Group Blog
 
<<
มิถุนายน 2548
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
2627282930 
 
2 มิถุนายน 2548
 
All Blogs
 

เล่ม ๒ บทที่ ๖ ความกล้าหาญและใจภักดี (๖)

“ทำไมไม่รีบมาช่วยเราให้เร็วกว่านี้?!!!”


เป็นคำพูดแรกที่หลุดจากปากของดยุคฟอนเบราสไวก์ ทันทีที่เขาพบหน้าเมลคัทซ์อีกครั้งหนึ่งหลังจากกลับไปยังไกเอสบูร์กแล้ว


ยอดแม่ทัพผู้ชาญศึกมิได้มีสีหน้าแปรเปลี่ยนแม้แต่น้อย ดูเหมือนเขาจะคาดการณ์ได้ล่วงหน้าแล้วด้วยซ้ำไปว่า จะต้องเจอแบบนี้ แต่พันตรีชไนเดอร์ที่อยู่ด้านข้างกลับฉายแววแห่งโทสะอย่างชัดเจนในดวงตาทั้งสองข้าง พลางก้าวเท้าขึ้นไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง และเป็นนายของเขาเองที่ยุดแขนคนสนิทเอาไว้


เมื่อกลับไปยังห้องพักแล้ว เมลคัทซ์จึงกล่าวปลอบประโลมผู้ช่วยของตนที่กำลังตัวสั่นเทิ้มด้วยโมหะว่า


“อย่าโกรธไปเลย ดยุคฟอนเบราสไวก์เป็นผู้ป่วยหนักนะ”


ชไนเดอร์ได้แต่กระพริบตาปริบ ๆ


“ผู้ป่วย... หรือขอรับ?”


“ใช่ ผู้ป่วยทางใจ”


อาการทางจิตของดยุคฟอนเบราสไวก์ตามความเห็นของเมลคัทซ์ ก็คือ การที่จิตใจอันทรนงยึดมั่นถือมั่นในศักดิ์ศรีอันสูงส่งของตนเองถูกกระทบกระเทือนได้ง่ายโดยที่เจ้าตัวก็ไม่รู้ตัว ดยุคนั้นเชื่ออย่างเต็มประตูว่าตนเองยิ่งใหญ่เหลือคณาและเป็นผู้ที่ใครจักบังอาจล่วงละเมิดมิได้ ดังนั้นจึงเอ่ยปากขอบคุณใครไม่เป็น อีกทั้งยังไม่สามารถยอมรับความคิดของคนอื่นที่ไม่ตรงกับของตนได้ คนที่คิดไม่ตรงกับตน ก็เป็นเพียงไอ้คนทรยศเท่านั้น คำเตือนที่หวังดีถูกตีความว่าเป็นคำวิพากษ์วิจารณ์อันจาบจ้วง ด้วยเหตุนี้ ทั้งชูทไรท์ และเฟลนาร์ซึ่งเสนอแผนการที่เป็นประโยชน์ให้ แต่ไม่ถูกใจดยุค จึงอยู่ด้วยต่อไปไม่ได้


แน่นอนว่า คนที่มีนิสัยเช่นนี้ย่อมไม่ยอมรับว่า ในสังคมประกอบด้วยแนวคิดที่หลากหลาย อีกทั้งไม่ยอมรับคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ที่มาจากมุมมองที่แตกต่างกันไปด้วย


“และสาเหตุที่เป็นตัวบ่มเพาะนิสัยแบบนี้ขึ้นมา เราก็เคยบอกเจ้าไปแล้วก่อนหน้านี้ ว่า มันคือความรู้สึกเป็นเจ้าของอภิสิทธิต่าง ๆ ที่บรรดาขุนนางชั้นสูงได้รับสืบทอดกันมาเป็นเวลาร่วมห้าร้อยปีแล้วนั่นเอง ดยุคเองก็เรียกได้ว่า เป็นเพียงเหยื่อเคราะห์ร้ายของระบบนี้เท่านั้น หากเป็นเมื่อร้อยปีก่อน เขาคงมีความสุขอยู่ได้แหละนะ แต่ไม่ใช่เดี๋ยวนี้ เขาเป็นคนที่น่าสงสาร ชไนเดอร์เอ๋ย”


แต่ชไนเดอร์ซึ่งยังหนุ่มแน่นต่างกับเจ้านายของเขา ย่อมไม่สามารถทำใจให้กว้างพอที่จะให้อภัยได้ เขาขอตัวจากเมลคัทซ์ แล้วขึ้นลิฟต์ในป้อมปราการ ตรงไปยังหอดูดาว ภายใต้โดมครึ่งวงกลมที่เป็นครอบแก้วใสนั้น หมู่ดาวฤกษ์น้อยใหญ่กำลังส่งแสงระยิบระยับ และแลดูห่างไกลเสียเหลือเกิน


“เอาเถิด หากดยุคฟอนเบราสไวก์เป็นคนเคราะห์ร้ายแล้วไซร้ ถามสักคำ แล้วคนที่ต้องฝากชะตากรรมของตนไว้กับชายผู้นี้อย่างหลีกเลี่ยงมิได้เล่า มิเคราะห์ร้ายยิ่งกว่าหลายเท่าหรอกหรือ...”


ไม่มีคำตอบจากดวงดาวให้แก่คำถามกึ่งรำพันของนายทหารหนุ่มแต่อย่างไร




ใครบางคนหนีเข้ามายังป้อมปราการไกเอสบูร์กจากทิศทางตรงกันข้ามกับดยุคฟอนเบราสไวก์ เขาคือบารอนไชด์ หลานชายของดยุคฟอนเบราสไวก์ ซึ่งทำหน้าที่ป้องกันและปกครองดาวเคราะห์ในดินแดนชื่อดาวเวสเตอร์ลันท์แทนน้าชายของตน


ดาวเวสเตอร์ลันท์ดังกล่าว เป็นดาวที่แห้งแล้งขาดแคลนน้ำและพืชสีเขียว แต่จำนวนประชากรถึงสองล้านคนของมันนับว่าเป็นจำนวนที่มากทีเดียวในบรรดาดาวชายแดนด้วยกัน พวกเขาอาศัยหนาแน่นในแหล่งโอเอซิสที่มีอยู่จำนวนไม่น้อยบนดวงดาว และทำการเกษตรกรรม ประกอบกับการขุดแร่หายาก ทำให้ดาวดวงนี้มีกำลังการผลิตที่สูงทีเดียว หากเป็นยุคที่สงบสุขแล้ว คงมีการขนส่งน้ำปริมาณในหลักล้านล้านตันจากดาวเคราะห์ดวงอื่น เพื่อพัฒนาดาวดวงนี้เป็นแน่


ตัวบารอนไชด์เองนั้นก็มิใช่ว่าเป็นคนไร้ความสามารถในการปกครองเลยทีเดียวนัก หากแต่ด้วยความหนุ่มฉกรรจ์จึงทำให้ขาดความยืดหยุ่นในนโยบายปกครองไปบ้าง อีกทั้งเขายังอยากจะส่งกำลังบำรุงมาสนับสนุนให้กับน้าชายของตนด้วย จึงได้สั่งเก็บภาษีจากราษฎรหนักขึ้นกว่าเดิมมาก


หากเป็นยุคที่ผ่านมา การณ์ก็คงดำเนินไปได้ด้วยดี แต่เหตุการณ์ที่ไรน์ฮาร์ดเป็นหัวหอกในการต่อต้านระบบเจ้าขุนมูลนายเดิม จนทำให้กรงล้อมของระบบฐานันดรบิดเบี้ยวไป รวมทั้งการเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นนี้ ล้วนเป็นที่ทราบกันดีในหมู่ราษฎรด้วย จึงเกิดแนวคิดต่อต้านการปกครองโดยขุนนางชั้นสูงที่ขูดรีดขึ้น เมื่อไชด์ทราบข่าวของแนวคิดต่อต้าน ก็รู้สึกตกใจและโกรธ สั่งให้ปราบปรามแนวคิดนี้อย่างเด็ดขาด เป็นผลให้ความไม่พอใจยิ่งทวีคูณขึ้นภายใน


หลังจากปราบปรามด้วยกำลังไปหลายรอบ ในที่สุดราษฎรก็ลุกฮือขึ้นปฏิวัติครั้งใหญ่ ตอบโต้การปกครองที่กดขี่ของไชด์ ทหารรักษาการณ์จำนวนหยิบมือถูกคลื่นฝูงชนกลืนหายไป ส่วนตัวของไชด์เองนั้นหนีขึ้นยานชัตเติลมาได้สำเร็จ แต่ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากมาถึงไกเอสบูร์กได้ไม่เท่าไร ก็ขาดใจตาย


“หนอย เจ้าพวกชนชั้นต่ำสารเลวทั้งหลาย... บังอาจใช้มือสกปรกของพวกมันมาฆ่าหลานชายของเราได้”


ผู้ที่ได้รับอภิสิทธิจนเคยตัว ย่อมสามารถปฏิเสธความเป็นคนของบุคคลอื่น ๆ ได้อย่างง่ายดาย ดยุคฟอนเบราสไวก์นั้น อย่าว่าแต่จะคำนึงถึงสิทธิของราษฎรที่จะประท้วงต่อการปกครองอันไม่เป็นธรรมเลย เขาเชื่อฝังหัวกระทั่งว่า หากไม่ได้รับอนุญาตจากขุนนางชั้นสูงแล้วไซร้ พวกราษฎรก็ไม่มีสิทธิแม้แต่การจะมีชีวิตอยู่ต่อไปเสียด้วยซ้ำ คนป่วย คนชราในหมู่ราษฎรนั้น ย่อมทำประโยชน์ให้แก่เจ้านายมิได้ อยู่ไปก็ไร้ค่า ต่ำชั้นกว่าสัตว์เลี้ยงเสียอีก


และเมื่อบรรดาชนชั้นต่ำทรามเหล่านั้น บังอาจถึงกระทั่งก่อการเป็นปฏิปักษ์ต่อขุนนางชั้นสูง และฆ่าหลานชายสุดที่รักของตนเข้า ดยุคฟอนเบราสไวก์ก็ย่อมโกรธจนถึงระดับคลั่งแค้น และแน่นอน- เขาย่อมเชื่อว่าความโกรธของตนในครั้งนี้เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม


เขาตัดสินใจที่จะ “ลงดาบอาญาสิทธิ์เพื่อตัดสินโทษานุโทษแก่พวกไม่รู้คุณนั้น”


“เตรียมการโจมตีดาวเวสเตอร์ลันท์ด้วยอาวุธปรมาณูเดี๋ยวนี้ อย่าปล่อยให้พวกต่ำช้าเหลือรอดแม้แต่คนเดียว!”


คนที่อยู่ในที่นั้นถึงกับต้องแสดงความไม่เห็นด้วยกันถ้วนหน้า การโจมตีด้วยอาวุธปรมาณูที่ดยุคกล่าวถึง คือการใช้อาวุธนิวเคลียร์ที่ให้ความร้อนสูงนั่นเอง นับเป็นการโจมตีที่ก่อให้เกิดฟอลล์เอาท์ (เมฆหมอกแห่งความตาย) ปกคลุมในบริเวณกว้าง นับแต่ “สงครามสิบสามวัน” ที่ส่งผลให้โลกมนุษย์เดิมเกือบจะกลายเป็นดาวที่ตายไปแล้วโดยสมบูรณ์นั้น การโจมตีด้วยอาวุธเช่นนี้ก็ถูกกำหนดเป็น “ของต้องห้าม” มาจวบจนบัดนี้ พลจัตวาอันสบาคผู้รอบคอบและคิดลึกซึ้งต้องลงมือเกลี้ยกล่อมนายของตนที่กำลังขาดสติว่า


“ที่ใต้เท้าจะโกรธก็สมควรอยู่ขอรับ แต่อันดาวเวสเตอร์ลันท์นั้นเป็นดินแดนอันเป็นสมบัติของใต้เท้าเอง จะโจมตีสมบัติของตัวเองด้วยอาวุธปรมาณูเช่นนี้ออกจะกระไรอยู่นะขอรับ”


“...”


“ยิ่งกว่านั้น ในยามกำลังเผชิญหน้ากับมาร์ควิสฟอนโรเอนกรัมอยู่เช่นนี้ จะแบ่งกำลังทหารไปไม่เป็นการสมควร อีกทั้ง... การจะสั่งฆ่าราษฎรทั้งหมดนั้นออกจะเป็นการเกินเลยไป มิสู้จับเพียงแกนนำมาสำเร็จโทษเท่านั้นก็น่าจะเพียงพอแล้วขอรับ”


“หุบปากเดี๋ยวนี้!”


ดยุคตวาดลั่น


“ใช่ เวสเตอร์ลันท์เป็นดินแดนของเราเอง เพราะฉะนั้นเราย่อมมีสิทธิโดยสมบูรณ์ที่จะทำลายล้างไอ้พวกต่ำชั้นไปพร้อมกับดาวนั่นเสีย เจ้าดูมหาจักรพรรดิลูดอร์ฟสิ พระองค์ท่านก็ใช้ชีวิตของพวกกบฏนับร้อยล้านคน เซ่นสังเวยเพื่อสร้างรากฐานอันแข็งแกร่งให้จักรวรรดิมิใช่หรือ”


อันสบาคเลิกล้มความคิดที่จะเกลี้ยกล่อมต่อทันที เขาขอตัวลาจากเบื้องหน้านายเหนือ แล้วก็เดินบ่นพึมพำคนเดียวว่า


“ราชวงศ์โกลเดนบาวม์คงถึงกาลล่มสลาย ณ บัดนี้เอง ลงตัดมือตัดเท้าตัวเองเช่นนี้ จะให้ยืนต่อไปได้อย่างไรเล่า”


แต่มีใครบางคนแอบรายงานคำกล่าวนี้แก่ดยุคฟอนเบราสไวก์ ยังผลให้ฝ่ายหลังโกรธเป็นที่สุด สั่งจับกุมอันสบาค แต่เมื่อนึกถึงผลงานและบารมีของคนสนิทตนแล้ว จึงลงโทษเพียงให้คุมขังไว้เท่านั้นมิได้สั่งประหารแต่อย่างใด


เมลคัทซ์เองก็พยายามขอเข้าพบดยุค เพื่อขอให้ล้มเลิกความตั้งใจที่จะโจมตีดาวเวสเตอร์ลันท์ด้วยอาวุธปรมาณูเสียและขอให้ปล่อยตัวอันสบาคด้วย แต่ดยุคปฏิเสธไม่ยอมให้เข้าพบ


และแล้ว การชำระแค้นของดยุคฟอนเบราสไวก์ก็กำลังจะเปิดฉากขึ้น




 

Create Date : 02 มิถุนายน 2548
0 comments
Last Update : 2 มิถุนายน 2548 14:59:23 น.
Counter : 449 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


star_seeker
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add star_seeker's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.