1
2 3 4 5 6 7 8
9 10 11 12 13 14 15
16 17 18 19 20 21 22
23 24 25 26 27 28 29
30 31
เสียงแห่งธรรม(ชาติ) สู่เพลงบำบัด
โดย..จำรัส เศวตาภรณ์ ผลการวิจัยของ "กอร์ดอน ชอว์" (Gordon Shaw) ระบุว่าการที่เปิดเพลงของโมซาร์ต (Mozart) ให้แก่เด็กที่อยู่ในท้องฟังนั้นจะมีผลทำให้เด็กฉลาดขึ้น ว่ากันว่าบทสวดคาถาชินบัญชร และเพลงบทสวดมนต์ ทิเบต หลายต่อหลายชุดนอกจากฟังไพเราะและทำให้เกิดสมาธิแล้ว บางบทสวด บางเพลงยังสามารถรักษาโรค และถึงขั้นสร้างบุญสร้างกุศลอีกด้วย แล้วเพลงในรูปแบบของ "กรีนมิวสิค" ล่ะ คุณเคยรู้จัก และเคยคิดมั้ยว่ามันจะช่วยอะไรให้กับคนที่ได้ฟัง ? .......... แรงบันดาลใจของคนทำ แม้จะไม่ใช่ดนตรีกระแสหลัก แม้จะไม่ใช่งานเพลงที่ออกมาแล้วจะฮิตกันเปรี้ยงปร้างเหมือนกับที่ตนเอง เคยทำมา ทว่าด้วยความเชื่อและความตั้งใจอะไรบางอย่างที่ฝังลึกในจิตใจของคนดนตรีที่ชื่อ "จำรัส เศวตาภรณ์" ส่งผลให้เขาคนนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงวิธีการคิดและการทำงานของตนเอง จากที่เป็นงานมาสู่ในสิ่งที่หัวใจปรารถนากับรูปแบบของดนตรีที่เจ้าตัวเรียกมันว่า "Green Music" ที่ว่าด้วยเรื่องราวของเสียงธรรมชาติและทำนองของดนตรีที่มุ่งเน้นเข้าถึงจิตใจล้วนๆ ไม่ว่าจะเป็น "Morning" ที่พูดถึงความงดงามของยามเช้า, ฤดูกาลแห่งชีวิต Season of life เปรียบชีวิตเสมือนมี 3 ฤดู, Whisper of the wind ชุดนี้ให้บรรยากาศแห่งการจินตนาการ ขุนเขา ความรัก การรอคอย และแสวงหา ซึ่งเพลงส่วนใหญ่มาจากดนตรีที่เขาเคยแต่งไว้ให้แก่ภาพยนตร์ต่างๆ หรือจะเป็น ชุดที่4 เพลงใบไม้ Song of leaf ที่ว่าถึงชนบทของเมืองไทยในรูปแบบของการบรรเลงเปียโน ที่เกิดขึ้นจากการที่เขาได้ขึ้นไปพักบนภูเขาแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย หรือจะเป็นบทเพลงแห่งลุ่มน้ำเจ้าพระยา (Music of the Chaophraya river) ที่ว่ากันว่าฟังแล้วเห็นภาพบรรยากาศเมืองไทยในอดีตได้อย่างดีทีเดียว "เมื่อผมได้ตายไป และถ้ามีโอกาสได้เกิดใหม่ ผมอยากจะกลับมาฟังเพลงของผมอีก" คือสิ่งที่เจ้าตัวเคยให้สัมภาษณ์เอาไว้ถึงเหตุผลที่ซ่อนอยู่ในใจลึกๆ ของเขาในการทำงาน ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเขาถึงไม่ได้เสียใจนักในเมื่อ 10 กว่าปีที่ผ่านมารูปแบบงานกรีนมิวสิคของเขาจะไม่ได้เป็นที่นิยมในตลาดวงกว้าง และมีกลุ่มคนเพียงไม่มากนักที่รู้จัก ในขณะที่หลายคนอาจจะคุ้นตาคุ้นหูอยู่บ้างตามสถานีรถไฟฟ้าแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย "จริงๆ การฟังเพลงแนวแบบนี้มันบำบัด มันสร้างความสุขได้ นี่คือข้อดีเบื้องต้น..." จำรัสบอกเล่าถึงข้อดีของงานเพลงที่ตนเองสรางสรรค์" "เรื่องเสียงเนี่ยะมันมีทั้งโทษและประโยชน์ ถ้าอยู่กับเสียงที่มันเย็นๆ เสียงที่เราชอบ อย่างพอฝนตกเราก็จะเย็นสบายใจ เสียงทะเล เสียงลำธาร อันนี้เป็นเสียงธรรมชาติ บางคนชอบเพลงร็อก บางคนชอบเพลงสบายๆ เสียงทุกอย่างจะมีทั้งบวกและลบ ถ้าในลักษณะเพลง ถ้าฟังเพลงที่ดังเกินไป ก็อาจจะมีผลกับหู หรือว่าจิตใจ เหมือนกับในทางการแพทย์ถ้าฟังเพลงที่มีลักษณะต่างกัน เลือดลมก็จะไหลเวียนต่างกันด้วย" "เพลงเพราะๆ ที่ฟังถ้าเราได้ฟังเพลงที่เราชอบ มันก็จะรู้สึกเบิกบาน ไม่หดหู่ ส่วนตัวผมชอบเพลงแนวผจญภัย แฟนตาซี เพราะว่าฟังแล้วมันเกิดจินตนาการ บางคนก็เอาเพลงผมไปประกอบกับภาพวาด เพราะมันเข้ากันได้" ........... จินตนาการสร้างความสุข เขาว่ากันว่าคนที่เป็นศิลปินมักจะมีจินตนาการที่มากกว่าคนทั่วไป ซึ่งนั่นก็คงจะไม่ต่างไปจากผู้ชายคนนี้มากนัก เพราะจะมีใครที่มีความเชื่อแบบเขาบ้างเล่าว่าการเล่าเรียนเรื่องของสถิติ ตัวเลข ในวิชาเศรษฐศาสตร์นั้นจะถูกโยงมาเกี่ยวข้องกับตัวโน้ตได้ "ผมเรียนเศรษฐศาสตร์แต่ก็แปลกๆ เหมือนกันที่มาชอบเรื่องเพลง แต่มันเป็นความชอบมาตั้งแต่เด็กๆ ที่มาเรียนเศรษฐศาสตร์เพราะว่าชอบคณิตศาสตร์ ชอบตัวเลข ก็เรียนสายวิทย์มา ใจหนึ่งก็คิดนะว่าอยากเรียนสถาปัตย์แต่พอเอาเข้าจริงๆผมไม่ได้เรียนภาษามาเลยก็เลยเปลี่ยนใจ ก็นั่งคิดว่าจะเรียนอะไรดี ถามตัวเองอีกที เอ๊ะ...เราชอบคาร์ล มาร์ก เราชอบอ่านเพราะว่าการเรียนรู้สิ่งพวกนี้มันได้อะไรหลายอย่าง มันสามารถเอามาประยุกต์ใช้กับอะไรได้เยอะมาก" "เศรษฐศาสตร์มันก็เรื่องที่เกี่ยวกับดนตรีนะ อย่างเรื่องอุปสงค์อุปทานไง คนดูมีความต้องการอย่างไร ศิลปินแสดงออกตามความต้องการนั้นรึเปล่า คือคนเค้าก็มีความคาดหวังในตัวศิลปินก็คล้ายๆ กับหลักเศรษฐศาสตร์ คนชอบเพลงป๊อป จะให้เค้าฟังเพลงร็อกเค้าก็ไม่ชอบอยู่แล้ว" แม้จะเป็นอดีตหนึ่งในสมาชิกของวงดนตรีชื่อดังในตำนานอย่าง "แกรนด์เอ็กซ์" ทว่าผลงานที่ทำให้ผู้ชายคนนี้เป็นที่รู้จักก็คือการทำดนตรีประกอบภาพยนตร์ซึ่งมีรางวัลการันตีมากมาย อาทิ รางวัลพระสุรัสวดีจากหนังเรื่อง "น้ำเซาะทราย", "นางนวล", "ปุกปุย" รางวัลชมรมวิจารณ์บันเทิงจากหนังเรื่อง "ปุกปุย" "ปีหนึ่งเพื่อนกัน กับวันอัศจรรย์ของผม" "อำแดงเหมือนกับนายริด", พระสุรัสวดี จาก "เพียงเรามีเรา", "ฝากฝันไว้เดี๋ยวค่อยเลี้ยวมาเอา" และอีกมากมาย "จริงๆการแต่งเพลงหนังมันก็มีความยากอยู่เหมือนกัน แต่ก็ยังดีที่มันมีกรอบให้เราอยู่บ้าง หลักง่ายๆ คือมองภาพคนดูหนังให้ออก ดูหนังแต่ไม่ต้องฟังเสียง ดูภาพแล้วคิดจินตนาการซิว่า ถ้าภาพแบบนี้เสียงจะต้องเป็นยังไง" "ฉากที่มันตื่นเต้นเราทำให้เพลงหวานได้ไหม เราก็ต้องดู อย่างฝรั่งเค้าก็นิยมนะ ฉากที่ตื่นเต้นแต่ทำดนตรีให้หวานซึ้ง ทีนี้มันก็ขึ้นอยู่กับองค์ประกอบของหนังตอนนั้นว่ามันมีอะไรบ้าง โปรดักชั่นมันเข้ากันรึเปล่า ดีมานด์ซัปพลายมันไปด้วยกันได้ไหม" แม้กระทั่งงานเขียนก็สามารถเอาเพลงไปใส่ได้ เพียงแต่อาจจะต้องใช้เวลา... "บางทีเรามองไม่ออกหรอกว่าคนวาดหรือว่าคนเขียนภาพเค้าสื่ออะไร เค้าก็ซ่อนจุดที่มันน่าค้นหาอยู่มันก็แล้วแต่เราว่าเราจะหาตรงไหนเจอ มันก็นานเหมือนกัน แต่งยากอยู่" จำรัสบอกว่า ส่วนที่ยากที่สุดของการทำเพลงแบบธรรมชาติที่เขาทำอยู่ก็เพราะไม่รู้ว่ากรอบมันอยู่ตรงไหน ต้องจินตนาการเอาเองว่ามันเป็นยังไง เสียงหยดน้ำ เสียงธรรมชาติ ที่สำคัญเพราะเพลงที่แต่งมันไม่ใช่เพลงเนื้อร้อง "มันไม่มีท่อนที่จะทำให้คนจำได้ว่ามันเป็นเพลงอารมณ์แบบไหน มันเป็นเพลงเรื่อยๆ ท่วงทำนองช้าๆ ไม่หวือหวา เราต้องจินตนาการเองว่าแบบไหนมันถึงจะลงตัว คนฟังเค้าจะคิดอย่างเราไหม" จะว่าไปก็เหมือนกับดูถูกคนบ้านเราเมืองเรา เพราะในขณะที่ตลาดเพลงของเขาในต่างประเทศค่อนข้างจะประสบความสำเร็จ ทว่าที่บ้านเราเองกลับดูจะมีคนสนใจน้อยไปนิด แต่ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป ทุกคนมีภาระหน้าที่ ทุกคนมีความเครียด และทุกคนต้องเผชิญกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น เจ้าตัวจึงมีความเชื่อว่าแนวทางของตนเองน่าจะไปได้ดีมากยิ่งขึ้น "ในยุคน้ำมันแพง เพลงพวกนี้อาจจะนิยมมากขึ้นกับคนบ้านเราได้ เพราะว่าคนอยากอยู่บ้านมากขึ้น เมื่ออยู่บ้านมากขึ้นก็อยากจะมีอะไรผ่อนคลายผมว่าอนาคตกรีนมิวสิคน่าจะไปด้วยดีนะ" เขาเน้นข้อดีของเพลงประเภทนี้ให้ฟังว่า... "การฟังเพลงที่ไม่ได้มีเสียงกระแทกกระทั้น ฟังอะไรที่มันเรียบๆสบายๆมันเกิดสมาธิได้ เหมือนกับเวลาเราอยู่ในห้องเปิดเพลงเบาๆ ในห้องก็มีแต่เสียงเพลงมันก็ช่วยเรื่องจิตใจด้วยนะ ใจก็ได้พักผ่อนไปด้วย" "ลูกค้าของผมส่วนใหญ่ก็เป็นคนวัยทำงาน ผู้ที่ประกอบอาชีพทำสปาทั้งหลาย โรงแรม โรงพยาบาล แม้กระทั่งหมอฟันก็มี อย่างตามโรงพยาบาลคุณหมอเค้าก็เปิดเวลาผ่าตัด จริงๆ แล้วคนเราก็มีพฤติกรรมการฟังอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว มีเสียงเข้าหูเราตลอดเวลา แต่การฟังดนตรีมันทำให้เกิดสมาธิ ใจเราจะหยุดอยู่กับสิ่งนั้น" "การทำตลาดเพลงแนวนี้แบบกรีนมิวสิคมันไม่ยากหรอก เพียงแต่ว่าคนจดจำยากหน่อยก็เท่านั้นเอง เพราะเป็นเพลงบรรเลง บริษัทผมไม่ได้ทำเรื่องของโปรโมชันด้วย อยู่กันแบบตามมีตามเกิด ตลาดต่างประเทศเราก็เติบโตมากนะ ที่ญี่ปุ่นก็มีขาย น่าแปลกนะร้านที่ขอเป็นตัวแทนจำหน่ายเนี่ยเป็นร้านขายเครื่องมือการเกษตร เพราะเขาชอบคำว่ากรีนมิวสิค เค้าก็เลยขอเป็นตัวแทนขาย เค้าชอบเพลงแบบนี้" "ที่ฮ่องกง อังกฤษ,อเมริกา ยุโรปก็มีคนที่โน่นเค้าเข้าใจคำว่ากรีนมิวสิคมากๆ เค้าชอบ จริงๆ แล้วเมื่อก่อนไม่ได้ใช้คำนี้นะ ใช้คำว่า "ดนตรีเพื่อการจินตนาการ" หรือว่า "Inspiration music" ซึ่งมันเหมือนคำขยายความของคำว่า "กรีนมิวสิค" นั่นแหละ" "จริงๆ เพลงประเภทกรีนมิวสิกเนี่ยมันมีเยอะนะ แต่ละที่ก็จะไม่เหมือนกัน อย่างที่อินเดีย เพลงกรีนมิวสิกเค้าจะเป็นแบบว่าเพลงสวดเลยแหละ ซึ่งผมก็คิดคำขึ้นมาหลายคำนะ ครั้งหนึ่งเคยตั้งชื่อว่า "Sound of Siam" เอาไปเสนอขายต่างชาติเค้าเข้าใจว่าเป็นเพลงที่มีแต่เครื่องดนตรีไทย ก็ยังไม่โดนใจเค้า จนตอนหลังมาใช้คำว่า "กรีนมิวสิค" เค้าก็เข้าใจเลยว่ามันแปลว่าอะไร" "ผมจดโลโก้เป็นของผมเองนะ คำนี้มันมาจากผมใครจะเอาไปใช้ก็คงต้องมาขอผม แต่ว่าเพลงแบบกรีนมิวสิคสมัยนี้มันเยอะแล้วเพลงบรรเลงมีอยู่เยอะพอสมควร" เคยเอารูปแบบของกรีนมิวสิกไปเสนอค่ายอยู่เหมือนกัน ส่วนคำตอบที่ออกมาเชื่อว่าหลายคนน่าจะจินตนาการได้ว่าเป็นอย่างไร... "เมื่อก่อนผมเคยเอาไปเสนอค่ายเหมือนกันว่าจะทำเพลงแนวนี้ แต่ผมจะแต่งใหม่นะ ไม่ใช่เอาเพลงเก่ามาบรรเลง เค้าก็บอกว่าจะขายได้หรือ ผมก็ยืนยันว่าขอแต่งใหม่ สุดท้ายผมก็ออกมาทำเองดีกว่า ทำเองมันก็ค่อยเป็นค่อยไป ผมไม่ชอบการโปรโมต หรือมาตั้งว่าจะต้องออกอัลบั้มวันนั้นวันนี้ เพราะนั่นมันเป็นการตั้งวันเกิดให้เพลง ส่วนตัวผมคือไม่ชอบแบบนั้น" "เพลงผมอาจจะไม่หวือหวาเหมือนเพลงสมัยนี้ผมอยากทำเองขายเอง ไม่อยากโปรโมชันให้มันมากมาย แต่มาถึงวันนี้กรีนมิวสิกก็เข้าไปถึงหลายกลุ่มแล้วนะ เดี๋ยวนี้มีเพลงแบบออนไลน์ด้วยซึ่งผมไม่ลำบากกับสิ่งที่ผมทำอยู่ตรงนี้" "อีกอย่างหนึ่งผมว่าเพลงทุกเพลงไม่มีคำว่าเก่านะ ที่มันเก่าเพราะมีคนตั้งวันเกิดให้มัน ตั้งว่าให้มันเกิดวันนั้นแล้วพอเวลาผ่านไปก็กลายเป็นเพลงเก่าซึ่งมันไม่ใช่ นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผมอยากให้หนังสือของผมวางในร้านหนังสือคนอยากฟัง อยากอ่านเมื่อไรก็ซื้อไปฟัง มันจะไม่มีวันเก่า" ถามถึงวิธีการทำงาน จำรัสบอกว่าง่ายๆ เลยก็คือควรจะมีเรื่องของ "จินตนาการ"... "สมัยผมเรียนหนังสือผมต้องเปิดเพลงฟังตลอดเลยนะ ไม่งั้นผมอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง เปิดไปอ่านหนังสือไปรู้สึกว่ามันเหมือนมีสมาธิมากขึ้น ผมจะจำได้เลยว่าตอนอ่านหนังสือเล่มนี้ฟังเพลงนี้ท่อนนี้แล้วเรานึกถึงอะไร ซึ่งมันเป็นเรื่องของแต่ละคนนะ ถ้าไม่มีเพลงผมก็อ่านได้ไม่นานนะ ชอบเพลงสบายๆ พวกไลท์มิวสิก" "วิธีการคิดของผมก็คือ ดูหนัง ดูภาพวาด ดูแต่ภาพนะอย่าดูเสียงแล้วเราก็คิดว่าเราจะเอาเพลงอะไรมาใส่ อารมณ์แบบไหนมาใส่ถึงจะดี เหมือนกับเวลาดูหนังนั่นแหละ มีภาพมีวิวสวยๆเราก็มาดูว่าเราจะทำออกมายังไง มองให้มันเกิดเป็นเสียงให้ได้" "กรีนมิวสิก" ยังไม่มีใครเป็นผู้สืบทอด ลูกสาวคนเดียวของจำรัสก็สนใจเรื่องการโรงแรมมากกว่า และเข้ามาช่วยพ่อทำเรื่องของการตลาด ส่วนเรื่องเพลงนั้นจำรัสตั้งใจจะแต่งเพลงไว้ 100 อัลบั้ม ก่อนวางมือจากดนตรีทุกชิ้น โดยวันนี้เขาทำมันออกมาได้แล้ว 12 ชุด และที่ได้รับความนิยมมากๆ ก็คืองานเพลงในชุดที่ 1 เช้าวันใหม่, ชุดที่ 3 เสียงเพรียกจากสายลม, ชุดที่ 4 เนรัญชรา ที่จะพาย้อนไปในอดีตพุทธกาล ณ อุรุเวลาเสนานิคมริมฝั่งเนรัญชรา รวมทั้ง ชุดที่ 8 "นิพพาน" เพลงบรรเลงเพื่อสมาธิจิต และจินตนาการที่ว่าถึงโลก สวรรค์ และพระนิพพาน "ผมว่าทุกอาชีพในโลกนี้ไม่มีใครเป็นเจ้าของนะ มันต้องสานต่อกัน หมดงานของคนอื่น เราเกิดมาเพื่อสานต่อกันและกัน สำหรับผมมีลูกสาวนะ แต่เค้าไม่ชอบเรื่องเพลงเท่าไหร่ เค้าชอบการโรงแรมแต่ตอนนี้จบปริญญาโทแล้ว เค้ามาช่วยบริหารเรื่องการตลาดให้ เราไม่ว่าเค้าเพราะว่าเค้าไม่ชอบ" "เมื่อก่อนผมเป็นอาจารย์สอนวิชาเกี่ยวกับเสียงที่ใช้ประกอบภาพยนตร์ แต่ตอนนี้เลิกแล้ว หันมาทำตรงนี้มันชอบมากกว่า และก็คิดว่าอยากจะแต่งให้ได้ซัก 100 อัลบั้ม รู้ว่ามันไม่ถึงหรอกแต่จะทำให้ได้มากที่สุดเพราะผมรักเสียงเพลง" "แต่ผมก็เน้นคอนเซ็ปต์เล่นเองขายเองนะ ไม่อยากเข้าไปอยู่ค่ายใดค่ายหนึ่งอย่างที่บอกผมไม่ชอบให้มีวันเกิดของเพลง ผมอยากให้เพลงใหม่อยู่ตลอด ผมพอใจนะ ไม่ได้มองว่ามันต้องหนักหนาอะไร ไม่ลำบากครับทำแบบค่อยเป็นค่อยไปแบบนี้สบายใจด้วย" ตลอดการพูดคุยสัมภาษณ์ผู้ชายหัวใจดนตรีอย่างจำรัสดูท่าทางมีความสุขเวลาได้พูดถึงสิ่งที่เป็นธรรมชาติ ไม่ได้หวาดหวั่นว่าเพลงของเค้าจะขายได้หรือไม่ ธุรกิจจะรอดหรือไม่รอด "เมื่อก่อนตอนที่อยู่แกรนด์เอ็กซ์ ผมเคยขึ้นคอนเสิร์ตผมรู้ว่าฟีดแบ็กคนชอบไม่ชอบการแสดงตรงนั้น แต่พอมาทำกรีนมิวสิคเนี่ยสิ่งที่เรามองว่ามันยากอีกอย่างก็คือเราต้องหยั่งใจคนฟังว่าเค้าจะจินตนาการเหมือนเราไหม ถ้าเป็นเพลงทุกวันนี้ มีท่อนฮุก คนชอบเพลงป๊อป ร็อกต่างกันไป หน้าที่ขอศิลปินคือขายความเป็นตัวเค้าที่คนดูชอบ บางทียังรู้สึกเลยว่ามันยัดเยียดให้คนฟังเหมือนกันนะ แต่จริงๆ ผมคิดถึงแฟนเพลงนะ แต่คงไม่มีคอนเสิร์ตหรอก" ก่อนจบการสนทนาจำรัสบอกถึงการใช้ชีวิตของเขาเองในทุกวันนี้ว่า ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่าการอยู่กับธรรมชาติให้มากที่สุด "เวลาผมอยู่บ้านผมเลี้ยงนกนะ อยู่กับธรรมชาติ ปลูกบ้านให้มันจำลองเหมือนกับป่าเลย เวลามันโตขึ้นมาหน่อยก็เอาเทปไปอัดเสียงนกเสียงธรรมชาติไว้ดูว่ามันทำอะไร ผมว่าสัตว์บางชนิดฉลาดกว่าเราก็มีนะ มีอยู่วันหนึ่งผมเห็นนกมันเก็บกิ่งไม้มาสร้างรัง ซึ่งดูแล้วมันก็เป็นธรรมชาติทำให้ผมรู้สึกว่ามันสบายตา มันมีความเป็นธรรมชาติที่ผมชอบอยู่กับมันมาก" "หนังสือพิมพ์ผมไม่ได้รับนะ ทีวีผมก็ดูเฉพาะช่องที่มีสัตว์หรืออะไรที่มันจรรโลงใจ ไม่ใช่ไม่ดี แต่บางทีอ่านข่าวดูข่าวแล้วมีแต่เรื่องของความขัดแย้งผมก็ไม่อยากดู มันทำให้งานผมหยุดเพราะใจมัวไปมุ่งอยู่กับเรื่องราวที่อ่านมา เพราะฉะนั้นก็เลยไม่ค่อยได้สนใจเท่าไหร่" "ผมว่าโลกเรามันร้อนขึ้น เราต้องทำตัวให้มันเย็นไว้ สิ่งที่มันร้อนทั้งหลายก็มนุษย์นี่แหละทำ พอใจมันร้อนขึ้นผมว่าควรจะหาวิธีทำให้มันเย็นนะ ถ้าใจร้อนไม่ดีหรอกมันทำให้ร่างกายแย่ ทำใจให้สบายอยู่กับธรรมชาติดีกว่า" ************ เรื่อง - น้ำผึ้ง กอระพันธ์ โดย ผู้จัดการรายวัน 13 ตุลาคม 2548 08:59 น. >>>>กรีนมิวสิค ออนไลน์<< <<
Create Date : 15 ตุลาคม 2548
Last Update : 16 ตุลาคม 2548 12:38:36 น.
46 comments
Counter : 1964 Pageviews.
โดย: ชายคา วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:8:21:58 น.
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:9:11:45 น.
โดย: run to me วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:10:37:48 น.
โดย: สุภาฯ IP: 210.246.64.241 วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:12:17:44 น.
โดย: ZAZaSassY วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:12:58:31 น.
โดย: JewNid วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:13:34:12 น.
โดย: rebel วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:14:21:23 น.
โดย: erol วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:15:02:23 น.
โดย: หนี่หนีหนี้ วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:19:06:36 น.
โดย: erol วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:19:20:50 น.
โดย: คนเดินดินฯ วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:19:31:10 น.
โดย: พักผ่อนน้อย IP: 202.142.216.42 วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:20:11:15 น.
โดย: noom_no1 วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:20:37:50 น.
โดย: ตัวยุ่งจัง IP: 58.11.86.137 วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:22:19:21 น.
โดย: สเลเต วันที่: 15 ตุลาคม 2548 เวลา:23:06:27 น.
โดย: ตะวันสีชมพู วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:1:51:21 น.
โดย: ป่ามืด วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:2:56:05 น.
โดย: ZAZaSassY วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:9:08:27 น.
โดย: erol วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:11:23:05 น.
โดย: ป่ามืด วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:14:18:36 น.
โดย: erol วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:14:26:47 น.
โดย: ชายคา วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:14:31:49 น.
โดย: ZAZaSassY วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:15:25:35 น.
โดย: rebel วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:15:44:03 น.
โดย: pataree วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:16:06:46 น.
โดย: ยอดสน วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:16:14:31 น.
โดย: erol วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:17:01:14 น.
โดย: erol วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:17:17:23 น.
โดย: eZii วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:21:08:49 น.
โดย: JewNid วันที่: 16 ตุลาคม 2548 เวลา:23:09:21 น.
โดย: ยอดสน วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:1:15:26 น.
โดย: ป่ามืด วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:7:10:13 น.
โดย: rebel วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:7:38:29 น.
โดย: ขอบคุณที่รักกัน (blueberry_cpie ) วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:7:39:53 น.
โดย: JewNid วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:11:47:49 น.
โดย: ZAZaSassY วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:17:32:34 น.
โดย: erol วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:23:28:46 น.
โดย: แตนต่อย วันที่: 17 ตุลาคม 2548 เวลา:23:43:08 น.
โดย: Angel Tanya วันที่: 18 ตุลาคม 2548 เวลา:2:43:25 น.
โดย: Monstermon วันที่: 19 ตุลาคม 2548 เวลา:22:05:51 น.
โดย: namit วันที่: 23 ตุลาคม 2548 เวลา:10:16:00 น.
โดย: oblb9lk; IP: 203.148.186.198 วันที่: 2 มีนาคม 2551 เวลา:9:44:53 น.
โดย: BamBoo IP: 202.129.54.210 วันที่: 2 เมษายน 2552 เวลา:17:13:30 น.
Now Playing:
ชอบเพลงบรรเลงแบบนี้จังค่ะ
ฟังแล้วสบายๆ เย็นดี