามไปส่งผู้การบิวค็อกเข้าโรงพยาบาล และกำลังจะเดินทางกลับมาสมทบกับหยางนั้น ถูกใครบางคนโบกเรียกให้จอดรถยนต์ชนิดวิ่งบนพื้น (แลนด์คาร์) ตรงบริเวณข้างตึกเก่า ๆ แห่งหนึ่ง


“คุณ...”


เด็กชายพูดต่อไม่ออกทันทีที่เห็นร่างอีกฝ่ายชัดเจน บุคคลที่ผู้ปกครองของเขาเกลียดที่สุดในโลกกำลังยืนยิ้มอยู่


“อย่าบอกนะว่าเธอไม่รู้จักฉัน นายกรัฐมนตรีของพวกเธอไงล่ะ”


นายย็อป ทริวนิชต์ หัวหน้าคณะกรรมาธิการสูงสุดของสมาพันธ์ดาวเคราะห์เสรี (ฟรีพลาเน็ต) เอ่ยเอื้อนด้วยน้ำเสียงแจ่มใส จูเลียนรู้สึกเย็นสันหลังวาบขึ้นมาทันที ดูเหมือนว่าเด็กชายจะติดนิสัยและความคิดมาจากหยางไว้มากโขทีเดียว


“เธอคือ จูเลียนสินะ บุตรบุญธรรมของผู้การหยาง ที่ได้ยินว่า อนาคตท่าทางจะรุ่งโรจน์”


จูเลียนแสดงท่าทักทายไปแกน ๆ โดยไม่พูดอะไรสักคำเดียว การที่อีกฝ่ายรู้จักตนเองนั้น ทำให้เด็กชายรู้สึกหวาดระแวงมากกว่าที่จะประหลาดใจ


ด้านหลังทริวนิชต์ มีชายหญิงสี่-ห้าคนยืนอยู่ด้วย เป็นกลุ่มคนที่บนสีหน้าไม่แสดงความรู้สึกใด ๆ


“อ้อ พวกนี้คือ สาวกของลัทธิบูชาโลกมนุษย์ที่ช่วยให้ที่ซ่อนแก่ฉันยังไงล่ะ ฉันซ่อนอยู่ในชั้นใต้ดินของโบสถ์ของพวกเขา และพยายามอย่างใหญ่หลวงและยาวนานที่จะต่อสู้กับพวกคณะรัฐประหารที่ชั่วร้ายพวกนั้น”


พยายามหรือ? พยายามตรงไหนกัน? ตัวเองหลบซ่อนอยู่ในที่ที่ปลอดภัย แล้วพอทุกอย่างจบลงก็ค่อยโผล่หัวออกมาแท้ ๆ จูเลียนอยากจะตอกคืนอย่างที่คิดเสียเหลือเกิน แต่พอนึกถึงฐานะของหยางแล้ว ได้แต่กล้ำกลืนคำพูดไว้


“เอาล่ะ เธอรีบพาฉันไปที่ที่ทำการรัฐบาลเร็วเข้า ฉันจะต้องรีบแสดงตัวให้ประชาชนที่รักของฉันรู้ว่า นายกรัฐมนตรีของพวกเขาปลอดภัยดี จะได้สบายใจกันได้”


จูเลียนไม่มีทางเลือกอื่น ได้แต่เชิญหัวหน้าคณะกรรมาธิการขึ้นรถยนต์ (แลนด์คาร์) แล้วพามาถึงหน้าทำเนียบ จัดการยัดเยียดอีกฝ่ายให้กับเชนค็อปและลูกน้องที่ยืนอยู่แถวนั้นพอดี


“ให้ตายเถอะ ความวัวเพิ่งจะหายไป ความควายก็เข้ามาซะแล้ว”


เมื่อฟังความเป็นไปทั้งหมดแล้ว หยางถึงกับบ่น เรียกอีกฝ่ายเป็น “ความควาย” ที่น่ารำคาญไปโน่น แต่ในใจเขารู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่ชอบมาพากล อันทำให้หัวเราะไม่ออกขึ้นมา กล่าวคือ การที่นายทริวนิชต์ได้รับการช่วยเหลือจากสาวกลัทธิบูชาโลกมนุษย์ ตลอดจนพาไปซ่อนตัวไว้อย่างดีนี่ มันจะเหมือนกับการที่กองกำลังอัศวินรักชาติถูกทริวนิชต์หลอกใช้งานหรือไม่หนอ?


หรือว่า ตรงกันข้าม?....




 

Create Date : 23 มิถุนายน 2548
1 comments
Last Update : 23 มิถุนายน 2548 18:15:23 น.
Counter : 492 Pageviews.

 

จบบทที่ ๗ ชุบมือเปิบ
คงจะรู้กันแล้วสิ ว่าใครที่ชุบมือเปิบ

เรื่องราวในตอนนี้ช่างตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดในบางประเทศเสียจริง ๆ ไม่ต้องบอกว่าประเทศไหนนะ

ผมนึกถึงเหตุการณ์หลังพฤษภาทมิฬขึ้นมาตะหงิด ๆ วิธีการชุบมือเปิบของพรรคการเมืองพรรคหนึ่ง ก็แบบนายทริวนิชต์ หดหัวอยู่ในกระดอง จนคนอื่นเขาเสี่ยงตาย ล้มล้างพวกทรราชย์ได้แล้ว ก็ออกมาเก็บเกี่ยวโดยไม่มีการลงทุนใด ๆ.... ไม่รู้สินะ ผมคิดอย่างนั้นนะครับ ทำให้ทำใจรักพรรคดังกล่าวไม่ลง ทั้งที่มีบุคลากรดี ๆ อยู่หลายคนทีเดียวในพรรคนั้น

ส่วนคำพูดของหยางที่โต้ตอบกับอีเวนส์.... ก็ช่างตอกย้ำสภาพของการเมืองปัจจุบันได้ดีจริง ๆ โดยเฉพาะคำว่า ถ้านักการเมืองโกงกินโดยที่ประชาชนหรือใครก็ตามได้แต่นั่งมองตาปริบ ๆ ทำอะไรไม่ได้ นั่นต่างหาก ที่เป็นสภาพที่ระบอบการปกครองนั้นล้มเหลวไปแล้ว

ตัวละครเก่า ๆ โผล่มากันเยอะเลยครับ

บิวค็อก คุณปู่ที่เอ็นดูหยางเหมือนลูกเหมือนหลานของตน (จำไม่ได้ แกมองหยางเป็นลูกรึเปล่า แปลเองลืมเอง) แต่น่าเสียดายที่บทบาทของแกในเล่มนี้น้อยไปหน่อย ทั้งที่หยางไปให้ข้อมูลและเตือนไว้ล่วงหน้าแท้ ๆ แต่แกกลับทำอะไรไม่ได้....แต่ในเนื้อหาก็มีคำอธิบายอยู่แล้วว่าทำไมแกจึงพลาดท่า

รักษาการณ์ผู้บัญชาการทหารสูงสุด- ก็คือ พลเอก....อะไรหว่านึกชื่อไม่ออก ที่เป็นคนใจเท่ามด ขี้ริษยาคนอื่น นั่นแหละ ในบทก่อนหน้านี้เคยแกล้งจะใช้งานหยางให้ปราบความไม่สงบในดาวไกลโพ้นทั้งสี่แห่งคนเดียวไงครับ เท่านี้ ก็คงนึกภาพออกว่า ตอนที่หยางไปช่วยเขาออกมา เขาจะทำหน้ายังไง คนพวกนี้ไม่รู้สึกสำนึกบุญคุณหรอก

กองกำลังอัศวินรักชาติ ซึ่งโผล่มาในความคิดของหยาง เป็นกลุ่มคนรักชาติแต่ปาก ที่ใฝ่สงคราม แต่ตัวเองเก่งแต่เล่นหมาหมู่รังแกคนไม่มีทางสู้ อย่างเช่นที่เคยบุกมาบ้านหยาง หรือ ที่มีกล่าวถึงในเนื้อเรื่องว่า พวกนี้ก็คอยจ้องรังควานเจสสิก้า ซึ่งเป็นสส. ฝ่ายสันติต่อต้านสงครามไงครับ หยางเคยสรุปว่า ทริวนิชต์ชักใยและหลอกใช้พวกนี้เป็นมือเป็นเท้าอยู่ ในการที่จะกำจัดคนที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตัวเอง..... ถ้ายังจำแบคกราวด์ตรงนี้ได้ ก็จะเข้าใจเนื้อหาในความคิดของหยางในสองย่อหน้าสุดท้ายครับ

ประเด็นที่ผมอยากชี้อีกประเด็นหนึ่งคือ..... ทำไมนายกรัฐมนตรีอย่างทริวนิชต์รู้จักจูเลียน? แสดงว่า เขาเองก็คอยจับตามองหยางอยู่แล้วนั่นเอง

อีกประเด็นก็ คำเกริ่นก่อนรายงานของเชนค็อป ที่ว่า แค่ชื่อของทริวนิชต์ หยางก็คงไม่อยากได้ยิน....แสดงว่าการที่หยางเกลียดทริวนิชต์เป็นที่รู้กันดี...อย่างน้อยก็ในหมู่พวกที่อิเซลโลน

เอ...มีประเด็นอะไรอีก นึกไม่ออกแล้ว ถ้าไง ขอคอมเมนต์กันหน่อยนะครับ ใครคอมเมนต์ไว้ที่เจเจแล้วจะลอกมาใส่ที่นี่อีกก็ได้ครับ ผมอ่านทั้งสองที่

 

โดย: Pae (star_seeker ) 23 มิถุนายน 2548 18:32:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


star_seeker
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add star_seeker's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.