เล่ม ๒ บทที่ ๖ ความกล้าหาญและใจภักดี (๒)
แม้นว่าจะหนีเข้าไปในป้อมปราการกัลมิชซึ่งเป็นดาวเคราะห์เทียมรูปทรงกลมได้สำเร็จ แต่กองทัพของมาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์ก็เรียกได้ว่า เกือบจะราพณาสูรเลยทีเดียว ในบรรดากองเรือรบจำนวนห้าหมื่นลำนั้น ที่ติดตามแม่ทัพหนีเข้าไปในกัลมิชสำเร็จมีเพียงแค่ไม่ถึงสามพันลำดี อีกห้าพันลำได้หนีออกจากสนามรบ แล้วกระจัดกระจายหายไปอย่างไร้จุดหมายปลายทาง หนึ่งหมื่นแปดพันลำถูกทำลายไม่มีชิ้นดี ส่วนที่เหลือนั้นล้วนแต่ถูกจับได้หรือยอมจำนนทั้งสิ้น ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พฤติกรรมอันน่ารังเกียจของมาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์ที่ต้องการหนีให้พ้น ๆ ถึงขนาดยิงพวกเดียวกันนั้นได้ส่งผลให้นายทหารน้อยใหญ่สูญเสียขวัญกำลังใจในการรบเพียงใด เคียร์ชไอซ์สั่งล้อมป้อมปราการกัลมิชไว้ และเตรียมการตีป้อมต่อไป ในขณะนั้นเอง เชลยคนหนึ่งก็ได้ร้องขอเข้าพบกับเขา เป็นร้อยเอกรินเซอร์นั่นเอง ในสนามรบซึ่งไม่สามารถจัดหาแขนเทียมให้ร้อยเอกหนุ่มวัยยี่สิบเศษนี้ได้ทัน แขนเสื้อข้างขวาของเขาจึงยังห้อยอยู่ว่าง ๆ ไม่มีแขนท่อนล่างโผล่ออกมา
ข้าพเจ้าคิดว่าจะสามารถทำประโยชน์ให้ใต้เท้าได้ขอรับ
นั่นเป็นคำแรกที่ออกจากปากร้อยเอกหนุ่ม
ทำประโยชน์?... อย่างไรหรือ?
ใต้เท้าน่าจะทราบแล้วนี่ขอรับ ข้าพเจ้าคือพยานสำคัญที่จะยืนยันว่า มาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์ เพื่อที่จะพาตัวเองหนีให้พ้น ถึงกับลงมือสังหารลูกน้องตนได้ลงคอ
อ้อ เจ้าเองหรือที่ว่ามาจากกองลำเลียงน่ะ
แขนข้างนี้ ถูกพวกเดียวกันยิงขาดขอรับ ขอให้ท่านแจ้งความจริงนี้ให้แก่พวกที่อยู่ในป้อมนั้นเถิด
ความจงรักภักดีที่มีต่อมาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์นั่น คงไม่มีเหลือแล้วสินะ? ท่านน่ะ
ใจภักดีหรือขอรับ?
น้ำเสียงของรินเซอร์แฝงแววเย้ยหยัน
เป็นคำที่ฟังเพราะดีนะขอรับ แต่รู้สึกว่ามันจะถูกใช้มั่ว ๆ เพื่อยกประโยชน์ให้ตัวเองแต่ถ่ายเดียวนะขอรับ ข้าพเจ้าคิดว่า สงครามกลางเมืองครั้งนี้จะเป็นโอกาสอันดีที่ทุกคนจะได้ลองทบทวนคุณค่าของคำ ๆ นี้กันเสียที เพราะคนจำนวนหลายหมื่นคนได้ประจักษ์กับตาตนเองแล้วว่า คนบางจำพวกก็ไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะเรียกร้องความจงรักภักดีจากลูกน้องของตนเลยแม้แต่น้อย
เคียร์ชไอซ์ยอมรับว่าร้อยเอกหนุ่มพูดถูกต้อง ความจงรักภักดีหาใช่สิ่งที่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร้เงื่อนไขจริงดั่งคำของอีกฝ่าย คนที่จะรับการจงรักภักดีนั้นต้องมีคุณสมบัติที่คู่ควรกันด้วย
ถ้าเช่นนั้นข้าพเจ้าขอรับความช่วยเหลือจากท่านล่ะ ช่วยส่งข้อความทาง FTL ไปยังกัลมิชให้พวกทหารยอมจำนนด้วยเถิด
ถ้าหาก...
ตาของนายร้อยเอกฉายประกายที่สับสน
ถ้าหากว่าในป้อมนั่นมีคนที่รู้สึกเหมือนข้าพเจ้าสักเพียงห้าคนเท่านั้นก็พอ ป่านนี้หัวของมาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์ก็คงหลุดจากบ่าไปแล้ว
ทั่วทั้งป้อมปราการกัลมิช ถูกปกคลุมด้วยบรรยากาศวังเวงชวนให้ขาดใจ ด้วยตัวแม่ทัพเอง คือ มาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์นั้นจมอยู่ในความหวาดกลัวและความรู้สึกพ่ายแพ้อย่างยับเยิน นอกจากนี้เขายังรู้สึกอับอายในการกระทำของตน อีกทั้งยังรู้สึกเสียหน้าต่อดยุคฟอนเบราสไวก์อย่างมากจนทำให้อยู่ในสภาพจิตใจที่สับสนสุดขีด และหันไปพึ่งสุราในการหนีความจริง
แต่หลังจากที่มาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์หนีเข้ามาได้ครึ่งวัน เรือรบลำหนึ่งที่หนีพ้นการติดตามของทัพเคียร์ชไอซ์ได้สำเร็จก็เดินทางมาถึงป้อม นายทหารนายหนึ่งก็ได้ปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าของมาร์ควิส
นายทหารนั้นพันศีรษะด้วยผ้าพันแผลที่มีโลหิตไหลซึมอยู่เต็ม ที่บ่าขวาแบกร่างของมนุษย์ผู้หนึ่งอยู่ ไม่สิ กล่าวให้ถูกต้องเรียกว่า ครึ่งร่าง ของมนุษย์คนหนึ่งต่างหาก ท่อนล่างนับแต่เอวลงไปของร่างนั้นขาดหายไป
นายทหารร่างใหญ่ผู้นั้นเดินอาด ๆ ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดอย่างแปลกประหลาด จนมาถึงเบื้องหน้าของเหล่านายทหารองครักษ์
ข้าพเจ้าพันโทเลาดิชจากหน่วยแม่นปืนเวเซอร์ ขอเข้าพบท่านมาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์
หัวหน้าทหารองครักษ์ต้องกลืนน้ำลายคำใหญ่
หากท่านมีธุระแล้วไซร้ ข้าพเจ้าก็จะเข้าไปรายงานให้ ว่าแต่... ช่วยกรุณาจัดการกับศพเปื้อนเลือดที่สกปรกนั้นก่อนได้ไหมท่าน?...
สกปรกเช่นนั้นหรือ?
ตาทั้งคู่ของนายพันโทเปล่งประกายมาดร้ายขึ้นมา หลังจากสูดหายใจเฮือกหนึ่งแล้ว เขาก็ตะโกนก้องอย่างเกรี้ยวกราด
ที่ว่าสกปรกนั้นหมายความว่าอย่างไรกัน! นี่เป็นศพของข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของท่านมาร์ควิสเชียวนะ! เป็นลูกน้องของข้าพเจ้าเอง ที่รบกับข้าศึกเพื่อท่านมาร์ควิส จนกระทั่งแม้ท่านมาร์ควิสหนีไปก่อนและปล่อยให้เขาตายไปยังไงเล่า!
นายพันโทก้าวเท้ายาว ๆ ออกไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ทำให้บรรดานายทหารองครักษ์พากันแหวกทางให้เป็นซ้ายขวา พวกเขาถูกท่าทีของนายพันโท และที่สำคัญคือศพที่อยู่บนบ่าขวานั้น ข่มให้ใจฝ่อไปนั่นเอง
เมื่อเปิดประตูออก ก็เห็นร่างของมาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ
มาทำอะไรที่นี่ เจ้าคนไร้มารยาท...
บนโต๊ะเต็มไปด้วยขวดสุราและแก้ววางเรียงรายอยู่หนาแน่น ผิวพรรณที่เคยเปล่งปลั่งของท่านมาร์ควิสกลายเป็นผิวกระดำกระด่างในชั่วเวลาเพียงวันเดียว แม้น้ำเสียงที่เอ่ยบริพาษก็ไร้ซึ่งความน่ายำเกรง
สิบโทพอลส์... คนที่เจ้าสละชีวิตเพื่อปกป้องก็คือมาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์ท่านนี้อย่างไรเล่า เอ้า เข้าไปรับรางวัลในความภักดีของเจ้าเสียสิ
พูดไม่ทันขาดคำ นายพันโทก็โยนศพทหารบนบ่าใส่แม่ทัพของตนเต็มแรง
มาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์หลบไม่ทัน ได้แต่ยกมือทั้งสองข้างขึ้นหมายป้องกันตัว แต่กลับเป็นว่าเขายกแขนขึ้นกอดรับศพที่มีแต่ท่อนบนของทหารผู้นั้นเข้าเต็มรัก
...!
มาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์ร้องเสียงหลงด้วยคำที่ตนเองก็ไม่เข้าใจว่าร้องออกไปได้อย่างไร ร่างของเขาร่วงจากเก้าอี้หรูลงไปกองกับพื้น โดยที่ยังกอดศพนั้นไว้ขณะหนึ่ง แต่เมื่อได้สติ ก็เหวี่ยงศพนั้นทิ้งทันทีพลางร้องเสียงหลงอีกครั้ง เสียงนายพันโทหัวเราะลั่น
ฆ่ามัน! ฆ่าไอ้คนถ่อยนี้เสีย!
มาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์ตะโกนลั่น
นายพันโทไม่แสดงทีท่าจะหนีแต่อย่างไร คงยืนนิ่งอยู่ในที่นั้น ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเลือดแห้งเกรอะกรังและคราบน้ำมันของเขาแสดงรอยยิ้มอย่างมีเลศนัยคราหนึ่ง ปืนบลัสเตอร์จำนวนหลายกระบอกถูกเล็งมาทางเขา...
ทุกคนที่อยู่บนสะพานเรือ (ห้องบัญชาการ) ต้องหันไปมองทางจอภาพหลักเป็นจุดเดียว
ใจกลางจอภาพนั้น คือป้อมปราการกัลมิชที่เป็นรูปทรงกลมสีเงินแกมขี้เถ้าลอยเด่นอยู่ บนเปลือกนอกของป้อมปราการส่วนหนึ่งได้เกิดเป็นสีขาวสว่างวาบขึ้น แล้วกลายเป็นสีแดงและเหลืองที่ขยายวงกว้างขึ้นช้า ๆ แต่เจิดจ้า
... ระเบิดขอรับ
เจ้าหน้าที่สื่อสารรายงานสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เมื่ออยู่ในสภาพที่ทุกคนก็เห็นเหตุการณ์จากหน้าจอด้วยตาตนเองอยู่แล้ว กลายเป็นว่าเขาทำสิ่งที่ไม่จำเป็นไป
นั่นเป็นส่วนที่ใกล้กับห้องผู้บัญชาการขอรับ
เสียงของร้อยเอกรินเซอร์ต่ำทุ้มโดยไม่รู้ตัว
เช่นนั้นหรือ... ดีล่ะ
เคียร์ชไอซ์ไม่ปล่อยให้โอกาสอันงามหลุดมือไป เขาสั่งให้กองทัพเรือทั้งหมดตีวงล้อมให้แคบเข้า แล้วโจมตีด้วยปืนใหญ่ หลังจากนั้นก็ส่งเรือสะเทินบกลงไป เพื่อนำหน่วยนาวิกโยธินเข้ายึดป้อม
มีการต่อต้านบ้าง แต่ก็เพียงประปรายเท่านั้น ทหารซึ่งหมดขวัญกำลังใจโดยสิ้นเชิงแล้ว พากันทิ้งอาวุธคนแล้วคนเล่าโดยไม่สนใจคำสั่งของนายทหารฝ่ายตน ส่วนบรรดานายทหารหลังจากสู้อย่างไร้ความหวังอยู่พักหนึ่ง ก็ยกมือยอมแพ้เช่นกัน
เคียร์ชไอซ์ยึดป้อมปราการนั้นได้สำเร็จ- ซึ่งหากจะกล่าวให้ถูก คือ ยึดสามในสี่ของป้อมที่ไม่ถูกระเบิดไปก่อนหน้านั้นได้สำเร็จ- ส่วนศพของมาร์ควิสฟอนลิตเตนไฮม์นั้นไม่สามารถค้นพบได้ สันนิษฐานว่าถูกระเบิดจากอนุภาคเซฟเฟิลซึ่งมีผู้จุดขึ้นด้วยความตั้งใจระเบิดจนเป็นจุลไปแล้วนั่นเอง
กองทัพพันธมิตรขุนนางสูญเสียรองประมุขไป พร้อมกับกำลังทหารจำนวนสามส่วน (สามสิบเปอร์เซ็นต์)
Create Date : 25 พฤษภาคม 2548 |
Last Update : 25 พฤษภาคม 2548 19:59:21 น. |
|
3 comments
|
Counter : 649 Pageviews. |
|
|
อนุภาคเซฟเฟิล มีลักษณะเป็นแก๊ส ติดระเบิดได้ และมีอานุภาพรุนแรง ทั้งนี้จะติดระเบิด หรือถูกจุดระเบิด จากการกระตุ้นด้วยความร้อนและพลังงานที่เข้มข้น เช่น ลำแสงจากปืนต่าง ๆ เคยปรากฏในเรื่องนี้แล้วหลายครั้ง ยกตัวอย่างเช่น
ในการรบแบบประชิดตัวของหน่วยนาวิกโยธิน จะปล่อยอนุภาคเซฟเฟิลไปทั่วบริเวณ เพื่อไม่ให้ฝ่ายใดก็ตามสามารถใช้อาวุธปืนได้ ต้องสู้ด้วยขวานศึกเท่านั้น
หรือตอนศึกอัมริทเซอร์ เคียร์ชไอซ์ก็เคยใช้อนุภาคเซฟเฟิลชนิดควบคุมทิศทางได้ "เจาะ" สนามทุ่นระเบิดของฝ่ายทัพสมาพันธ์เป็นอุโมงค์มาแล้ว
สำหรับในตอนนี้ เข้าใจว่าพันโทเลาดิชแอบพกภาชนะบรรจุอนุภาคเซฟเฟิลไว้กับตัวนั่นเอง เมื่อถูกยิงด้วยปืนบลัสเตอร์ จึงได้ระเบิดออกมา คงพกชนิดบรรจุหนาแน่นทีเดียว เพราะผลของมันคือ หนึ่งในสี่ของป้อมถูกทำลาย!