Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2548
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
17 มิถุนายน 2548
 
All Blogs
 
เล่ม ๒ บทที่ ๗ ชุบมือเปิบ (๓)

“พวกเรายังไม่ชนะ”


หยางคิดในใจ ขณะที่เขาจ้องมองไปยังดาวเคราะห์สีหยกดวงงามที่ปรากฏโฉมอยู่กลางจอภาพ


แต่เขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับ “สร้อยพระศอของเทพีอาร์เตมิส” แม้แต่น้อย ทั้งนี้รวมถึงฮาร์ดแวร์อื่น ๆ ไม่ว่าจะมีอานุภาพร้ายแรงเพียงใด อย่างเช่น อาวุธ หรือ ป้อมปราการต่าง ๆ ไม่ได้ทำให้เขาหวาดเกรงเลย การทำให้สร้อยพระศอของเทพีอาร์เตมิสสิ้นฤทธิ์ มีได้ตั้งหลายวิธี


ที่จริงแล้ว การจะบุกยึดดวงดาวที่มีมนุษย์อาศัยอยู่สักดวงนั้นเป็นเรื่องยากเย็นแสนสาหัสมาก ทั้งนี้เพราะตัวดาวเคราะห์เองเป็นฐานส่งกำลังบำรุงและแหล่งผลิตขนาดใหญ่นั่นเอง ฝ่ายที่จะโจมตีจะต้องมีแหล่งส่งยุทโธปกรณ์ที่มหาศาลจริง ๆ จึงจะยืนระยะได้


ในอดีต ในช่วงแรกของศึกอัมริทเซอร์ การที่กองทัพสมาพันธ์สามารถยึดครองดาวเคราะห์ที่มีคนอาศัยอยู่ในแดนจักรวรรดิได้จำนวนมาก เพราะนั่นเป็นแผนยุทธศาสตร์ของฝ่ายจักรวรรดิเองต่างหากที่ถอนกำลังของตนออกปล่อยดินแดนเหล่านั้นให้ยึดแต่โดยดี จะว่าไป ก็คือเป็นเหยื่อที่จะล่อให้ปลาฮุบเบ็ด พาตัวเองถลำสู่กับดักอันลึกล้ำ และปลาตัวโตนี้ก็ฮุบเข้าจริงเสียด้วย


แต่ในกรณีของไฮเนสเซนไม่ใช่เช่นนั้น อย่างไรก็ตาม ไฮเนสเซนก็มีจุดอ่อนอยู่ คือ ความศรัทธาในฮาร์ดแวร์อย่าง “สร้อยพระศอของเทพีอาร์เตมิส” นั่นเอง หากทำลายความศรัทธานั้นได้ ก็จะทำให้ความคิดต่อต้านหมดไปด้วยแน่นอน


สร้อยพระศอของเทพีอาร์เตมิส- ดาวเทียมทางทหารทั้งสิบสองดวงที่สามารถโจมตีได้ในทุกทิศทางหรือ 360 องศารอบตัว ติดตั้งอาวุธทุกชนิดเท่าที่มนุษย์จะสรรหามาได้ เช่น ปืนเลเซอร์ ปืนอนุภาคประจุไฟฟ้า ปืนนิวตรอน ปืนแสงความร้อน จรวดมิสซายล์ระเบิดไฮโดรเจนจุดชนวนด้วยเลเซอร์ ปืนแม่เหล็ก (เรลแคนนอน) ฯลฯ อาศัยพลังงานที่ประจุจากดวงอาทิตย์ในลักษณะกึ่งนิรันดร์ (ทำงานได้ตลอดกาล) ผิวของดาวเทียม เป็นผิวสะท้อนอาวุธแบบกึ่งผิวกระจก มองเห็นเป็นสีเงินแกมสีรุ้งจาง ๆ สวยงามสูงส่ง นับเป็นอาวุธสำหรับฆ่าคนหมู่มากที่น่าสะพรึงกลัว


แต่ อาวุธนี้ก็คงจะต้องถูกทำลายลงด้วยน้ำมือของหยางเหวินหลี่ โดยที่พวกมันไม่มีโอกาสได้แสดงวีรกรรมในการรบแม้แต่ครั้งเดียว


แต่สิ่งที่หยางกลัว กลับเป็นประชากรทั้งพลเรือนและทหารจำนวนหนึ่งพันล้านคนของไฮเนสเซนต่างหาก พวกเขาล้วนเป็นตัวประกันชั้นยอดของคณะรัฐประหารนั่นเอง


หากคณะรัฐประหารขู่มาว่า จะระเบิดตัวเองพร้อมดาวดวงนี้และประชากรทั้งหมด... หรือไม่ต้องถึงขนาดนั้น เพียงแค่ปรากฏตัวในจอภาพเพื่อขอเจรจา โดยมีพลเอกบิวค็อกถูกปืนจี้ที่ท้ายทอยร่วมอยู่ด้วย... หยางก็ได้แต่ยกมือยอมศิโรราบแล้ว


ที่จริง หยางเชื่อว่าพลเอกกรีนฮิลล์คงไม่ทำถึงขนาดนั้น แต่... ที่ผ่านมา เพียงแค่การที่พลเอกผู้นั้นเป็นแกนนำของคณะรัฐประหาร ก็เป็นสิ่งทีทรยศต่อความเชื่อของหยางแล้วมิใช่หรือ


ดังนั้น เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุที่เขาหวาดกลัวขึ้นมาอีก หยางจึงต้องชิงลงมือทำอะไรบางอย่างก่อน... แล้ววิธีที่จะทำลายความเชื่อมั่นของฝ่ายตรงข้าม ทำให้พวกนั้นหมดความคิดที่จะสู้อีก ต้องทำอย่างไรล่ะ?


คำตอบคือ เปิดเผยว่า รัฐประหารครั้งนี้ไม่ว่าผู้กระทำจะมีความคิดอย่างไรก็ตาม แต่สุดท้ายมันก็เป็นเพียงแผนการที่มาร์ควิส ไรน์ฮาร์ด ออฟ โรเอนกรัมแห่งจักรวรรดิทางช้างเผือกเป็นคนวางไว้นั่นเอง


เขาไม่มีหลักฐานใด ๆ แต่ในความจริง ขณะนี้ก็กำลังเกิดสงครามกลางเมืองครั้งใหญ่อยู่ในจักรวรรดิมิใช่หรือ ใช้เหตุการณ์นี้เป็นหลักฐานประกอบก็น่าจะได้ แล้วเอาไว้ภายหลังจากปราบพวกรัฐประหารเสร็จแล้ว อาจจะหาหลักฐานได้ทีหลังก็เป็นได้ แต่ในตอนนี้ ต้องหาคนที่จะยืนยันเรื่องนี้ก่อน


หยางเรียกคนคนหนึ่งมาพบ


ผู้ที่ถูกเรียก คือ พันโทแบกดัช เดินตัวปลิวพบหยางที่ห้องทันที หลังจากสั่งให้นายทหารผู้ช่วย- เฟรดเดอริกาออกไปนอกห้องก่อนแล้ว หยางก็เข้าเรื่อง


“มีภารกิจหนึ่งที่ผมอยากให้คุณทำให้หน่อย”


“สั่งมาได้เลยครับผม”


แบกดัชตอบ พลางเหลือบสายตามองไปรอบห้อง เมื่อแน่ใจว่าไม่มีจูเลียนอยู่ด้วยก็แอบโล่งอก ที่จริงการที่เขารู้สึกแพ้ทางเจ้าเด็กนั่น ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียหน้ามากพออยู่แล้ว แต่รู้สึกว่าพอถูกอีกฝ่ายข่มไว้ได้ครั้งหนึ่งนี่ ความรู้สึกนั้นจะยังคงฝังใจไม่รู้เลือนเลยทีเดียว


“ตกลง จะให้กระผมทำอะไรให้หรือครับ ขอให้สั่งมา จะเป็นการลอบเข้าไปในไฮเนสเซน...”


“แล้วก็ไปเจรจากับพลเอกกรีนฮิลล์...”


“หวา... อย่างนั้นเห็นจะไม่ไหวนะครับผม”


“หึ ล้อเล่นน่ะ ที่จริงคือ ผมต้องการให้คุณเป็นพยาน”


“พยาน? เรื่องอะไรครับ?”


“พยานที่ว่า การทำรัฐประหารของกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติในครั้งนี้ ที่จริงแล้วพวกเขาถูกหลอกใช้โดยมาร์ควิสไรน์ฮาร์ดออฟโรเอนกรัมแห่งจักรวรรดิต่างหาก”


แบกดัชกระพริบตาปริบ ๆ อยู่หลายครั้งกว่าที่เขาจะทำความเข้าใจกับคำพูดอีกฝ่ายได้ เมื่อเข้าใจแล้ว เขาก็อ้าปากหวอ สายตาที่มองผู้บัญชาการหนุ่มเปลี่ยนไปประดุจมองคนที่ไม่รู้จักมาก่อน


“ช่างเป็นความคิดที่คาดไม่ถึงมาก่อนเลยนะครับ...”


แบกดัชมองว่า นี่เป็นกลวิธีในการทำลายความชอบธรรมของรัฐประหารครั้งนี้จนไม่เหลือชิ้นดีนั่นเอง และหากทำจริงก็คงได้ผลเช่นนั้นด้วย


“แต่นี่เป็นความจริงนะ ถึงแม้ว่าตอนนี้จะยังไม่มีหลักฐานใด ๆ ก็ตาม แต่มันก็คือความจริง”


หยางอธิบาย แต่สีหน้าของแบกดัชก็ยังคงเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความพิศวงอยู่นั่นเอง เขาทำท่าจะเอ่ยปากแย้งอะไรขึ้นมาอีก แต่หยางชิงยกมือห้ามไว้ก่อน เขาเลิกล้มความตั้งใจที่จะอธิบายให้อีกฝ่ายเชื่อในบัดนั้นเอง


“เอาล่ะ ๆ ไม่เชื่อก็ตามใจ ผมรู้ว่ามันเชื่อยากอยู่”


เขารู้สึกยอมแพ้ขึ้นมาดื้อ ๆ อย่าว่าแต่แบกดัชเลย ไม่ว่าใครก็คงไม่สามารถเชื่อคำพูดของหยางได้หรอก และในความเป็นจริง ผู้ที่เชื่อความคิดของหยางก็คงมีเพียงบิวค็อกและจูเลียน ซึ่งได้ฟังความคิดนี้มาก่อนหน้าที่จะเกิดรัฐประหารจริงแล้วเท่านั้น ส่วนคนใกล้ชิดหยางอย่าง เชนค็อปกับเฟรดเดอริกาล่ะ พวกนั้นจะว่าอย่างไร หากเป็นเชนค็อปคงจะยิ้มหยันพลางวิจารณ์ว่า


“อืม แต่งเรื่องได้ดีมาก แต่เนื้อเรื่องตรงไปตรงมาสักหน่อยนะ ให้คะแนนแบบลำเอียงเข้าข้างท่านนิด ๆ ก็คงได้สักแปดสิบเต็มร้อยกระมังครับผม”


ส่วนเฟรดเดอริกาล่ะ คงจะต้องร้องประท้วงแน่


“กรุณาอย่าทำร้ายคุณพ่อมากไปกว่านี้เลยค่ะ คุณพ่อไม่มีทางเป็นเครื่องมือของจักรวรรดิอย่างแน่นอน”


... หยางสลัดหน้าครั้งหนึ่งไล่ภาพของบุคคลเหล่านั้นออกไปจากสมองตน


“สรุปก็คือ คุณต้องให้การตามนี้ ถ้าต้องการบทพูด หรือหลักฐานปลอมอะไร ผมทำให้ก็ได้ ผมรู้ดีนี่เป็นวิธีที่ไม่แฟร์แต่... ก็เราต้องทำ ว่าไง ไหวไหม?”


ทั้งสีหน้าและน้ำเสียงของหยางนั้น ไม่ถึงกับบีบบังคับแต่อย่างไร แต่แบกดัชก็รู้สึกได้ถึงอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขาปฏิเสธไม่ออก


“เข้าใจแล้วครับผม กระผมเป็นแค่คนแปรพักตร์น่ะครับ ท่านจะให้กระผมทำอะไรก็ทำอยู่แล้ว”


อย่างน้อยที่สุด ในตอนนี้ ชะตากรรมของแบกดัชก็ขึ้นอยู่กับหยางเพียงผู้เดียว


หลังจากให้แบกดัชออกไปแล้ว หยางก็รู้สึกเกลียดตัวเองขึ้นมาตะหงิด ๆ พลางเรียกให้ร้อยเอกเฟรดเดอริกามาพบ


“ผมต้องการสรุปปัญหาด้านเทคนิคในการโจมตีทำลาย ‘สร้อยพระศอของเทพีอาร์เตมิส’ ช่วยเรียกประชุมทุกคนที่ห้องประชุมด้วย”


“ค่ะ”


ท่าทีของเฟรดเดอริกาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น สาเหตุก็คงมาจากความเชื่อฝังใจว่า การจะรบกับ “สร้อยพระศอของเทพีอาร์เตมิส”- ดาวเทียมทางทหารสิบสองดวงซึ่งได้ชื่อว่าร้ายกาจไร้เทียมทานนั้น คงจะเป็นงานที่ยากลำบากแสนสาหัส จะต้องมีความสูญเสียเกิดขึ้นอีกเท่าไรก็ไม่อาจจะหยั่งรู้ได้ หยางเองก็ตระหนักถึงความกังวลของหล่อน จึงเอ่ยสำทับว่า


“ไม่ต้องห่วงครับ ผมสัญญาว่า การทำลาย ‘สร้อยพระศอของเทพีอาร์เตมิส’ นี่ จะไม่มีการสูญเสียแม้ยานรบสักลำ หรือชีวิตทหารสักคนเดียวเลย”


พูดไป หยางก็รู้สึกอยู่ในใจว่า นั่นไม่สามารถไถ่บาปที่ตนเองกำลังจะทำกับ (บิดาของ) หล่อนได้เลยแม้แต่น้อย...




การปรากฏตัวบนจอภาพสื่อสารของพันโทแบกดัช ยังความประหลาดใจและความชิงชังแก่สมาชิกกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติที่กำลังเข้าตาจนเป็นอย่างยิ่ง ชายผู้นี้นอกจากจะประกอบภารกิจลอบสังหารหยางไม่สำเร็จ จนทำให้พรรคพวกต้องตกที่นั่งลำบากอยู่เช่นนี้แล้ว คราวนี้ถึงกับกล้ามาแถลงว่า รัฐประหารครั้งนี้เป็นแผนการหลอกใช้ของมาร์ควิสไรน์ฮาร์ดออฟโรเอนกรัม ช่างเป็นเรื่องที่บ้าบอคอแตกที่สุด และปฏิเสธความชอบธรรมของกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติอย่างสิ้นเชิง


“หนอย เจ้าแบกดัช ไอ้คนทรยศที่ไร้ยางอาย ยังมีหน้าเสนอหน้ามาพบผู้คนได้อีก!”


ในน้ำเสียงก่นด่าอย่างโกรธเกรี้ยว แฝงไปด้วยความท้อแท้อย่างปิดไม่มิด พวกเขาเองตระหนักดีว่า คงไม่มีโอกาสแก้แค้นเจ้าคนทรยศนี้อีกแล้ว แม้แต่ “สร้อยพระศอของเทพีอาร์เตมิส” ก็เพียงแค่ทำให้ความปราชัยของพวกเขายืดเยื้อออกไปสักหน่อยเท่านั้น


ถึงบัดนี้ สิ่งที่ “กองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติ” ควบคุมอยู่ในมือตน ก็เพียงแค่เปลือกและชั้นใต้ดินของดวงดาวไฮเนสเซนเพียงบางส่วนเท่านั้น นอกจากนี้แล้ว อาณาบริเวณในสามมิติที่เหลือล้วนตกอยู่ในมือของศัตรูจนหมด


ศัตรู- ซึ่งคือ หยางเหวินหลี่ แม่ทัพหนุ่มผู้นั้น คนเดียวที่ทำให้รัฐประหารครั้งนี้ต้องล้มเหลว คนที่ทำลายกองยานรบที่สิบเอ็ด หน่วยรบในอวกาศเพียงหน่วยเดียวของกองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติไป จนทำให้ผลของรัฐประหารถูกจำกัดเพียงแค่ดาวไฮเนสเซนเพียงดวงเดียวเท่านั้น แล้วดึงพวกผู้คนที่ยังตัดสินใจไม่ได้ ให้เป็นพวกตนจนหมดสิ้น ช่างเป็นพลังที่น่ายกย่องยิ่งนัก แต่กรีนฮิลล์ก็มีเรื่องหนึ่งที่ต้องกล่าวแย้งกับหยาง นั่นคือ


“รู้สึกว่าผมจะมองหยางเหวินหลี่ผิดไปนะ ไม่จำเป็นต้องทำลายพวกเราให้ป่นปี้ขนาดกล่าวหาว่าเราเป็นมือเป็นเท้าให้กับจักรวรรดิทางช้างเผือกเลย นึกไม่ถึงเลยว่าหมอนี่จะเล่นการเมืองเป็นด้วย”


เมื่อเห็นพรรคพวกพยักหน้าตามแล้ว กรีนฮิลล์จึงพูดต่อ


“นี่เป็นความคิดของพวกเราเองทั้งหมด เริ่มจากที่พลตรีรินซ์กลับจากจักรวรรดิ แล้วก็นำแผนการที่ยอดเยี่ยมนั้นมาเสนอให้ พวกเราจึงดำเนินการรัฐประหารนี่ได้ ไม่เกี่ยวกับมาร์ควิส ออฟโรเอนกรัมแม้แต่นิดเดียว จริงไหม พลตรีรินซ์”


ดวงตาแดงก่ำด้วยฤทธิ์สุราของรินซ์เป็นประกายขึ้นแวบหนึ่ง แล้วสีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเหมือนกับถูกควบคุมด้วยอะไรบางอย่าง


“ขอบคุณที่ชม แต่คนที่คิดแผนนั่นขึ้นมา ไม่ใช่ฉันหรอก”


“อะไรนะ?!!!”


ใบหน้าของพลเอกกรีนฮิลล์ มีริ้วรอยแห่งความอัปมงคลพาดผ่านเฉียง ๆ คราหนึ่ง หลังจากลังเลอยู่หลายวินาที เขาจึงตัดสินใจถามใหม่


“ถ้าอย่างนั้น ใครกันล่ะ ใครเป็นคนคิดแผนการนั่นขึ้นมา?”


ภวังค์ความเงียบที่นานพอควร เกิดขึ้นระหว่างคำถามและ.... คำตอบ


“จอมพลแห่งทัพจักรวรรดิทางช้างเผือก มาร์ควิส ไรน์ฮาร์ด ฟอน โรเอนกรัม!!!”


ทุกคนรู้สึกถึงภวังค์ความเงียบอันหนักอึ้งที่ตกใส่ศีรษะตนอีกครั้ง ภวังค์ความเงียบที่เต็มไปด้วยการกรีดร้องอันไร้สุ้มเสียง ไม่ว่าสีหน้าของคนใดล้วนปราศจากสีเลือด


“อะไรนะ...”


“หยางเหวินหลี่พูดถูก รัฐประหารครั้งนี้เกิดจากสมองของเจ้าเด็กผมทอง มาร์ควิสฟอนโรเอนกรัมนั่น หมอแค่ต้องการให้พวกเราสมาพันธ์ทะเลาะกันเองด้วย ระหว่างที่มันกำลังจัดการกับพวกขุนนางฐานันดรอยู่ก็เท่านั้นเองพวกแกถูกหลอกใช้แล้ว”


“จะบอกว่า คุณมาหลอกใช้พวกเราอีกที ตามบงการของมาร์ควิสออฟโรเอนกรัมอย่างนั้นหรือ?”


น้ำเสียงที่ถามแตกพร่า


“ใช่ และพวกแกก็ช่างเล่นตามบทได้ดีเหลือเกิน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าโง่คริสเตียนนั่น แล้วก็คนฉลาดอย่างพลเอกกรีนฮิลล์- แกก็ด้วย!”


เป็นน้ำเสียงที่หัวเราะเย้ยหยันอย่างเจ็บแสบ ปิศาจที่มองไม่เห็นตัวตนโลดแล่นไปตามลมหายใจที่เหม็นคลุ้งแอลกอฮอล์ของผู้พูด ใช้หอกทิ่มแทงกระหน่ำหัวใจของทุกคนในที่นั้นอย่างอำมหิต เสียงใครบางคนถึงกับร้องครางออกมาในลำคอ


“ดูนี่ซะ แผนปฏิบัติการที่มาร์ควิสฟอนโรเอนกรัมถ่ายถอดให้ฉันไง”


แฟ้มเล็ก ๆ บาง ๆ แฟ้มหนึ่งถูกดีดออกจากมือของรินซ์ตกลงบนโต๊ะดังสวบ กรีนฮิลล์คว้ามันขึ้นมาเปิดอ่านทันที


ก่อความไม่สงบในดาวเคราะห์ไกลโพ้นก่อน โดยต้องไม่ก่อเพียงแห่งเดียว แต่ให้ทำหลายแห่งพร้อมกัน เพื่อแบ่งกำลังทหารออกไปจากเมืองหลวงไปปราบปราม สร้างสภาพกลวงในขึ้นมา แล้วอาศัยจังหวะนั้น ยึดครองสถานที่สำคัญทางการเมืองและทางทหารไว้... อ่านถึงตรงนี้ กรีนฮิลล์ต้องหอบหายใจหนัก ๆ พลางขว้างแฟ้มนั้นทิ้ง


“ถึงตรงนั้น ทุกอย่างเป็นไปตามบท แต่จากนั้นก็... มืดแปดด้าน เพราะนักแสดงอย่างพวกแกมันไร้ความสามารถ...”


“พลตรีรินซ์ ทำไมถึงยอมตัวทำตามแผนของมาร์ควิสออฟโรเอนกรัม เขาเสนอให้เงื่อนไขที่น่าสนใจนักหรือ อย่างเช่น จะให้ยศเป็นผู้การของทัพจักรวรรดิ...”


“นั่นเป็นแค่ส่วนหนึ่ง...”


เสียงของรินซ์เดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ โดยเจ้าตัวก็ไม่แสดงทีท่าจะบังคับน้ำเสียงของตนเลย


“แต่ยังมีมากกว่านั้นอีก ใครจะว่ายังไงก็ช่าง ฉันอยากจะเห็นว่า คนที่เชื่อในความถูกต้องของตนเองโดยไม่ลืมหูลืมตา เมื่อเจอกับความอัปยศชนิดที่ไม่มีทางแก้ตัวใด ๆ ได้จะรู้สึกอย่างไรบ้าง ก็เท่านั้นเอง ถึงตอนนี้ เรื่องเป็นใหญ่หรือชะตาชีวิตของตัวเองนั่น ฉันหมดความสนใจไปนานแล้ว”


ดวงตาแดงก่ำของรินซ์ทอประกายน่าสะพรึงกลัวขึ้นให้ทุกคนเห็น


“เป็นไงบ้างล่ะ พลเอกกรีนฮิลล์ ความรู้สึกหลังจากที่รู้ความจริงว่า สิ่งที่เรียกว่ากองกำลังกอบกู้วิกฤติแห่งชาติอันน่าสรรเสริญของแกน่ะ ก็แค่ของเล่นชิ้นหนึ่งในกระบวนการแสวงหาอำนาจของทางจักรวรรดิเท่านั้น”


ท้ายประโยคเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะอย่างอดไม่อยู่ เสียงหัวเราะที่ไร้จังหวะ ฟังดูแปลกประหลาดทิ่มแทงเข้าไปในใจทุกคนประดุจหนามแหลม รินซ์กำลังระบายความคับแค้นใจที่ได้รับในช่วงเก้าปีที่ผ่านมา จากการที่เขาหนีศึกที่เอล ฟาซิล จนทำให้ชีวิตรุ่งโรจน์ของตนจบสิ้นลงนับบัดนั้น แปรเปลี่ยนเป็นความเกลียดชังที่แผดเผาคนรอบข้าง


“ท่านประธานครับ ข้าศึกเริ่มโจมตีแล้วครับผม!”


นายทหารที่ทำหน้าที่โอเปอเรเตอร์ตะโกนรายงานด้วยน้ำเสียงหวาดหวั่น เสียงนั้นทำให้ทุกคนตื่นจากสภาวะตกตะลึง กรีนฮิลล์หันตัวกลับไป แล้วถามด้วยน้ำเสียงประดุจเพิ่งตื่นจากฝันร้ายว่า


“พวกเขาโจมตีดาวเทียมทหารดวงไหนในสิบสองดวงล่ะ?”


เสียงรายงานตอบกลับมา เต็มไปด้วยความไม่แน่ใจ


“เรื่องนั้น.... พวกเขา.... โจมตีทั้งสิบสองดวงพร้อมกันเลยครับผม!”


ทั้งหมดในที่นั้นได้แต่มองหน้ากันเองเลิ่กลั่กด้วยสีหน้าที่ฉายแววไม่แน่ใจ มากกว่าเป็นแววตกใจ ดาวเทียมทหารทั้งสิบสองดวงนั้นสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระบนวงโคจรของตนเอง และสามารถป้องกัน/สนับสนุนซึ่งกันและกันได้ ดังนั้นการจะโจมตีต้องโจมตีพร้อมกันหลายดวงจึงจะพอได้ผล แต่นั่นก็จะทำให้ฝ่ายโจมตีต้องแบ่งกำลังกันออกไป และเกิดความเปราะบางในแนวรุกได้ แต่นี่... หยางเหวินหลี่ถึงกับสั่งโจมตีทุกดวงพร้อมกัน นับเป็นเรื่องที่ผิดปกติวิสัยเป็นอย่างยิ่ง ชายผู้นั้นต้องกำลังคิดอะไรอยู่แน่นอน


ภาพบนจอเปลี่ยนไป เป็นภาพของวัตถุที่กำลังพุ่งตรงเข้าหาดาวเทียมทั้งสิบสองดวง เพื่อภาพนั้นปรากฏชัดจนแยกแยะได้แล้ว ภายในห้องก็เต็มไปด้วยเสียงพึมพำสนั่น


“น้ำแข็ง...”


พลเอกกรีนฮิลล์ครางเสียงต่ำ ใช่แล้ว สิ่งที่เขาเห็นคือ ก้อนน้ำแข็ง... เป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่มหึมา ใหญ่ยิ่งกว่ายานพิฆาตเสียอีก


Create Date : 17 มิถุนายน 2548
Last Update : 17 มิถุนายน 2548 11:03:18 น. 1 comments
Counter : 486 Pageviews.

 


โดย: อิอิอิไม่อ่านแต่สนุก งงฃ IP: 202.129.34.122 วันที่: 29 พฤศจิกายน 2548 เวลา:8:46:43 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

star_seeker
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add star_seeker's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.