Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2548
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
27 พฤษภาคม 2548
 
All Blogs
 
เล่ม ๒ บทที่ ๖ ความกล้าหาญและใจภักดี (๓)

“กองทัพพันธมิตรขุนนางนั้น มีแต่ใจคึกคะนองแต่หามีความสามารถในการรบไม่”


เจ้าของอาการ “เฮเทอโรโครเมีย (นัยน์ตาข้างละสี)” ออสการ์ ฟอน รอยเอนธาลเคยวิจารณ์ไว้ดั่งนั้น


พวกคนไร้ความสามารถที่ดีแต่บ้าเลือด... นี่เป็นคำวิจารณ์ที่เผ็ดร้อนนัก แต่ในความเป็นจริง ผลการปะทะที่ผ่านมาทั้งหมดล้วนพิสูจน์ว่าคำวิจารณ์ของรอยเอนธาลถูกต้อง และนำมาซึ่งผลงานในการรบของเขาและเพื่อนร่วมทัพทั้งหลาย


แต่ เมื่อรบชนะมาเรื่อย ๆ จนถึงเขตหมู่ดาวแชนทาว และปะทะเข้ากับทัพใหญ่ของข้าศึก รอยเอนธาลก็พบว่าสถานการณ์เปลี่ยนไปจากที่ผ่านมา และเขาต้องเปลี่ยนความคิดใหม่เสียแล้ว


ความบ้าเลือดในการรบนั้นยังเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยนแน่ หากแต่เขาต้องยอมรับเช่นกันว่า ครั้งนี้ฝ่ายข้าศึกมีการควบคุมการรบอย่างเป็นระบบ มีประสิทธิภาพยิ่ง ถึงแม้ว่าเขาสามารถต้านรับการโจมตีของข้าศึกได้ถึงสามระลอกใหญ่ และตีโต้กลับไปได้ทุกครั้งก็ตาม รอยเอนธาลก็ต้องตระหนักว่าปฏิบัติการโจมตีของข้าศึกมีความหนักหน่วงเหนียวแน่นกว่าเดิมมาก และการเดินทัพก็มีเอกภาพ อีกทั้งความสูญเสียฝ่ายตนก็สูงกว่าที่คาดไว้มากนัก เขากำลังเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ต้องตัดสินใจครั้งใหญ่เลยทีเดียว


เหตุผลที่การลงมือของข้าศึกดีขึ้นกว่าเดิมมากนั้น รอยเอนธาลหยั่งรู้ได้ทันทีว่า เป็นเพราะอีกฝ่ายเปลี่ยนตัวผู้นำทัพนั่นเอง กล่าวคือ ผู้การเมลคัทซ์ได้ออกมาบัญชาการรบ ณ แนวหน้าด้วยตนเอง นอกจากบุคคลผู้นี้ เขายังมองไม่เห็นว่าในทัพพันธมิตรขุนนางจะมีใครเดินทัพได้เยี่ยมพอที่จะเทียบเคียงกันได้


หากเป็นเช่นนั้นไซร้ ในแง่กำลังทหารแล้ว รอยเอนธาลอยู่ในฐานะเสียเปรียบอย่างมาก เขานั้นหาใช่นักเพ้อฝันแต่อย่างไร หากเป็นคนที่ประเมินกำลังของข้าศึกได้อย่างถูกต้องเป็นกลาง


“ลงเป็นเช่นนี้ คงต้องถอยสินะ”


การที่สามารถตัดสินใจถอยทัพได้ในยามที่ต้องถอย ก็นับเป็นคุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งของนายทัพชั้นยอด


การยอมผละจากเขตหมู่ดาวแชนทาวนี้ ในแง่ยุทธศาสตร์แล้วหามีความสำคัญแต่ประการใดไม่ หรือมองจากแผนการยุทธโดยรวมแล้ว อาณาบริเวณนี้ก็หาใช่พื้นที่สำคัญที่ต้องยึดให้ได้ไม่ เพียงแต่เป็นพื้นที่ที่บังเอิญอยู่ในขอบเขตที่ขยายกำลังรบมาถึงพอดีเท่านั้น ดังนั้น จะยกคืนให้ข้าศึกไปก็ไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น หากแต่ที่รอยเอนธาลลังเลที่จะตัดสินใจลงไปอยู่ ก็ด้วยเขาพิจารณาเลยไปถึงผลทางจิตวิทยาที่จะมีต่อข้าศึกและพันธมิตรนั่นเอง


การยึดครองหมู่ดาวแชนทาวได้นั้น ย่อมเป็นสัญลักษณ์บอกถึงชัยชนะครั้งแรกของฝ่ายพันธมิตรขุนนางนับแต่เปิดฉากสงครามกลางเมืองมา ก่อนหน้านี้พวกเขาลิ้มรสแต่ความพ่ายแพ้และการร่นถอยอยู่ฝ่ายเดียว ดังนั้นการชนะครั้งนี้จะทำให้พวกพันธมิตรขุนนางฮึกเหิมได้ใจขึ้นเป็นอันมาก และมีผลต่อการรบครั้งต่อไปก็เป็นได้ หลายครั้งที่ในอดีตก็มีตัวอย่างให้เห็น ว่าขวัญกำลังใจที่เหนือกว่าสามารถพลิกเอาชนะข้าศึกที่มีการวางแผนมาดีเลิศได้เสียด้วย


... แต่ในที่สุด รอยเอนธาลซึ่งครุ่นคิดหนักก็ผุดรอยยิ้มขึ้นในดวงตาสีดำและสีฟ้าของเขา เป็นรอยยิ้มของคนเจ้าเล่ห์


“เอาล่ะ ในสถานการณ์นี้คงต้องถอยทัพ ไม่มีประโยชน์ที่จะสู้ตายเพื่อป้องกันอาณาบริเวณนี้แต่อย่างไร เอาไว้ให้ท่านมาร์ควิสฟอนโรเอนกรัมมายึดคืนทีหลังก็แล้วกัน”


หากเจ้านายสูญเสียดินแดนที่ลูกน้องยึดครองมาได้นั้น ย่อมทำให้เจ้านายเสื่อมเสีย แต่หากเป็นกรณีตรงกันข้าม การที่นายเหนือสามารถยึดครองดินแดนที่ลูกน้องสูญเสียไปนั้นกลับคืนมาได้ ย่อมแสดงให้เห็นถึงความสามารถที่เหนือกว่าของนายนั่นเอง ถึงแม้ว่าการพ่ายแพ้ในชั่วขณะหนึ่ง จะยังความไม่พอใจแก่นายเหนือก็ตาม แต่หากลูกน้องพูดว่า “ข้าพเจ้าไม่มีความสามารถพอ ขอนายท่านได้โปรดแสดงฝีมือการเดินทัพให้ประจักษ์ด้วยเถิด” แล้ว ในระยะยาว อาจจะทำให้ความหยิ่งทะนงในความเป็นนายที่เหนือกว่าถูกเติมเต็ม และทำให้นายพอใจก็เป็นได้


รอยเอนธาลคาดหมายไว้เช่นนั้น ในกรณีที่ไม่จำเป็นต้องชนะอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ นับเป็นทางเลือกที่ฉลาดที่สุดของเขาแล้ว และนับเป็นการตัดสินใจที่นายทหารทั่วไปที่มุ่งแต่จะรบถ่ายเดียวไม่มีทางทำได้


เมื่อตัดสินใจได้ รอยเอนธาลก็เข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมถอนกำลัง ซึ่งในเมื่อฝ่ายตรงข้ามคือเมลคัทซ์ การจะถอนตัวออกจากบริเวณก็ย่อมมิใช่งานง่ายเลย เรียกได้ว่า เป็นสนามพิสูจน์ฝีมือคนคุมทัพในอีกรูปแบบหนึ่งทีเดียว


วันที่ 9 เดือนกรกฎาคม รอยเอนธาลสั่งโจมตีไปทั่วแนวรบ เขารวบรวมกำลังทหารทุ่มเทลงไปที่จุดสำคัญบางจุด แล้วสร้างความเสียหายให้แก่ข้าศึกอย่างทั่วถึง


แต่กองทัพพันธมิตรขุนนางก็มิได้แตกตื่นหรือระส่ำระสายดั่งเช่นศึกครั้งก่อน ๆ ที่ประสบมา กลับสามารถตอบโต้ได้อย่างสมน้ำสมเนื้อ ยิ่งกว่านั้น ยังสามารถจับจังหวะที่ทัพรอยเอนธาลขยายแนวรบจนถึงขีดจำกัดแล้ว ตีโต้กลับมาอย่างดุเดือดอีกด้วย เพียงแค่กรณีนี้กรณีเดียว ก็เป็นหลักฐานชัดเจนแล้วว่า เมลคัทซ์ในฐานะของแม่ทัพนั้นเปี่ยมด้วยความสามารถเพียงใด


รอยเอนธาลไม่ได้แสดงท่าทีที่จะตีตอบโต้การตีกลับของข้าศึกแต่อย่างไร หากสั่งให้กองกำลังส่วนกลางของตนถอยร่นลงมา อีกทางหนึ่งก็ให้ปีกซ้ายขวาของตนขยายแนวออกไปพร้อมเปลี่ยนทิศทางไปด้วย เขาค่อย ๆ แปรรูปขบวนอย่างสัมพันธ์กันต่อหน้าข้าศึกนั่นเอง หากมองการเคลื่อนทัพนี้จากด้านบน ก็จะเห็นว่า ทัพรอยเอนธาลกำลังแปรรูปเป็นรูปแอ่งลึก (รูปตัว U) ที่จะหลอกล่อให้ทัพข้าศึกทะลวงเข้ามาตรงกลาง แล้วก็ล้อมยิงจากสามด้านพร้อมกัน


บรรดาเสนาธิการของเมลคัทซ์ก็ล้วนคิดเช่นนั้น พวกเขาพากันให้คำแนะนำแก่นายทัพของตนว่า ควรสั่งให้ทัพฝ่ายตนเพลาการบุกลง อย่าไปหลงกลข้าศึกได้


ในสะพานเรือของเรือธง เมลคัทซ์กำลังยกมือขึ้นกอดอก ในสายตาของเขานั้น การเคลื่อนทัพของรอยเอนธาลมีความผิดปกติซ่อนอยู่ แม่ทัพชั้นยอดอย่างรอยเอนธาลน่าจะกำลังคิดทำอะไรที่เกินความคาดหมายอยู่ต่างหาก? อย่างเช่น... แกล้งแสดงให้เห็นว่าจะสู้ แต่แล้วก็ถอยหนี... ทำนองนั้น


แต่อย่างไรก็ตาม ที่สุดแล้วเมลคัทซ์ก็ต้องเลือกทำตามคำแนะนำของบรรดาเสนาธิการอยู่ดี การที่เพื่อนร่วมทัพของตนเต็มไปด้วยพวกเลือดร้อนเป็นประเด็นหนึ่งที่ทำให้เมลคัทซ์ต้องปวดหัวอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นการเดินทัพของเขา จึงต้องเลือกหนทางที่ปลอดภัยไว้ก่อนเป็นอันดับแรกเสมอ ยิ่งกว่านั้น หากรอยเอนธาลหมายจะถอยทัพแล้วไซร้ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องหลั่งเลือดกันต่อไปในการยึดอาณาบริเวณของหมู่ดาวแชนทาวนี้แล้วมิใช่หรือ หากฝ่ายตรงข้ามไม่ใช่ไรน์ฮาร์ดนำทัพมาเองแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องเสี่ยงวัดใจด้วย


ทัพพันธมิตรขุนนางลดความเร็วในการโจมตีลง รอยเอนธาลเมื่อพบเช่นนั้นก็ยังคงค่อย ๆ ถอยทัพอย่างระมัดระวัง พลางรักษารูปขบวนรูปแอ่งลึกนั้นอยู่อย่างยืดหยุ่น ในที่สุด เมื่อถอยมาถึงบริเวณขอบนอกของหมู่ดาวแชนทาว และระยะห่างระหว่างทัพตนกับข้าศึกทอดกว้างขึ้นเพียงพอแล้ว จึงสั่งให้ทัพทั้งหมดของตนจัดขบวนเป็นรูปทรงกลม แล้วผละหนีจากบริเวณนั้นไปด้วยความเร็วสูงสุด


หมู่ดาวแชนทาวก็ตกเป็นของพันธมิตรขุนนางด้วยประการฉะนี้




“เจ้ารอยเอนธาล หอบการบ้านมายัดใส่มือเราเสียแล้ว”


เมื่อฟังรายงานจบแล้ว ไรน์ฮาร์ดถึงกับแค่นหัวเราะออกมา เขาอ่านใจของรอยเอนธาลที่ไม่ยอมป้องกันหมู่ดาวแชนทาวไว้สุดชีวิตออกประดุจอ่านหนังสือ


แน่นอนว่า สำหรับไรน์ฮาร์ดแล้วเขาย่อมชื่นชมนายทหารที่มีกรอบความคิดและสายตาที่กว้างไกลดั่งเช่นรอยเอนธาล มากกว่านักรบที่ไม่สามารถควบคุมอะไรได้เกินกว่ากรอบของยุทธวิธี แต่กับบุคคลประเภทแรกนี้ก็จะไปคาดหวังถึงความจงรักภักดีต่อนายอย่างไม่มีเงื่อนไขไม่ได้ด้วยเช่นกัน ผู้เป็นนายต้องแสดงให้ประจักษ์อยู่เสมอว่า ตนมีความสามารถที่เหนือกว่าสมกับที่เป็นนาย ซึ่งไรน์ฮาร์ดเองก็ไม่รังเกียจที่จะอยู่ในสภาพที่ต้องคอยรักษาความเหนือกว่าเช่นนั้นไว้ หาไม่แล้ว ไฉนเลยเขาจะยอมให้โอแบร์สไตน์ซึ่งเข้ากับใครไม่ได้ ได้ทำงานใต้สังกัดของเขาเล่า


และเป็นโอแบร์สไตน์ผู้นั้นเองที่กล่าวเสริมขึ้นว่า


“ผู้การเมลคัทซ์เลื่องชื่อในเชิงรบมาก่อนหน้าที่ใต้เท้าจะเกิดถึงหลายสิบปีทีเดียวขอรับ หากปล่อยให้เขารบได้อย่างอิสระเช่นนี้ไซร้ จะพาให้เรายุ่งยากกว่าที่ควรนะขอรับ”


“รบได้อย่างอิสระ... หรือ นั่นแหละประเด็นสำคัญ เราไม่คิดว่าดยุคฟอนเบราสไวก์ใจกว้างพอที่จะปล่อยให้เมลคัทซ์ได้รบอย่างอิสระเช่นที่เจ้าว่าหรอก”


“ขอรับ เพราะฉะนั้นแทนที่ใต้เท้าจะมุ่งไปที่เมลคัทซ์ ข้าฯน้อยเห็นว่า เราควรมุ่งไปที่บรรดาคนเบื้องหลังของเขาที่จะทำให้เขายุ่งยากใจในการรบมากกว่าขอรับ”





Create Date : 27 พฤษภาคม 2548
Last Update : 27 พฤษภาคม 2548 8:51:06 น. 0 comments
Counter : 452 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

star_seeker
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add star_seeker's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.